ความคิดเห็นที่ 1 เราอาจจะอยู่ในโลกที่สวยงาม และสิ่งแวดล้อมที่ดีเกินไปจริงๆค่ะ จากคุณ : minnymin - [ 15 พ.ค. 52 10:46:18 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ความรักการแต่งงานมันเรื่องของคนสองคน... สินสอด พ่อแม่ ครอบครัวสองฝ่าย ก็เป็นอุปสรรคของทั้งสองฝ่ายที่ต้องเรียนรู้ ... ...คู่ใครก็คู่เขา วิธีแก้ปัญหาแต่ละคู่ก็แตกต่างกันไม่เหมือนเรา...จะไปดูถูกดูหมิ่นความคิดเขาที่ไม่เหมือนเราเพื่ออะไร... แค่อุปสรรคนึงของความรักถามคู่ของเราดีกว่าว่าจูนกันได้แค่ไหน...ปัญหาแต่ละคนไม่เหมือนกันนี่นา จากคุณ : Kura Kuri - [ 15 พ.ค. 52 11:15:21 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นด้วย แต่ไม่ทั้งหมด จากคุณ : แก้วคุง - [ 15 พ.ค. 52 11:29:20 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่อยากให้ก็ไม่ต้องให้ ไม่เห็นจะมีอะไร แล้วจะบ่นดูถูกคนอื่นไปทำไม? ตูล่ะงง?? จากคุณ : ratta (ratta) - [ 15 พ.ค. 52 11:33:00 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ที่มีสินสอดขึ้นมาก็เพราะพ่อแม่ฝ่ายหญิงต้องการดูว่า จะดูแลลูกสาวเค้าไหวรึเปล่า เป็นการลองเชิงลองใจค่ะ ถ้ามัวแต่คิดเล็กคิดน้อยก็ ไม่ต้องแต่งหรอกนะ ขึ้นคานไปเถอะ จากคุณ : ลิเซิ่ล - [ 15 พ.ค. 52 11:37:02 ]

ความคิดเห็นที่ 6 แอร๊ยยยยยยยยยยส์ Kura Kuri เท่อีกแระ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 12:13:42 จากคุณ : แมมมอสมีกรรมแถมขาดำด้วย - [ 15 พ.ค. 52 12:11:38 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เรื่องสินสอดมันเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีไทยค่ะ อย่าคิดมากสิคะคุณเจ้าของกระทู้ แต่คุณต้องไปตกลงกับเจ้าสาวคุณให้เรียบร้อยก่อนแต่ง อ้อ....แล้วอย่าลืมบอกพ่อแม่เธอด้วยนะคะ ว่าสินสอดที่เรียกมา คุณขอคืนหลังงานแต่งนะ จะเอามาใช้ในครอบครัว แล้วคอยดูว่าที่พ่อตาแม่ยายคุณ ว่าท่านจะตอบคุณว่ายังไง จากคุณ : ++ Herr Hazy Hazlitt ++ - [ 15 พ.ค. 52 13:27:59 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ที่บ้านไม่สนใจค่ะเรื่องสินสอด เงินมันของนอกกายง้ะ เพียงแต่ว่าไม่มีคนมาขอเรา ก๊ากๆๆ จากคุณ : ladyalisia - [ 15 พ.ค. 52 13:47:10 ]

ความคิดเห็นที่ 9 การแต่งงานคืออะไร? - คือการที่คู่รักตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน กลายเป็นบุคคลคนเดียวกันตามกฏหมาย ทำไมคนเราต้องแต่งงาน? - เพราะคู่รักต้องการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างถูกต้องตามกฏหมาย  และตัดสินใจแล้วว่า  เลือกคนนี้ละ ชั่วชีวิตนี้ จะไม่มีคนอื่นอีกแล้ว  ไม่ว่าในยามสุขหรือยามทุกข์  ในยามเจ็บไข้ได้ป่วยหรือในยามที่มีสุขภาพดี จะไม่ทอดทิ้งกัน  จะรักและดูแลกันตลอดไป การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคนที่รักกัน   ถ้ารักกันจริง  เห็นแก่ความสุขของกันและกัน ไม่ว่าเรื่องใดๆ  ย่อมคุยกันได้เสมอ การแต่งงาน  ไม่ใช่ว่าถ้าฝ่ายชายไม่มีเงินล้านเป็นค่าสินสอด   แล้วพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะไม่ยอมรับเป็นลูกเขย คู่สมรสจำนวนมาก  ที่แต่งงานกันพอเป็นพิธี  มีค่าสินสอดแค่หมื่นเดียว  จัดงานเล็กๆพอให้ญาติพ่ีน้องเพื่อนฝูงได้รับรู้ว่าแต่งงานแล้วนะ แต่สองสามีภรรยา ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข  ช่วยกันทำมาหากิน  ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายชายฝ่ายเดียวต้องหาเลี้ยงครอบครัว ต่อมาภายหลัง ชีวิตประสบความสำเร็จ  ร่ำรวยขึ้นมา ลูกหลานสุขสบาย ถ้าฝ่ายหญิงมีทัศนคติว่า....ผู้ชายต้องเป็นฝ่ายหาเลี้ยง  ผู้ชายต้องมีหลักประกันให้ฝ่ายหญิงและพ่อแม่ของฝ่ายหญิง คงต้องหาแต่เจ้าบ่าวที่ร่ำรวย....เป็นหลักประกันทางด้านการเงิน เขาจะรักได้นานแค่ไหน...แต่งงานไปแล้วจะมีเมียน้อยหรือไม่   เธอคงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ขอแค่มีเงินล้านเป็นค่าสินสอดเป็นพอ เราจึงได้เห็นกันอยู่เสมอ....ผู้ชายมีเมียน้อย  เพราะสามารถเลี้ยงดูได้หลายคน  มีเงินพอจะจ่ายเสียอย่าง ส่วนคู่สมรสที่แต่งงานกันเพราะรักกัน    คิดจะร่วมทั้งทุกข์   ร่วมทั้งสุข   รักกัน  เข้าใจกัน  ยอมรับซึ่งกันและกัน ฝ่ายชายมีเงินน้อย  ฝ่ายหญิงก็รัก  และ ยอมรับเขา  ไม่กดดันให้เขาหาเงินมากมายมาเป็นค่าสินสอด ไม่ต้องการได้หน้า....อวดว่าได้รับค่าสินสอดเป็นล้านๆ   แต่..ต้องการใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เธอรัก เราก็ได้เห็นกันอยู่เสมออีกเช่นกัน...ที่สามีภรรยารักกัน  สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกัน จนครอบครัวเป็นปึกแผ่นมั่นคง  และ ฝ่ายชายให้เกียรติฝ่ายหญิงเสมอ  ไม่เคยสนใจหญิงอื่นเลย ก็เพราะ....แต่งงานเพราะรัก  ยอมรับและเข้าใจกัน  เห็นอกเห็นใจกัน  ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน สามีภรรยาที่รักกันนี้   อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า   เดินทางท่องเที่ยวด้วยกัน ไม่ทิ้งกัน  เราก็ได้พบได้เห็นคู่สามีภรรยาแบบนี้เช่นกัน   ฉะนั้น....ผู้ชายจะเลือกผู้หญิงที่เห็นแก่เงินของเขา  เอาค่าสินสอดมาวัดความรัก หรือจะเลือกผู้หญิงที่รักที่ตัวเขา   รักนิสัยเขา  รักบุคลิกของเขา  ยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น หากเขามีเงินมาก...   เขาก็จ่ายค่าสินสอดมาก   แต่ถ้าเขามีเงินน้อย  เขาก็จ่ายค่าสินสอดน้อย จำนวนค่าสินสอด   ไม่ได้เป็นเครืองวัดความรักและการให้เกียรติฝ่ายหญิง แต่เป็นเพียง...เครื่องวัดจำนวนเงินที่เขาจะจ่ายได้  ณ  วันแต่งงาน แต่งงานไปแล้ว    ล้มละลายทีหลัง   เป็นหนี้เป็นสินทีหลัง    ครอบครัวแตกแยก   ฆ่าตัวตาย หรือฆ่าทั้งครอบครัว  หรือมีเมียน้อย  นอกใจภรรยา   ฯลฯ  ก็มีให้เห็นเยอะแยะไป จำนวนเงินค่าสินสอด  ไม่ได้เป็นหลักประกัน   ความไม่แน่นอนของชีวิตหรอกครับ ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน  วันนี้รวย   อนาคตล้มละลาย  ก็มีให้เห็นเยอะแยะ แต่...ถ้าคนสองคนรักกันจริง  พร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน  กล้าเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตร่วมกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ก็จะสู้ด้วยกัน ไม่ทอดทิ้งกัน  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บป่วยไป  ก็จะอยู่ดูแลกันเสมอ รักกัน  เข้าใจกัน   ยอมรับซึ่งกันและกัน  เห็นแก่ความสุขของกันและกัน นี่ต่างหาก...คือสาระของการแต่งงาน    นี่ต่างหาก  คือเหตุผลที่จะต้องแต่งงานกัน ใจ....สำคัญที่สุด   ถ้าใจพร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แล้วค่อยตัดสินใจแต่งงานกัน ไม่ใช่แต่ผู้ชายหรอกที่ต้องการระบายอารมณ์ทางเพศ ผู้หญิงก็มีความต้องการทางเพศเหมือนกัน   ผู้หญิงหลายคนก็ยอมจ่ายแพงๆ เพื่อได้รับการบริการทางเพศจากผู้ชายเช่นกัน ฉะนั้น....ผู้ชายก็พูดได้เหมือนกันว่า....จะบริการให้ฟรีๆเหรอ   การแต่งงาน...คงไม่ใช่แค่ต้องการได้ระบายอารมณ์ทางเพศหรอกครับ แบบนั้นน่ะ...หาที่ไหนก็หาได้  ไม่ต้องจ่ายแพงๆนักด้วย   มีให้เกลื่อนไป  สาวๆสวยๆเยอะแยะ เขาแต่งงานกันเพราะรักครับ  ถ้าไม่รัก ก็ไม่ต้องแต่งงาน   แต่งแล้วหย่า   อย่าแต่งดีกว่าครับ แค่ปัญหาเรื่องสินสอด   ยังเป็นความขัดแย้ง   ขืนแต่งงานไป  คงอยู่ไม่เป็นสุขแน่   ไม่แต่งดีกว่าครับ รอเจอคนที่เขารักเรา  ยอมรับและเข้าใจเราได้ดีกว่านี้   ค่อยแต่งงานดีกว่า  "ช้าๆได้พร้าเล่มงาม"   ไม่งั้น..."พบไม้งาม  เมื่อขวานบ่ิน"  แล้วจะต้องมีเมียน้อยทีหลัง   หรือ หย่าทีหลัง จากคุณ : Chocolate_X - [ 15 พ.ค. 52 14:14:24 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แต่ผมก็ผ่านชีวิตมามาก มากพอที่จะบอกว่า ผู้หญิงเกิน 50% เดี๋ยวนี้ สู้รุ่นแม่ผมไม่ได้ซักคน ^ ^ รุ่นแม่ ไม่เหมือนรุ่นลูก .. แหงหละ เกิดในสภาพสังคมห่างกันปานฉะนี้ แล้วรุ่นยายหละเหมือนรุ่นแม่มั้ย ?? ..ก็คิดว่าไม่เหมือนนะ แล้วผู้หญิงปัจจุบันนี้ .. จะเหมือนผู้หญิงในอนาคตอีก 30 ปีข้างหน้ามั้ย ? ผู้หญิงยุคสุโขทัยหละ จะเหมือนผู้หญิงสมัยอยุธยามั้ย ? แล้วอะไรหรอคะ ที่สู้ไม่ได้ ? ไม่เข้าใจ ทัศนคติเรื่องสินสอดของคุณ เราเข้าใจไม่มีปัญหาอะไร แต่เรื่องนี้งง ๆ .. ยังไงกลับมาช่วยอธิบายด้วยก็จะขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : :: VamleS :: - [ 15 พ.ค. 52 14:20:47 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ดิชั้นไม่เห็นด้วยกับการใช้ประโยคที่อ่านแล้วสื่อความหมาย "เหมารวม" ส่วนทัศนคติคุณจะเปนอย่างไร ก็เรื่องของคุณ -- ยาว ขี้เกียจอ่าน บอกตรง และก็ยังยืนยันในพฤติกรรมผู้ชายที่มองว่าเสียเปรียบว่ามีสองประเภท ตามกระทู้เดิม นอกนั้นเห็นด้วยกับเซิ่ล จากคุณ : ซิ่ม (MiRaCLe DouBLeSHoT) - [ 15 พ.ค. 52 14:37:44 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เออ อีกนิด คือสังเกตอ่ะนะ ผช บางคนมันดีดดิ้นน่ะ เพราะคิดว่า "เสียเปรียบ" point ประเด็นสินสอดมีแค่นี้แหละ ถึงต่อความยาว สาวยืดๆ ไม่จบ ฮ่าๆ ตลกดี จากคุณ : ซิ่ม อะเกน (MiRaCLe DouBLeSHoT) - [ 15 พ.ค. 52 14:42:11 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เงินหายากหาเย็นขนาดนั้น ก็เอาไปเที่ยวผู้หญิงอย่างที่คุณว่าเถอะ เปลี่ยนคนได้ด้วย (คุณเขียนเองนะ) แถมเชื้อโรคด้วย อย่าแต่งงานดีที่สุดจ้ะ จากคุณ : ลิเซิ่ล - [ 15 พ.ค. 52 14:43:15 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เออ ถามนิดนะครับ ถ้ารักกันเเล้วไม่มีสินสอดพอที่จะไปขอ เเล้วครอบครัวฝ่ายหญิง ไม่ให้เเต่งก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันใช่ปะครับ ชอบคห.9 นะครับ  เเต่งเพราะรักไม่ได้เเต่งที่สินสอด แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 15:05:04 แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 15:05:03 แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 15:04:18 จากคุณ : oleowen - [ 15 พ.ค. 52 14:54:02 ]

ความคิดเห็นที่ 15 กลับไปอ่าน คห คุณคนโดนแบน ก็ไม่เห็นว่าเค้าจะเหมารวมตรงไหน เค้าว่าเฉพาะพ่อแม่ ที่เก็บเงินไว้เอง ไม่คืนให้คู่บ่าวสาว นี่นา ส่วนผมก็เห็นด้วยกับ คห 54 ในกระทู้เดิม ส่วน คห 11 กระทู้นี้ ก็มองผู้ชายแบบเหมารวมเหมือนกัน หึหึ เกลียดตัวกินไข่ จากคุณ : มอสทาร่ายักษ์ - [ 15 พ.ค. 52 14:56:34 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ประเด็นคือ ฝ่ายชายรู้สึก "เสียเปรียบ" เท่านั้นเอง จากคุณ : BIOTOMNEG - [ 15 พ.ค. 52 15:11:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เค้าเหมารวมค่ะ อ่านบทสรุปดูนะคะ ส่วนคนที่ถามว่า ถ้าไม่มีสินสอดพอ จะไม่ได้แต่งใช่มั้ย? ขอตอบว่า ไม่ใช่ค่ะ ครอบครัวฝ่ายหญิงก็ต้องดูด้วยว่า ผู้ชายเป็นคนดีรึเปล่า ทำมาหากินรึเปล่า  เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญอย่างเดียวนะคะ อย่าลืม บางทีนะคะ บางครอบครัวฝ่ายหญิงที่เรียกสินสอดแพงๆ เป็นไปได้ว่า พ่อแม่ผู้ชายมองดูแล้ว ไม่ดีพอค่ะ จากคุณ : ลิเซิ่ล - [ 15 พ.ค. 52 15:11:37 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แอ่ะ มอสทาร่ายักษ์  แค้นจากทู้นั้นเหรอจ้ะ โอ้ว ปัญญานี่เปนเรื่องปัจเจกชนจริงๆ สร้างกันให้ไม่ได้ แปลความให้ก็ได้จ้ะว่า นี่แหละ คือการเหมารวม ถ้าปฏิเสธ เรียก แถ ถ้าเห็นว่า ไม่เหมา เรียกว่า เข้าข้าง .. นะจ้ะ... ช่วยแปลให้แล้ว จากคุณ : ซิ่ม (MiRaCLe DouBLeSHoT) - [ 15 พ.ค. 52 15:22:13 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอหยิบยกมา... ผู้ชายประเภทแบบนี้มีสองพฤติกรรม ๑. มีเงินแหละ แต่งก ไม่อยากเสียเงินก้อนใหญ่ เคยแต่จ่ายน้อยๆ ซื้อกินเปนครั้งคราว ๒. ไม่มีปัญญาหา ตัวเองยังจะเลี้ยงไม่รอด แต่อยากได้เมีย ขยายความ ผู้ชายประเภทนี้คือ พวกที่ดูถูก มองว่า สินสอดเป็นเรื่องการเสียเปรียบ ไม่ควรจ่าย ไม่ควรให้ คิดว่าตนเสียเปรียบ เอาไปจ่ายอย่างอื่นดีกว่า ฯลฯ รู้สึกว่าเราจะมีตัวอย่างทั้งสองพฤติกรรมจากกระทู้ต้นเรื่องและกระทู้นี้แล้วค่ะ - ซื้อกินดีกว่า - พาหนีเลย คริๆๆๆๆ ใครกันน๊า ใครกันเอ่ย -- ประเด็นของดิชั้นคือ จก ผู้ชายกมลสันดานเห็นแก่ตัวนะคะ การแต่งงาน สินสอด เปนเรื่องความพอใจ การตกลงของสองครอบครัว เค้าจะตกลงกันอย่างไร ก็เปนเรื่องของเค้า เราจะไปตัดสิน ไปมอง ไปเหมาไม่ได้ สมมุติว่า ฝ่ายหญิงเรียก ๓ ล้าน ฝ่ายชายยินดี ก็เค้าพอใจของเค้าระดับนั้นนี่ จะไปสะแร๋น เดือดร้อนอะไรหรือคะ ???? จะไปว่าเค้างก ตัดสินเค้าได้อย่างไรล่ะคะ ???? เออ งง แท้ จากคุณ : อซ (MiRaCLe DouBLeSHoT) - [ 15 พ.ค. 52 15:33:17 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ผมไปถามแม่ผมมา ผม่ผมบอกว่า สินสอด มันก็เป็นแค่หลักประกันให้ทางครอบครัวฝ่ายหญิงพอจะอุ่นใจได้ว่า อย่างน้อยอ้ายหนุ่มนี่มันก็เลี้ยงลูกสาวเราได้นะ คือสังคมไทยสมัยก่อน ผู้ชายเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว ผู้หญิงดูแลงานบ้าน จริงๆก็คนใช้นั่นแหละ แค่เรียกให้ดูดีขึ้นมานิดว่าเป็นแม่บ้าน กล่าวคือ ฝ่ายชายทำงานนอกบ้าน เพื่อหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ส่วนฝ่ายหญิง(ซึ่งสมัยก่อนยังไม่มีบทบาททางสังคมเท่าสมัยนี้)ก็ดูแลเรื่องในบ้านไป เอาเงินฝ่ายชายมาซื้ออาหาร ทำกับข้าว ทำความะสอาด ฯลฯ แบ่งหน้าที่กันไป ทีนี้ปัจจุบัน บทบาทชายหญิงมันเท่าเทียมกันแล้ว แต่ประเพณีเรื่องสินสอดทองหมั้นมันยังสืบต่อกันมา จริงๆแล้วมันสำคัญแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น คือถ้าไม่มองในแง่ว่าทั้งสองฝ่ายจะมาเลี้ยงดูกัน หรือฝ่ายชายเลี้ยงดูฝ่ายหญิง มันก็คือจำนวนทรัพย์สินที่เอามายืนยันว่า อย่างน้อยผมก็มีไอ้เงินพวกนี้ไว้นะ จะได้เอามาใช้จ่ายอะไรในครอบครัว ไม่พาลูกสาวคุณแม่ไปอดตายหรอกครับ สมัยพ่อแม่ผมแต่งงานกัน ใช่ว่าจะไม่โดนกีดกัน เพราะทางบ้านผมเป็นคนจีน ฐานะปานกลางค่อนไปทางสูง ส่วนบ้านพ่อผมเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ แม่ผมขาวสวยหมวย (แต่ความอึ๋มนี่ไม่กล้ารับประกัน) พ่อผมตัวดำปี๋ สไตล์ชาวสวนแท้ๆ (เพราะพ่อผมเรียนมาทางการเกษตร) แม่ผมนี่เป็นครู ไปโครงการแลกเปลี่ยนต่างประเทศ เก่งภาษา รู้จักคนใหญ่คนโตเยอะแยะ (ซึ่งปัจจุบันนี้ผมก็ยังสงสัยว่าพ่อกับแม่มาประสบพบรักกันได้ยังไงหว่า?) ตอนแรกทางบ้านแม่ก็หวงพอสมควร แต่พ่อผมก็เพียรพยายาม คิดภาพหนุ่มข้าราชการเกษตรตัวดำๆ หาเงินจนเป็นสินสอดมาขอแต่งงานได้นะครับ รู้สึกจะหามาได้สองสามแสนมั้ง ซึ่งสุดท้ายแล้วทางบ้านแม่ผมก็เอาไปแค่หมื่นสองหมื่นพอ ที่เหลือก็ให้พ่อกับแม่เอาเป็นทุนตั้งตัวนั่นแหละ ที่หาๆมานั่นก็แค่อยากรู้ว่าพ่อจะทำเพื่อแม่ได้มั้ยเท่านั้น ที่บ้านไม่ได้อยากขายลูกสาวกินครับ จริงๆที่คุณคนโดนแบนพูดมาก็ถูก มันขึ้นอยู่กับว่าทางฝ่ายหญิงตั้งใจจะหากินกับลูกสาวแค่ไหน (ซึ่งถ้าเป็นเคสผมเจอแบบนี้ ผมก็ไม่เอาวะ) แต่ไม่เห็นด้วยที่จะไปบอกว่า ไปหลอก love อะไรให้มากๆ ทำดีทำไมต้องหวังผลด้วยวะ? ก็ทำไปเพราะรักลูกสาวเค้าไม่ใช่เหรอ รักลูกเค้าก็รักแม่เค้าด้วยดิวะ จะไปคิดให้ตัวเองกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวทำไม ไม่เข้าใจ? จากคุณ : CARAGIO - [ 15 พ.ค. 52 15:36:52 ]

ความคิดเห็นที่ 21 กำ เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ   คุณลิเซิ่ล ไม่น่าเชื่อว่า   การตอบกระทู้ ลั้ลลาของเรา   จะทำให้คุณโกรธมากขนาดนี้ ไม่รู้ไปจี้จุดอะไรคุณเข้า   ก็บอกไปแล้ว  ว่าไม่ได้เหมารวม คุณมา ยัดเยียด  ว่าเราเหมารวม คุณ นั่นแหละ   เป็นคน เหมารวม เรา มากกว่า เราตอบแค่ไม่กี่กระทู้   คุณมาเหมารวมเราว่า เป็นคนแบบนั้น แบบนี้   ใครกันแน่เหมารวม  เง้อ  เวรกำ เอ่อ   ต่อไปเราจะตอบโหดกว่านี้อีก   คุณอย่าเพิ่งคลั่งหล่ะ แต่จะแจ้งไว้ล่วงหน้า  ว่าไม่ได้เหมารวม  โอมั้ย คุณลิเซิ่ล  ช่วยมาเป็นแฟนคลับเราด้วยนะ   เราชอบเธอมากนะ  จริงๆ ไปก่อนนะ ด.ช.เกรียน จากคุณ : คนโดนแบน - [ 15 พ.ค. 52 15:38:25 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เอ่อ เราว่าที่กระทู้นั้นมันเป็นปัญหา มันไม่ใช่ประเด็นว่าสินสอดมีไว้เพื่ออะไร ? และจะให้จะแบ่งยังไง? จะเพื่อเป็นหลักประกัน เพื่อลองใจ เพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ จะให้แล้วคืนมาให้บ่าวสาว จะให้แล้วฝ่ายหญิงเก็บ จะให้แล้วแม่เก็บไว้1/3 แล้วไงอะ เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่แต่ละคู่ต้องตกลงและจัดการกันเอาเอง ผู้ชายบางคนเค้าเต็มใจให้เพราะต้องการรับรองว่าแต่งลูกสาวเค้ามาแล้วจะดูแลได้ ---คุณ จขกทเดือดร้อนอะไรกะเค้าเหรอ บางคู่แต่งแล้วคืน บางคู่แต่งแล้วไม่คืน แล้วคุณ จขกท เดือดร้อนอะไรกับเค้าเหรอ ที่มันเป็นปัญหาคือมุมมองของคุณ(และของคุณคนมีกรรม)มากกว่า การใช้คำพูดว่า " ความงกของแม่ฝ่ายหญิง พ่อแม่ฝ่ายหญิงเอาเงินไปถลุง ความโลภเอาเงินไปหมด ตาลุกวาว" คำพูดพวกนี้บ่งบอกว่าคุณดูถูกครอบครัวอื่นที่เค้ามีการจัดการเรื่องสินสอดต่างจากที่คุณคิดยังไง คุณไม่ชอบ จะไม่ทำ ก็เรื่องของคุณ แต่พอคนอื่นเค้าทำ เค้าตกลงกันได้เองในครอบครัวของเค้าแตกต่างจากคุณ แล้วคุณออกมาบอกว่าเค้าโลภ เค้าเห็นแก่ตัว ผมไม่เอาหรอก เราว่ามันเกินไปค่ะ จากคุณ : เนเน่กับกระต่ายน้อย - [ 15 พ.ค. 52 15:44:08 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อ่อ แล้วที่คุณบอกว่า ถ้ามีคนมาอ่านกระทู้นี้แล้ว จะไม่แต่งกับคุณเป็นเพราะเค้ามองเรื่องเงินเป็นใหญ่ เราว่าผิดแล้วค่ะ   ถ้ารักกันมาจนแต่งงานกัน ผู้ชายบอกว่า "ตัวเอง ตัวเองลองพูดกับแม่หน่อยมั้ย ว่าสินสอดน่ะเราจะขอมาเก็บไว้ให้ลูกดีมั้ย" คุณว่า ผู้หญิงที่รักคุณจนคิดจะแต่งงานด้วยเค้าจะไม่ช่วยเหรอ  แต่ถ้าคุณบอก "แม่คุณอะโลภ ตาลุกวาว จะเก็บค่าสินสอดไว้คนเดียว" ผู้หญิงที่ไหนก็เผ่นค่ะ ไม่ใช่ว่าเค้าไปเพราะไม่ได้เงินหรอก เค้าไปเพราะความคิดคุณที่ไม่ให้เกียรติพ่อแม่เค้าต่างหาก แล้วไอ้ที่บอกว่าถ้ารวยเป็นพันล้าน แล้วจะงั้นจะงี้ ผู้หญิงรุ่นนี้ดีไม่เท่ารุ่นแม่ผม ตลกง่ะ อ่านแล้วตลก  เปรี้ยวมากมั้ยองุ่นแถวบ้าน จากคุณ : เนเน่กับกระต่ายน้อย - [ 15 พ.ค. 52 15:58:12 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ไม่ได้โกรธหรอกจร้าา ตอบแบบชิลๆ สบายมาก แค่ยกหลักฐานมาให้ดูว่า เหมารวม ฟิ้ววววววว ต้องยัดเยียดเป็นแฟนคลับด้วยเหรอ อ๋อ ได้ๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 16:05:45 จากคุณ : ลิเซิ่ล - [ 15 พ.ค. 52 16:03:26 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คนโดนแบนมองผู้หญิงในแง่ร้ายจังเลย เห็นมาหลายกระทู้แล้ว สงสัยจะโดนผู้หญิงหลอกเอาไว้เยอะ   หรือไปหลอกผู้หญิงเอาไว้เยอะ กลัวโดนเอาคืนบ้าง... ผู้หญิงดีดีก็มีค่ะ คนโดนแบน แต่ถ้าคุณยังคิดแบบนี้ คงไม่มีผู้หญิงดีดีคนไหนเข้ามาหาคุณแน่ๆ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 16:10:00 จากคุณ : BIOTOMNEG - [ 15 พ.ค. 52 16:07:14 ]

ความคิดเห็นที่ 26 5555 เราเกิดมาไม่เหมือนกัน ทัศนคติก็ต่างกัน แค่เพศก็ต่างกันแล้ว จะญ หรือ ช ก็ดี ควรให้เกียรติกันและกัน ยิ่งผู้ญ แล้วคุณยิ่งควรให้ ไม่ใช่เพราะอ่อนแอ แน่นอนเพราะเค้าเพศเดียวกับผู้สร้างชีวิตคุณ จากคุณ : closer_b2A - [ 15 พ.ค. 52 16:20:41 A:115.64.33.29 X: TicketID:216019 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เออนะ... กระทู้ฮอตฮิต อิอิ จากคุณ : ขิงน้อย - [ 15 พ.ค. 52 16:36:28 A:58.64.83.48 X: TicketID:124616 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ทำไงดีอ้ะเนี่ย เราเป็นแฟนคลับป๋าเบิร์ดอยู่แล้วอ่า ว๊า โดนยัดเยียด ว๊าๆๆๆๆ จากคุณ : ลิเซิ่ล - [ 15 พ.ค. 52 16:45:43 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ก็เพราะคุณมองผู้หญิง เป็นเพียงวัตถุชนิดหนึ่งไง ความคิดแบบ ใครได้ ใครเสีย ถึงอยู่ในหัวคุณเต็มไปหมดแบบนี้ เอาเถอะ นั่นมันวิถีทางชีวิต ของคุณ ที่คุณคิดว่าดีแล้วว่าถูก ว่าใช่แล้ว ก็ตามอัธยาศัยของคุณเถิด แต่สำหรับเรา การมองโลกด้วยทัศนคติแบบนี้  เราว่า มันคือการเห็นแก่ตัว และใจแคบ (คุณเลยมองเห็นแต่ คนประเภทเดียวกันกับคุณไง) ก็ดีแล้ว ที่คุณไม่คิดจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหน เพราะคนที่เอาแต่กดขี่ขมเหงเพศหญิง มองเห็นเป็นเพียงวัตถุ ไม่สมควร จะได้รับความรักจากใครอยู่แล้ว ^ ^ จากคุณ : แพรเพลง - [ 15 พ.ค. 52 16:52:36 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ชักสงสัยแล้วว่าเจ้าของกระทู้โตมายังไง เจอะอะไรมา จึงกล่อมเกลาให้คิดแบบนี้ จากคุณ : la-la-bell - [ 15 พ.ค. 52 17:18:22 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย ศก.ไม่ดี คิดมากขนาดหลาย แล้วแต่คุยกัน ได้หลายกรณีเลย 1. ฝ่ายพ่อตาแม่ยาย เก็บสินสอดไว้ทั้งหมด (อาจมีปัญหาที่จำเป็นต้องใช้เงิน) 2. ฝ่ายพ่อตาแม่ยาย คืนมาให้พ่อแม่ฝ่ายชายส่วนหนึ่ง เก็บเองส่วนหนึ่ง 3. ฝ่ายพ่อตาแม่ยาย คืนมาให้ลูกสาวส่วนหนึ่ง เก็บเองส่วนหนึ่ง 4. ฝ่ายพ่อตาแม่ยาย คืนมาให้ลูกสาวทั้งก้อน 5. ฝ่ายพ่อตาแม่ยาย คืนมาให้พ่อแม่ฝ่ายชายทั้งก้อน 6. ฝ่ายพ่อตาแม่ยาย คืนมาให้ลูกสาวและลูกเขยทั้งก้อน เพื่อมาทำทุน ครอบครัวผม ลูกชาย 5 ลูกสาวคนสุดท้อง 1 ตกลงกันที่ข้อ 6 ตลอด คือให้ลูกสาวกับลูกเขยไว้ทำทุน พ่อตาแม่ยายไม่เก็บไว้ อาจจะเป็นเพราะ พ่อตาแม่ยายของครอบครัวพี่ชายผม ฐานะปานกลางทุกคนไม่ขัดสนครับ ว่าที่แม่ยายผม ยังบอกเกริ่นๆ กับแฟนผมไว้เลย ว่า เมื่อถึงเวลายกขันหมากมาขอ ว่าที่แม่ยายผมก็จะไม่เก็บเงินไว้ ให้คืน แต่ให้คืนกับใคร คงต้องคุยกันมั้ง แต่ตกลงกันแบบไหน ก็อย่าคิดมากเลย ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย หนุ่มสาวรักกัน อย่าเอาเรื่องสินสอดมาเป็นอุปสรรคนักเลย จากคุณ : ชอบทำ - [ 15 พ.ค. 52 17:23:27 A:203.170.242.208 X: TicketID:213805 ]

ความคิดเห็นที่ 32 http://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2006/01/L4006617/L4006617.html #4  -- ถึงว่า ผช อย่างคุณ โลหการ4 ถึงได้เจริญทุกวันนี้ #8 -- พี่รำเพย ^_^ ปล. อูย พี่ช่างไฟ น่ารักเจรงๆ จากคุณ : อาซิ่ม - [ 15 พ.ค. 52 17:29:35 ]

ความคิดเห็นที่ 33 Prof. คนนึง บอกเราว่า ....เค้าตัดสินคนและสังคมว่า เจริญ หรือไม่เจริญ จากการ treat ผู้หญิง และทัศนคติ ที่มีต่อผู้หญิง ...เราเห็นด้วยแฮะ จากคุณ : Halimeda Lover - [ 15 พ.ค. 52 17:33:14 ]

ความคิดเห็นที่ 34 อ่านเงียบๆ อยากแสดงความเห็นบ้าง อาจนอกประเด็นไปนิด ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการให้สินสอดน่ะครับ เห็นหลายๆ ท่านพูดเหมือนว่า การที่ผู้หญิงแต่งงาน เหมือนแต่งออกไปเป็นสมบัติฝ่ายสามี ต้องไปคอยปรนนิบัติทั้งสามีและพ่อผัวแม่ผัว แต่ผมว่านั่นมันเป็นเรื่องของสมัยก่อน สมัยนี้มันไม่ใช่กฎเกณฑ์ตายตัวอีกต่อไปว่าผู้หญิงต้องแต่งเข้าบ้านชาย แล้วพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะเหมือนสูญเสียลูกสาวให้อีกฝ่าย ในขณะเดียวกัน มองทางฝ่ายชาย พ่อแม่ฝ่ายชายก็เลี้ยงดูลูกเขามา มีค่าใช้จ่ายตลอดชีวิตเช่นกัน ในหลายๆ ครอบครัว ผู้ชายด้วยซ้ำกลายเป็นตัวโชคลาภเมื่อแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง เพราะเป็นฝ่ายหาเงินเข้าบ้าน เลี้ยงดูหญิงและพ่อแม่หญิง เรียกว่าการแต่งงานทำให้ครอบครัวฝ่ายหญิงสบายขึ้น แบบนี้ฝ่ายหญิงสมควรเป็นฝ่ายให้สินสอดตอบแทนพ่อแม่ฝ่ายชายแทนหรือเปล่าครับ ที่ว่ามาไม่ได้จะโจมตีหญิง ปกป้องชาย เพราะบอกไปแล้วมันขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัว ไม่มีอะไรตายตัว ประเด็นคือ แค่สงสัยว่า ทำไมคิดกันว่าหญิงแต่งออกไปแล้วเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ต้องได้รับนั่นนี่อย่างเดียว (คือคิดแบบตัดประเพณีออกไปนะ มองกันแค่เหตุผลและความเป็นจริงในปัจจุบัน) อีกประเด็นที่ผมสงสัย และคิดต่อต้านตรงเรื่องสินสอดมานานแล้วก็คือ คู่สมรสใหม่ๆ เนี่ย ทั่วไปแล้วสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเพิ่งลงหลักปักฐานสร้างตัว ไม่มีเงินมากมายนัก ผู้ชายก็น่าจะเก็บเงินไว้สร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวมากกว่า แล้วงี้ถ้ามาหมดไปกับค่าสินสอดมากๆ (ในกรณีที่พ่อแม่หญิงไม่คืน) จะเอาที่ไหนมาเลี้ยงล่ะครับ มุมมองของผมมองว่า น่าจะเบียดเบียนทรัพย์ของคู่บ่าวสาวให้น้อยที่สุด เพื่อให้เขาไม่ลำบากในการเริ่มต้นชีวิตคู่ เห็นมั้ยบางคนจะแต่งแฟน ต้องเก็บเงินตั้งหลายปี เพื่อค่าสินสอดล้วนๆ (ให้ไม่ได้คืนด้วยนะ) งี้แต่งไปแล้ว ต้องมาเก็บเงินอีกหลายๆ ปี เพื่อบ้านหลังแรก รถคันแรก ค่าเทอมลูก ไม่ไหวแล้วววว แต่ถ้าเป็นกรณีที่เรียกพอเป็นพิธี หรือเรียกมาเพื่อดูฐานะ ไม่ได้จะเอาจริง ผมก็คงไม่ค้านอะไร แต่ถ้าเรียกเอาค่าเลี้ยงดู ค่าน้ำนม ก็อย่างที่ค้านไปข้างบนว่าไม่เห็นด้วยและไม่ค่อยเข้าใจวิธีการคิดเอาเสียเลย ส่วนประเด็นที่ว่า พ่อแม่ฝ่ายหญิงเรียกเพื่อลองใจ หรือพิสูจน์ดูว่ามีปัญญาเลี้ยงลูกสาวท่านมั้ย มันไม่ใช่เรื่องตายตัวเสมอไปนี่ครับ ผมว่ามีไม่น้อยที่เขาจะเก็บไว้ไม่คืนด้วยซ้ำ (แล้วก็ไม่ได้ให้ลูกสาวด้วย) ผมไม่ได้เหมารวมฝ่ายหญิงทุกครอบครัวนะครับ แค่จะบอกว่าให้ว่าเป็นกรณีไป เพราะ ใช่ ไม่ใช่พ่อตาแม่ยายทุกคนจะหวังดูดเงินลูกเขย เราไปว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ถูกครับ แต่ก็ถูกด้วย ถ้าจะบอกว่า ไม่ใช่พ่อตาแม่ยายทุกคนจะใจกว้าง ไม่คิดเอาเงินลูกเขย เพราะเคสนี้มันก็มีเยอะ ยังไงก็ตาม สรุปแล้วมันก็แล้วแต่ แต่ละบ้านจะตกลงกัน ไม่มีแบบไหนผิดถูก แต่ถึงยังไงวิธีที่ถูกใจคู่บ่าวสาว อย่ามาเรียกร้องอะไรให้อึดอัดใจกัน ก็น่าจะดีที่สุด เพื่อเป็นมงคลในการเริ่มต้นชีวิตสมรส จากคุณ : ayres - [ 15 พ.ค. 52 17:48:46 ]

ความคิดเห็นที่ 35 555 ขอบคุณ คุณอาซิ่ม ก๊า 5555555555555 จากคุณ : minnymin - [ 15 พ.ค. 52 17:51:04 ]

ความคิดเห็นที่ 36 #2 ...คู่ใครก็คู่เขา วิธีแก้ปัญหาแต่ละคู่ก็แตกต่างกันไม่เหมือนเรา...จะไปดูถูกดูหมิ่นความคิดเขาที่ไม่เหมือนเราเพื่ออะไร... ^ ^ เห็นด้วยที่ซู้ดดดด.... เขียบว่ามันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในชีวิตที่เจอมาด้วยหละ อย่างพ่อกับแม่เขียบ ตายายเรียกสินสอดน้อยมากกกกเลยนะ แค่เอามาวางพอให้เป็นพิธี แล้วพอจบงานก็ให้ตายายไป (คือมันน้อยน่ะ ให้ไปหรือไม่ให้ก็ไม่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงนักหรอก) หรืออาผู้หญิงกับอาเขย อันนี้อาผู้หญิงต้องช่วยออกให้ด้วยซ้ำไป แต่ปู่กับย่าพอพิธีเสร็จ ก็คืนสินสอดให้ทั้งคู่ไป เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ สำหรับตัวเองแล้ว คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย จะเถียงกันทำไมเนี่ยยยยยยยยย....... จากคุณ : เด็กหญิงเขียบ ณ บ้านนา - [ 15 พ.ค. 52 17:52:30 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อีกนิดได้ปะ คือเอาจริงๆ เลยนะ เขียบไม่คิดว่าสินสอดคือสิ่งจำเป็นอะ แต่ว่าบางครอบครัว ในเมื่อฝ่ายหญิงเรียกมา อีกฝ่ายตกลงที่จะให้ มันก็เป็นเรื่องของครอบครัวเค้าน่ะ เค้าพอใจที่จะให้กัน แล้วจะไปเดือดร้อนแทนเค้าทำม้ายยย จากคุณ : เด็กหญิงเขียบ ณ บ้านนา - [ 15 พ.ค. 52 17:55:05 ]

ความคิดเห็นที่ 38 gop ของคุณโลหการ 4มาให้อ่านค่ะ ของเค้าดีจริงๆ ^^ ความคิดเห็นที่ 4   ผมว่าไม่หรอก สินสอด เป็นการแสดงความสามารถอย่างหนึ่ง มีปัญญาหามาได้หรือเปล่า มันลึกซึ้งครับ จะเล่าประวัติผมให้ฟัง ผมหนะเคยบ้าชิ-หายเลย เคยให้พ่อไปขอแฟนผมตอนผมอยู่ปี4 แล้วโดนพ่อตายื่นข้อเสนอครับ หาแสนนึงมากองวันนี้ได้ พ่อยกให้ เอาเงินส่วนตัวนะ ผมมีครับ เพราะผมกับแฟนทำงานด้วยกัน งานสอนพิเศษเนี่ยแหละครับแถวสะพานใหม่ ทำวันอาทิตย์ เช้า+บ่าย หกชั่วโมง ชั่วโมงละ100 2คนก็พันสองต่ออาทิตย์ ต่อมาได้เพิ่มเป็น150 เงินก็หาใส่บัญชีไว้ครับ ตอนนั้นมีราวสองแสนเศษ พ่อตาก็เลยต้องรักษาคำพูดครับ ยกให้ครับ แต่ต้องรอให้จบก่อน แล้วพอแต่ง พ่อตาบอกว่า ไปหามากองล้านนึง แต่เอาแค่แสนตามที่ตกลงไว้ ก็ไปหาหยิบหายืมมากองจนได้หละครับ จนหลายปีผ่านมา ได้คุยกับพ่อตาครับ ท่านบอกว่า ที่ท่านบอกขอสินสอดแสนนึงแล้วจะยกให้ ก็เพราะว่าหนุ่มน้อยระดับผม จบมาเงินเดือนจะซักเท่าไหร่ กะว่าคงไม่มีปัญญาจ่าย ต้องรอจบซักปีนึงก่อนถึงมีมาขอ ถ้าเก็บได้แสดงว่าหาเงินเก่งและเก็บเก่ง ลูกสาวอยู่ด้วยไม่ลำบาก แต่ผิดคาดที่ผมหาเงินได้เร็วกว่านั้นคือมีเตรียมไว้รอแล้ว และที่วันแต่งขอให้เอามากองล้านนึง เพราะจะดูเครดิตผมครับว่า มีคนเชื่อถือขนาดให้ยืมเงินมากๆหรือเปล่า อื่ม อุบายพ่อตาผมล้ำลึกเหมือนกันนะเนี่ย จากคุณ : โลหการ4   - [ 7 ม.ค. 49 20:23:02 ] จากคุณ : BIOTOMNEG - [ 15 พ.ค. 52 17:59:02 ]

ความคิดเห็นที่ 39 กระทู้พี่ซิ่ม เล่นเอาระลึกถึงความหลังสมัยเฮียช่างไฟยังอยู่เลยอ่า แกฮาดี ชอบๆๆ จากคุณ : -->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- - [ 15 พ.ค. 52 18:58:25 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ไอ้คำว่าูผู้หญิงสมัยนี้ 50% ไม่ดีเท่ารุ่นแม่ของคุณเจ้าของกระทู้เนี่ย เอาอะไรมาวัดไม่ทราบ ด้านไหน เทียบมาทุกด้านยัง? การศึกษา? นิสัย? (สมัยนี้คนที่ทำมาหาินเองได้ไม่สนใจเงินผู้ชายก็มี สมัยรุ่นแม่คุณพวกหน้าเงินก็มีเหมือนกันแหละ) หรือว่าเรื่องบนเตียง? ไม่สนใจว่าคุณมีปัญหากับเรื่องสินสอดหรอก แต่เขียนดูถูกผู้หญิงสมัยนี้นี่สิ ไม่จำเป็นหรอกนะที่คนสวยจะต้องนิสัยไมดีอย่างคุณว่า (อาจจะน้อยกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็ได้ ไปวัดมาแล้วเหรอ?) คุณเขียนอย่างนี้ชั้นไม่ค่อยชอบเลย เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ที่สวย แต่ไม่ได้เห็นแก่เงินค่ะ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 19:36:05 แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 19:15:37 จากคุณ : เทพบุตรหมัดดาวหาง - [ 15 พ.ค. 52 19:00:03 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ท่าทางเราจะเจอแต่งโลกที่สวยงาม เลยมาเล่าให้ฟัง เราเจอผู้ชายคนหนึ่ง เป็นแค่เด็กเก็บตั๋ว ฐานะทางบ้านก็พอมีกินมีใช้ แต่ไม่ได้เหลือเฟือ พบรักผู้หญิงคนหนึ่งบนรถเมลล์ เหมือนฟ้าบันดาล ตกหลุมรักทันที ผู้ชายคนนั้นจริงจังตามจีบและคิดว่านี่แหละ เมีย ของเค้าในอนาคต (แน่นอนไม่ได้สวยเลย แถมเป็นทอมอีกต่างหาก) จีบมาตั้งแต่ผุ้หญิงยังเรียนปี1 เรียนมหาวิทยาลัย แน่ล่ะ ผู้ชายคนนี้เป็นตัวเลือกที่แย่มาก สำหรับผู้หญิงคนนั้น เงินก็ไม่ค่อยมี กินอะไรแต่ละทีต้องสั่งถ้วยเดียว แบ่งกันกิน รถก็ไม่มีขับ ไม่โก้ ไม่เก๋ อย่างผู้ชายคนอื่นที่เข้ามาประปราย ผู้หญิงอยู่ปี 3 ตอนนั้นผู้ชายยังเข้าบ้านผู้หญิงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่กล้าลองถามหยั่งเชิง แม่ฝ่ายหญิง ตกสินสอด เป็นเงินหนึ่งล้าน ทองอีกร้อยบาท รถบัสอีกคัน พระเจ้า เราฟัง ขูดเลือดขูดเนื้อไปถึงไหน ฟังแล้วสงสารผู้ชาย ผู้ชายคนนั้นแทนที่จะมานั่งบ่น แม่ยายงก งี่เง่า กลับบอกว่าก็เป็นเรื่องของแม่ยาย ก็มุ่งหน้าเก็บตังค์ จะดีกว่า (ตอนนั้นยังจีบไม่ติดด้วยซ้ำ) เก็บทองตั้งแต่ ทองบาทละเจ็ดพันบาท เก็บมาเรื่อยๆ จนครบร้อยบาทที่ทองบาทละหมื่นสอง ตอนจะยื่นสินสอดก็เปลี่ยนเป็นทองสวิส ลายสวยๆ ทั้งที่แม่ยายไม่ได้บอก ผู้ชายคนนั้นแค่คิดว่า ผู้หญิงน่าจะชอบของสวยๆ งามๆ มากกว่าจะสักให้พ้นๆ ไป เงินก็เก็บเล็กผสมน้อย เป็นแค่เด็กเก็บตั๋วคงหาเงินไม่ได้มาก ก็มุ่งมั่นเรียน จบจนเอาดี ในทางที่ชอบ ออกไปทำอู่รถ แต่งรถ เก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ เพื่อจะแต่ง เพื่ออนาคตร่วมกันของสองคน (ผู้หญิงยังคงมีผู้ชายเข้ามาประปรายเลยนะตอนนั้น) แม่ยายเห็นว่า ไอ้หมอนี่ มุ่งมั่น รักจริง ก็ยอมให้แต่ง พร้อมราคาสินสอด เงินหนึ่งล้าน ทองห้าสิบบาท (เข้าใจว่าแม่ยายคิดว่าทองแพงขึ้น) ผู้ชายเห็นว่า ผู้หญิงจะมาแต่ง กับผู้ชายที่มีแต่ตังค์ มากองไว้ก็คงไม่งาม ยอมไปสมัครงานเป็นลูกจ้าง ไต่เต้าจนเป็นหัวหน้าช่างแผนกซ่อมบำรุงของเบนซ์ โก้ขึ้นหน่อย ในอีก 2 ปี ผู้ชายคิดเอง แม่ยายไม่ได้คาดคั้นอะไร จนแต่งงาน ผู้หญิงรู้ว่า งานที่ผู้ชายทำไม่ใช่เพราะความชอบ แต่เพื่อหน้าตาเพื่อทัดเทียมฝ่ายหญิงเท่านั้น ผู้หญิงขอให้ลาออก แล้วกลับไปแต่งรถเหมือนเดิมเถอะ จะดีกว่า มันพิสูจน์อะไรได้หลายอย่างในตัวผู้ชายนี้นะ หากว่าสินสอดมันพิสูจน์ความรักที่มีต่อตัวผู้หญิง มันพอจะเข้าเค้าอยู่ในตัวผู้ชายคนนี้ (พวกเค้าแต่งกันได้สี่ปีแล้ว รักกันดี) สินสอดมันพิสูจน์ ความรัก ความจริงจังที่ผู้ชายมีต่อผู้หญิงได้ แต่แน่นอน มันแค่ส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น และสินสอดก็พิศูจน์ความงก ตาลุกวาวของแม่คนที่เบ่งผู้หญิง คนที่คุณอยากได้มาเป็นเมียได้ แต่ก็แค่ส่วนหนึ่ง แม่ยายคืนทอง ให้ลูกสาว ส่วนเงินเก็บไว้ เอาสิว่าแม่ยาย งก เห็นแก่เงินสิ ตอนนี้ ลองลูกเขย อยากทำอะไร อยากลงทุนอะไร แม่ยายก็เป็นโต้โผ เผลอๆเป็นหุ้มส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับปันกำไรด้วยซ้ำ แม่ยายลงทุนไปเกินกว่าสินสอดที่ได้มาแล้วมั้ง ผู้ชายคนนั้นบอกว่า ให้แม่ยาย กับครอบบครัวฝ่ายหญิง เพื่อแสดงความขอบคุณ ที่แม่ยายและครอบครัว เบ่งเธอและเลี้ยงเธอมาอย่างดี เสมือนเลี้ยงเธอมาให้เค้า จนเค้าได้พบกับความรัก สงสัยรอบข้างเราเจอแต่แบบนี้ จนเผลอว่า มันคงเป็นแบบนี้แหละ แต่ก็ดีเจอแบบอื่นซะบ้าง จะได้ระวังตัวมากขึ้น เดี๋ยวมาเล่านรกให้ฟัง ***แก้คำสะกดผิดเท่านั้นครับ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 19:43:51 แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 19:42:56 จากคุณ : ยิ้มเดียว - [ 15 พ.ค. 52 19:38:14 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อ่านข้อความของ จขกท.ไปเรื่อย ๆ คิ้วก็ขมวดปมไปเรื่อย ๆ สามีเดินผ่านมาเห็น เลยถามว่าอ่านอะไร ทำไมดูเคร่งเครียด ก็เลยรู้ตัว ว่าคิ้วขมวดอยู่... อืม.. ไม่รู้จะสรุปยังไง บางเรื่องบางอย่าง ต้องประสบกับตัวน่ะค่ะ แล้วเราจะรู้ว่า ทฤษฎีที่เราเชื่อถืออยู่นั้น "ผิด" เอาเถอะ ซักวันหนึ่ง ที่คุณเจอผู้หญิงที่คุณรัก หวังจะแก่เฒ่าไปกับเธอ หวังจะมีทายาทที่แบ่งความเป็นคุณกับเธอ รวมเป็นคน ๆ เดียวกันได้ วันนั้น... คุณก็จะบอกกับตัวเอง โดยอัตโนมัติว่า ...เงินแค่นี้ หาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เธอคนนี้ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว.... อาจน้ำเน่า แต่ชีวิตคนมันก็น้ำเน่าแบบนี้แหละค่ะ ^ ^ จากคุณ : Kibson_TT - [ 15 พ.ค. 52 20:02:25 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอยกคำตอบเก่าจากกระทู้เก่ามาแล้วกันค่ะ ชักเริ่มงงว่าตกลงเหตุผลของการเรียกสินสอดคืออะไรกันแน่ เพื่อให้บ่าวสาวเอาไว้ทำทุน - รับได้ แต่ทำไมผู้ชายต้องเป็นฝ่ายหาคนเดียว ผู้หญิงก็ควรจะช่วยหาเงินทำทุนด้วย งั้นออกคนละครึ่งแล้วกัน เงินสินสอด เป็น สินน้ำใจ คนเป็นพ่อแม่ เลี้อยงลูกมาด้วยความรัก ทุ่มเทมากมายนะคะ วันนึง ลูกสาวต้องแต่งงานออกไปอยู่อีกบ้านนึง เท่ากับว่า ลูกสาวที่พ่อแม่เลี้ยงมา ต้องไปดูแลคนอื่น (ก้อคือ ลูกเขย) - แล้วพ่อแม่ฝ่ายชายเค้าไม่ได้เลี้ยงลูกมาด้วยความรัก ทุ่มเทมากมายเหรอคะ พ่อแม่ฝ่ายชายเค้าก็ต้องเสียลูกเค้าให้มาดูแลคนอื่นเหมือนกัน (ก้อคือ ลูกสะใภ้) ดีไม่ดีต้องไปดูแล พ่อแม่ลูกเขยอีก - สำหรับคนอื่นเราไม่ทราบ แต่สำหรับแต่งแล้วเราต้องการเป็นนางสิงห์ตัวเดียวในถ้ำค่ะ จะเล็กจะใหญ่ไม่ว่า ถ้ำเท่ารูหนูก็อยู่ได้ ตราบใดที่เราเป็นเจ้าของถ้ำ  ไม่ชอบอาศัยใครอยู่ค่ะ  กลับไปดูแลพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเป็นครั้งคราวได้ แต่ให้คอยปรนนิบัติพัดวีตลอด ไม่เอา การให้สินสอด เพื่อให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงไว้เลี้ยงตัวยามแก่ - อ้าว แล้วพ่อแม่เราเองทำไมเราไม่เลี้ยงเองล่ะ  ถ้างั้นผู้หญิงก็ต้องให้สินสอดผู้ชายเพื่อให้พ่อแม่ฝ่ายชายไว้เลี้ยงตัวยามแก่ด้วย ทำไมไม่มองว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่บ้าง - ตอบไปแล้วว่าพ่อแม่ใครคนนั้นก็ตอบแทนเอาเอง  จะให้เค้ามาตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เรา  เราก็ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เค้าด้วย มันเป็นการวัด "ความพยายาม" - ตรงนี้ไม่เคลียร์ค่ะ ความพยายามอะไร เป็นเรื่องของการ "จ่ายก่อนจิ้ม" - เราชาร์จค่าตอบแทนการจิ้มเป็นความรัก ความซื่อสัตย์ค่ะ ไม่ได้เป็นเงิน มันคือธรรมเนียม ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เงิน - ถ้าแค่ธรรมเนียม ซักสามพันพอมั้ย ผู้ชายที่บ่นเรื่องค่าสินสอดไม่แมนเลย - ผู้หญิงที่อยากได้เงินผู้ชายก็ไม่วูแมนค่ะ จะเห็นได้เลยว่าผู้ชายที่เห็นแก่ตัว จะบ่นมากเรื่องค่าสินสอด - ฉันใดก็ฉันนั้น เป็นเรื่องของเกียรติและศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิง - เกียรติและศักดิ์ศรีของเราวัดกันด้วยเงินหรือคะ สมัยนี้ไม่มีพ่อแม่คนไหนจะยอมปล่อยลูกไปกัดก้อนเกลือกินแล้ว - คล้ายที่ตอบไปแล้ว งั้นช่วยกันออก  เราก็ไม่อยากกินเกลือเหมือนกัน ยังไงก็ต้องพยายามช่วยกันสองคนผัวเมียให้มีความสุขสบายในชีวิต  แต่ถ้าวันหนึ่งมันมีเหตุให้ต้องลำบากในชีวิต ก็กัดก้อนเกลือด้วยกันได้ค่ะ เธอกัดคำฉันกัดคำ อิอิ แล้วพยาพยามหาทางแก้ไขปัญหาด้วยกัน ที่พูดมาทั้งหมดนี่อย่าหาว่าเราดูถูกผู้หญิงนะคะ  แต่เพราะไม่อยากดูถูกตัวเอง แล้วก็ไม่ต้องการให้ใครมาดูถูกตัวเราด้วย  ถ้าผู้หญิงอยากจะเรียกร้องความเสมอภาคเท่าผู้ชาย ก็ต้องพยายามทำตัวให้เสมอภาคในทุกๆเรื่องค่ะ ต้องทั้งยอมได้และยอมเสีย จากคุณ : small boobs big heart  - [ 15 พ.ค. 52 08:41:10 ]   : มอสทาร่ายักษ์, MeGaHeat, Chocolate_X, ayres จากคุณ : small boobs big heart - [ 15 พ.ค. 52 21:16:24 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ก็ไหนๆประเทศไทยมันก็มีธรรมเนียมสินสอดนี้มาแล้ว แล้วคนก็เห็นดีเห็นงามทำตามๆกันซะอีก ยังไงคนก็หาเหตุผลมาทำต่อจนได้ล่ะ เราคนนึงล่้ะ ไม่ชอบเรื่องนี้เอาซะเลย เรามีมือมีเท้า หาเงินเองก็ได้ ดูแลตัวเองก็ได้ ให้เงินแม่เองก็ได้ ไม่ต้องให้ผู้ชายหาเงินมาให้แล้วบอกว่าเนี่ย เราได้ตอบแทนพ่อแม่แหละ เว้ย เราอับอายอ่ะ อีกอย่างไอ้อ้างธรรมเนียมเนี่ย ใครเป็นคนคิดธรรมเนียมนี้คะ รู้จักคนต้นคิดหรือเปล่า แล้วไปเชื่อไปทำตามเค้าใช้ตรรกะเหตุผลอะไรอ่ะ ถ้าพูดถึงธรรมเนียมอินเดียผู้หญิงต้องให้สินสอดผู้ชาย ถามจริงๆผู้หญิงไทยคิดยังไง ไม่ชอบไม่ยอมรับ คิดว่าบ้าหรือเปล่าสิใช่มั้ย คุณใช้ตรรกะอะไร ในเมื่อทำอย่างเดียวกันแค่กลับเพศ ขี้เกียจคิดแล้วอ่ะ แต่เราคนนึงไม่แห่ทำตามใคร แค่เพราะคำว่าธรรมเนียม (ไม่ทำตามธรรมเนียมแล้วจะตายมั้ยเนี่ย แล้วทำไมต้องทำ) สรุปว่าค่าสินสอดเรา ศูนย์บาท แถมความรัก ฟรี จากคุณ : KissAddicted - [ 15 พ.ค. 52 21:27:38 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ถ้าอ่านยังไงก็ไม่เหมา มาว่าตูเข้าข้างอีก โอ๊ย จะบ้า คห คุณอาซิ่ม ถ้าผมไม่เห็นด้วยกับสินสอด ถือว่าเข้าข่ายสองประเภทของคุณรึเปล่า ถ้าตอบเยส ผมถือว่าคุณก็เหมารวมคนอื่นเหมือนกัน ซึ่งมันมีสาเหตุอีกเยอะนอกจากสองข้อนั้น ในกระทู้เก่าก็มีคนตอบไปเยอะแล้ว แต่ดูคุณจะยึดกับสองข้อนี้ของตัวเองซะมากกว่า ถ้าตอบโน ก็จบ ส่วนพาหนีอ่านแล้ว กร๊ากก ตาหลก ที่ผมบอกว่าพาหนีในกระทู้นั้นแค่พูดเ่ล่น แยกแยะไม่ออกเชียวหรือครับ โอ้ว ปัญญานี่เปนเรื่องปัจเจกชนจริงๆ สร้างกันให้ไม่ได้ ปล ไม่เถียงแล้วนะครับ ที่ผมเถียงมาตลอดนี่เพราะไอ้สองข้อข้างบนนี่แหละ ซึ่งเห็นว่าคงเปลี่ยนความคิดคุณไม่ได้จริงๆ ยอมแพ้ๆ 555 จากคุณ : มอสทาร่ายักษ์ - [ 15 พ.ค. 52 21:34:12 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอแนะนำเพิ่มอีกอย่างสำหรับคุณผู้ชาย  ถ้าโดนเรียกสินสอดแล้วกลัวพ่อตาแม่ยายไม่คืนให้  ให้ไปกู้หนี้ยืมสินเค้ามาค่ะ  หลังแต่งแล้วถ้าพ่อตาแม่ยายคืนสินสอดให้ คุณก็เอาเงินนั้นไปจ่ายหนี้คืน  ถ้าเค้าไม่คืนก็แปลว่าลูกสาวเค้านั่นแหละจะต้องมาใช้หนี้ร่วมกับคุณด้วย  เพราะผัวเมียก็คือคนๆเดียวกัน  ถ้าพ่อแม่เค้ารักลูกสาวเค้ามาก จะปล่อยให้ลูกสาวเป็นหนี้ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตแต่งงานก็ตามใจ ยืนยันจุดยืนเดิมของเราคือไม่ต้องการเอาเปรียบใคร และไม่เข้าใจผู้หญิงที่ก่อนแต่งงานก็เห็นดูแลตัวเองได้  พอจะมีสามีก็เกิดจะดูแลตัวเองไม่ได้ขึ้นมาซะยังงั้น  อย่างนี้ถ้าวันหนึ่งสามีเกิดประสบเหตุอะไรขึ้นมาไม่สามารถทำงานได้  คุณภรรยาจะทิ้งมั้ยเนี่ย เพราะไม่สามารถเลี้ยงดูคุณได้แล้วนี่ จากคุณ : small boobs big heart - [ 15 พ.ค. 52 21:43:05 ]

ความคิดเห็นที่ 47 บางทีก่อนแต่ ผช. ก้อรีดผ้าเอง ล้างจานเอง แต่ไหงแต่งแล้ว เมียทำทั้งน้าน......... ปล. เถียงกันไปก้อไม่จบสิ้น เอาเป็นว่า ถ้าใครไม่ชอบ ไม่อยากให้ไม่อยากรับสินสอด ก้อขอให้ได้ดังหวังตั้งใจ ใครเห็นว่า ดีอยู่แล้ว เหมาะก้อ รับกันไป ปล. อีกสักทีเราก้อยังดีใจที่ได้เกิดมาเจอแต่ในสิ่งดีๆ จากคุณ : minnymin - [ 15 พ.ค. 52 21:56:22 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เรื่องสินสอด ถ้าตกลงกันได้ก็ไม่ใช่เรื่องวุ่นวายหรอกค่ะ   จริง ๆ ในชีวิตเรา ๆ แทบไม่เคยเจอคนรู้จักที่มีปัญหาเรื่องสินสอด ไม่ว่าจะต่ำหรือสูง พ่อเราก็ให้สินสอดตอนแต่งแม่เราค่ะ พ่อแฟนก็เช่นกัน เมื่อถึงเราเองก็ทำเช่นนั้น เรื่องจำนวนเงินไม่ใช่ประเด็นใหญ่ แต่วัฒนธรรมของเรา ๆ ก็ทำตาม มันไม่ได้เลวร้ายหรือผิดไป ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ยอมรับว่ามีคนที่เรียกสินสอดแล้วไม่คืน (ไม่ใช่บ้านเรา) ก็มีคนก่นด่ามากมายแม้จะเป็นธรรมเนียม  ส่วนประเด็นที่แม่ยายจ่ายเงินลงทุน ช่วยเหลือเกื้อกูลหลังแต่งงานไปแล้ว (ไม่ใช่บ้านเราเช่นกัน) ไม่ค่อยได้ยินใครสรรเสริญนะคะ ทำเงียบ ๆ กันไป :) จากคุณ : NooLek_Ka - [ 15 พ.ค. 52 22:19:32 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เรื่องความเสมอภาคของชายหญิง เป็นไปได้ยากค่ะ ถ้าอยากให้เสมอภาคกันจริงๆ ให้ผู้ชายทำหน้าที่อุ้มท้องคลอดลูกไหมคะ ? การคลอดลูกเป็นสุดยอดของความเจ็บปวด อยู่ในช่วงความเป็นความตาย เท่าๆกัน   แต่ผู้หญิงก็ยินยอมทำหน้าที่นี้โดยไม่ได้เรียกร้อง หาความเสมอภาคว่าให้ผู้ชายทำเลยนี่คะ แต่ถึงผู้หญิงเรียกร้องให้ผุ้ชาย ทำหน้าที่นี้แทนก็คงเป็นไปได้ยากใช่ไหมล่ะ เพราะธรรมชาติเลือกแล้วไงคะ ว่าจะให้เพศไหนเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตน้อยๆ .... อย่ากระนั้นเลยค่ะ ใครใคร่จ่ายก็จ่ายไปเถอะค่ะ ใครไม่พอใจที่จะจ่าย หรือไม่พอใจที่จะรับค่าสินสอด มันก็เรื่องของคุณน่ะค่ะ แต่กรุณาอย่ามาเหมารวมว่า ผู้หญิงทุกคนที่เรียกค่าสินสอดเห็นแก่เงินเลยค่ะ เพราะสุดท้ายทางฝ่ายหญิงเขาก็คืนให้ค่ะ   แต่ทำเพราะเป็นประเพณีมากกว่า ส่วนที่ไม่คืนก็คงมีมั้งคะ  แต่คงเป็นส่วนน้อยมากกว่า จากคุณ : BIOTOMNEG - [ 15 พ.ค. 52 22:35:48 ]

ความคิดเห็นที่ 50 จะมาเปลี่ยนความคิดเห็นดิชั้นทำไมล่ะคะ ในเมื่อดิชั้นยังไม่คิดจะเปลี่ยนคห.คุณ เสร่อ จากคุณ : อาซิ่ม - [ 15 พ.ค. 52 23:09:58 ]

ความคิดเห็นที่ 51 อ่านแล้วคิดว่า ถ้าในอนาคตมีลูกสาวแล้วเกิดมีหนุ่มมาขอ จะไม่เรียกค่าสินสอดเลยซักบาท แต่ถ้าฝ่ายชายอยากให้จริงๆก็แล้วแต่ว่าจะให้เท่าไหร่  จะถามกลับไปว่าทำไมถึงให้เท่านี้ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่อยากรู้วิธีการคิดของฝ่ายชายเฉยๆว่าจะตอบคำถามว่าไง เราคิดว่าเราเป็นคนดูคนออกนะ ใครประจบสอพลอ ใครอยากสร้างความประทับใจแบบจริงใจก็ดูออก  เสร็จงานก็ยกคืนให้ทั้งคู่ไป จากคุณ : pervpanda - [ 15 พ.ค. 52 23:21:30 ]

ความคิดเห็นที่ 52 แต่แอบขำล่ะ ท่าจะมีองุ่นเปรี้ยวแฝงในทู้แล้วล่ะสิ ฮ่าๆๆๆๆ เออ ตลกดี ... ปล. เราชอบ คห. คุณ BIOTOMNEG นะคะ ^_^ รักเพศตัวเอง ปกป้องเพศตัวเอง แต่มองอะไรกลางๆ ไม่สุดโต่ง (กิฟกระจุยเลยล่ะเรา 55+) ไม่ใช่แบบ เหยียบย่ำเพศตัวเอง และองุ่นเปรี้ยว เอิ๊กๆๆ จากคุณ : อาซิ่ม - [ 15 พ.ค. 52 23:22:44 ]

ความคิดเห็นที่ 53 อย่ามาเถียงกันเลย มันเป็นเรื่องของขนบธรรมเนียม คุณไม่ปฏิบัติไม่เห็นด้วยแอนตี้ก็ไม่มีใครว่า เรื่องของธรรมเนียมมันเป็นเรื่องของคนกลุ่มใหญ่ ที่เค้าเห็นว่าไม่ปฏิบัติตามมันไม่งามไม่ได้ถึงขั้นติดคุกอะไรหรอก ใครไม่อยากจ่ายสินสอดก็หาเมียกะครอบครัวที่ไม่เรียกค่าสินสอดล่ะกัน ถ้าผมมีลูกสาวผมก็ฉลาดพอที่จะไม่ให้มันเอาผัวที่คิดแต่จะต่อรองค่าสินสอดโดยไม่คิดจะหาทางทำให้มีขึ้นมาได้ เงินแค่นั้นไม่อยากได้หรอก แค่หนึ่งในเงื่อนไขความลำบากของชีวิตทำไม่ได้หาไม่ได้ ก็กรุณาหาเมียคนถัดไปจะดีกว่า จากคุณ : Jump.Jr - [ 15 พ.ค. 52 23:23:38 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เคยฟังเพลง If that's ok with you ของ shayn Ward ไหม ที่เค้าบอกว่า You make me feel like I'm in Heaven on earth. I wanna thank your mumma for giving you birth I wanna hold you in my arm when you cry If that's ok with you ? เอาเป็นว่า ถ้าเป็นลูกสาว หรือ น้องสาวคุณ จขกท ( หรือเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเอง)  มีผู้ชายสองคนมาจีบ คนหนึ่ง  มีทัศนคติแบบ จขกท คนหนึ่งมีทัศนคติแบบในเพลงนี้ ถามจริงเหอะ คิดว่าคนไหน ที่ผู้หญิงจะฝาก ชีวิตไว้ได้ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 23:54:43 จากคุณ : cardiogenic - [ 15 พ.ค. 52 23:47:23 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ไม่อยากให้เอาเรื่อง มุมมองความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ในเรื่องสินสอดทองหมั้น มาเป็นตัวตัดสินนิสัย ภูมิหลังอีกฝ่ายนึงเลยครับ พูดกันเหมือนกับว่าคนที่ต่อต้านประเพณีการให้สินสอดทองหมั้น จะไม่สามารถรักภรรยาจริงๆ ได้ เห็นผู้หญิงเป็นวัตถุ ไม่ให้เกียรติ ฯลฯ ทั้งที่เป็นเรื่องไม่เกี่ยวกันเลย แล้วการต่อต้านสินสอดก็ไม่ใช่ตัวเดียวที่จะบ่งบอกว่า เราฝากอนาคตลูกสาวไว้กับชายคนนั้นไม่ได้ น่าจะดูนิสัยคนคนนั้นโดยรวมกว้างๆ แถมตอนนี้หลายคห. เริ่มลามๆ ไปใช้ถ้อยคำยั่วยุชวนทะเลาะยิ่งขึ้นแล้ว (ขอไม่เจาะจงนะ) เราน่าจะโต้กันแค่ในความคิดเห็นนะครับ ไม่เห็นด้วยก็แย้งไปว่า ที่คุณว่ามานั้นเราไม่เห็นด้วยเพราะ ... ไม่ใช่ไปโต้ว่า คุณเป็นคนที่... ,คุณมันไม่น่า... ,ชีวิตคุณมันคง...มากสินะ, โถ น่าสงสารคุณจัง ฯลฯ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 52 00:12:09 จากคุณ : ayres - [ 16 พ.ค. 52 00:11:27 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ไปตอบคำถามในกระทู้ตั้งต้นไปแล้ว...ขอตามมากระทู้นีบ้างดีกว่า... คุณโยชิซึเนะ..บอกเล่าความเห็นของตัวเองไปแล้วใช่ม้า...งั้นเราขออนุญาตบอกเล่าความเห็นของเราและประสบการณ์ของเราในนี้เลยแล้วกันนะ... สินสอดมันไม่สำคัญหรอก..เงินไม่สำคัญสำหรับเรา...พูดได้เต็มปากและออกจากหัวใจเลย....แต่ความจริงใจต้องมาก่อนนะ...ความจริงใจมันวัดได้อย่างไรบ้างล่ะเนี่ย...ยากจัง. แต่อย่างน้อยที่สุด....ตัวเราเองก็คงอยากจะรู้จักคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของเราว่า..เค้าคิดกับเรา...คิดกับครอบครัวของเราอย่างไร...คิดกับบุพการีของเราอย่างไรก่อนเหมือนกัน อยากรู้ว่า..เค้าพร้อมจะดูถูก...มองทุกอย่างที่เงิน..มองเราอย่างเผินๆ แค่ไหน หรือว่า..เค้าพร้อมจะเข้าใจในทุกอย่าง...ยอมรับเราได้ในทุกอย่าง..เราอยากรู้จัง... และถ้าการเรียก "สินสอด" นั้นจะช่วยให้เรารู้จักคนที่จะอยู่ด้วยกันกับเราไปตลอดชีวิตได้มากขึ้น...เราก็อยากจะเรียนรู้เหมือนกัน พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า...สมัยขอแม่แต่งงาน..ยายเรียกสินสอดแพงมาก...พ่อแทบไม่มีเงิน...สุดท้ายดิ้นรนหามาจนได้...ยายก็เก็บสินสอดหมดไม่คืนด้วยนะ..แต่ตาก็รู้ว่า..ครอบครัวใหม่ไม่มีเงิน...ตอนหลังก็เอาทองมาให้แม่..จะได้เอาไปขายเป็นเงินไปทำทุน...(ราคาทองสูงกว่าสินสอดอีกนะ) โดยส่วนใหญ่...พ่อแม่..ไม่มีใคร "ขาย" ลูกสาวกินหรอกค่ะ...เพราะ..ลูกสาวท่านมีไว้ให้รัก..ไม่ใช่ไว้ขาย... จากคุณ : เจ้าหญิงน้อยรสส้ม - [ 16 พ.ค. 52 00:16:53 ]

ความคิดเห็นที่ 57 "น้ำผึ้งหยดเดียว" จากคุณ : Kura Kuri - [ 16 พ.ค. 52 00:49:25 ]

ความคิดเห็นที่ 58 พูดกันไปก็เท่านั้นว่ะ คนเขียนกระทู้ก็ยังไม่รู้สึกว่าต้องแต่งใครจริงๆ เมื่อถึงเวลานั้นละจะรู้ ไม่มีอะไรที่โต่งขวาจัด ซ้ายจัดหรอก ทุกอย่างมันน่าจะคิดแบบกลมกลืนๆกันหน่อยนะ เงินๆทองๆ vs ความรัก ให้มันมาฉะกันทำม้ายยยยยย ที่จริงชีวิตมันง่ายๆแต่ทำให้ซับซ้อนกันจริง ปล.น้องเกรียน ไม่ได้เหมารวมใช่มะ อืม รับทราบนะ เชอะ จากคุณ : แดงเร็กเก้บาร์ - [ 16 พ.ค. 52 00:57:55 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เราว่าเราเจอ คนที่เหมาะสมกับ  จขกท ในกระทู้นี้แล้วนะ มากกว่า 1 คนซะด้วย   จากคุณ : แพรเพลง - [ 16 พ.ค. 52 01:07:00 ]

ความคิดเห็นที่ 60 กระทู้แบบนี้แหล่ะ ทำให้คนจะยิ่งขึ้นไปอยู่บนคานกันเยอะ เพราะกลัวการแต่งงาน =..=" ปล.อ่านละตาลายมากมาย จากคุณ : ผมแอบดูกระทู้คุณอยู่ - [ 16 พ.ค. 52 03:12:22 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ตอนที่ผมแต่งงาน  เจ้าสาวของผมเป็นคนทันสมัย  สาวหัวนอก   เราจัดพิธีแต่งงานหรูหราในโรงแรมใหญ่  แต่ไม่ได้มีการแห่ขันหมากอะไรเลย จึงไม่มีปัญหาเรื่องสินสอด แจกการ์ดแต่งงาน  เชิญญาติพี่น้อง  เพื่อนฝูง ได้รับเงินใส่ซองเป็นของขวัญช่วยงานแต่งงาน  ก็นำเงินจากซองไปจ่ายค่าจัดงานเลี้ยงในโรงแรม   พ่อแม่ฝ่ายหญิง  ใส่ซองให้มาก้อนหนึ่ง   พ่อแม่ฝ่ายชายใส่ซองให้มาอีกก้อนหนึ่ง ยืนยันครัับว่า...แม้ไม่ได้จ่ายเงินสินสอด  ก็ไม่ควรดูถูกหรือสบประมาทว่า...ฝ่ายชายจะไม่สามารถเลี้ยงดูฝ่ายหญิงได้ ปัจจุบัน  ผมมีรายได้มากกว่าตอนที่เป็นเจ้าบ่าว 20 เท่า ภรรยาของผมไม่ต้องทำงานอะไรมากมาย อยากไปไหนก็ได้ไป  อยากได้อะไรก็ซื้อได้  อยากกินอะไรก็ได้กิน มีรถให้เลือกขับ ทั้ง BWM sport, Mercedes Benz และ Toyota Prius ความรัก...สำคัญกว่าสินสอดครับ แม้ไม่ได้จ่ายสินสอด...แต่ผมก็เลี้ยงดูภรรยาให้มีความสุขได้มาหลายปีแล้ว และไม่เคยมองผู้หญิงอื่นเลย  ไม่เคยนอกใจภรรยา  ไม่เคยมีกิ๊ก  ไม่เคยมีเมียน้อย จะเอาสินสอด...มาวัดความรัก   มาเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินไม่ได้หรอกครับ เงินทองของนอกกาย...มีได้  ก็หมดได้     มีน้อย ก็หาเพิ่มได้ จากคุณ : ออนไลน์ - [ 16 พ.ค. 52 04:40:00 ]

ความคิดเห็นที่ 62 อ่านแล้ว เบื่อๆ กับความคิดของผู้หญิงสมัยนี้เหมือนกัน . . ขอถามคุณผู้หญิงตรงนี้เลยได้มั้ยครับว่า : ถ้าตกลงจะแต่งงานกัน แล้วมีค่าสินสอด ช่วยกัน "เริ่มเก็บ" และพอเก็บได้ครบเมื่อไหร่ ก็แต่งเมื่อนั้น ดีมั้ยครับ? (โดยไม่ให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายช่วยเลย และระหว่างการเก็บเงิน ห้ามเลิกกันโดยเด็ดขาด เว้นเสียแต่ว่า จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เปลี่ยนใจ ตัดสินใจไปคบกับคนอื่น) ผมว่าวิธีนี้ก็เสมอภาคกันดีทั้งคู่ ถ้ารักกันจริง อยากแต่งด้วยกันจริง ก็ต้องช่วยกัน ส่วนเงินที่ค่าสินสอด จะทำยังไงต่อไป ก็แล้วแต่ ไม่ต้องสนแล้ว (พ่อแม่ฝ่ายหญิงเก็บไว้ ก็ไม่เป็นไร ถ้าให้คืนมา ก็เหมือนได้เงินที่ช่วยกันเก็บไว้อยู่แล้ว) ฝ่ายชาย ก็มั่นใจว่าผู้หญิงที่ตนเองจะแต่งด้วยรักจริง แล้วพร้อมที่จะช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรค ฝ่ายหญิง ก็มีโอกาสได้ดูว่า ฝ่ายชายตั้งใจจริง รักจริง รึเปล่า พ่อแม่ฝ่ายหญิง ก็ต้อง "แลก" ระหว่างความเสี่ยงที่ฝ่ายชายจะเลิกกับลูกสาวไปในขณะที่ลูกสาวเริ่มมีอายุมากขึ้นทุกวัน กับจำนวนเงินที่ "คาดว่า" จะได้รับเป็นค่าสินสอด อยากทราบความเห็นคุณผู้หญิงจริงๆครับ จากคุณ : แวะมาอ่าน (แล้วเบื่อๆเซ็งๆ) - [ 16 พ.ค. 52 05:15:40 A:90.27.60.206 X: TicketID:131163 ]

ความคิดเห็นที่ 63 โหหายไปคืนเดียว ความเห็นมาเพียบ!! งงครับงง แต่พอมานั่งอ่านความเห็น ของหลายๆท่านในกระทู้นี้ ก็มองเห็นอะไรได้หลายๆอย่างนะครับ ผมไม่ขอ แก้ตัวอะไรแล้วกัน ขี้เกียจอ่ะ แต่อย่างที่บอกไปข้างต้น นี่คือความเห็นส่วน ตัวของผม ผมอาจจะคิดเหมาะหรือไม่เหมาะก็แล้วแต่เถอะครับ เพราะผม บอกแล้วกระทู้นี้ต้องไปสะดุดต่อมใครบางคนแน่ แหะๆๆ เอาเป็นว่าผมจะมาไขข้อข้องใจกับบางคำถามที่ผมอยากตอบอ่ะครับ อย่าง เรื่องที่ว่าผู้หญิงรุ่นนี้เกิน 50% สู้รุ่นแม่ผมไม่ได้เนี่ย ผมหมายถึงเรื่องความ อดทน ความเสียสละ อาจจะเป็นเพราะสมัยนี้ พ่อแม่เลี้ยงลูกมาดีมาก พอถึง เวลาลำบาก เค้าก็ไม่ค่อยอยากจะลำบากกัน เค้าก็เลยดูที่แบ๊คของฝ่ายชาย ซะมากกว่า ส่วนเรื่องสินสอด ผมไม่ได้บอกว่าไม่ให้นี่นา แต่ผมบอกว่า ถ้าหากทางฝ่าย หญิงไม่คืนมันก็น่าเกลียดครับ คนเค้าจะนินทาเอา ทีนี้ ถามว่าผมเจอแต่แบบนี้เยอะไม๊ ผู้หญิงผู้ชายก็เหมือนกันครับ มีดี มีเลว แบบที่ดีผมก็เจอ ที่บ้านฝ่ายชายไม่มีอะไร แล้วเค้ายังอยู่กันได้ด้วยความรัก แต่ไอ้แบบที่ไม่ดี ผมก็เจอ พวกพอบ้านผู้ชายล้ม ผู้หญิงก็หนีหายเข้ากลีบ เมฆ กระทู้นี้ ผมเอากรณีหลังมาพูดถึงเน่อ ส่วนเรื่องที่ว่าองุ่นเปรี้ยวเนี่ย แล้วแต่จะคิดครับ เพียงแต่ ถ้าหากทุกคนคิดจะ ตัดสินเอาจากเพียงแค่ตัวหนังสือที่ออนไลน์บนนี้ ก็ตามใจครับ เพราะผมขี้ เกียจมานั่งสาธยาย ว่าตัวเองเป็นคนยังไงอ่ะ เพราะถึงยังไงผมก็ไม่คิดอยาก รู้จักใครในโลกไซเบอร์อยู่แล้ว ส่วนหลายท่านที่ตอบมาว่าให้คุยกับพ่อตาแม่ยายน่ะครับ อันนี้จากที่ผมได้ เคยสัมผัสด้านงานแต่งมาเนี่ย ตอนแรกฝ่ายชายเค้าก็คุยแล้วครับ แต่พอถึง เวลาจริงปุ๊ป ฝ่ายหญิงก็ไม่คืนเฉยเลย แหะๆๆ งานเข้าซิครับ เพราะว่า จะให้ ผู้ชายทวงก็น่าเกลียด ผู้หญิงทวงก็ไม่ได้ ผู้ใหญ่ฝ่ายชาย ถ้าเค้ามีมารยาท เค้าก็ไม่ทวงหรอกครับ ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไป ที่ตลกกว่านั้นที่เคยเจอก็คือ ฝ่ายชายทวงแล้วครับ ฝ่ายหญิงไม่คืนให้ พอ ฝ่ายชายถามว่าก็ไหนตกลงกันแล้วไง ฝ่ายหญิงก็บอกว่า ตกลงว่าจะคืนสิน สอดให้ แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่ นั่น!!! งานเข้าเลย ทำเอาคู่นี้ต้องเลิกรากัน ไปในระยะเวลาแค่ 6 เดือนเท่านั้น ผู้ชายก็เศร้า ผู้หญิงก็เสีย น่าเสียดายครับ อ่านกระทู้นี้แล้ว ทำให้ผมได้ทราบความคิดของหลายๆท่าน จึงยื่งทำให้ผมรู้ สึกว่า การที่ผู้ชาย และผูหญิงจะหาคู่เนี่ย มันเป็นเรื่องใหญ่ครับ ซุนวูเคย กล่าวไว้ในบททดสอบนิสัยของแม่ทัพ ซึ่งผมจะขอยกมาอ้าง ซุนวูกล่าวว่า "หากอยากรู้นิสัยแม่ทัพว่าละโมบไม๊? ก็จงให้ทรัพย์สินเงินทองเค้า" โดยสรุปของข้อความนี้ก็คือ หากเราอยากรู้ว่าคนๆนี้ มีนิสัยยังไง ก็จงให้ใน สิ่งที่เราตั้งคำถามว่าเค้าเป็นไม๊ เช่น อยากรู้ว่าคนนี้เป็นคนละโมบไม๊? ก็จับ ตาดูเค้าตอนมีเรื่องเงินทองให้จัดการ ดังนั้นเรื่องสินสอดเนี่ย ไม่ใช่เพียงแต่ฝ่ายหญิงที่ขอมาเพื่อทดสอบฝ่ายชาย เท่านั้น แต่ฝ่ายชายก็ให้เพื่อทดสอบฝ่ายหญิงเช่นกัน หากการทดสอบของ ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นที่พึงพอใจ ก็จบ หากไม่เป็นที่พึงพอใจ ก็จะมีปัญหา อย่าลืมนะครับ คนไทยไม่ใช่ฝรั่งมังค่า แต่งงานแล้วจะแยกครอบครัวเลย เราแต่งงานก็เหมือนกับมีครอบครัวเพิ่มขึ้นมาอีกครอบครัว ดังนั้น ควรมีเรื่อง ให้น้อย มีรอยยิ้มให้มากครับ ส่วนเรื่องที่ว่าผมจะซื้อกิน จะไม่ซื้อกิน จะติดโรค ไม่ติดโรค อันนี้ผมเฉยๆ จากประวัติศาสตร์ การที่ผู้ชายซื้อกินมันมีมากว่า 5000 ปีแล้ว ตั้งแต่ยุค อียิปต์โบราณโน่น ว่างๆถ้าหาหนังสือเจอ จะเอามาเล่าให้ฟังครับ แต่ไม่รู้มัน อยู่ไหนแล้ว แต่อย่างน้อยผมว่าผู้ชายที่ซื้อกิน ก็ยังดีกว่าผู้ชายหลอกฟันนะครับ ไม่ได้ เข้าข้างคนที่เหมือนตัวเอง แต่อันนี้ มันเป็นการซื้อขายอ่ะ แต่หลอกฟันมัน เป็นการหลอกลวงนิ ผมว่ามันไม่เหมือนกันนะ เพราะ"การซื้อ" ไม่มีความรู้สึก แต่"การหลอก" มันหลอกความรู้สึกคนนะครับ ตามนั้น จากคุณ : โยชิซึเนะ - [ 16 พ.ค. 52 08:01:19 ]

ความคิดเห็นที่ 64 อ้อ ลืมบอกไป คือผมเคยอยากแต่งงานมาสองครั้งแล้วครับ และทั้งสองครั้ง ก็ล้มเลิกความคิดไป เพราะความคิดเรื่องเงินๆทองๆของทางผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง นี่แหละ ผมมองของผมเองว่า ในระยะยาว มันคงมีปัญหาแน่นอน และมันก็ มีจริงซะด้วยซิ เพราะหนึ่งในสองที่ผมเคยคิดแต่งงาน ตอนนี้หย่ากับสามีแล้ว ก็ด้วยเรื่องนิสัยเงินๆทองๆ ของฝ่ายหญิงนั่นแหละครับ จากคุณ : โยชิซึเนะ - [ 16 พ.ค. 52 08:06:51 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขอโทษเถอะนะ...แต่พออ่านแล้วตะหงิดๆ ในเมื่อคุณๆ หลายคนในนี้บอกว่า ...ผู้ชายที่เลือกจะไม่ให้สินสอด ไม่ได้หมายความว่า ดูแลลูกสาวเค้าไม่ได้ คุณก็รักผู้หญิงคนนั้น แค่เห็นว่าสินสอดไม่จำเป็น หรือความรักวัดด้วยเงินไม่ได้ หรือไม่มีปัญญาจ่าย ก็ตามแต่ ฉันใดก็ฉันนั้น ...หากผู้หญิงจะเรียกสินสอด แล้วไม่คืนให้...ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเค้าจะต้องงกนี่นา? เค้าอาจอยากเก็บไว้ให้ลูกสาวทำทุน เผื่อจะไปกันไม่รอด หรือความรักความจริงจังจริงใจ ความพยายามที่จะก้าวผ่านอุปสรรคไปได้ เค้าเองก็ไม่ได้ตีค่าความรักเป็นเงิน แต่คงอยากดูพลังใจมากกว่า ดีแค่ไหนแล้วที่ฝ่ายหญิงไม่ขอสินสอด เป็นเดือนดาว เป็นบัวหิมะห้าสิบปี ออกดอกครั้งเดียวจากวัดเส้าหลิน ยอดเขาเหลียงซานอะไรประมาณนั้น จากคุณ : ยิ้มเดียว - [ 16 พ.ค. 52 08:48:50 ]

ความคิดเห็นที่ 66 จาก คห 63 ของ จขกท ที่ว่า "ผมหมายถึงเรื่องความ อดทน ความเสียสละ อาจจะเป็นเพราะสมัยนี้ พ่อแม่เลี้ยงลูกมาดีมาก พอถึง เวลาลำบาก เค้าก็ไม่ค่อยอยากจะลำบากกัน เค้าก็เลยดูที่แบ๊คของฝ่ายชาย ซะมากกว่า" บอกตรงๆ ก็ไม่เห็นด้วย ...เฮ้อ! แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 52 09:50:57 จากคุณ : เทพบุตรหมัดดาวหาง - [ 16 พ.ค. 52 09:42:13 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เออเนอะ ย้อนกลับไปอ่านข้อความที่ คุณเขียน อีกรอบ ถ้าผมหาเงินมาเอง ผมก็ลำบากนะครับ แล้วจู่ๆ จะให้ใครก็ไม่รู้ที่ผมเจอหน้า ไม่กี่ครั้ง หรือรู้จักไม่กี่ปี มาเอาเงินของผมไปเป็นหลายๆแสนเนี่ย มันก็ใช่ที่  >>>  ใครก็ไม่รู้ที่คุณพูดถึงเป็นแฟนคุณไม่ใช่หรือ ถ้ามีคนบอกว่าผมงกเนี่ย ผมขอถามกลับ คุณหาเงินก้อนนั้นมาเนี่ย ลำบากไม๊ครับ เหนื่อยไม๊ครับ ถ้างั้น ผมเอาเงินก้อนเนี่ย ไปเที่ยวผู้หญิงดี กว่าไม๊ครับ  เปลี่ยนคนได้ด้วย >>>  อืม เอาเงินไปเที่ยวผู้หญิง กินเป็นครั้งๆไป ดีกว่า  เอาเงินไปสู่ขอผู้หญิงที่ตัวเองรัก (เอางั้นเลยหรือ) *0* ทีนี้ เรื่องจิ้มฟรีไม่จิ้มฟรีเนี่ยก็อีกเรื่องนึง ของฟรีไม่มีในโลกนะครับ ตอนเป็น แฟนกันเนี่ย พวกเค้าไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายกันเลยมั้ง? >> คิดทุกบาททุกสตางค์ว่างั้น  เป็นแฟนกันยังขนาดนี้ เป็นสามีคงขี้เหนียวพิลึก แล้วเรื่องจิ้มไม่จิ้มเนี่ยมันเป็นความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ใช่ว่าจะมีการบังคับกันนี่ครับ อันนี้ ผมว่าไม่เกี่ยวนะ >> กะจิ้มฟรีไม่รับผิดชอบ เพราะคุณยอมผมเอง ผมไม่เกี่ยววววป่ะ *0* สรุป คุณพยายามจะบอกว่า สู้เอาเงินสินสอดที่จะไปแต่งสาวเนี่ยไปเที่ยวผู้หญิงดีกว่า  ได้หลายคนด้วยนะ ส่วนเรื่องจิ้มเนี่ย ผมไม่รับผิดชอบ เพราะคุณยอมผมเอง  แล้วค่าใช้จ่ายตอนเป็นแฟนกัน ผมไม่มีให้คุณฟรีนะ คิดทุกบาทุกสตางค์นะครับ เออเนอะ เมื่อเทียบกับผู้ชายหลายๆคน เขาพยายามเก็บเงิน ทำงานหนัก สร้างเนื้อสร้างตัว เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นที่พึ่งให้ผู้หญิงได้ มันช่างต่างกันอะไรแบบนี้นะ จากคุณ : BIOTOMNEG - [ 16 พ.ค. 52 10:39:48 ]

ความคิดเห็นที่ 68 จะทะเลาะกันไปทำมายยย เนี้ยะ แต่ละเคส แต่ละคู่มันไม่เหมือนกันหรอก มายกตัวอย่างเพิ่ม เรื่องสินสอด จากคนใกล้ตัวอีกเหมือนกัน -เคสนี้ ผู้ชายไม่ค่อยมีฐานะกว่าจะเรียนจบ เก็บตังค์ แต่งงาน ฝ่ายหญิงมีหน้ามีตา มีฐานะ เลยโดนเรียกสินสอดเยอะพอสมควร แต่ผู้ชายก็ไม่บ่นซักคำ เพราะถือว่า เป็นสิทธิของฝ่ายหญิง เงินทองหาเมื่อไหร่ก็ได้ ทุกวันนี้เค้าก็มีความสุขกันดี -อีกเคส แต่งงานเสร็จไม่ทันไร ฝ่ายหญิงมาต่อว่า ฝ่ายชาย บอกไม่น่ามาแต่งงานด้วยเลย จะทำอะไรก็ไม่ได้ Shopping ไปเที่ยว ห้ามไปหมด ฝ่ายชายเค้าไม่ได้ขี้เหนียวอะไรหรอก แต่ขอเก็บตังค์ก่อน เพราะโดนค่าสินสอดไปเยอะ (เยอะจริงๆ เงินเก็บเค้าหมดเลยอ่ะ) อันนี้เราไม่ได้มาว่า ฝ่ายหญิงนะ แต่จะบอกว่า มันก็ต้องเห็นอกเห็นใจกันบ้าง คนนึงอยากสร้างความมั่นคง อีกคนก็มองว่ามาวุ่นวายจัง ***มีอีกหลายๆ เคส ที่เรายกตัวอย่างในกระทู้โน้น ก่อนแตกมากระทู้นี้ แต่เราว่าสงสัย กระทู้นี้จะยาว แฮ่ะ อิอิ จากคุณ : ผู้ชายมีเขี้ยวกับนางฟ้าชุดแซก - [ 16 พ.ค. 52 10:40:39 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ค่าสินสอดไม่ใช่ประเด็นแล้วล่ะ  เงินๆทองๆ มันของนอกกาย ก็ไม่เห็นมีใครบอกว่า ผู้ชายที่ไม่ให้ค่าสินสอดเป็นคนไม่ดีนี่ แล้วก็ไม่เห็นมีใครพูดว่า ผู้ชายที่ไม่ให้ค่าสินสอดจะเลี้ยงผู้หญิงไม่ได้ หรือชีวิตครอบครัวไม่ประสบความสำเร็จซะเมื่อไหร่ กลับไปอ่านใหม่นะ แต่คุณพูดเหมือนฝ่ายหญิงเขาอยากได้เงินคุณ  พ่อแม่ผู้หญิง เขาไม่ขายลูกกินหรอก  มีแต่ผู้ชายอย่างคุณนั่นแหละ จะไปหลอกจิ้มลูกสาวเค้าฟรีๆ พอเค้าเรียกเงินเข้าหน่อย   ก็บอกว่าเอาเงินไปเที่ยวผู้หญิงดีกว่า พ่อแม่ที่ไหนจะยกลูกสาวให้ผู้ชายแบบนี้นะ ลูกสาวเค้าเลี้ยงมาดี  เค้าทนุถนอมมา มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม อยู่ๆมีผู้ชายที่ไหนก็ไม่รุ้ มาขอดื้อๆ  จะเอาลุกสาวเค้าไปกัดก้อนเกลือกิน หรือเปล่าก็ไม่รู้  หรือจะทิ้งลูกสาวเค้าไหม มีหลักประกันอะไรให้เค้าเชื่อถือได้บ้าง มีแค่ความรักเหรอ รักจริงหรือเปล่าไม่รุ้  แค่บอกให้ทำงานเก็บเงินเพื่อมาขอลุกสาวเค้า ยังไม่ทำเลย  (อ้อ เอาเงินไปเที่ยวผู้หญิงดีกว่าเนอะ) เหนื่อยใจกับความคิดผู้ชายสมัยนี้จริงๆ สงสัยถูกสปอยจนเคยตัว หนักนิดหนักหน่อย ก็ไม่สู้ซะแล้ว แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 52 10:54:27 จากคุณ : BIOTOMNEG - [ 16 พ.ค. 52 10:51:52 ]

ความคิดเห็นที่ 70 มาดูเป็นวิชาการกันบ้างดีกว่า   เรื่องของสินสอดทองหมั้น ... ของหมั้นกับสินสอดนั้นแน่นอนย่อมเป็นของที่ฝ่ายชายให้กับฝ่ายหญิง เนื่องจากเราเป็นคนไทย ซึ่งฝ่ายชายต้องไปขอฝ่ายหญิง แต่ถ้าเป็นที่อินเดียก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับเพราะฝ่ายหญิงต้องไปขอฝ่ายชาย ส่วนข้อแตกต่างนั้น ขอให้จำไว้ง่ายๆ ว่า ของหมั้นนั้นเป็นของที่ชายคู่หมั้นมอบไว้ให้แก่หญิงคู่หมั้นเพื่อว่าจะสมรสกัน ส่วนสินสอดนั้นเป็นของที่ฝ่ายชายคู่หมั้นมอบไว้ให้แก่พ่อ แม่ ผู้ปกครองของฝ่ายหญิง ตามพจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียนติ พ.ศ.2530 ได้ให้คำนิยามของคำว่าสินสอดว่า “เป็นเงินที่ฝ่ายชายให้แก่บิดามารดาหญิงที่จะแต่งงานเป็นค่าน้ำนมข้าวป้อน” ส่วนคำนิยมของคำว่า ของหมั้นนั้นได้แก่ “ของที่มอบให้ฝ่ายหญิงเพื่อแสดงว่าจะแต่งงานด้วย” สำหรับในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยเราก็ได้บัญญัติในเรื่องสินสอด และของหมั้นไว้ในเรื่องครอบครัวโดยมีสาระสำคัญอยู่ในมาตรา ๑๔๓๗ ว่า “การหมั้นจะสมบูรณ์ต่อเมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น เมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง สินสอดเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดา มารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองฝ่ายหญิงแล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบทำให้ไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้ ถ้าจะต้องคืนของหมั้นหรือสินสอดตามหมวดนี้ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๔๑๒ ถึงมาตรา ๔๑๘ แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับโดยอนุโลม” จะเห็นได้ว่าของหมั้นนั้นจะตกเป็นสิทธิของฝ่ายหญิงคู่หมั้นทันทีที่มีการส่งมอบทรัพย์สิน และทำให้เกิดสัญญาหมั้นขึ้นมาด้วย ซึ่งการเกิดสัญญาหมั้นนั้นมีผลตามกฎหมายตามมา หลายประการที่สำคัญคือทั้งสองฝ่ายจะต้องประพฤติตัวให้เหมาะสมดีงาม ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรักษาหน้าของอีกฝ่ายในฐานะที่จะเป็นสามีหรือภรรยาในอนาคต หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังประพฤติตัวไม่ดี เช่น ยังไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงหรือผู้ชายคนอื่นอีกอาจเป็นเหตุให้อีกฝ่ายสามารถบอกเลิกสัญญาหมั้น และเรียกค่าทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๓๙ ที่ว่า “เมื่อมีการหมั้นแล้วถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้น ฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย” นอกจากนี้ของหมั้นนั้นคือทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้แก่ฝ่ายหญิงในขณะทำการหมั้น ส่วนทรัพย์สินที่ฝ่ายชายสัญญาว่าจะให้แก่ฝ่ายหญิงภายหลังการหมั้นนั้น ไม่ถือว่าเป็นของหมั้น ดังนั้นของที่ฝ่ายชายให้ภายหลังจึงไม่ตกอยู่ในภายใต้บังคับในเรื่องของหมั้นซึ่งในเรื่องนี้เคยมี คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๘๙/๒๔๙๒ ตัดสินไว้ ยกตัวอย่างเช่น ในวันหมั้น นาย ก. ได้ให้แหวนเพชร 1 วง ไว้เป็นของหมั้นกับนาวสาว ข. และสัญญาว่าอีกหนึ่งสัปดาห์จะให้รถเบนซ์อีกคันหนึ่ง ปรากฏว่าถัดมาอีก 3 วัน นาย ก. เกิดเปลี่ยนใจไปแต่งงานกับนางสาว ค. หน้าตาเฉย อย่างนี้นางสาว ข. มีสิทธิเรียกค่าทดแทน และริบของหมั้นคือแหวนเพชรไว้ได้ ส่วนเงินอีก 1 ล้านบาท ที่นาย ก. สัญญาว่าจะให้นั้นนางสาว ข. ไม่สามารถเรียกร้องได้เนื่องจากไม่ใช่ของหมั้น เป็นต้น ในกรณี ถ้าเกิดหมั้นไปแล้วอยู่ๆ แฟนไม่อยากแต่งงานด้วยคราวนี้จะทำยังไง จะไปฟ้องขอให้ศาลบังคับให้ฝ่ายหญิงมาแต่งงานด้วยได้หรือไม่ ในเรื่องนี้ ทางกฎหมายเขาเขียนไว้ชัดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๓๘ ไว้ว่า “การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ” ดังนั้น หากแฟนไม่อยากแต่งงานก็ช่วยไม่ได้ แต่คุณสามารถไปเรียกค่าทดแทนได้ หากการไม่ยอมแต่งงานนั้นเกิดจากความผิดของฝ่ายหญิง แต่คุณห้ามไปกำหนดเบี้ยปรับล่วงหน้า เช่น ถ้าหมั้นแล้วไม่ยอมแต่งงานต้องจ่ายเงินให้ 1 ล้านบาท อย่างนี้ถือว่าเป็นโมฆะ แล้วทำไมศาลบังคับให้แต่งงานไม่ได้นะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนี้กระทำการ และเป็นเรื่องเฉพาะตัว ศาลไม่สามารถไปบังคับฝืนใจให้ใครไปทำอะไรได้ ไม่เหมือนกับการมีคำพิพากษาให้ใช้เงินหากจำเลยไม่ยอมใช้โจทก์ก็สามารถไปยึดทรัพย์สินมาชำระแทนเงินได้ แต่ในเรื่องการแต่งงานศาลคงไม่สามารถบังคับให้ใครไปแต่งงานกับใครได้ แกเลยทำหน้าเข้าใจขึ้นมาหน่อยนึง แต่ถ้าหมั้นแล้วฝ่ายชายเกิดตายไปจะมีผลเป็นยังไง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๔๑ "ถ้าคู่หมั้นฝ่ายหนึ่งตายก่อนสมรส อีกฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องค่าทดแทนไม่ได้ ส่วนของหมั้นหรือสินสอดไม่ว่าชายหรือหญิงตาย หญิงหรือฝ่ายหญิงไม่ต้องคืนให้แก่ฝ่ายชาย" [ ที่มา... นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 11 ตุลาคม 2547 ] แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 52 11:22:23 จากคุณ : BIOTOMNEG - [ 16 พ.ค. 52 11:21:25 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ยิ่งอ่านความคิดเห็นของคนบางคนในกระทู้นี้แล้ว  ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆ ได้แต่งงานกับนางแก้ว ที่ไม่ได้หวังเกาะสามีกิน   แต่ยินดีร่วมทุกข์ ร่วมสุข กับเรา  เคียงบ่า เคียงไหล่ กับเราเสมอ ไม่ทำตัวเป็นภาระ การแต่งงาน.....  ไม่ใช่คิดเอาแต่ได้   แต่เป็นการร่วมหัวจมท้าย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตน  เช่น ถ้าฝ่ายหญิงไม่ทำงาน ก็ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก ดูแลบ้าน ฝ่ายชายทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว หรือต่างฝ่ายต่างทำงาน  เงินที่ได้มาก็เอามาใช้จ่ายร่วมกัน เพื่อความสุขของกันและกัน แต่ดูเหมือนว่า....คนบางคนมีความคิดว่า...  การแต่งงาน คือการเกาะผู้ชายรวยๆไว้เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต ถ้าสามี...ไม่มีเงินให้ใช้จ่ายเมื่อใด   หรือประสบอุบัติเหตุพิการไป  หรือเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง... ไม่สามารถหาเงินมากมายมาเลี้ยงดูผู้หญิงให้มีความสุขกับเงินได้   เธอก็พร้อมที่จะทิ้งเขา..กลับไปอยู่กับพ่อแม่ ใช้เงินสินสอดมหาศาลที่เป็นหลักประกันนั้นเลี้ยงชีวิตต่อไปได้ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ที่แต่งงานแล้วกับผู้หญิงที่รักเรา  ที่เราเป็นเรา  และพร้อมที่จะร่วมทั้งทุกข์และสุข ไม่ใช่เอาแต่..."ยามสุข  เจ้าสุข   แต่พอทุกข์  เจ้าทิ้ง" จากคุณ : ออนไลน์ - [ 16 พ.ค. 52 11:26:49 ]

ความคิดเห็นที่ 72 เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย "สินสอดเป็นของที่คู่กับการแต่งงานตามประเพณีไทย แต่น้อยคนนักจะเข้าใจความหมายที่แท้จริง สินสอดจึงกลายเป็นเรื่องบาดใจใครต่อใครมานักต่อนักแล้ว เพราะการแต่งงานในสังคมไทย มิใช่เป็นเรื่องของคนสองคนอย่างแท้จริง เกือบจะร้อยทั้งร้อยจะต้องมีครอบครัวทั้งสองฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างน้อยก็ขั้นตอนของการสู่ขอซึ่งยังไม่เคยเห็นบ่าวสาวคู่ไหนทำกันสองคน และแน่นอนว่ายิ่งมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องมาก โอกาสที่จะเกิดความเข้าใจผิดระหว่างกันย่อมจะมี ถ้าคุณกำลังจะแต่งงาน คงจะเคยคิดถึงเรื่องสินสอดบ้างแล้ว และหากยังไม่เคยให้ความสนใจ ก็น่าจะถามตัวเองและคนที่คุณจะแต่งงานด้วยว่าคุณทั้งสองคนเข้าใ จคำนี้มากแค่ไหน และเข้าใจตรงกันหรือเปล่า   สินสอดมีไว้เพื่ออะไร ถ้าลองถามคนรอบข้างดู แล้วจะพบว่าแต่ละคนคงจะมีคำตอบที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็บอกว่า "เป็นค่าน้ำนม ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา" บ้างก็บอกว่า "เป็นการให้เกียรติกันและกัน" จนกระทั่ง "ไม่รู้เหมือนกัน เห็นเขาทำกันมาทุกคู่ก็ทำตามเขาเป็นธรรมเนียม"     คุณหลวงวิจิตรวาทการ ปราชญ์ของแผ่นดินผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "วิชาการครองรักครองเรือน" เอาไว้ว่า ของหมั้นและสินสอดเป็นของที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงเรียกจากฝ่ายชาย โดยของหมั้นนั้นนิยมเรียกเป็นของมีค่า เช่น ทองรูปพรรณ แหวน เป็นต้น เพื่อไม่ให้ฝ่ายชายทอดทิ้งไม่แต่งงาน เนื่องจากสังคมไทยเรา การเป็นม่ายขันหมาก ถือว่าเป็นเรื่องสาหัสสำหรับลูกผู้หญิง หากมีเหตุให้ไม่ได้แต่งงานกันเพราะฝ่ายชาย ของหมั้นก็จะตกเป็นของฝ่ายหญิง และตามธรรมเนียมไทยแท้ๆ พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะเรียกสินสอดเป็นพิธีเท่านั้น เรียกกันว่าเป็น "ค่าน้ำนม" โดยคุณหลวงวิจิตรฯท่านเล่าว่า สินสอดนี้จะเรียกไม่เกิน 40 บาท หากเรียกเกินกว่านี้ถือว่าเป็นการ "ขายลูกสาว" ไม่ว่าครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะมั่งมีขนาดไหนก็จะไม่ทำกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนก็คงจะลืมเลือนไป หรือไม่ก็จะสับสนกับคำว่า "เงินกองทุน"   เงินกองทุน เป็นเครื่องแสดงถึงฐานะของพ่อแม่ ถ้าฐานะดี จะเรียกกันสูงๆ แต่ข้อสำคัญเงินกองทุนนี้  ต้องให้เท่ากันทั้งสองฝ่ายและจะมีการแกะห่อออกมา นับกันในวันแต่งงานเพื่อให้ผู้ที่มาร่วมพิธีเป็นพยาน   จำนวนเงินกองทุนนี้ มิได้แสดงถึงหน้าตาอย่างเดียว ถ้ามองให้ลึกลงไป จะเห็นว่าเป็นการแสดงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกสาว และเป็นหลักประกันว่า ผู้ที่มาเป็นเขยนั้น สามารถเลี้ยงดูลูกสาวได้ไม่ด้อยไปกว่าที่พ่อแม่เลี้ยงดูมา และเงินนี้จะถูกยกให้กับคู่บ่าวสาวไปตั้งตัว     ธรรมเนียมสินสอดดูจะไปได้ดีในวิถีชีวิตรุ่นปู่-ย่า ตา-ยาย เพราะชายหญิงที่คบหากันมักจะมีพื้นเพและฐานะใกล้เคียงกัน เมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายชายมาทาบทามสู่ขอและได้รับคำตอบว่าให้จัดสินสอ ดมา " ตามความเหมาะสม " จึงมักจะเป็นที่เข้าใจว่าต้องเป็นเท่าไหร่ แต่สมัยนี้โอกาสที่จะเข้าใจไม่ตรงกันนั้นมีมาก เช่น กรณีชายหนุ่มผู้มั่งมีรายหนึ่ง ซึ่งคบหากับสาวคนรักอย่างราบรื่น จนกระทั่งถึงวันที่มารดาของฝ่ายหญิงเรียกสินสอดเป็นจำนวนเงิน " แปดหลัก " เป็นเหตุให้ผู้ใหญ่ฝ่ายชายถึงกับเอ่ยปากว่า "ถ้าจะแต่ง ก็ให้จัดการเอง " กรณีเช่นนี้แสดงว่า สองฝ่ายต่างมีความพอดีที่แตกต่างกัน และในบางครั้งเจ้าสาวก็กังวล กลัวว่าฝ่ายเจ้าบ่าวจะจัดหาสินสอดที่ดูไม่เหมาะสมกับฐานะของตนเ อง แล้วจะขายหน้าแขกในวันงาน แต่ก็ไม่กล้าที่จะบอกตรงๆ เกรงจะถูกมอง " ไม่ดี "       สินสอด จึงเป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องอึดอัด การมี " คนนอก " อาจจะเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งในวงศาคณาญาติที่คุณไว้ใจ เข้ามาคอยช่วยเป็นสื่อกลางเจรจาให้นั้นน่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก่อนอื่น คุณสองคนควรที่จะรู้ฐานะการเงินของกันและกัน ความต้องการของตัวคุณเองและความพร้อมของอีกฝ่ายหนึ่ง และที่สำคัญคุณต้องรู้ความคาดหมายของพ่อแม่ของคุณด้วย     ซึ่งมีวิธีเดียวที่จะทำให้รู้แน่ ก็คือ การคุยกับท่านอย่างเปิดอก หากท่านบอกว่า"ต้องการให้เข้าตามตรอกออกตามประตูก็พอแล้ว " คุณก็ต้องถามต่ออีกว่า การเข้าตามตรอกออกตามประตูนี้ หมายถึง ไม่ต้องมีอะไรเลย หรือว่าควรจะมีแหวนหมั้นสักวง และเงินสักจำนวนหนึ่ง เมื่อได้รับคำตอบแล้วก็อย่าลังเลที่จะบอกกับคนรักของคุณ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวและบอกกับพ่อแม่อีกต่อหนึ่ง อย่ามัวแต่อายหรือเกรงใจกัน เพราะถ้าปล่อยให้เขารู้ทีหลัง อาจจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะอภิรมย์นัก โดยเฉพาะในยามโกธรที่ต่างฝ่ายต่างก็ขุดคุ้ยเรื่องที่ไม่ดีของอี กฝ่ายขึ้นมาโจมตีกัน     เรื่องสินสอดนี้ควรจะจบลงเมื่อมีการเปิดขันหมากในพิธีสู่ขอ จะมากหรือน้อย สมควรหรือไม่สมควร ก็อย่าได้ปล่อยให้เรื่องนี้ติดตามเข้ามาในชีวิตแต่งงานของคุณ เพราะในสังคมไทย เมื่อแต่งงานกันแล้ว ก็จะได้รับครอบครัวของอีกฝ่ายหนึ่งพ่วงมาด้วย จงอย่าลืมว่า ครอบครัวของใคร ใครก็รัก อย่าให้เกิดความรู้สึกหรือคำพูดทำนองที่ว่า " พ่อแม่เธอดูถูกฉัน " หรือ " บ้านเธองก " เพราะจะเป็นบ่อเกิดแห่งความร้าวฉานที่ใหญ่โตได้     หากคุณยังไม่เคยถามคนสำคัญของคุณว่าคิดอย่างไรเกี่ยวกับสินสอด คุณควรเริ่มถามเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่จะได้เข้าใจตรงกัน และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจะได้ไม่ต้องเกิดขึ้นกับครอบครัวของคุณ จาก http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/H3259350/H3259350.html จากคุณ : BIOTOMNEG - [ 16 พ.ค. 52 11:29:32 ]

ความคิดเห็นที่ 73 จากความคิดเห็นที่ 72  ชัดเจนดีครับ เรื่อง "สินสอด"..... "หลวงวิจิตรฯท่านเล่าว่า สินสอดนี้จะเรียกไม่เกิน 40 บาท หากเรียกเกินกว่านี้ถือว่าเป็นการ "ขายลูกสาว" ไม่ว่าครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะมั่งมีขนาดไหนก็จะไม่ทำกัน" "เรื่องสินสอดนี้ควรจะจบลงเมื่อมีการเปิดขันหมากในพิธีสู่ขอ จะมากหรือน้อย สมควรหรือไม่สมควร ก็อย่าได้ปล่อยให้เรื่องนี้ติดตามเข้ามาในชีวิตแต่งงานของคุณ เพราะในสังคมไทย เมื่อแต่งงานกันแล้ว ก็จะได้รับครอบครัวของอีกฝ่ายหนึ่งพ่วงมาด้วย จงอย่าลืมว่า ครอบครัวของใคร ใครก็รัก อย่าให้เกิดความรู้สึกหรือคำพูดทำนองที่ว่า "พ่อแม่เธอดูถูกฉัน" หรือ "บ้านเธองก" เพราะจะเป็นบ่อเกิดแห่งความร้าวฉานที่ใหญ่โตได้" สมเหตุสมผลดีครับ จากคุณ : ออนไลน์ - [ 16 พ.ค. 52 11:48:32 ]

ความคิดเห็นที่ 74 คห. ถูกใจเยอะแฮะ แจก give เพียบเลย 555 เห็นทัศนคติแย่ๆ ดูถูกผู้หญิงของบางคนแล้วก็เห็นใจนะ เขาคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้คิดและรู้สึกได้แค่นั้นน่ะ จากคุณ : แครอทเค้ก - [ 16 พ.ค. 52 12:37:17 ]

ความคิดเห็นที่ 75 แหะๆ..แม่นู๋บอก แป๊ะชี่ ป๋องเดว แม่นู๋ก็ยิ้มแฉ่งแร้วค่า 555+ จากคุณ : แมมมอสมีกรรมแถมขาดำด้วย - [ 16 พ.ค. 52 13:51:59 ]

ความคิดเห็นที่ 76 คห. 55 คะ เราถามนิดนึง ไอ้การคิดว่า "ภรรยาคือเสื้อผ้า" เนี่ย มันไม่ได้มองว่าผู้หญิงเป็นวัตตถุตรงไหนวะคะ?! จริงค่ะ เห็นด้วยมากๆ ว่าความรักสำคัญและมีความหมายมากกว่าสินสอด แต่!!! ผู้ชาย ที่ยกความคิดที่ว่า ภรรยาก็เหมือนเสื้อผ้า มาเป็นข้ออ้าง ในการ ที่จะไม่ให้สินสอด  เนี่ย!! เค้ากำลังบอกว่า ความรักสำคัญกว่าเหรอวะคะ? หึหึหึหึ!! แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 52 14:32:39 จากคุณ : แพรเพลง - [ 16 พ.ค. 52 14:32:04 ]

ความคิดเห็นที่ 77 #76 คือ นั่นเป็นสุภาษิตจีนน่ะครับ ต้องเข้าใจก่อนว่าสุภาษิตนี้ คนจีนเขาไม่ได้พูดกันโดยเจตนาจะลดค่าภรรยา หรือมองเป็นวัตถุแต่อย่างใด เพียงแต่เขาต้องการเน้นความสำคัญของคนที่มีสายเลือดเดียวกันไว้ให้สูงที่สุด (ซึ่งก็เป็นแนวคิดคนชาติเขา ก็ว่ากันไป) จุดประสงค์ของสุภาษิตนี้ ผมว่า น่าจะเป็นการเตือนลูกชายที่กำลังจะแต่งงานไม่ให้ลืมครอบครัวเก่าที่เคยเติบโตมาด้วยกันเป็นหลัก ไม่ได้แต่งขึ้นมาเพื่อจะบอกว่าภรรยาไม่ดี ไม่มีค่า และคนที่ยึดถือสุภาษิตนี้ ก็นำมาปรับใช้ให้เข้ากับสังคมไทยและยุคสมัยได้ เช่น ถ้าแต่งงานออกไปแล้ว ก็อย่าลืมพ่อแม่พี่น้อง แต่อาจจะยกความสำคัญภรรยาให้เทียบเท่าอวัยวะชิ้นใหม่ก็ได้ ไม่ใช่ว่าถ้าใครยกสุภาษิตนี้มาอ้างแล้วจะต้องมองภรรยาเป็นวัตถุ เพียงแต่มันอาจแสดงออกถึงแนวคิดคนๆ นั้นว่าให้ค่าครอบครัวที่ตัวเองเติบโตมาด้วยมากขนาดไหน เวลาคุณ quote สุภาษิตประโยคนี้ ควร quote ให้เต็มว่า "พี่น้องเปรียบดังแขนขา ภรรยาเปรียบดังเสื้อผ้า" คนที่เขามาอ่านเห็นจะได้เข้าใจนะครับว่าประโยคหลัง มันมีเหตุผลสอดคล้องกับประโยคหน้า ถ้าพูดเฉยๆ ว่าผู้ชายคนนี้พูดว่า "ภรรยาเป็นเหมือนเสื้อผ้า" แบบนี้ก็แย่สิครับ อีกอย่าง มันเหมือนกับว่าคุณไม่เข้าใจสารที่เขาสื่อด้วย ที่พูดไม่ได้เห็นด้วยกับสุภาษิตนะครับ ผมเชื่อว่าถ้าจะแต่งงานกับใครแล้ว เราควรยกย่องและให้ความรักคู่สมรสของเรา เสมอญาติพี่น้องเรา แม้แต่พ่อแม่ก็เถอะ เพียงแต่ ผมมีความเข้าใจสุภาษิตนี้ต่างกับคุณแพรเพลง เลยบอกไว้ ถ้าเข้าใจยากเพราะคิดว่าต่างวัฒนธรรม ลองนึกถึงสำนวน "เลือดข้นกว่าน้ำ" ก็ได้ครับ จากคุณ : ayres - [ 16 พ.ค. 52 14:48:31 ]

ความคิดเห็นที่ 78 บางความคิดเห็นมองฝ่ายหญิงในแง่ร้ายจัง เรื่องสินสอดทองหมั้นมันไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก บางครั้งต้องคิดแง่บวกดูว่า ในสิ่งที่เราสูญเสีย เราก็ได้สิ่งที่มีค่ากลับมาด้วย มันไม่ใช่การซื้อขายแลกเปลี่ยน แต่เป็นสิ่งที่เราทำตามขนบประเพณีให้ผู้ใหญ่และฝ่ายหญิงสบายใจ ถ้าเรามัวแต่มองว่าเราเป็นฝ่ายเสียประโยชน์อยู่ร่ำไป ชีวิตคู่มันจะไม่มีความสุขเอานา ยังไม่ทันได้เริ่มชีวิตคู่ก็คิดได้เปรียบเสียเปรียบซะแล้ว ระวังชีวิตคู่จะไปไม่ถึงไหนนะ จากคุณ : เจ้ากี้ เจ้าการ ? - [ 16 พ.ค. 52 15:28:36 ]

ความคิดเห็นที่ 79 แล้วแต่ใครจะมองก็แล้วกันนะ เพราะเดี๊ยนเองก็ไม่ค่อยยี่หระกับสินสอดทองหมั้น ไม่แคร์ว่าใครจะรวยกว่าจนกว่า ใครจะระแวงเกาะใครกิน เพราะถึงขั้นคิดจะแต่งงาน ก็คงไม่ต้องพะวงเรื่องดังกล่าวอีกต่อไปแล้วอะ (เคยผิดพลาดมาหนนึงจำจนตายยยยย) สำหรับคุณ จขกท เดี๊ยนพอเข้าใจว่าคุณคิดยังไง ลองถามที่บ้านคุณดูให้ได้มั้ยว่า ถ้าลูกสาวของครอบครัวคุณจะมีเหย้ามีเรือน ทางบ้านเรียกสินสอดหรือซีเรียสเรื่องพวกนี้เปล่าอะคะ ไม่ได้ถามประชดเลยนะ อยากรู้เหมือนกันจ้ะ เพราะอย่างที่บอก เวลาที่เราคิดจะแต่งกับใครจริงๆอะ เพราะรัก หรือเพราะแค่หาเมีย และเพราะไม่ต้องการให้ครอบครัวของเมียมาเอาเปรียบ ถ้าคิดแบบนี้จริงๆ เดี๊ยนว่าคุณรักด้วยเงื่อนไขมากไปหน่อย แต่เคารพความคิดของ จขกท และทุกท่านนะ นานาจิตตังทั้งนั้น จากคุณ : แดงเร็กเก้บาร์ - [ 16 พ.ค. 52 22:19:13 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ไม่เป็นค่ะ เพราะบางประเทศที่ผู้หญิงต้องให้สินสอดผู้ชาย ก็อาจจะคิดอย่างเดียวกับคุณ จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ - [ 17 พ.ค. 52 00:55:08 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ความคิดเห็นที่ 61 พี่ออนไลน์คะ..ถูกใจจัง ............................ ดิฉันแต่งงานกับสามีไม่ได้สินสอดสักบาท สามีดูแลดีมากๆ ยิ่งอยู่ยิ่งรักกันค่ะ วันที่เจอกันเขาเป็นยังไง 10 ผ่านไปก็ไม่เปลี่ยน สินสอดไม่ได้เป็นตัวกำนดใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ ฟันธง มันอยู่ที่ "เพียงแค่ใจเรารักกัน" จ้า ส่วนตัวแล้วคิดแบบคนสมัยใหม่นะคะ ว่า พ่อแม่เลี้ยงลูก ลูกชายหรือลูกหญิงก็ถนุถนอมเหมือนๆ กันนะ ตอนนี้สิทธิ์ชาย และหญิงก็เท่าๆ กัน แต่งงานกันก็ช่วยๆ กัน ทำมาหากินก็ช่วยๆ กัน ไม่มีช้างเท้าหลัง หรือช้างเท้าหน้า เราเดินไปพร้อมๆ กัน ดีกว่า... จากคุณ : noyne - [ 17 พ.ค. 52 01:06:41 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ผมไม่เห็นด้วยน่ะ คุณก็แค่กลัวลำบาก เรื่องมันก็แค่นั้น ส่วนผมน่ะให้ความสำคัญกับเงินน้อยกว่าความรู้สึก ความรู้สึกเสียไปจะทำให้กลับมาเหมือนเดิมยากเย็นยิ่ง แต่เงินทองเสียไปหาใหม่ถึงจะยากเย็น แต่ก็ยัง ง่ายดายกว่า สำหรับผมเงินมีไว้แก้ปัญหา ไม่ใช่เพิ่มปัญหา เรื่องสินสอดจะคืนไม่คืนผมไม่สนใจ เพราะผมไม่ได้ดูว่าผมมีอยู่เท่าไหร่ แต่ผมดูว่าผมสามารถหาได้อีกเท่าไหร่มากกว่า จากคุณ : Generals - [ 17 พ.ค. 52 09:14:01 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เห็นเถียงกันมายาวในเรื่องของสินสอด ทั้งทัศนะคติของฝ่ายชายและของฝ่ายหญิง ขออนุญาตแสดงความเห็นนิดนึงนะคะ อันนี้ได้มาจากประสบการณ์ตรง ส่วนตัุวแต่งงานกับคนต่างชาติ แน่นอนเค้าไม่มีแนวคิดเรื่องสินสอดเลย ตอนที่เริ่มคุยกันเรื่องแต่งงานก็ีมีแย๊บๆประเด็นนี้ไป เพราะ...ทำไงได้คะ มันเป็นธรรมเนียมไทย เราก็รักพ่อแม่เราเหมือนกัน ก็คุยกันเป็นเบื้องต้นก่อนว่า นี่เธอของไทยจะแต่งงานมันมีประเพณีสินสอดด้วยล่ะื แต่ว่าแล้วแต่ครอบครัวนะ บางครอบครัวก็คืนให้ บางครอบครัวพ่อแม่ก็ไม่ได้คืนให้แต่ส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่จะเก็บไว้ให้ลูกสาวน่ะ แล้วก็ลองดูท่าทีฝ่ายชาย ผลคือ เค้าไม่เห็นด้วยเลยค่ะ บอกว่านี่มันสมัยไหนแล้ว แล้วจะไปหาเงินที่ไหน คือฝ่ายชายก็ไม่มีเงินเก็บน่ะค่ะ เราก็ปวดหัวสิคะ ทำไงดี เราเป็นคนกลาง ส่วนตัวก็ทราบค่ะว่าพ่อแม่ก็ไม่ได้ต้องการอะไร ที่บ้านก็ไม่ได้เดือดร้อน แต่มันก็ต้องมีแสดงน้ำใจจากฝ่ายชายบ้าง ก็มันเป็นประเพณีบ้านเรา ดิฉันก็ต้องเจรจาต้าอ่วย กับทั้งสามีและพ่อแม่ตัวเอง ว่าคุณพ่อขา คุณแม่ขา แฟนหนูไม่มีแนวคิดเรื่องสินสอดเลย เค้ามองเราไม่ค่อยดีอะค่ะ แล้วก็บอกคุณสามีว่า สามีขา ทางพ่อแม่เราไม่ได้อยากได้อะไรเลยอะ แต่ทำไงดีมันเป็นประเพณีกลุ้มใจจัง สุดท้าย พ่อแม่อยากเห็นลูกสาวมีความสุข ก็เลยเป็นว่า เอางี้ ให้เค้าโอนเงินมาเดี๋ยวโอนคืนให้หลังเลิกงาน ทางสามีเริ่มรู้สึกผิด ก็พูดกับเราว่า จะดีเหรอเธอ รู้สึกผิดจัง พ่อแม่เธอก็รักและหวงเธอมาก เอาเธอมาฟรีๆ ผิดธรรมเนียมไทย รู้สึกผิดจัง ทางเราก็ อย่าคิดมากสิ บอกแ้ล้วว่าพ่อแม่ไม่ได้อยากได้เงิน มันเป็นธรรมเนียมน่ะ ต่อมาเรื่องโอนเงิน ปรากฏว่าโอนเงินข้ามประเทศเสียค่าธรรมเนียมอีก เรื่องอะไรจะเสียเงิน ก็เลยคุยกับพ่อแม่อีก พ่อขาแม่ขา ค่าโอนมันแพงทำไงดี เราสองคนก็ไม่ได้มีเงินเก็บกัน เสียดายเงินจังที่ต้องเอาเงินไว้ใช้ตั้งตัวมาจ่ายค่าธรรมเนียม(งี่เง่า)นี่ พ่อกับแม่ก็รักเรามากค่ะ เห็นเราทุกข์ใจก็ต้องช่วยหาทางออก งั้นเอางี้ เขียนเช็คมาก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรเลย เค้าถืออะ ก็เลยคุยกับสามี ว่า พ่อกับแม่บอกว่าไม่ต้องโอนแล้วเสียค่าธรรมเนียมแพง เขียนเป็นเช็คมา เพื่อให้ครบถ้วนตามธรรมเนียม แล้วเสร็จงานก็คืนให้ คราวนี้สามีรู้สึกผิดดับเบิ้ลจากเดิมไม่อยากให้ ไม่ต้องการจ่ายอะไรทั้งนั้น ก็เสนอให้ค่าน้ำนมเป็นจำนวนเล็กน้อย เราก็เลยไปบอกแม่ แม่บอกว่าไม่เอาอะ แต่เราทั้งสองคนก็ขอให้พ่อกับแม่เราเก็บไว้ เงินเล็กน้อยแต่เป็นน้ำใจจากสามีน่ะค่ะ เช็คนั้น เราได้คืนมาแล้ว เราเก็บไว้เองเป็นที่ระลึกทุกวันนี้ หลังงานแต่งคุยกับพ่อ ถึงรู้ว่า พวกสินสอดอะไรนี่น่ะ มันเป็นประกันให้พ่อกับแม่สบายใจ เค้ารู้สึกกังวลใจจนกว่างานแต่งจะผ่านพ้นไปน่ะค่ะ เค้าบอกว่า ก็ถ้าวันแต่ง เจ้าบ่าวไม่มาจะทำยังไง เห็นอะไรมั้ยคะ เพื่อนๆทุกคน ชีวิตคู่น่ะ มันมีอุปสรรคให้ฟันฝ่าต่อไปตั้งมากมาย ถ้าปัญหาแค่นี้ คุณแก้มันไม่ได้ ก็ดีแล้วค่ะไม่ได้แต่งงาน เพราะในอนาคต ทั้งคู่ลงเรือลำเดียวกัน ต้องช่วยกันฝ่าฟันปัญหาที่เกิดขึุ้้นไปด้วยกัน แค่นี้ทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องแต่งให้มันเสียชื่อ เสียเงินทอง และเสียเวลา ด้วยความปรารถนาดีต่อทั้งชายและหญิงในที่นี้ ปัีญหามีไว้แก้ค่ะ จากคุณ : ลองอ่านดูนะ - [ 18 พ.ค. 52 02:43:31 A:195.137.93.48 X: TicketID:216572 ]

ความคิดเห็นที่ 84 จากความเห็น 83 นะคะ รู้สึกว่าตัวเองยังเขียนไม่เคลียร์เลยกลับมาอีกรอบ ไม่ได้อ่านครบทุกความเห็นนะคะ อ่านข้ามๆ แต่รู้สึกว่าบางท่านจะใช้ประเด็นสินสอดเป็นประเด็นหลักในการตัดสินใจว่าจะแต่งงานหรือไม่ ก็เลยเข้ามาให้ความเห็นว่ามันมีทางแก้ ทุกปัญหามีทางแก้ ให้คิดซะว่า นี่มันก็ด่านนึงของการทดสอบการใช้ชีวิตคู่น่ะ และขอขยายความต่อไปว่า เมื่อธรรมเนียมนี้มีมานานแล้ว มันก็เป็นการยากที่จะไปล้มล้างทันทีทันใด ยิ่งถ้าคุณเป็นผู้ชายแล้ว คิดจะแต่งงาน เมื่อถูกเรียกสินสอดก็กระฟัดกระเฟียด โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อคู่ชายหญิงเลย จะดีกว่าถ้าเจรจาคุยกันกับแฟนสาวของคุณน่ะค่ะ ว่าเราจะร่วมกันแก้ปัญหานี้ไปได้อย่างไร เพราะ คุณไม่มีเงินทองมากมาย อันที่จริงคนทั่วๆไปก็ไม่มีใครยกเงินให้ใครเป็นล้านๆได้ง่ายๆหรอกค่ะ ถึงมีก็แค่ส่วนน้อยในสังคมไทย ส่วนตัวไม่เชื่อว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่จะเห็นแก่เงินทองมากกว่าความสุขของลูก ถึงได้มีคู่แต่งงานฐานะยากจนถึงปานกลางมากมายในสังคมเรานี่ไงคะ จากคุณ : ลองอ่านดูนะ - [ 18 พ.ค. 52 05:18:07 A:195.137.93.48 X: TicketID:216572 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ตอบคุณแดงเร้กเก้บาร์นะครับ ที่บ้านผมน้องสาวออกเรือนไปได้ 2 ปีแล้ว ตอนฝ่ายชายมาขอ ก็แค่บอกว่า แล้วแต่จะให้ หรือไม่ต้องให้ก็ได้ แต่ขอให้อย่าทิ้งน้องสาวผมก็พอแล้ว ฝ่าย ชายก็ให้มาจำนวนหนึ่ง ทางผมก็ให้คืนแถมเกทับไปด้วย นั่นล่ะครับ ผม บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า สินสอดน่ะ จะให้หรือไม่ให้ก็ได้ แล้วแต่ชายหญิง ตกลง แต่ประเด็นของผมคือ เมื่อฝ่ายชายให้สินสอดไปแล้ว ฝ่ายหญิงก็ ควรจะคืนให้คู่บ่าวสาวเอาไว้ตั้งตัว ไม่ใช่แฮ๊บเอาไว้เอง แต่นั่นเป็นความคิดของบ้านผมนะ บ้านอื่นผมไม่ทราบครับ ตามนั้น แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 52 08:27:19 จากคุณ : โยชิซึเนะ - [ 18 พ.ค. 52 08:26:36 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เรื่องสินสอดอีกและ จริงๆไม่ค่อยเห็นด้วยกับประเพณีนี้เลยนะ ในกรณีที่ให้แล้วไม่คืน คิดว่ามันเป็นกุศโลบายมากกว่าว่าผู้ชายคนนั้นมีปัญญาที่จะหาเงินมาเพื่อเริ่มต้นชีวิตครอบครัวได้หรือเปล่า เริ่มชีวิตครอบครัวหนะไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะ ใช้เงินก็เยอะ ถ้าคืนมาให้ก็เอาเงินนั้นมาเริ่มต้นครอบครัวใหม่ แต่ถ้าไม่คืนนี่เราว่าเหมือนขายลูกกินยังไงไม่รู้ ยิ่งบอกว่าจะคืนให้แล้วไม่คืน เราว่าน่าเกลียดเลยแหละ ไม่งั้นก็บอกมาแต่แรกว่าไม่คืน จะได้ดูจำนวนที่เหมาะสม เรื่องที่ว่าค่าน้ำนมอะไรนั่นหนะ เราก็คิดนะว่าเออแล้วผู้ชาย พ่อแม่เค้าไม่ต้องเสียค่าเลี้ยงดูบ้างเหรอ บางคนพ่อแม่ปากกัด ตีนถีบ ส่งลูกเรียนโรงเรียนดีๆ ได้ทำงานดีๆ ทำไมเค้าไม่มาคิดค่าน้ำนมบ้างหละ อันนี้มันก็ต้องแฟร์กับทางฝ่ายชายเค้าหน่อย ไม่ใช่อะไรๆก็มาอ้างแต่ว่ามันเป็นธรรมเนียม แต่ฝ่ายชายบางคนอยากให้ ก็เรื่องของเค้า บางคนไม่อยากให้ตกลงกันได้ก็ดีไป เราลองคิดเล่นๆว่าถ้าเราเป็นผู้ชาย เราก็คงไม่เก็บเงินไปเป็นค่าสินสอดหรอก แต่จะเก็บเงินเพื่อเริ่มต้นสร้างครอบครัวใหม่มากกว่า จากคุณ : TinyMonster - [ 18 พ.ค. 52 17:15:33 ]

ความคิดเห็นที่ 87 4 ปีแล้ว ที่ยังเป็นหนี้สินสอดอยู่เลยค่ะ ตอนแรกแม่บอกจะคืน .. แต่สุดท้ายแม่ไม่คืนค่ะ ถ้าบอกไม่คืนตั้งแต่แรกก็จะยังไม่แต่งหรอกค่ะ เพราะว่ายังมีเงินกันไม่มากนัก แต่นี่แม่ให้แต่ง บอกว่าจะคืน ก็เลยแต่ง ค่างาน ค่าอะไรต่ออะไร เราสองคนเป็นคนออกหมดค่ะ แม่รับไหว้มาหมื่นนึง กับออกค่าเครื่องนอนส่วนนึงให้ (9500 บาท) ซองแม่เป็นคนแกะ บอกว่าคนนี้แขกแม่ คนนั้นแขกแม่ แต่เราไม่ให้ค่ะ.. ตั้งแต่วันนั้น (วันแต่งงาน) แม่ไม่ได้มองเราเป็นลูกอีกแล้ว แล้วความสัมพันธ์ของแม่ยายกับลูกเขย ไม่ดีเลย ลูกเขยก็มองว่าแม่โกหกและขายลูกกิน แม่ยายก็มองว่าลูกเขยมาทำให้ลูกลำบากต้องช่วยกันหาเงินมาใช้หนี้สินสอด อ่าว.. ก็แม่ไม่คืนนิ.. ตอนมาสู่ขอก็ตกลงกันแล้ว แล้วเรียกซะเยอะเชียว บอกว่าเดี๋ยวคืนให้.. และทุกวันนี้เราก็ยังเลี้ยงดูพ่อแม่เราอยู่นะคะ ทำงานอยู่ที่บ้าน เจอกันทุกวัน เย็นเราก็กลับไปบ้านสามี เฮ้อ..อ..อ.. ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่จะหมดหนี้สินสอดเสียที..  งื๊ดๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 52 11:43:02 จากคุณ : เย็นเซ - [ 19 พ.ค. 52 11:34:44 ]

ความคิดเห็นที่ 88 True love is the true value. Money can be touched..can be seen...but money can run out. True love never goes away....even though it cannot be seen. จากคุณ : Secret of Molly (Lovely Sweet Molly) - [ 23 พ.ค. 52 12:37:27 ]