หวัดดีจ้า เพื่อนพ้องน้องพี่
ห่างหายจากการเขียนไดอารี่ไปนานอีกเช่นเคยค่ะ เพราะอยู่ในโหมด ซึมเศร้า เหงา ทุกข์ มาเดือนกว่าๆ เพิ่งจะอาการดีขึ้นนี่หล่ะคะ
คาดว่าเป็นช่วงฤดูมรสุมชีวิตพัดผ่าน ชีวิตเลยหม่นหมอง อึมครึม น้ำตาไหลพราก ร้องไห้ได้ทุกวัน และ ทุกเรื่อง
มันเป็นช่วงประจวบเหมาะที่ปัญหารุมเร้า ทั้งกายและใจ และมาพร้อมๆกัน อย่างละหลายๆปัญหา ก็เลยตั้งรับไม่ทันค่ะ ปกติเราเข้มแข็งมาก อารมณ์ดี มองโลกในแง่ดีตลอด แต่ 1 เดือนที่ผ่านมานี่ ร้องไห้บ่อยมาก ซึมเศร้า เหงา น้อยใจชีวิต และสุขภาพก็แย่มากๆ
มันเริ่มต้นที่สุขภาพกายค่ะ เรากินยาต้าน HIV ครบ 2 ปีแล้ว แต่ภูมิคุ้มกันขึ้นน้อยมาก ล่าสุดก็ 114 มีการตกลงมาด้วยนะ เพราะก่อนหน้านี้ได้ 160 แล้วน๊า
ภูมิคุ้มกันตก แล้วต่อมาด้วย เริ่มมีคนทักว่า ผลข้างเคียงของยาเริ่มมาแล้วน๊า เส้นเลือดเริ่มปูดๆ เหมือนกรรมกรแบกข้าวสาร บางคนก็ทักว่าหน้าเริ่มเปลี่ยนนิดๆ ให้เปลี่ยนสูตรยาต้านได้แล้ว
แต่การรับยาต้านฟรี โดนใช้บัตรประกันสังคม ไม่ได้เปลี่ยนยาง่ายๆ ถ้ายาตัวที่จะเปลี่ยนมันมาใหม่ มันดี หรือ มันข้ามสูตร ส่วนไอ่ตัวที่มันอยู่ในระดับเดียวกับยาที่เรากินอยู่ เราก็ดันเปลี่ยนไม่ได้ เพราะเราแพ้ตัวนั้น และ เราเป็น โรคโลหิตจางด้วย กินยาตัวนั้นไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไปอีกตัว ที่ต้องให้ ประกันสังคมเขาอนุมัติก่อน นี่ก็รอมา 2 เดือนแล้วค่ะ ยังไม่ได้เปลี่ยนยาเลย ไปหาหมอก็จะถามว่า หนูได้ยาตัวใหม่รึยังค่ะ หมอก็บอกว่า ประกันสังคมยังไม่ส่งเรื่องมาเลย ก็ต้องรอต่อไป มันก็เศร้านะ หดหู่ ท้อแท้
ต่อจากนั้น อาการภูมิแพ้กำเริบหนักค่ะ คือเราน่ะ เป็น ภูมิแพ้ กับ โลหิตจางด้วย แล้วมาแถมเอดส์อีกโรคหนึ่ง ปกติก็จะแพ้อากาศหายใจไม่ค่อยได้ แพ้ที่ตาบ้าง คันตา ตาบวม ตาแดง แต่ช่วงหลังๆ มีอาการภูมิแพ้ทางผิวหนังเยอะมากๆ ลมพิษขึ้นทั้งตัว เป็นผื่นแดงเป็นปื้นๆ ทั้งแขน ขา คอ ฝ่ามือก็เป็นตุ่มน้ำใสๆเม็ดเล็ก แล้วพอมันแตก มันก็เป็นแผล บวกกับผิวแห้งสุดๆ แห้งจนแตกเป็นแผลเลือดออกซิบๆ ทั้งๆที่ทาทั้ง ออย ทั้งโลชั่นเต็มที่แล้ว
สภาพเหมือนหมาขึ้เรื้อนอ่ะคะ ผิวแห้งทั้งตัว เป็นผื่น เป็นสะเก็ดแผล แล้วคันตลอดเวลา หมอประจำตัวเราก็หวังดี ทำใบส่งตัวไปหาหมอผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง แต่คุณหมอคงคาดเดาผิด ทั้งๆที่อยู่โรงพยาบาลเดียวกัน ห้องตรวจก็ห่างกันนิดเดียว แต่บรรยากาศต่างกันฟ้ากะเหว
พอคุณหมอผิวหนังเห็นใบส่งตัว กับแฟ้มประวัติเรา ซึ่งแน่นอนมันบอกชัดเจนว่า เป็นเอดส์ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง คุณหมอก็มองหน้าเราแว๊บนึง แล้วก็จดสั่งยาเลย พร้อมบอกว่า ก็คุณเป็นโรคนี้ มันก็มีอาการแบบนี้หล่ะ เป็นภูมิคุ้มกันสูงขึ้นก็หาย ................ 1 นาที เราก็ออกมายืนงง หน้าห้องหมอ
เดินไปรับยา (ของฟรี จากประกันสังคม) ก็ได้ยาแก้แพ้ ยาแก้คัน กะ ทีเอครีม มาอ่ะคะ
ขึ้นรถได้ ร้องไห้เลย............................
ยิ่งอยู่ในโหมดเศร้าซึมอยู่ พอมีอะไรมากระทบนิดเดียว มันก็เศร้าหนักเลย เราซึมไปเป็นอาทิตย์อ่ะคะ น้อยใจชีวิต หมอไม่ได้ดูผิวเราสักนิดเลย หมอไม่ได้อ่านประวัติด้วยว่าเราเป็น ภูมิแพ้ด้วยนะ เราไม่ได้อ้าปากพูดสักคำ มันน้อยใจนะ พอเห็นว่าเป็นเอดส์ ก็ไม่รักษาเลย
แต่ตอนนี้พอสภาพจิตใจดีขึ้น ก็พยายามหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองค่ะ ไม่น้อยใจคุณหมอผิวหนังแล้ว พยายามบอกตัวเองว่า คุณหมอคงไม่ได้รังเกียจเราหรอก(มั้ง) คุณหมอคงเป็นคนพูดน้อยมาก พูดสั้นไปนิดนึง และคุณหมอคงเก่งมาก มองเราด้วยหางตาแว๊บนึง วินิจฉัยโรคได้เลย ถ้าคุณหมอพูดยาวกว่านี้หน่อย น่าจะดีขึ้น คุณหมอน่าจะบอกว่า อาการภูมิแพ้ มันก็เรื้อรังเหมือน HIV คุณเป็น 2 โรคเลย อาการเลยมากหน่อย ต้องอดทนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวหมอจะให้ยาแก้แพ้ไปก่อนนะ น่าจะช่วยได้บ้าง พูดยาวอีกนิด แต่ความหมายเหมือนเดิมเป๊ะ ให้ยาแบบเดิมก็ได้ แต่ ความรู้สึกคนไข้ จะดีขึ้นมาก
วันถัดจากไปหาหมอผิวหนัง เราต้องพาน้องหมาที่บ้านไปโรงพยาบาลสัตว์เกษตร น้องหมาไปตรวจข้อสะโพก ระหว่างรอเรียกตรวจ ห้องข้างๆ มีคนเอาหมาไทยหน้าตาวัดๆ เป็นขี้เรื้อนเละเฟะทั้งตัวมาตรวจ แล้วห้องตรวจเป็นประตูบานเลื่อน มันปิดไม่สนิท เราเลยได้นั่งดูไปด้วย ดูแล้วก็อิจฉาหมา เจ้าของเขารักมาก ทั้งๆที่หน้าตาก็ขี้เหร่ คุณหมอที่รักษาก็ใจดีมาก หมอตรวจละเอียด พลิกดูซ้ายขวาหน้าหลัง อธิบายอาการ ปลอบใจเจ้าของ............... ดูแล้ว เศร้า แทบอยากย้ายมาโรงพยาบาลสัตว์ หมอใจดีจังเลย หมอไม่รังเกียจแม้หมาขี้เรื้อน แต่เราเป็นคนแท้ๆ ทำไมโดนรังเกียจหว่า คิดแล้ว โหมดซึมเศร้าเข้าครอบงำ ร้องไห้อีก
นอกจากปัญหาทางร่างกาย ก็ยังมีปัญหาทางจิตใจอีกค่ะ ปกติเราก็จิตใจเข้มแข็งนะ เรารู้ว่าติดเชื้อมา 8 ปีแล้ว ก็ทำใจอยู่กับมันได้ ไม่ถึงกับดีใจ และ มีความสุขที่เป็นเอดส์หรอกค่ะ แต่ยอมรับความจริงได้ ไม่โทษใคร ไม่ทุกข์ ไม่ท้อ
แต่ช่วงที่ผ่านมา มีสิ่งเร้ามากระตุ้นปมด้อยในใจเยอะค่ะ เพราะเพื่อนปริญญาโท ดันนัดกินข้าวกัน เพื่อนโทรมาชวนเยอะ ซึ่งเราก็รับปากว่าจะไป แล้วก็เหมือนทุกครั้งที่รับปาก คือวันจริงเราไม่ไปหรอกค่ะ หาข้ออ้างไปเรื่อยๆ เราไม่กล้าไปเจอเพื่อน เรากลัวที่จะตอบคำถาม ว่าทำงานที่ไหน ทำไมยังไม่แต่งงาน แฟนไปไหนหล่ะ
เราพูดความจริงไม่ได้นี่ เราติดเอดส์จากแฟน แฟนตายแล้ว เราไม่ได้ทำงานประจำ เป็นแค่อาสาสมัครในมูลนิธิที่ดูแลเด็กติดเชื้อเอชไอวี ชีวิตเราไม่เหมือนคนอื่น เราจึงหลีกเลี่ยงการพบเจอเพื่อนเก่าๆ เราคบแต่เพื่อนในเว็บแก้วไดอารี่ เพื่อนที่รู้อยู่ว่าเราเป็นเอดส์ แล้วยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเรา
อุตส่าห์ไม่ไปงานเลี้ยงแล้ว เพื่อนๆดันหวังดี โทรมาคุย โทรมาเล่าให้ฟังอีก เพื่อนส่วนใหญ่แต่งงานหมดแล้ว หน้าที่การงานใหญ่โต ก้าวหน้า เงินเดือนมากมาย ซื้อบ้าน ซื้อรถ ลูกกำลังจะเข้าโรงเรียน บางคนมีลูก 2 คนแล้ว
โหมดน้อยใจในชีวิตเลยทำงานหนัก วางสายจากเพื่อน ร้องไห้เลย แล้วเพื่อนดันโทรหาหลายคน เลยได้ร้องไห้หลายรอบ
คราวนี้เห็นอะไรก็น้อยใจ ร้องไห้ไปหมด เดินไปหน้าปากซอยบ้าน จะซื้อขนมกิน เห็นสาว office แต่งตัวสวยๆ มาเดินซื้อของ ยังน้ำตาซึมเลย น้อยใจ อยากมีชีวิตเหมือนเขาบ้าง อยากขาสวยๆ ไม่ลายพร้อยบ้าง
คำถามเดิมๆ มันก็ย้อนกลับมาให้เศร้าใจ เราก็ถามตัวเอง ว่าทำไมเราต้องเป็นเอดส์ ทั้งๆที่เรามีแฟนคนเดียว เราไม่เคยมั่ว ทำไมชีวิตเราต้องพังหมดเลย เราไม่ได้ทำงานดีๆเหมือนเพื่อนๆ ไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้มีลูกที่เราอยากมีมาก ทำไมชีวิตต้องเป็นอย่างนี้
เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เศร้ามากมายค่ะ เศร้าจนเบื่อตัวเอง เมื่อไหร่จะเลิกเศร้านี่ รำคาญแล้วนะ รื้อหนังสือธรรมะมาอ่านเป็นสิบๆเล่ม พยายามเอาวิธีต่างๆที่เคยได้ฝึกตอนไปปฏิบัติธรรมมาใช้ เรียกว่านิมนต์กันมาแทบจะทุกสำนัก ก็ช่วยเยียวยาจิตใจได้บ้างค่ะ
พยายามอยู่เงียบๆ คนเดียว เพราะเจอคนมาก มันรับสิ่งที่มากระทบใจได้มาก ช่วงใจอ่อนแอ พยายาม ปิดตา ปิดหู ปิดปาก แล้วจะช่วยได้เยอะ
ก็เยียวยาจิตใจตัวเองค่ะ เพราะไม่มีใครช่วยอะไรได้เท่ากับเราช่วยตัวเองหรอก ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นๆอาจจะพูดได้ว่า "เป็นกำลังใจให้นะ" มันก็ช่วยได้นิดๆค่ะ แต่การจะลุกขึ้นมาสู้ ลุกขึ้นมาจากความทุกข์ ความเศร้า มันต้องลุกเอง ไม่มีใครช่วยได้
ก็ใช้ธรรมะช่วยเยียวยาจิตใจ บวกกับกลยุทธบำบัดความเครียดที่เคยใช้คือ หาอะไรอร่อยๆกิน กะ ซื้อหนังสือ ดังนั้น สิ่งนึงที่ได้จากความพยายามบำบัดอาการซึมเศร้า คือ น้ำหนักเพิ่มสัก 3-4 กิโล กะ หนังสือใหม่ๆ อีก 30 เล่ม จนไปเลยค่ะ แต่ก็ช่วยให้รื่นเริงขึ้นได้นะ
นอกจากนี้ก็ได้ ความรักจากครอบครัวและเพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเลกับคุณอา ไปเที่ยวแก่งกระจานกับเพื่อนๆในเว็บ โทรคุยกับเพื่อนที่ติดเชื้อด้วยกัน บวกกับการฝึกไปดูหนังคนเดียว อิอิ ใน 1 เดือนนี่ เราไปดูหนังคนเดียว 4 เรื่องแล้ว
พยายามสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิในนานๆทุกวัน เรียก สติ เรียกความเข้มแข็ง กลับมา ตอนนี้ก็เรียกกลับมาได้เยอะแล้วค่ะ หลังจาก สติแตก กระเจิดกระเจิงไปไกล
สู้กันต่อไป ก็ล้มๆ ลุกๆ แต่ไม่ยอมแพ้ค่ะ...............
พรุ่งนี้ก็จะไปผจญภัยในคลีนิคเฉพาะทางเรื่องโรคภูมิแพ้ค่ะ เพื่อนแนะนำมา เขาว่าคุณหมอเก่งมาก เป็นอาจารย์ด้านโรคภูมิแพ้ โดยตรง แต่ต้องเตรียมเงินไปเยอะหน่อย เพราะแพง
ทำงัยได้เนอะ หมอฟรี ยาฟรี จากประกันสังคม ช่วยได้ในเรื่องไม่ให้ตาย แต่ถ้าจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ต้องยอมจ่ายเงินเอง
อาการภูมิแพ้มันเป็นเยอะมาก ไม่รักษาก็ทรมานค่ะ ก็ต้องยอมจ่ายเองอ่ะนะ พรุ่งนี้ต้องไปกด ATM ก่อนไปหาหมอ
แต่ที่กังวลคือ ถ้าหมอถามว่า "มีโรคประจำตัวอะไรอีกรึเปล่า" เราจะต้องโกหก ว่า ไม่มี หรือ พูดความจริงว่าเรามี HIV ด้วยนะ
ใจจริงเราไม่อยากโกหกใครเลย แต่บางครั้ง ความจริงบางอย่าง มันก็พูดไม่ออก บอกลำบากเหลือเกิน.............................
แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะคะ ว่าสรุปแล้วเราพูดความจริง หรือ โกหก และ พรุ่งนี้ ใจจะเข้มแข็งพอรับกับสภาพต่างๆได้รึเปล่า ถ้าหายไปนาน แปลว่า แพ้ค่ะ ใจอ่อนแอ คงไปนอนร้องไห้อีกสักอาทิตย์
ป.ล เอารูปผื่นแพ้มาอวด สยองขวัญดีค่ะ
http://www.kaewdiary.com/webboard/show.php?CateID=0&No=45032
จากคุณ :
++MooKaew++
- [
25 พ.ค. 52 19:31:24
]