อ่ะแฮ้มๆๆๆ
มารายงานเหตุการณ์จ้า ภาคต่อจากไดอารี่เมื่อวาน แต่ต้องเดากันได้แน่ๆๆเลยว่าผลมันออกมาอย่างไร
ขอบคุณเพื่อนๆในพันทิพมากๆนะคะ ที่มาให้กำลังใจในกระทู้ก่อนกันอย่างล้นหลาม ห้องสวนลุม เป็นบ้านหลังแรกที่เราเข้ามาพักพิง ตั้งแต่รู้ว่าติดเชื้อ HIV เมื่อ 8 ปีก่อน
8 ปีที่แล้ว ดูแลเราอย่างดี ให้กำลังใจเรามากมาย จนเราลุกขึ้นมาสู้ต่อได้ จนถึงทุกวันนี้ ห้องสวนลุมก็ยังเป็นครอบครัวที่อบอุ่นของเราเสมอมาค่ะ
เพื่อนๆในเว็บ kaewdiary.com ของเราเอง ก็เป็นครอบครัวเล็กๆที่อบอุ่น บางทีเพื่อนๆเหมือนจะไม่สนใจเรา เพราะเพื่อนมักคิดว่า เราเก่ง เราเข้มแข็ง แต่พอไดอารี่อันไหนที่เราทุกข์ เราท้อ เพื่อนๆก็มาให้กำลังใจกันมากมาย โทรมาหา ส่ง sms มาก็เยอะ รู้น๊า เพื่อนก็รักเรา แต่เพื่อนชอบ อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ
เมื่อคืนก็นอนคิดทั้งคืนค่ะ ว่า วันนี้ ต้องไปหาคุณหมอโรคภูมิแพ้ จะบอกความจริงคุณหมอดีมั้ยน๊า ว่าเรามี HIV ด้วย ที่ลังเล ที่กลัวก็เพราะ เคยโดนรังเกียจมาแล้วหลายครั้ง เคยโดนมองหัวจรดเท้าด้วยสายตาดูถูกมานับครั้งไม่ถ้วน มันก็เป็นแผลเป็นในใจนะคะ มันเลยกลัวๆ
เพราะช่วงหลังๆนี่ชีวิตส่วนใหญ่ของเรา มักจะอยู่ในแวดวง คนที่รู้อยู่แล้วว่าเรามี HIV แล้วเขาเต็มใจที่จะคบเราเป็นเพื่อน เราไม่ค่อยอยู่กับคนที่ไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร ทุกวันนี้ก็มีคนเดียวที่ใกล้ชิดเราเกือบทุกวัน โดนที่ไม่รู้ว่าเราเป็นเอดส์ นั่นคือ ครูฝึกของเราในฟิตเนสนั่นเอง
ที่เหลือก็เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรามากนัก จึงไม่จำเป็นต้องบอกเขาว่าเราเป็นอะไร เช่นญาติที่ไม่สนิท คนข้างบ้าน เพื่อนที่เคยเรียนด้วยกัน
เราก็ไม่ชอบโกหกใครค่ะ ถ้ามาเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเรา และ มีเหตุอันควรที่ควรบอก เราบอกทุกคนหมด เช่น ผู้ชายที่เข้ามาจีบ ตอนเป็นแค่คนรู้จัก ก็ไม่จำเป็นต้องบอก แต่พอเริ่มจีบ เราจะมีประโยคนึงเลย "นี่ๆๆ เรามีอะไรจะบอก .... เราเป็นเอดส์"
บอกทุกคนค่ะ แล้วก็ ไปหมดทุกคน ไปช้า ไปเร็ว และ ไปวิธีไหน เท่านั้นเอง
เจ็บจนชาชินอ่ะนะ แต่เราก็เลือกที่จะบอก เพราะเราว่า มันเป็นสิทธิของเขาที่ควรจะได้เลือกก่อนว่า เขาอยากคบคนเป็นเอดส์มั้ย ไม่ใช่หลอกให้รักก่อน หรือ รอจนมีอะไรกันแล้วค่อยบอก เราว่ามันเห็นแก่ตัวเกินไป
ดังนั้นการที่ต้องคิดว่าจะบอกคุณหมอโรคภูมิแพ้ดีมั้ยนะ ว่าเรามี HIV ด้วย จึงคิดอยู่นาน แต่ก็ ตัดสินใจว่าจะบอก เพราะไม่อยากโกหก แต่ก็ขอรอดูหน้าคุณหมอสักนิดก่อน
ไปนั่งรอที่คลีนิคตอนเย็นๆค่ะ คุณหมอเป็นอาจารย์หมอ ใน ร.พ รัฐ แล้ว เย็นๆ มาเปิดคลีนิค มีเพื่อนที่ติดเชื้อด้วยกันไปนั่งให้กำลังใจอยู่ 1 คน ก็คุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้รอคุณหมอ
คุยกันเพลิน จนคุณหมอมา แล้ว เจ้าหน้าที่กำลังจะเรียกเราเข้าไป คุณเพื่อนเพิ่งเตือนว่า แผ่เมตตาให้คุณหมอด้วยนะ หมอจะได้เมตตา เราเลยบอกเพื่อนว่า เตือนช้าไปอ่ะ ไม่ทันแล้ว วัดดวงเลยแล้วกัน
ไปนั่งใจเต้นโครมครามอยู่ในห้องตรวจ คุณหมออายุเยอะแล้วค่ะ หน้าตาใจดี ดูตาแล้ว มีแววความเมตตา ก็เลยสรุปในใจตัวเองว่า เดี๋ยวคุณหมอคงถามว่า มีโรคประจำตัวอะไร เราก็จะบอกเลยว่าเรามี HIV
คุณหมอถามเรื่องอาการแพ้ เราก็เล่าว่า เราเป็นภูมิแพ้มานานมากแล้ว แต่จะแพ้อากาศ เป็นส่วนใหญ่ แต่ช่วงหลังๆ มีแพ้ที่ตา คันตาด้วย แต่ที่มาวันนี้ เพราะแพ้ทางผิวหนัง ผื่นขึ้นเยอะมาก คุณหมอก็จดละเอียด แล้วถามถึง กรรมพันธุ์ว่ามีใครเป็นภูมิแพ้มั้ย ก็เล่าว่า น้องสาวเป็นหอบหืด และ อาการแพ้ทางผิวหนังตั้งแต่เกิด
ต่อจากนั้นคุณหมอก็ลุกขึ้นมาดู ผื่น เราใส่ขาสั้นไปหาหมอ เพราะผื่นส่วนใหญ่อยู่ที่ต้นขา หมอเห็นขาเท่านั้นหล่ะ ร้อง "โอ้โห"
โปรดจำไว้ เวลา ได้ยินหมออุทานว่า โอ้โห นึกในใจได้เลย "ซวยแล้วเอ็ง"
หมอเอามือมาลูบๆๆ แล้วบอกว่า ทำไมแพ้เยอะมากขนาดนี้ ทรมานแย่เลย คันมากใช่มั้ย ผิวแห้งมากด้วย คุณหมอดูละเอียดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พลิกซ้ายพลิกขวา แอบนึกถึง คุณหมอใจดีที่โรงพยาบาลสัตว์ ที่ตรวจน้องหมาขี้เรื้อน ดีใจจังมีหมอสนใจเราเหมือนน้องหมาตัวนั้นแล้ว
คุณหมอตรวจนานมากค่ะ แล้วก็เอา โทรศัพท์มือถือ มาถ่ายรูปผื่นไว้ด้วย แล้วบอกว่า แพ้เยอะมากๆๆนะ ต้องอดทน มันต้องรักษานาน แล้วคุณหมอก็มานั่ง จดๆๆๆๆ
เราก็รอว่าเมื่อไหร่ คุณหมอจะถามเรื่องโรคประจำตัว คุณหมอก็ไม่ถาม
เราเลยบอกเอง................เออ คุณหมอค่ะ หนูมี HIV ด้วย
ใจเต้นตึ๊กๆ ลุ้นระทึก จะโดนดีดออกมาจากห้องรึเปล่าฟ่ะ
คุณหมอจดลงไปอีกว่า HIV แล้วถามเรียบๆว่า CD4 เท่าไหร่แล้ว ก็บอกไปว่า 114 ค่ะ
คราวนี้ คุณหมอมองหน้า แล้วถามว่า ได้กินยาต้านรึยัง บอกว่า กิน 2 ปีแล้วค่ะ คุณหมอบอกว่า ภูมิคุ้มกันขึ้นช้ามากเลยนะ แล้วคุณหมอถามว่า หมอที่รักษา เขาไม่ดูแลบ้างเหรอ ทำไมปล่อยให้แพ้เยอะขนาดนี้
เราเลยต้องรีบปกป้องคุณหมอเราก่อน หมอของเราใจดีนะคะ ดูแลเรามา 8 ปีแล้ว เราก็บอกว่า คุณหมอก็เป็นห่วงค่ะ ทำใบส่งตัวไปหาหมอผิวหนังแล้ว แต่คุณหมอผิวหนังไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่า ก็เพราะเป็น HIV ก็เลยเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวก็หายเอง
คุณหมอส่ายหน้า แล้วบ่นว่า โชคร้ายหน่อยนะ เจอหมอใจร้าย
แล้วคุณหมอบอกกับเราว่า ที่เราเป็นน่ะ เป็นอาการของโรคภูมิแพ้ ซึ่งเป็นโรคทางกรรมพันธ์ ที่รักษาไม่หายขาดเหมือนกัน แล้วมาบวกกับมี HIV เป็นภูมิคุ้มกันบกพร่องด้วย ก็เลยแย่หน่อยนะ ต้องอดทนเยอะๆ
โอ้โห พูดเหมือนที่เราเขียนในไดอารี่เมื่อวานเลยอ่ะ ฟังแล้วได้กำลังใจขึ้นมาเพียบ ทั้งๆที่มันก็รักษาไม่หายนี่หล่ะ
ถามคุณหมอว่า แล้วทำไมตอนภูมิคุ้มกันต่ำๆ เราไม่มีอาการภูมิแพ้กำเริบ มากเท่านี้หล่ะคะ คุณหมออธิบายว่า ก็ตอนนั้น เราแทบจะไม่มีภูมิคุ้มกันเลย (เราเริ่มยาตอน ภูมิคุ้มกันเหลือแค่ 9 ตัว) มันก็เลยไม่แพ้อะไรมาก เพราะไม่มีภูมิคุ้มกันมาต่อสู้อะไรเลย แต่ตอนนี้ภูมิคุ้มกันเริ่มจะพอมีแรงบ้าง ก็เริ่มจะมาต่อสู้กับสิ่งต่างๆ แต่มันไม่ประมาณตัวเองว่า ตัวเองยังมีแรงน้อย สู้ก็เลยแพ้ บวกกับเป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว ก็เลยแพ้ยับเยิน
หมอบอกว่า คงทรมานไปอีกนาน จนภูมิคุ้มกันสูงมากๆ ก็จะดีขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าอาการภูมิแพ้จะหายขาด แต่มันจะแพ้อะไรน้อยลงเท่านั้นเอง
คุณหมอ สอบถามกิจวัตรประจำวัน เพื่อหาทางให้เราหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ ซึ่งก็ยากมาก เพราะเราแพ้อากาศ กับ มีอาการแพ้ทางผิวหนัง คือ มีอะไรระคายเคืองนิดเดียวเราก็แพ้แล้ว ผิวไม่สมดุลเมื่อไหร่ก็แพ้ เย็นไป ร้อนไป ก็แพ้ โดนแดดมากก็แพ้ ยุง แมลงบินเฉี่ยวก็แพ้แล้ว
สรุปคือ ต้องใช้ความอดทนสูงมาก กินยาแก้แพ้ ทายาที่หมอให้ ใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ดูแลผิวที่เป็นพวกเวชสำอาง ที่รักษาสมดุลผิวได้ (ซึ่งมันแพงมาก) ห้ามอาบน้ำอุ่นเด็ดขาด ห้ามอยู่ในที่เย็นเกินไป หรือ ร้อนเกินไป ไม่ให้โดนแดด ระวังเรื่องความสะอาดของสิ่งรอบตัว
อุปกรณ์ในฟิตเนส ก็ตกเป็นจำเลยสำคัญ เพราะมันใช้ร่วมกันหลายคนมาก เชื้อโรคเยอะแน่ๆ เห็นชัดๆจากฝ่ามือเรา ว่าแพ้เละเลย หมอบอกว่า ควรมีของส่วนตัวไปใช่เวลาต้องใช้ของร่วมกับคนอื่น ก็คงต้องหาเสื่อโยคะส่วนตัว (มีเพื่อนใจดี ในพันทิพ จะส่งมาให้แล้ว ขอบคุณนะคะ) คงต้องหาถุงมือไปใส่ด้วยอ่ะ
คุณหมอดูแลเราดีมากเลยค่ะ ตรวจนาน คุยนานมาก รู้สึกดี มีกำลังใจจะสู้ต่อขึ้นเยอะเลย หมอให้ยามาสำหรับ 1 อาทิตย์ แล้วไปหาใหม่เพื่อดูว่าดีขึ้นบ้างมั้ย ค่ารักษา ค่ายา ก็แพงพอควร แต่ก็จำเป็นอ่ะคะ คงต้องประหยัดๆๆมากขึ้น เอาเงินมาหาหมอ
เราก็ทำใจได้ว่าต้องหาหมอ จ่ายเงินเองบ้าง เพราะ ต้องยอมรับความจริงว่า ของฟรีและดี ไม่มีในโลก ประกันสังคมก็ช่วยเราได้ในระดับหนึ่ง แต่อะไรที่ประกันสังคมช่วยไม่ได้ ก็ต้องยอมจ่ายเองบ้าง คิดซะว่า แค่นี้เราก็กำไรแล้ว แค่ค่ายาต้าน HIV ที่ได้ฟรีทุกเดือน ก็คุ้มแล้ว เพราะแพงกว่าเงินที่ส่งประกันสังคมทุกเดือนอยู่แล้ว
จ่ายเงินเสร็จ อารมณ์ดีขึ้นมาก ในที่สุดก็มีเรื่องดีๆกับเขาสักที หลังจากที่อยู่ในโหมดซึมเศร้า เหงา ทุกข์ เจอแต่เรื่องแย่ๆ มาเกือบ 2 เดือน
เดินคุยกับเพื่อนต่อ แล้วแวะไปเช็คเรทติ้งหนังสือซะหน่อย ไปถามหา หนังสือ เอดส์ไดอารี่ เล่ม 6 ที่ออกมาได้เดือนกว่าๆแล้ว คนขายเขาก็เดินหาให้ใหญ่เลย แล้วไปเปิดคอมพ์ดู เขาบอกว่า ขายหมดแล้วค่ะ อาทิตย์หน้าถึงมาส่งใหม่
แอบปลื้มหนังสือขายดีเฟ้ย................
ระหว่างขับรถกลับบ้าน จิตใจดีขึ้นมาก ความเข้มแข็งกลับมาแล้ว ไม่เศร้าแล้ว เริ่มคิดโครงการกิจกรรมต่างๆได้แล้ว ประชาสัมพันธ์เลยแล้วกันนะคะ
เดือนหน้า 13 มิ.ย ที่เว็บแก้วไดอารี่ จัดทอดผ้าป่า สมทบทุนสร้างสำนักปฏิบัติธรรมที่ปากช่องนะคะ ดูรายละเอียดได้ในเว็บ ไปร่วมงานกันก็ได้ จัดรถบริการด้วย
แล้วกิจกรรมสำหรับน้องๆติดเชื้อ HIV ที่บ้านแกร์ด้า ก็เริ่มๆๆมีแล้วนะคะ เพราะอากาศไม่ร้อนจัดแล้ว เข้าไปได้แล้วค่ะ คงเริ่มรื้อฟื้น โครงการหุ่นมือเพื่อเล่านิทานให้น้องๆฟัง หรือ สอนธรรมะ
แล้วก็มี น้องหญิง น้องในเว็บ จะทำโครงการครูอาสา สอนน้องๆถักไหมพรมนะคะ เราเลยช่วยต่อยอดให้ว่า สอนน้องๆแกร์ด้าถัก แล้วก็เอาให้น้องใช้เองตอนหน้าหนาว แล้วก็ถักเผื่อให้เอาไปบริจาคน้องๆบนดอย ทางเหนือด้วย เด็กๆได้ฝึกการมีน้ำใจให้คนอื่น
ปลาย มิ.ย น่าจะมี ค่ายเล็กๆ สำหรับเด็กวัยรุ่น จัดที่แกร์ด้าค่ะ มีเพื่อนจบจิตวิทยามา เขาอาสามาช่วย
เดือนกรกฎา เว็บแก้วไดอารี่อายุครบ 8 ขวบ วันที่ 12 ก.ค มีทำบุญเลี้ยงพระเพลที่ ร.พสงฆ์นะคะ ส่วนงานเลี้ยงสังสรรค์ นัดพบปะกันยังไม่ได้กำหนดวัน
ส่วนเราเอง ก็คงเริ่มเข้าไปค้างที่บ้านแกร์ด้ามาขึ้น เพราะมีหน้าที่ทำแนะแนวให้เด็กๆค่ะ
อิอิ ดีใจ ที่เอาชนะอาการซึมเศร้าได้แล้ว กลับมาเป็นหมูแก้วคนเดิมแล้ว ขอบคุณทุกๆกำลังใจนะคะ วันศุกร์นี้ก็มีนัดไปหาหมอ ต้องลุ้นว่าเดือนนี้จะได้เปลี่ยนยาต้านสูตรใหม่รึยัง คืนวันพฤหัสต้องไปเอาบัตรคิวตอนเที่ยงคืนก่อน.. สู้ๆๆ กันต่อไปเนอะ//figh
จากคุณ :
++MooKaew++
- [
26 พ.ค. 52 22:51:59
]