ความคิดเห็นที่ 1 คุณกล้า ดิสเครดิตผม หากผมไม่ผิด คุณจะกล้าขอโทษไหม จากคุณ : maxxx123 - [ 28 พ.ค. 52 22:49:09 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผ่านมาอ่านดู   งืมๆๆ จขกท จายร่มๆๆ  นะค่ะ จากคุณ : therumo (therumo) - [ 28 พ.ค. 52 23:23:13 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตามไปดูมาค่ะ เค้าชื่อ ลูกเป็ดขี้เกียจ อ่ะค่ะ จากคุณ : punk_doll - [ 28 พ.ค. 52 23:26:02 ]

ความคิดเห็นที่ 4 -*- อ่าวขอโทษครับ งั้นเปลี่ยนจากลูกเป็ดขี้เหร่ เป็นลูกเป้ดขี้เกียจ ครับ ฝากนิดหนึ่งครับ สำหรับผู้ทรงความรู้ทั้งหลาย เวลาจะตอบกระทู้ กรุณาอย่าอ้างวิชาชีพครับ ให้อ้างตำราวิชาการจะดีกว่า บางทีความรู้ของเรามันก็เก่าไปแล้วครับ หากจะลบล้าง ความเห็น หรือความรู้คนอื่น กรุณาเอาข้อมูลวิชาการครับ อย่าอ้างเพราะว่าคุณเป็นผู้ทรงความรู้ จากคุณ : maxxx123 - [ 28 พ.ค. 52 23:33:25 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เอ้าๆ ยัยลูกเป็ดขี้เหร่ เอ้ย ขี้เกียจ ช่วยมาตอบให้ว่องเลยหน่อยสิ ปากดีเป็นศรีแก่ปากจริงๆ ถึงข้อมูลจะผิด จะถูก แต่ก็ไม่ควรว่าใครมั่วเล้ยยยยชี้แจงกันดีๆไม่เป็นจริงๆคนเราสมัยนี้ เอาข้อมูลถกกันเฉยๆไม่ได้จะต้องมีคำมาค่อนมาแขวะ หาว่ามั่วอีก แล้วก็เข้ามาตอบซะนะ มันมีไม่กี่คนหรอกในนี้ที่พูดจาแย่ๆ เสียแรงเรียนสูงส่งแต่ปากคอนี่สุดๆ จากคุณ : พลอย - [ 28 พ.ค. 52 23:45:21 A:58.8.154.192 X: TicketID:209337 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เห็นด้วยค่ะว่า Advil liquid gel ออกฤทธิ์เร็วดีมากๆ  ทานยาแล้วนอนพักแป๊บเดียวหาย จากคุณ : Madam_delight - [ 29 พ.ค. 52 00:42:14 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จขกท ไม่น่าฟันธงแบบนั้นในประโยคแรกของกระทุ้ที่มีปัญหานั้นอ่ะ ผมว่าคุณเขียนไปแบบนั้นมันก็ไม่ถูก เพราะคุณไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นิ มีข้อมูลแค่นั้นเอง คุณ จขกท เขียนแบบนั้นได้เลยเหรอ เกินไปนะครับ ก็น่าจะตรองให้ดีซักนิด ลูกเป็ดขี่เกียจนี่คงจี๊ดแปล๊บขึ้นมา เลยไปหาว่าเค้ามั่ว นี่ก็เกินไปอีก ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ในบอร์ดนี้เลย จริงๆแล้ว ทุกคนก็อยากมาตอบกระทู้ช่วยเหลือคนในบอร์ดนี้อ่ะ จะมาเถียงกันทำไม จะมาโอ้อวดว่าใครรู้มากกว่าใครไปทำไมอ่ะ แก่ๆ กันแล้ว ปลงกันเถอะ อย่าให้เด็กๆในบอร์ดนี้หัวเราะเยาะเอา (แอบตอบแบบจับผิด จขกท.ไปด้วย ไปดูด้วยนะ ไม่พอใจก็ขอโทษด้วย แต่คุณก็เขียนไม่เคลียร์ ผมเลยตอบแบบนั้นไป) จากคุณ : Empirical Man - [ 29 พ.ค. 52 01:35:04 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คห..ที่6 ชอบเหมือนกันเลยค่ะ..มีติดรถติดบ้าน.. จากคุณ : Happyjune - [ 29 พ.ค. 52 03:23:44 ]

ความคิดเห็นที่ 9 รูมเมทเรา เวลาเค้าเป็นไมเกรนนะ ชอบออกมายืนอ้วก หน้าsink ประจำ เห็นแล้วทรมานมาก จากคุณ : นิรันดร์ตรี - [ 29 พ.ค. 52 03:32:02 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เรารู้ว่าแค่ คำว่า ทฤษฎี หมายถึง สมมติฐานที่น่าจะเป็นจริง แต่ไม่ได้หมายความว่า ชัวร์แน่นอน 100% มักไม่มีถูกและผิด เป็นเพียงการเสนอแนวคิด แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง ดังนั้นการที่จะมาฟันธงว่า ทฤษฎีนี้น่าเชื่อถือ ถูกต้อง ห้ามคัดค้าน จึงไม่ถูกต้องค่ะ  คล้ายกับคำว่า ทฤษฎีบุคลิกภาพของXXX ทฤษฎีบุคลิกภาพของYYY ทฤษฎีบุคลิกภาพของZZZ  ทุกทฤษฎีมีแนวคิดของเขา ไม่ได้หมายความว่า ของคนอื่นผิด ของตัวเองถูก เป็นเพียงการนำเสนอแนวคิดเท่านั้น อีกอย่างจะเป็นภาษาไหนก็ต้องตรวจสอบค่ะ ใช่ว่าบอกมาจากต่างประเทศแล้วจะถูกต้องเสมอไป เราเองก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับคำว่า ซีโรโทนิน ในระดับหนึ่ง มันก็ไม่ใช่สารไม่ดีนะ เพียงแค่ถ้าหากมีต่ำเกินไปจะทำให้เป็นซึมเศร้าได้ และส่งผลต่อการนอนหลับ รวมทั้งสภาพทางจิตใจอย่างอื่น อย่างที่ยกมาว่า กระวนกระวาย ในผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้า ก็พบว่ามีระดับของซีโรโทนินต่ำกว่าปกติ ดังนั้นไม่จำเป็นว่า ต้องเป็นคนที่เป็นไมเกรน(ตามข้อมูลที่คุณบอกมา)เท่านั้น ถึงจะเกี่ยวข้องกับซีโรโทนิน และ อาการกระวนกระวาย นอนไม่หลับ ที่จริงมันเกี่ยวข้องกับตริปโตฟานในซีโรโทนินน่ะแหล่ะ  การกินคาร์โบไฮเดรตจะช่วยได้ระดับหนึ่งในเรื่องของซีโรโทนิน จากข้างบนที่ว่ามา ใช่ว่าทุกคนที่มีซีโรโทนินผิดปกติจะต้องเป็นไมเกรนร่วมด้วย ไม่งั้นผู้ป่วยซึมเศร้าก็คงเป็นไมเกรนร่วมทุกคนแล้วล่ะ และก็คงจะเห็นแสงวูบวาบกันทุกคนด้วย เพราะเขามีความผิดปกติเกี่ยวกับสารตัวนี้ค่อนข้างโดยตรง ข้อมูลของ ซีโรโทนินใน blog ค่ะ ตัวที่ 1 : สารสื่อประสาท ซีโรโทนิน (selotonin) หน้าที่ของสาร : เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ และ อารมณ์อย่างมาก ความสำคัญ : หากระดับของซีโรโทนินมีน้อย อาจทำให้เกิดโรคทางจิตเวชได้ โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า การอดอาหารจะทำให้เราปวดศีรษะ และ หงุดหงิด เนื่องจากในซีโรโทนิน จะมีสารตริปโตฟาน ซึ่งสมองต้องการจากอาหาร ผู้ป่วยซึมเศร้า จะมีการพบว่า มีซีโรโทนิน อยู่ในระดับต่ำกว่าคนปกติ ในส่วนของผู้ป่วยไบโพล่าร์(ในระยะซึมเศร้า) ก็เช่นเดียวกัน วิธีดูแล : การดูแลไม่ยากค่ะ แค่มีการบริโภคที่ถูกต้อง ก็ช่วยสร้างภูมิต้านทานความวิตกกังวล หรือ ซึมเศร้าได้ เนื่องจากสารนี้ถึงแม้จะเกี่ยวข้องกับอารมณ์แต่ก็เกี่ยวข้องกับอาหารด้วย ควรกินให้ถูกต้องตามนี้ 1. ควบคุมปริมาณของ แป้ง และ โปรตีน ให้เหมาะสม พวกแป้งจะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น และอารมณ์จะสงบลง โดยเฉพาะในหมู่ผู้หญิง และช่วยเพิ่มระดับของ ตริปโทฟาน แต่หากมากเกินจะทำให้ เชื่องซึม และ ง่วงนอน จึงควรทานพวกโปรตีนด้วย จะช่วยกระตุ้นให้ร่าเริงขึ้น ในขณะเดียวกันโปรตีนมีส่วนช่วยในการยับยั้งการออกฤทธิ์ของซีโรโทนิน หากมากเกินไป จะเกินพอดี และ ยังทำให้หงุดหงิดง่ายอีกด้วย กลุ่มที่ ซีโรโทนินต่ำ หรือ ผู้ป่วยซึมเศร้า แนะนำให้เสริมพวกแป้ง หรือ คาร์โบไฮเดรตมากกว่าปกติ น้ำตาลในช๊อคโกแลตก็ช่วยให้ระดับของซีโรโทนินสูงขึ้นด้วย แต่ก็ไม่ควรทานมากเกิน เพราะเสี่ยงต่อโรคอื่น 2. วิตามิน ซี และ วิตามิน บี 6 (กล้วยช่วยได้) ในตัวนี้จะช่วยเปลี่ยนให้ตริปโทฟาน เป็น ซีโรโทนิน ซึ่งจะทำให้ระดับของซีโรโทนินไม่ต่ำลงไป ถ้าไม่รู้จะกินอะไรดี กล้วย ค่ะ นี่เลยเป็นเหตุว่า ทำไมกินกล้วยแล้ว จะอารมณ์ดี แล้วก็ ง่วงนอน 3. ออกกำลังกาย มีการศึกษาว่า ระดับของซีโรโทนิน ได้เพิ่มขึ้นตามการออกกำลังกาย อาจจะต้องติดต่อกันหลายวัน แต่มีการเปลี่ยนแปลงของซีโรโทนินไปในทางบวก จึงเป็นอีกหนทางที่จะช่วยป้องกัน ความวิตกกังวล โรคซึมเศร้า และโรคทางจิตเวชได้ ปล. เสนอเป็นข้อมูลอีกด้านค่ะ ไม่มีเจตนาค้านกับใคร แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 52 05:40:31 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 52 05:38:45 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 52 05:32:29 จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ - [ 29 พ.ค. 52 05:28:28 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณ คห.10 ครับ ข้อมูลที่คุณให้มามันเป็นข้อมูลที่ดีมากครับ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ใช้ตี ทฤษฏี หลอดเลือด แต่ก็ใช่ว่าจะอธิบายกลไกการเกิด ไมเกรน ได้ทั้งหมด ยังมีหลายจุดที่ตอบคำถามไม่ได้  ยาที่เกิดจากทฤษฏีนี้คือ สมาทริปแทน ซึ่งเป็นยารักษาไมเกรน โดยตรง แต่ราคาแพงมาก เวลาจะค้านอะไร อยากให้คนที่เขาไม่รู้อ่านแล้วได้ความรู้ครับ ไม่ใช่แบบ บางคน ตามคห.10 ผมรับได้ครับ นั่นคือความรู้จริงๆ ถามนิดหนึ่งนะครับ ซีโรโทนิน มีหลายตัวนี่ครับ คำนี้เป็นคำรวม หรือเปล่า ละแต่ละตัวก็มีผลต่อหลอดเลือดและสารต่างๆในร่างกายต่างกัน จากคุณ : maxxx123 - [ 29 พ.ค. 52 08:29:23 ]

ความคิดเห็นที่ 12 จากความรู้ที่มี ไม่เคยอ่านพบเจอว่า ซีโรโทนินมีหลายตัวค่ะ เพราะจริงๆแล้ว ซีโรโทนินเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง ซึ่งระบุเลยว่า ชื่อ ซีโรโทนิน แต่ว่า ตัวที่ทำหน้าที่รับหรือ serotonin receptor มีหลายตัวค่ะ  ปกติสารสื่อประสารแต่ละชนิดจะมี receptor เฉพาะตัวอยู่แล้วน่ะ ซีโรโทนินก็คือ สารสื่อประสาท - ซีโรโทนิน ชื่อทางเคมีคือ 5-hydroxytryptamine หรือเรียกสั้นๆว่า 5HT สังเคราะห์มาจาก กรดอะมิโน L-tryptophan ส่วนผลกระทบด้านอื่น เท่าที่เคยอ่านเจอก็มีเหมือนกัน แต่เกี่ยวกับเลือดไม่พบค่ะ เว้นแต่ยาที่ต้าน serotonin-3 receptors  มีผลข้างเคียงทำให้เกิด ภาวะลำไส้ขาดเลือดได้ (พบน้อยมาก) คิดว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับไมเกรนไหม ก็มีความเป็นไปได้ เนื่องจากอย่างที่บอกไปตอนต้นว่า สารนี้เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง เมื่อสารผิดปกติ ก็เป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดอาการอย่างที่ว่า แต่ในเรื่องของหลอดเลือดอย่างที่ จขกท กล่าวมา เราไม่ระบุว่า จริง หรือ ไม่จริง แต่ขอบอกว่า ไม่เคยได้ยินดีกว่าค่ะ แต่เราก็ไม่ค่อยได้สนใจข้อมูลของซีโรโทนินในทางด้านนี้เท่าไรน่ะ อ่านไว้ผ่านๆเท่านั้น เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสายที่เราศึกษาค่ะ เราศึกษาในแง่ว่า ซีโรโทนินส่งผลอย่างไรต่อสรีระจิตน่ะ กับข้อมูลบางอย่างของสารสื่อประสาทที่ควรรู้ ซึ่งพอดีว่าซีโรโทนินก็รวมอยู่ในนี้ด้วย *************************************************** แก้ไขเพิ่มเติมค่ะ ลองไปค้นมาเรื่อง ซีโรโทนิน กับ การหดตัวของเส้นเลือด ก็ใกล้เคียงกับที่ จขกท คือ มีผลต่อเส้นเลือด แต่สาเหตุของการมีผลต่อเส้นเลือดแตกต่างจากที่ จขกท กล่าวมาค่ะ จาก http://watpo.com/archive/index.php/t-10873.html (ctrl + F ซีโรโทนินเลยค่ะ) นักวิจัยกำลังมุ่งความสนใจไปที่วิถีของเส้นประสาทคู่ที่ 5 หรือที่เรียกว่าไทรเจมินัล (trigeminal pathway) และสารเคมีในสมองชื่อซีโรโทนิน (serotonin) ที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง การปวดศีรษะอาจเป็นผลมาจากการเสียสมดุลของสารเคมีในสมอง พบว่าเมื่อมีอาการปวดศีรษะ ระดับซีโรโทนินในสมองจะลดต่ำลง ทำให้เกิดการกระตุ้นผ่านเส้นประสาทไทรเจมินัลไปยังหลอดเลือดที่เยื่อหุ้มสมองด้านนอก ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัวจนบวมและอักเสบ ---------------------------------------------------------------------------------- จาก http://www.bangkokhealth.com/index.php/2009-01-19-03-15-03/1213-2009-01-22-05-57-24 ตรงหัวข้อ ซีโรโทนิน (ข้อ 1) ซีโรโทนินเป็นสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่ยับยั้ง และมีบทบาทสำคัญในการแข็งตัวของเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนในบางราย เพราะทำให้เส้นเลือดหดและขยายตัว ขณะเดียวกันก็มีบทบาทสำคัญต่อการเต้นของหัวใจ การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย การรับรู้ความรู้สึก และเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ต่างๆ ของสมอง เช่น การหลับ ช่วยในการเริ่มเข้าสู่การหลับ ความตื่นตัว ความอยากอาหาร และความจำ โดยเฉพาะความจำระยะสั้น **************************************************** ก็มีข้อมูลที่อื่นอีก ที่เป็นข้อมูลทางสรีระ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหายาที่ จขกท นำมาประกอบ ดังนั้นไม่สรุปอีกล่ะว่า ยาที่ จขกท แนะนำ ทำงานอย่างไร ได้ผลไหม เท่าที่อ่านดูพอสรุปในแนวทางของเราได้ว่า มีแนวคิดว่า ไมเกรนน่าจะเกี่ยวข้องกับการทำงานของซีโรโทนิน แต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนว่า การที่ซีโรโทนินเปลี่ยนระดับนั้น เป็น เหตุ หรือ ผล ของการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด แต่ก็น่าจะมีจุดที่เกี่ยวข้องกับซีโรโทนิน สมมติฐานนี้ยังไม่ถูกพิสูจน์อย่างชัดเจน แต่ก็พอน่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง เป็นแนวคิดที่น่าสนใจค่ะ เพราะเมื่อหลอดเลือดขยายหรือหด เราจะพบว่า ซีโรโทนินมีระดับที่ผิดปกติไป จึงสันนิษฐานว่า มันก็น่าจะเกี่ยวน่า ก็พอจะอธิบายได้ว่า ทำไมคนที่ผิดปกติที่ซีโรโทนิน จึงไม่เกิดไมเกรนทุกคน เพราะอาจจะต้องมีการหดและขยายของหลอดเลือดเข้ามามีส่วนร่วม แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ซีโรโทนินเป็นสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดหดหรือขยาย แต่เมื่อหดหรือขยาย ซีโรโทนินกลับผิดปกติไปด้วย แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 52 09:44:39 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 52 09:24:09 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 52 09:20:04 จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ - [ 29 พ.ค. 52 09:11:09 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สู้ๆๆ เอาหลักฐานวิชาการนะครับ อย่าใส่อารมณ์มาก ผมคงช่วยอภิปรายอะไรไม่ได้ เพราะคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว ความรู้จากที่เคยขายยา Triptan ตัวนึง ก็คืนบริษัทไปหมดแล้วเหมือนกัน จากคุณ : อะธีลาส - [ 29 พ.ค. 52 09:24:17 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ให้ข้อมูลนิดหนึ่ง ยา กลุ่ม Triptan ไม่มีผล ทำให้หลอดเลือดหดตัว แต่รักษาไมเกรนได้ดี ซึ่งเป็น ข้อมูลที่ใช้รบล้าง ทฤษฏี หลอดเลือดครับ เหตุผลที่ผมใช้ ทฤษฏีนี้มาอธิบาย เพราะว่า ในนี้น่าจะมีผู้บริโภคมากกว่านักวิชาการ ซึ่งเข้าใจง่ายกว่า ทฤษฏีระบบประสาท (neurological) ซึ่งสลัลซับซ้อนกว่า แต่ทั้งสอง ทฤษฏี ก็มีจุดอ่อนทั้งคู่ คห.13 ครับ ผมไม่ใช้อารมณืหรอกครับ หากผมไม่ถูกกล่าวหาก่อน ฝากสำหรับผู้ทรงความรู้ทั้งหลายนะครับ กรุณาอย่าใช้ ชื่อวิชาชีพมาเป็นข้ออ้างในการตอบกระทู้ครับ เช่น ผมเป็นเภสัชกร ครับ แล้วก็ บลาๆๆๆๆๆๆ คำว่า เภสัชกร เป็นคำรวมครับ ไม่ได้หมายถึง คุณเพียงคนเดียว หากคุณไม่แม่น ไม่แน่น เรื่องความรู้ตรงนั้นจริง พอผู้รู้มาอ่าน เขาจะดูถูกวิชาชีพคุณได้ ซึ่งมันไม่ได้หมายถึง คุณคนเดียว มันหมายถึงเภสัชกร ทั้งประเทศ อย่ากรรี คุณลูกเป็นขี้เกียจ ที่มักบอกว่า ตัวเองเป็นเภสัชกร หากผู้รู้เรื่องยา เรื่องกลไกการเกิดโรค มาอ่านข้อมูลของเธอ เขาอาจมองได้ว่า เภสัชกรเมืองไทย มีความรู้แค่นี้เองหรือ เป็นความรู้ที่เก่ามาก ซึ่ง มันไม่ได้เสียหายแค่คุรคนเดียว มันหมายถึงเภสัชกร ทุกคนถูกเหมาว่ามีความรู้เท่ากับคุณ ดังนั้น การที่เราจะแสดงความเห็นไม่จำเป็นหรอกว่าต้องใช้ ตำแหน่ง หน้าที่การงานมาการันตี คุณสามารถใช้เอกสารวิชาการ ที่สามารถหาได้ ตาม อินเตอรืเนท มา หักล้างได้ ขออภัยที่ต้องกล่าวอ้างยกตัวอย่าง จากคุณ : maxxx123 - [ 29 พ.ค. 52 09:35:52 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ซีโรโทนิน ตามตำรามีผลต่อไมเกรนจริง บางที่ก็ว่ามีDopamineมีผลด้วย แต่มันแทบไม่ช่วยอะไรกับคนที่เป็นไมเกรนเท่าไหร่ สิ่งที่คนเป็นไมเกรนควรทราบจริงๆ คืออะไรเป็นปัจจัยที่กระตุ้น ทำให้Serotoninผิดปกติ หากหาได้ก็สามารถป้องกันการเกิดไมเกรนได้ สาเหตุพวกนี้ไม่เหมือนกันในแต่ละคน ต้องหาด้วยตนเอง ผมไม่ค่อยแนะนำการใช้ยาเป็นหลัก อยากเน้นการปฎิบัติตัวมากกว่า ยาที่ได้ผลดีที่สุดในการรักษาคือกลุ่ม 5-HT Agonist ทั้งหลาย แต่หากอาการไม่รุนแรงอาจใช้ยากลุ่ม Acetaminophen หรือNSIADs ในระยะเริ่มต้นปวดก็ได้ผลดี จากคุณ : Megrim - [ 29 พ.ค. 52 09:36:55 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่รู้ผม สรุปถูกหรือเปล่า เรื่องการใช้ยา เอาแบบง่ายๆ ระยะอาการนำ คือเกิดความผิดปกติก่อนเป็นไมเกรน ประมาณ 48 ชม รักษาโดย หลีกเลี่ยงสิ่งเร้า อาการเตือน ซึ่งมีระยะเวลา 30 นาทีก่อนเข้าระยะปวดหัว มีแสงวูบวาป เหมือนไฟเธค ใช้ ยา ANSAIDs ที่มี onset สั้นกว่า 30 นาที ยาเม้ด มีแค่ Advilกับ Gofen นอกนั้นเป็นยาน้ำ หรือใหกไม่มี ก็ใช้ พารา(เน้น Tyrenol)เพราะว่าออกฤทธิเร็ว ร่วมกับ Ibuprofen (เป็น neurofen เนื่องจากเป็นform lysinate ออกฤทธิเร็วกว่า Ibuprofen ธรรมดา แต่ช้ากว่า advil หรือ Gofen)  ระยะนี้ ห้ามใช้ยากลุ่ม Ergotamine เพราะว่าจะทำให้ระยะปวดหัวมีอาการรุนแรงมากขึ้น 3.ระยะปวดหัว ให้ใช้ยากลุ่ม ergotamine เช่น cafergot แต่ผลข้างเคียงก้จะเยอะ หากใช้ไปนานๆอาจเกิดการดื้อยาได้ ยากลุ่ม triptan ก็ใช้ได้ แต่ราคาค่อนข้างสูง ตรงไหนไม่ถูกรบกวนผู้รู้แจ้งด้วยนะครับ ผมสรุปเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้ จากคุณ : maxxx123 - [ 29 พ.ค. 52 09:59:55 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ดีค่ะ ถกกันเรื่องความรู้จะได้มีการแลกเปลี่ยนกัน พ่อเราทรมานเพราะไมเกรนมาหลายปีแล้ว ปีนี้ยิ่งเป็นหนัก พ่อกินยาเยอะจนน่ากลัวมากๆ อยากให้พ่อหายเร็วๆจัง กลัวตับพ่อจะเป็นอะไรไปซะก่อน T  T แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 52 10:04:09 จากคุณ : ข้าวปั้นหน้าไข่กุ้ง - [ 29 พ.ค. 52 10:03:27 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมว่า ทั้งคู่มีเจตนาดีในการตอบกระทู้ แต่คุณลูกเป็นขี้เกียจใช้ถ้อยคำที่ดูรุนแรงไปนิดนึงนะครับ ผมว่า จขกท. ก็คงมีความรู้เรื่องยาไม่น้อยเหมือนกันหรืออาจจะเป็นเภสัชกรเหมือนกันแต่ไม่ได้แสดงตัว วิชาชีพเดียวกันอยู่ในสังคมพันทิปด้วยกันมีความเห็นที่แตกต่างกันได้ครับ ไม่ควรไปบอกว่า เค้ามั่ว หริอเป็นหน้าม้าร้านขายยาอะไรประมาณนี้ จขกท.เลยของขึ้นครับ หลังไมค์แนะนำกันหรือตักเตือนกันน่าจะดีกว่านะครับ วิชาชีพเดียวกัน เถียงกันทางวิชาการก็ดีครับ แต่ไม่ควรใส่อารมณ์ เข้าใจความรู้สึกทั้งคู่ครับ จากคุณ : October31st - [ 29 พ.ค. 52 10:07:01 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมยอมรับครับว่าผมใช้ ถ้อยคำรุนแรงใน กระทู้เก่า แต่กระทู้นี้ขอเป็นกระทู้ถกเพื่อให้ความรู้กับผู้อ่านก้แล้วกันนะครับ ผมคิดว่ายังมีคนอีกหลายคนที่ ทรมาน กับ โรค ไมเกรน มีคำถามครับ สำหรับเภสัชกรร้านขายยาหรือผู้รู้ ทำไมเภสัชกรประจำร้านขายยาไม่แนะนำยากลุ่ม triptan ก่อน กลุ่ม Ergotamine ครับ ทั้งๆที่ผลข้างเคียงน้อยกว่า เห็นผลไวกว่า หากเป็นเหตุผลที่ราคา ผมคิดว่า เราน่าจะแนะนำทั้งสองกลุ่มแล้วให้เขาเลือกเอง โดยบอกข้อดีและข้อเสีย ของยาทั้งสองตัว จากคุณ : maxxx123 - [ 29 พ.ค. 52 10:17:57 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แล้วทำไมไม่ต่อในกระทู้นั้นให้จบเลย ... จากคุณ : PiGsPy - [ 29 พ.ค. 52 10:39:24 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คห 20 ครับ กระทู้นี้ขอถกเรื่องไมเกรน ครับ ถกเพื่อความรู้ไม่ได้ถกเพื่อเอาชนะ จากคุณ : maxxx123 - [ 29 พ.ค. 52 10:42:43 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ^^^ ^^^ รับทราบครับ มารอรับความรู้ด้วย จากคุณ : PiGsPy - [ 29 พ.ค. 52 10:53:44 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ใจร่มๆ กันนะครับ ขอให้ถกกันอย่างไม่ใช้อารมณ์ และขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ได้สาระความรู้ติดไม้ติดมือไปบ้าง ไ่ม่มากก็น้อย จากคุณ : ระหว่างเรา - [ 29 พ.ค. 52 11:10:04 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คห23 กระทู้นี้มีสาระแน่นอนครับ แต่อย่าไปอ่านกระทู้โน้นนะครับ จากคุณ : maxxx123 - [ 29 พ.ค. 52 11:12:24 ]

ความคิดเห็นที่ 25 จขกท โน้นเข้ามาอ่านค่ะ ขอบคุณสำหรับความรู้เพิ่มเติมค่ะ จากคุณ : ส้มกลมกลิ้ง - [ 29 พ.ค. 52 11:20:24 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ถือโอกาสถามเพิ่ม... เคยอ่านเจอว่า แมกนีเซียม ช่วยลดอาการ (ไม่ใช่แก้ปวด) หรือ การป้องกัน การเกิดอาการปวดหัว หรือ ไมเกรนได้ จริงแท้แค่ไหนคะ ตอนนี้มี แมกนีเซียมของ blackmores 1 ขวด สามารถทานได้หรือไม่ จากคุณ : ส้มกลมกลิ้ง - [ 29 พ.ค. 52 11:23:48 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ตอบ คห.26 ครับ ตามนี้เลย อาหารต้านไมเกรน เนื่องจากระบบย่อยและดูดซึมแมกนีเซียมของผู้ป่วยไมเกรนมักมีประสิทธิภาพไม่ดี ช่วงก่อนมีอาการหรือกำลังมีอาการจึงพบว่ามักมีปริมาณแมกนีเซียมลดต่ำลง อาหารที่มีแมกนีเซียมจึงช่วยให้ความถี่และความรุนแรงของอาการน้อยลงได้ ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง (ยกเว้นถั่วเปลือกแข็ง ซึ่งแม้จะมีแมกนีเซียมสูง แต่กลับมีสารแทนนินที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน) และฟักทอง นอกจากแมกนีเซียมแล้ว ผู้มีอาการไมเกรนซึ่งมีพลังงานสำรองในสมองต่ำจึงต้องการ ไรโบฟลาวิน เพื่อช่วยเพิ่มพลังสำรองในเซลล์สมอง อาหารที่มีไรโบฟลาวินสูง ได้แก่ เห็ดหอมสดและ ผักหวาน จากบทความนี้ http://www.siamsouth.com/smf/index.php?action=printpage;topic=2970.0 จากคุณ : maxxx123 - [ 29 พ.ค. 52 11:32:29 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คงจบแล้วนะครับ ดีเหมือนกัน ว่าแล้วต้องมีสาระ คิดว่าเป็นบทเรียนของทุกคน คุณลูกเป็ดขี้เกียจอย่าคิดมากเลยครับ จริงๆ ก็มาจากเจตนาดี ผมรู้ คำขอโทษก็ไม่สำคัญหรอก คุณ จขกท. อยู่ที่ความรู้สึกจริงๆ ข้างในมากกว่า จากคุณ : ค็อตตื้ - [ 29 พ.ค. 52 13:30:43 A:210.246.181.3 X: TicketID:217200 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เข้ามาตามอ่านเอาความรู้ค่ะ ชื่นชม จขกท นะ ไม่ต้องแสดงตัว แต่แสดงความรู้ มานั่งรอคุณลูกเป็ดขี้เกียจด้วยคน ปล. การแสดงตน บางครั้งก็มีประโยชน์ต่อผู้อ่านนะ เช่น หมอหมู หมอก้อนหิน  เป็นต้น ผู้อ่านอยากถาม ก็ถามเจาะจงตัวไปเลย เพราะรู้ว่าเป็นหมอแน่ๆ แถมบางทีก็รู้ว่า ชำนาญสาขาไหนอีก แต่ก็มีหลายคนที่ไม่แสดงตน แต่อ่านดูก็รู้ว่าเป็นหมอ ปล. 2 คิดถึงหมอ "ชื่อเมษ(ได้มั๊ยฮะ)" จังเลย หายไปไหนก็ไม่รู้เนี่ยะ ความรู้เพียบบบบบบ....... แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 52 13:36:47 จากคุณ : *Cookies* - [ 29 พ.ค. 52 13:32:05 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เราก็สงสัยคุณลูกเป็ดเหมือนกันนะ ทำไมบางที(ส่วนใหญ่จะที่หว้ากอ)กลายเป็นผู้ชายซะล่ะ จากคุณ : thippy56_ - [ 29 พ.ค. 52 14:00:59 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ที่หว้ากอมีการหยอกล้อด้วยการใช้คำสลับเพศกันครับ เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดมาเกือบเดือนแล้ว ก็แค่แซว ๆ กันหน่ะครับ จากคุณ : Phoenix032 - [ 29 พ.ค. 52 14:46:04 ]

ความคิดเห็นที่ 32 งงครับ :) ว่ากันว่าการรักษาอาการปวด เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ชั้นสูง การปฏิสัมพันธ์ต้องใช้ศิลปะเหมือนกันครับ เรื่องกลไกโดยละเอียดของยานั้นผมไม่ทราบนะครับ แต่ใจเย็นกันเถิดครับ :) จากคุณ : buddhi - [ 29 พ.ค. 52 14:58:21 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ได้ความรู้เพิ่มเติมมากมายครับ ทานอยู่เหมือนกัน Ibuprofen มิน่า พยาบาลหน้าห้องตรวจถึงถามว่ากระเพาะไม่เป็นไรเหรอ เข้าห้องตรวจไป  คุณหมอก้ถามว่ากระเพาะไม่เป็นไรเหรอ ที่แท้มันมีฤทธิ์เป็นกรดนี่เอง หน้าซองถึงบอกว่า ยาอันตราย ทานหลังอาหารทันที จากคุณ : ลุงหมีขี้เมา กะเจ้าชายหัวเหม่ง (LittlE_KuMa) - [ 29 พ.ค. 52 15:59:31 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ยังอ่าน บางคห.ไม่ละเอียดเพราะยาวมาก ตาลาย...คล้ายจะเป็นไมเกรน....เอิ๊กส์ จากคุณ : tourmaline - [ 29 พ.ค. 52 16:13:16 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คห.32 ครับ มันเป็นอย่างที่คุณบอกนั่นแหละครับ บางคนในการทดลอง เขาให้กินยาหลอก(คือมีแป้งเฉยๆไม่มีตัวยา) อาการปวดกับดีขึ้น ซึ่ง มันก็เป้นจิตวิทยาเหมือนกันนะครับ คห.33 ครับ ยา NSAIDs มีฤทธิ์ กัดกระเพาะ มี 2 สาเหตครับ ปกติการทานยาแก้ปวด เขาจะทานไม่นาน เพราะฉะนั้นจะสนใจฤทธิ ระคายเคืองกระเพาะมากกว่า เช่นยา กลุ่ม Ibuprofen แต่สำหรับยาที่ต้องทานเป็นระยะเวลานาน เช่นยารักษาพวกข้อ หรือ เอ็นอักเสษ ที่ต้องกินระยะเวลานาน ต้องใส่ใจ กลไกที่ยา NSAIDs ไปลด ความหนาของเมือกเคลือบกระเพาะ(systemic)ซึ่งยา กลุ่ม NSAIDs จะมีฤทธิไปลดความหนาของเมือกหุ้มกระเพาะด้วย เช่นยา Dicofinac piroxicam เป็นต้น บางคนที่ต้องกินยาแก้ปวดเป้นระยะเวลานาน จึงหันมากิน กลุ่ม selective ซึ่งมีผลต่อ เยื่อเมือกเคลือบกระเพาะน้อยกว่า แต่ มันมีผลให้สารสือประสาทบางตัว (tromboxain A2)ไม่สมดุล ผลคืออาจทำให้เกิดลิ้มเลือดได้ ทำให้เกิดหัวใจขาดเลือดได้ ดังนั้นคนที่ใช้ยากลุ่มนี้ต้องเช้คด้วยว่าเขาเป็นดรคเกี่ยวกับหัวใจอยู่หรือเปล่า กลุ่มนี้ได้แก่ ciliblex(เขียนถูกหรือเปล่าหว่า)เป็นต้น จากคุณ : maxxx123 - [ 29 พ.ค. 52 16:17:53 ]

ความคิดเห็นที่ 36 cerebrex (R) ครับ จริงๆการรักษาอาการปวดชนิดกึ่งเฉียบพลันและเรื้อรังนั้นนะครับ มันจะมีหลักง่ายๆ 1. การให้คำแนะนำ เรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน การปรับท่าทาง การปรับสภาพแวดล้อม การแนะนำเรื่องอาหาร ฯลฯ อันนี้สำคัญที่สุดครับ 2. การให้การออกกำลังกายที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการยืดกล้ามเนื้อ 3. การใช้การบรรเทาอาการอื่นๆ เช่น น้ำแข็ง ultrasound short-wave การฉีดยาเฉพาะจุด การแพทย์ทางเลือก(รวมถึงฝังเข็ม) ฯลฯ 4. การให้ยา ซึ่งยามี 2 กลุ่มใหญ่คือ  4.1 ยาที่บรรเทาอาการปวด (pain reliever) เช่น ยากลุ่ม opioids, NSAIDs, acetaminophen เป็นต้น  4.2 ยาที่ปรับสภาพตัวรับของสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับอาการปวด (pain modulator) เช่น ยากลุ่ม tricyclic anti-depressants, SSRI, gabapentin,anticonvulsants เป็นต้น แต่ใช้ปริมาณต่ำๆ ซึ่งจะบอกว่าบางครั้งผลข้างเคียงบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์เช่นง่วงนั้น สามารถบริหารได้ครับ อย่างไรก็ตาม การรักษากลุ่มอาการปวดซ้ำซากนั้น หลักการก็ประมาณนี้ละครับ และการบริหารยาเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาครับ ฉะนั้นสมาชิกพันทิบที่มาอ่านในกระทู้นี้ครับ ถ้าคุณไม่ใช่บุคลากรในวงการแพทย์ อย่าได้อ่านแล้วไปซื้อยามาทานเองนะครับ กรุณาปรึกษาแพทย์จะดีที่สุดครับผม :) จากคุณ : buddhi - [ 29 พ.ค. 52 17:05:33 ]

ความคิดเห็นที่ 37 จัดเป็นกระทุ้ที่ดี มีสาระ.. แต่ขอนิดเดียวจริงๆครับ กระพูดบางอย่าง มันก็แรงไปนิด..ผมว่าจขกท ก็ทราบดี เราว่ากันด้วยเหตุผลและวิชาการแบบบนี้ดีมากๆเลยครับ ผมเองอ่านกระทู้นี้ ยังชอบเลย แต่รพ ไม่มียา advil เลยไม่ได้ลอง เพราะมีแต่ตัวNSAID TCA ergot บางคนปวดมากๆผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกันครับ ความรู้ในสายนี้ มันไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆครับ มีการทบทวนการพูดคุย ยกเหตุผลมาคุยกัน นั่นเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ ที่อันตรายและผมเองก็มักบอกในกระทู้เสมอๆ คือการปรึกษาหรือแนะนำการรักษาทางเนต มันไม่ค่อยจะน่ายอมรับ เพราะผมเชื่อว่าการตรวจร่างกายและซักประวัติ สำคัญที่สุด...ผมจึงมักให้ คำตอบประมาณ ไปพบแพทย์เพื่อตรวจดีกว่า ชื่นชมองค์ความรุ้ของกระทุ้นี้นะครับ ส่วนปัญหาอารมณ์ ก็  ใจ ร่ม ร่ม ละกันครับ ^  ^ จากคุณ : กังป๋วย - [ 29 พ.ค. 52 17:50:44 ]

ความคิดเห็นที่ 38 "ทำไมเภสัชกรประจำร้านขายยาไม่แนะนำยากลุ่ม triptan ก่อน กลุ่ม Ergotamine ครับ ทั้งๆที่ผลข้างเคียงน้อยกว่า เห็นผลไวกว่า หากเป็นเหตุผลที่ราคา ผมคิดว่า เราน่าจะแนะนำทั้งสองกลุ่มแล้วให้เขาเลือกเอง โดยบอกข้อดีและข้อเสีย ของยาทั้งสองตัว" ในการใช้จริงๆ เมื่อไมเกรนแอคเเท็ค ทริปเเทนเอาไม่อยู่เเน่ๆคะ Ergotamine+เอนเสด จะทำให้อาการหายไวกว่า ส่วนทริปเเทน นั้นนิยมใช้เพื่อป้องกันคะ เเล้วเวลาจัดยา การเป็นศิลปะ การจัดยาเเต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันมีสูตรในการใช้เเตกต่างกัน ส่วนมากมาจากการที่ใช้กับคนไข้เเล้วได้ผล บางครั้งทฤษฎีกับปฏิบัติไม่จำเป็นต้องเหมือนกันนะคะ เเล้วการตอบสนองยาเเต่ละคนก็ไม่เหมือนกันด้วย *ยังอ่านข้อมูลไม่ครบถ้วนเเต่ขอตอบประเด็นนี้ไว้ก่อน ตอบในฐานะ ที่เป็นเภสัชกร เเละเป้นไมเกรน ลองมาหมดเเล้วคะ บอกเลยว่าไมเกรนนี้เเต่ละคนตอบสนองต่อยาไม่เหมือนกันเลย จากคุณ : Pharmaceutic - [ 29 พ.ค. 52 18:05:17 ]

ความคิดเห็นที่ 39 มาแล้ว มีคนตาม เพิ่งต่อเน็ตได้ค่ะ ไม่ได้หายไปไหน เอาเป็นว่า เราขออภัยจขกท นะค่ะ ยอมรับผิดว่าใช้คำพูดไม่ดีกับจขกท ทำให้จขกท หงุดหงิดค่ะ ประเด็นของเราคือ การให้ความเห็นด้านเออร์กอตโดยชี้นำว่า "การกินเออร์กอทผิดแน่นอน" นั้นไม่เหมาะสม และเราก็ตั้งใจจะบอกว่า การกินไอบูโปรเฟน ก็ไม่ได้แปลว่ามันดีเสมอไป อีกทั้งสงสัยว่า ทำไมเจาะจง "gofen" ทั้งๆที่มีตัวเลือกอยู่เยอะแยะไปหมดในกลุ่มเอนเสดค่ะ จึงทำให้อารมณ์เสีย ทำให้จขกท เสียความรู้สึก จากนั้นจขกท. ก็ต่อว่ากลับ โดยชี้ถึงประเด็นโกเฟนออกฤทธิ์เร็วกว่า แต่ในความคิดเห็นของเรา เราตั้งใจจะบอกต่อว่า ยาที่ออกฤทธิ์เร็วในกลุ่มเอนเสด และมีประสิทธิภาพในการบรรเทาไมเกรนนั้นมีหลายตัวค่ะ ไม่ได้ตั้งใจดิสเครดิตจขกท. หรือเห็นว่าจขกท นั้นต่ำกว่าคนอื่นแต่อย่างใด แต่การกระทำแบบนี้ เราคิดว่าไม่ดีนะคะ จขกท. ไม่พอใจ ไม่เห็นต้องด่าคนอื่นว่าโง่เลยนี่นา... แต่เข้าใจว่าคงทำไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด เอาเป็นว่า เราขอโทษ ชัดๆก็แล้วกันค่ะ ที่จริงการตอบคำถามเรื่องยา และเรื่องโรค เราอยากให้ผู้ป่วยปรึกษาแพทย์เป็นรายบุคคลไปเลย เพราะการยึดคำตอบใดคำตอบหนึ่ง แล้วนำมาเป็นคำตอบหลัก และปรับใช้กับคนทุกคนนั้น ไม่ถูกต้องเสมอไปค่ะ เนื่องจากคนแต่ละคน ตอบสนองต่อยาต่างกัน และแค่คำว่า "ไมเกรน" ก็มีหลายลักษณะด้วยค่ะ ซึ่งกลายเป็นคุยกันคนละประเด็นเลย จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 29 พ.ค. 52 18:05:37 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ต่อค่ะ ทุกวันนี้ทฤษฎีการเกิดไมเกรน ก็ยังไม่เป็นที่สรุปชัดเจนนะคะ ทฤษฎีที่ยกมาอ้าง ยังเป็นที่โต้แย้งกันในเชิงวิชาการอยู่มาก จุดประสงค์ของเราที่อธิบายให้คุณส้มกลิ้ง คือ 1.ในเรื่องการรักษาโรคไม่มีทุกอย่างที่เป็น "คำตอบ" ตายตัว 2.สำหรับโรคไมเกรน การตอบสนองยาของแต่ละบุคคล "แตกต่างกัน" ค่ะ เราคิดว่าการชี้นำว่า ยาตัวนี้ๆ ดีกว่าเสมอไป ไม่ถูกต้องค่ะ จึงอยากชี้แจง และให้ผู้อ่านพิจารณาด้วยนะคะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 29 พ.ค. 52 18:11:32 ]

ความคิดเห็นที่ 41 - - รออ่านค่ะ จากคุณ : ฟินจัง - [ 29 พ.ค. 52 18:24:59 ]

ความคิดเห็นที่ 42 สำหรับเรื่องการบรรเทาไมเกรน เรายอมรับว่า ว่าไอบูโปรเฟนยี่ห้อที่อ้างมาออกฤทธิ์ไวกว่าไอบูโปรเฟนตัวอื่น แต่ไม่ได้ถือว่า "เหมาะสมที่สุด" หรือ "รวดเร็วมาก" จนดีกว่าเอนเสดตัวอื่นๆนะคะ (และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เรา "ปากเสีย" ถามกลับว่า เป็นหน้าม้าของ บู๊ทส์หรือเปล่า) ซึ่่งขอยอมรับผิดตรงนี้เลยค่ะ และอีกอย่าง การใช้ยาในกลุ่มนี้มีหลายตัวมาก ซึ่งผู้ป่วยแต่ละคน ก็ตอบสนองยาต่างกัน ยกตัวอย่างยากลุ่มนี้ก็เช่น mefenamic acid ที่คุณส้มกลิ้งได้รับ หรือแม้กระทั่งยาอย่าง nimesulide และเหตุผลที่เภสัชกรไม่ค่อยจ่ายยากลุ่ม triphan เพราะราคาสูงมากค่ะ อีกประการ ทุกอย่างจะต้องดู cost effective ซึ่งในบางคนเนี่ย กินยา flunarizine (ยาตัวนี้จะขยายหลอดเลือดในสมองค่ะ) ร่วมกับยาบรรเทาปวดก็ได้ผลแล้ว ในขณะที่บางคนใช้กลุ่มเออร์กอตเพียงเม็ดเดียว ก็หาย อันนี้นอกประเด็นค่ะ ่เราเองก็ไม่พอใจเหมือนกันนะคะ ที่คุณมาว่ากลับแรงๆ ว่าเภสัชจริงรึเปล่า? การอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่จำเป็นต้อง "แรงมา แรงกลับ" หรือ เขาทำไม่ดีกับเรา เราต้องทำไม่ดีกับเขา และข้อมูลที่ให้กับผู้ป่วยในเวปบอร์ด เราคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรระมัดระวังมาก ซึ่งเราคิดว่าไม่ควรชี้นำยี่ห้อยานะคะ เนื่องจากไม่มีอะไรถูกต้อง 100% อีกประการ การให้ความรู้จากแหล่งอ้างอิงเพียงไม่กี่แหล่งนั้น แล้วบอกว่า "ถูกต้อง" เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในเวปบอร์ดที่ไม่ใช่เวปทางวิชาการค่ะ ฝากไว้ให้หลายๆคนพิจารณาด้วยค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 29 พ.ค. 52 18:30:07 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ประสิทธิภาพของการบรรเทาอาการปวดไมเกรน ไม่ได้ "ขึ้นกับ" ระยะเวลาในการออกฤทธิ์ "เพียงอย่างเดียว" ยาที่ออกฤทธิ์ บรรเทาปวดภายใน 1/2 ชั่วโมง ได้แก่ Diclofinac Indomethacin และแต่นแต๊นนนน Ibuprofen ซึ่งใช้เวลา "1/2 - 1" ชั่วโมงค่ะ ต่อให้เป็นยี่ห้อโกเฟน ถึงจะออกฤทธิ์ไวขึ้นแต่ก็ไม่ได้เร็วขึ้นมาก จนทำให้หายปวดไวต่างจากตัวอื่นๆข้างต้นอย่างมีนัยยะสำคัญค่ะ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต่อว่า จขกท. มั่วค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 29 พ.ค. 52 18:44:41 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ปล. หายโกรธแล้วอย่าลืมให้กิฟต์เค้าด้วยนะ ส่วนเรากิฟต์หมด เดี๋ยวต้นเดือนจะมาแปะให้ วันนี้ขอไปดูน้องแมวก่อน ถ้ามีอะไรสงสัย มาตามได้แถวๆนี้จ้า http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7914379/X7914379.html จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 29 พ.ค. 52 18:49:41 ]

ความคิดเห็นที่ 45 หลังจากอ่านข้อมูลเเล้ว ตอบเพื่อประโยชน์ของคนไข้เองนะคะ "ความคิดเห็นที่ 16 ไม่รู้ผม สรุปถูกหรือเปล่า เรื่องการใช้ยา เอาแบบง่ายๆ ระยะอาการนำ คือเกิดความผิดปกติก่อนเป็นไมเกรน ประมาณ 48 ชม รักษาโดย หลีกเลี่ยงสิ่งเร้า อาการ เตือน ซึ่งมีระยะเวลา 30 นาทีก่อนเข้าระยะปวดหัว มีแสงวูบวาป เหมือนไฟเธค ใช้ ยา ANSAIDs ที่มี onset สั้นกว่า 30 นาที ยาเม้ด มีแค่ Advilกับ Gofen นอกนั้นเป็นยาน้ำ หรือใหกไม่มี ก็ใช้ พารา(เน้น Tyrenol)เพราะว่าออกฤทธิเร็ว ร่วมกับ Ibuprofen (เป็น neurofen เนื่องจากเป็นform lysinate ออกฤทธิเร็วกว่า Ibuprofen ธรรมดา แต่ช้ากว่า advil หรือ Gofen)  ระยะนี้ ห้ามใช้ยากลุ่ม Ergotamine เพราะว่าจะทำให้ระยะปวดหัวมีอาการรุนแรงมากขึ้น 3.ระยะปวดหัว ให้ใช้ยากลุ่ม ergotamine เช่น cafergot แต่ผลข้างเคียงก้จะเยอะ หากใช้ไปนานๆอาจเกิดการดื้อยาได้ ยากลุ่ม triptan ก็ใช้ได้ แต่ราคาค่อนข้างสูง ตรงไหนไม่ถูกรบกวนผู้รู้แจ้งด้วยนะครับ ผมสรุปเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้ " ถามว่าสรุปถูกมั้ย ไม่ถูกทั้งหมดอาจจะใช้ได้เป็นบางคน บางคนเป็นไมเกรนจากการที่หลอดเลือดขยายตัวเลย ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอาการนำหรือไม่ และอาการนำที่บอกเห็นเเสงวูบวาบก็เจอไม่มาก เเต่เป็นอาการนำที่เด่น จำเอาใช้ในการเเยกโรคไมเกรน จากคุณ : Pharmaceutic - [ 29 พ.ค. 52 18:52:30 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณที่ออกมาชี้แจง ที่ผมทำ ยอมรับว่ารุนแรง แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบ คือ ทำ แล้วไม่ยอมรับผิดชอบ ถึงจะเป็นบอร์ดสาธารณะ แต่คุรก้ไม่มีสิทธิไปกล่าวหาคนอื่นโดนไม่มีหลักฐานยืนยัน กานำเสนอข้อมูลไม่ควรใส่อารมณืลงไป ผมยอมรับ แต่ผมไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ในเมื่อคนเริ่ม ไม่ยอมออกมาขอโทษ  ผมก็คงไม่จบ ในเมื่อคุณขอโทษ ผมก็ขอโทคุรด้วยก้แล้วกัน จากใมจจริงครับ ไม่ได้จากมารยาททางสังคม ผมออกตัวนะครับ ว่าไม่ใช่เภสัช แต่ความรู้พวกนี้หากันได้ มีให้อ่านเยอะแยะ  บางครั้ง ผมเจอเภสัชที่แนะนำ ไม่ถูก เช่น จ่ายยา NSAIDs 2 ตัวร่วมกัน(มีเยอะมาก) ผมจะรู้สึกแย่มาก ผมรู้สึกว่า ทำไม คนที่ใส่เสื้อกรานว์ ถึงไม่ใส่ใจศึกษาความรู้ให้มากกว่านี้ เพราะว่าคนไทย จะยกย่อง เสื้อกราวน์มาก แต่บางคนก็จ่ายยา แบบ ผิดหลักการไปเลย พูดไปก็รู้สึกแย่กับระบบสาธารณสุขไทยมาก จากคุณ : maxxx123 - [ 29 พ.ค. 52 18:53:32 ]

ความคิดเห็นที่ 47 Ibuprofen ซึ่งใช้เวลา "1/2 - 1" ชั่วโมงค่ะ ต่อให้เป็นยี่ห้อโกเฟน ถึงจะออกฤทธิ์ไวขึ้นแต่ก็ไม่ได้เร็วขึ้นมาก จนทำให้หายปวดไวต่างจากตัวอื่นๆข้างต้นอย่างมีนัยยะสำคัญค่ะ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต่อว่า จขกท. มั่วค่ะ อันนี้ผมไม่ยอมรับครับ ผมแนบผลวิจัยให้คุรดูแล้ว คุณก้ไม่ยอมไปอ่านแต่กลับมาหาว่าผมมั่วอื่น กลับไปอ่านก่อนนะครับ แต่เป็นภาษาอังกฤษหมดนะครับ drug fact 2000 หน้า 406 บอกไว้ว่า on set Ibuprofen 30 นาทีครับ  อย่ามั่วดิครับ ขอเอกสารอ้างอิงด้วย เกลียดคนมั่ว(ว่ะ)ครับ จากคุณ : maxxx123 - [ 29 พ.ค. 52 19:00:44 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ตกค้างจากกระทู้ก่อน http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L7912611/L7912611.html เเละจากที่คุณ maxxx123 มาตอบ "เกิดจาก เภสัชกร แนะนำไม่ถุกต้องครับ เวลา คุณเป็นไมเกรน จะมีอาการนำก่อน คือ มีแสงวูบวาบ การรับรสเปลี่ยน ซึ่งแต่ละคน อาการนำจะไม่เหมือนกัน ช่วงนี้ ห้ามทาน ยา พวก ergotamine เนื่องจาก ตอนนี้ เส้นเลือดในสมองมันหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนนั้นไม่พอ จึงเกิดอาการนำเกิดขึ้น เมื่อคุรกินยาตัวนี้ จะยิ่งทำให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้ อาการเลวร้ายลงไปอีก ช่วงนี้ กินได้แต่ยาแก้ปวด ที่ออกฤทธิ์เร็ว ที่มีขายในเมืองไทยก็มีแค่ Gofen 400 ที่ขายตาม ร้านบูท วัตสัน แต่ราคาแพง แต่คุ้มครับ เวลาอาการนำ แล้ว กินเลย ไม่ต้องกินยา Ergotamine ยา Egotamine จะใช้ได้ในระยะปวดหัว คือ เกิดจากเส้นเลือดที่หดตัว มันขยายตัวจนเบียดเนื้อสมอง ทำให้เราปวดหัวข้างเดียว ยา Ergotaine มีฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดหดตัว จึงสามารถรักษาไมเกรนได้ กินร่วมกับ Gofen 400 ได้ครับ กลไกการออกฤทธิ์คนละกลไก " ขอบอกว่าอาการที่เจ้าของกระทู้นั้นบอกมา ส่วนนึกเกิดจากคาเฟอีนด้วยนะคะ อาจจะลืมไปว่า โทฟาโก้ คาร์ฟาก็อต ไม่ได้เป็นเออโกตามีนเดี่ยวๆ เเต่ผสมคาเฟอีน 100 มก. (มากกว่าเนสกาเเฟกระป๋องเขียว 1 กระป๋อง) ซึ่งคาเฟอีนที่ใส่เพื่อช่วยให้การดูดซึมเออโอกาตามีน ค่ะ ในบางคนที่ไวต่อคาเฟอีน จะเกิดอาการใจสั่น คลื่นไส้อาเจียนได้ด้วย ซึ่งเป็นผลรวมๆกันค่ะ คุณ maxxx123 มีความรู้เยอะมาก เเละก็ไม่สงสัยในเเหล่งอ้างอิงของคุณเลยคะ มันถูกต้อง เพียงเเต่อย่างที่บอก การใช้หนังสือเป็นเเนวทางคะ การรักษาอาการไม่ว่าจะหมอหรือเภสัช หรือสัตว์เเพทย์ก็ตาม บางอย่างตำราก็หาเหตุผลไม่ได้นะคะ บางครั้งเจอคนไข้ที่มีข้อมูลเยอะๆเเบบนี้เภสัชก็ปวดหัวได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าสิ่งที่คุณพุดไม่ถูก ไม่ใช่ว่าการอ่านหนังสือ หรือเอกสารกำกับยาที่มีข้อมูลมากมายจะเป็นสิ่งผิด แต่บางครั้งมันก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดตามที่เขาเขียนทั้งหมดค่ะ บางคนอ่านมากจนพาลกลัวที่จะไม่กินยา เสียโอกาสในการรักษานะคะ ส่วนตัวอยู่ร้านยาเวลาเจอคนไข้ที่เค้าอ่านมากๆ เเล้วมาเเลกเปลี่ยนข้อมูลกันจะดีใจ คือยอมฟังเหตุผลที่อธิบายด้วยไม่ใช่ว่าเชื่อตามหนังสือหรือเอกสารกำกับยาไปซะหมด ถ้าคุณเจอเภสัชกร (จริงๆ) เค้ายอมที่จะบอกข้อมูลที่ถูกต้องกับคุณแน่นอน จากคุณ : Pharmaceutic - [ 29 พ.ค. 52 19:02:46 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เรื่องพวกนี้เราก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน รู้แต่ Serotonin เป็นสารสื่อประสาทระดับเทพของเรา อิอิ จากคุณ : พิณณ์อวี - [ 29 พ.ค. 52 19:03:59 ]

ความคิดเห็นที่ 50 *ผมออกตัวนะครับ ว่าไม่ใช่เภสัช แต่ความรู้พวกนี้หากันได้ มีให้อ่านเยอะแยะ  บางครั้ง ผมเจอเภสัชที่แนะนำ ไม่ถูก เช่น จ่ายยา NSAIDs 2 ตัวร่วมกัน(มีเยอะมาก) ผมจะรู้สึกแย่มาก ผมรู้สึกว่า ทำไม คนที่ใส่เสื้อกรานว์ ถึงไม่ใส่ใจศึกษาความรู้ให้มากกว่านี้ เพราะว่าคนไทย จะยกย่อง เสื้อกราวน์มาก แต่บางคนก็จ่ายยา แบบ ผิดหลักการไปเลย การใช้เอนเสดสองตัวเเบบมีเหตุผลมีใช้กันมากคะ เเม้เเต่หมอบางท่านก็นิยม เเต่การจ่ายต้องคำนึงถึงผลหลายอย่าง (อย่างที่บอกตามตำราเเน่นอนต้องบอกว่าการใช้เอนเสดสองตัวมีเเต่ผลข้างเคียง ไม่เพิ่มผลในการรักษา) เเต่ในการใช้จริงขอบอกว่าบางเคสมีประโยชน์มากๆ เเละต้องให้ให้ถูกตัว จริงคุณถามเหตุผลได้นะ ถ้าคุณรู้ จะได้รู้ว่าทำไมเค้าถึงจ่ายสองตัวร่วมกัน ปล. ไม่ได้ชวนทะเลาะนะคะ อันนี้จากการใช้จริงเลย จากคุณ : Pharmaceutic - [ 29 พ.ค. 52 19:06:48 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ^ บางคนจ่ายเอนเสดสองตัวร่วมกัน เพื่อหวังผลในการออกฤทธิ์ค่ะ เพราะถึงเป็นเอนเสด แต่ก็แบ่งย่อยตามสูตรโครงสร้างอีกค่ะ ถ้าหากเป็นโครงสร้างคนละตัว สามารถให้ร่วมกันได้ค่ะ เหตุผลคือ 1.ให้ตัวออกฤทธิ์ไวและออกฤทธิ์สั้น ช่วยบรรเทาปวดในระยะสั้นๆ 2.ใ้หควบกับตัวออกฤทธิ์ยาว เพื่อให้บรรเทาอาการในระยะยาว กรณีนี้ ไม่ถือว่า "ผิด" ค่ะ (ย้ำนะ ว่าสองตัวมีโครงสร้างต่างกัน) แต่ก็มีคนจ่ายมั่วๆเหมือนกัน เหอะๆ แบบให้เอนเสดที่มีสูตรโครงสร้างประเภทเดียวกัน เจอแล้วก็เก็กซิมอยู่นะ เคยเจอแบบจ่ายเอนเสดให้ผู้ป่วยสามตัวด้วยล่ะ... แถมจ่ายกลุ่มเดียวกันอีก เอ่อ อยากจะบอกว่า ถ้าอ่านกระทู้เก่า จะเห้นว่ามีเภสัชกรจริงๆประจำร้านนิดเดียวนะคะ พวกใส่เสื้อกาวน์ ไม่ได้แปลว่าเป็นเภสัชเสมอไปค่ะ มันมีเรื่องเบื้องหน้าเบื้องหลังที่น่าอนาถใจมากกว่านั้นเยอะค่ะ... แต่ความรู้ในเน็ต ไม่ครบเสมอไปค่ะ เหตุผลในการจ่ายยาและการรักษา บางทีมีอะไรลึกๆแปลกๆเยอะไปหมด คือ เวลาคุยกับคนไข้ บางคนก็เข้าใจ แต่บางคนก็ไม่เข้าใจนะคะ พูดยากเหมือนกัน บางครั้งเราก็ต้องปกปิดข้อมูล เพื่อให้คนไข้ร่วมมือในการกินยาค่ะ อ้อ สุดท้ายจริงๆ อันนี้ฝากให้คนอ่านทุกคนละค่ะ ถ้าเป็นไปได้ เราอยากให้ปรึกษาแพทย์เป็นรายบุคคลไปเลยค่ะ บางครั้งการมาถามในเวปบอร์ด มันได้คำตอบ "ในระดับหนึ่ง" ค่ะ ยกตัวอย่างเรื่องจริง เคยมีเภสัชทำเอาหมอเครียด เพราะคนไข้ถามว่า "ยานี่ยาอะไร" เภสัชก็ตอบว่า "ยาแก้อาเจียน" โดยไม่ได้ซักอะไรอีก แล้วคนไข้ก็ไปต่อว่าหมอค่ะ ทำเอาหมอเครียด บอกว่าตัวเองไม่ได้คลื่นไส้ และกำลังให้นมลูก หมอก็รู้ ให้ยาตัวนี้มาทำไม ที่จริงยาแก้อาเจียนตัวนี้ มันทำให้คุณแม่หลั่งน้ำนมมากขึ้นค่ะ... หมอก็เลยฉุนเภสัชอีกทอดหนึ่ง เพราะจุดประสงค์หมอคือ ต้องการเพิ่มน้ำนมแม่ค่ะ เราว่ามันเป็นปัญหาในการสื่อสารนะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 29 พ.ค. 52 19:07:57 ]

ความคิดเห็นที่ 52 เพราะฉะนั้น เราว่า จขกท . ใจเย็นๆนะ ข้อมูลที่คุณค้นจากอินเตอร์เน็ต ไม่ได้ถูกต้องเสมอไปร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ อีกประการ แต่ละสำนัก เช่น ตำราของแต่ละประเทศ ข้อมูลจะแตกต่างกันเล็กน้อยค่ะ ใจเย็นๆค่ะ จขกท. เพิ่งรีเฟรช จขกท . ตีเหตุผลเราผิดซะแล้ว.. เราต้องการอธิบายว่า ตอนนั้นเราหาว่าเจ้าของกระทู้มั่ว เพราะ "เราอ่านแล้วเราจับประเด็นได้แบบนั้นค่ะ" (อธิบายนิด หมายถึงว่า เราสงสัยไง ว่าทำไมต้องบอกว่าโกเฟนดีเพียงตัวเดียวน่ะ) จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 29 พ.ค. 52 19:12:35 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เคยเป็นอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว พอรู้ตัวโดยมีอาการนำก็จะรีบกินยาก่อน (แค่พาราเซตามอล) คราวไหนกินทันก็ไม่ปวดมาก หายเร็ว คราวไหนกินช้าไปหน่อยล่ะก็ ... หลังจากนั้นก็หายไปเอง จำได้ว่าเป็นไม่เกิน 3 ครั้งในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา โรคนี้เกี่ยวข้องกับอายุมั้ยครับ จากคุณ : Phoenix032 - [ 29 พ.ค. 52 19:15:59 ]

ความคิดเห็นที่ 54 บางทีอายุมากขึ้น ความถี่ก็ลดลงบ้างคะ บางคนก็เป้นได้ถี่เหมือนเดิม เพราะอย่างที่อ่านๆ มันอยู่ที่ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดด้วยคะ จากคุณ : Pharmaceutic - [ 29 พ.ค. 52 19:17:44 ]

ความคิดเห็นที่ 55 อืม คุณ pharmaceutic อธิบายสิ่งที่เราอยากบอกได้ถูกต้องแฮะ อ่านแล้วสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมจขกท.โมโหอีกรอบ เราใช้ภาษาไม่ดีเองค่ะ ต้องขอโทษด้วย เอาเป็นว่า ประโยคนั้น (ไม่อีดิทนะคะ คนอ่านจะได้รู้ว่าเราพิมพ์ตอบอะไรไป) เราแค่ต้องการอธิบายเหตุผลว่า ทำไมเราถึงคิดว่าจขกท. มั่วค่ะ ซึ่ง เราไม่ได้สงสัย เกี่ยวกับประเด็นความไวในการออกฤทธิ์ของยาเลย แต่เกี่ยวกับที่ว่า "เราสงสัย จขกท. ว่าทำไม เจาะจงพูดถึงยาตัวนี้เพียงตัวเดียว ในขณะที่มียาตัวอื่นอีกมากมายสามารถใช้ได้" ในข้อนั้นเราเว้นวรรคไม่ดีเองแหละ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 29 พ.ค. 52 19:18:26 ]

ความคิดเห็นที่ 56 อ่านจบ ไมเกรนขึ้นพอดีเลยครับ จากคุณ : พี่ไก่ (kai golf) - [ 29 พ.ค. 52 19:22:16 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ผมคนกลางนะครับ นั่งๆอ่านมาก็เข้าใจคนที่เข้ามาตอบนะครับ ทุกคนมีความหวังดีต่อ จขกท ทั้งนั้น แต่อยากจะติงคุณ ลูกเป็ดขี้เกลียจ นิดนึงตรง ดูจะใช้ คำพูดที่มันเหมือนจะดูถูกเยาะเย้ยคนอื่นไปหรือป่าวครับ "ปล.4 เภสัชกรก็มีงี่เง่าและฉลาดค่ะ และเภสัชกรดีๆ ไม่งี่เง่า ก็มีเยอะนะคะ คห.6 ... จบข่าวค๊าบ" ผมว่าตรงนี้แหละ ลองคิดดูนะครับถ้าคุณโดนคนอื่น กล่าวอย่างนี้ใส่คุณ จะโกรธมั้ย ส่วน คุณ maxxx123 ยังไงก็ยกโทษให้ คุณ ลูกเป็ดขี้เกียจ เถอะนะครับเค้าขอโทษแล้ว "แต่อาจจะเพราะเราผิดเอง ที่สื่อสารไม่ดี ทำให้คุณเข้าใจว่าเราดูถูกคุณต้องขออภัยด้วยละกันค่ะ" ก็ดีๆกันนะครับยังไงก็คนไทยด้วยกัน จากคุณ : จับมือกันไว้ - [ 29 พ.ค. 52 19:22:46 A:124.157.128.183 X: TicketID:203765 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ^ ยอมรับผิดค่ะ เข้าบ้านก่อนละ คงมาตอบต่อไม่ไหวแล้ว นอกจาก drug fact 2000 หน้า 406 ยังมี drug information handbook อีกหลายสำนักค่ะ ลองเสิร์ชดูได้ค่ะ เราถึงบอกว่าคุณ pharmaceutic สื่อสารได้ดีกว่าเราค่ะ และเรื่องที่ทำให้จขกท ไม่พอใจอีกรอบหนึ่ง ไม่ได้หมายถึง จขกท. มั่ว(อีกรอบ) ค่ะ แต่อธิบายเหตุผลว่า ทำไมเราถึงต่อว่า จขกท. "มั่ว" ในกระทู้เก่าค่ะ นั้นก็คือ เรามองในอีกประเด็นหนึ่งค่ะ เราจึงได้มาอธิบายว่า ถ้าเจ้าของกระทู้มองในประเด็นการออกฤทธิ์ของไอบู นั่นถูกต้องค่ะ และเราก็ผิดเองค่ะ และได้ออกมาขอโทษจขกท ไงคะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 29 พ.ค. 52 19:32:27 ]

ความคิดเห็นที่ 59 มาให้กำลังใจคุณลูกเป็ดขี้เกียจนะคะ ชอบในความเป็นแมนของคุณจัง อิอิ จากคุณ : Joyful Dreams - [ 29 พ.ค. 52 19:58:22 ]

ความคิดเห็นที่ 60 สำหรับเรื่องทะเลาะกันแบบไม่มีสาระ ดีที่จบๆ กันไปได้แล้วนะครับ :) ส่วนเรื่องวิชาการ ว่ากันมาต่อก็ดีครับ จริงๆ การใช้ NSAID อย่างตัว Advil นั้น ถามว่าดีไหม....ดีครับ แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตรงนี้เท่าไหร่ เพราะ 1. cost-effectiveness ไม่ได้ชัดเจนมาก 2. access การเข้าถึง ลำบากมากครับ ไม่ใช่ยาที่หาได้ง่ายๆ 3. ไม่จำเป็นต้องใช้ NSAIDs ที่ออกฤทธิ์เร็ว แต่สิ่งที่ต้องการคือ NSAIDs ที่ออกฤทธิ์ดีที่สุดในคนคนนั้น อย่างผมเอง หลายๆ ครั้งก็เลือกจ่าย Naproxen ซึ่งเป็นยาในกลุ่มเดียวกันกับ Ibuprofen แทน แม้ใครหลายๆ คนจะบอกว่ามัน Onset ช้ากว่า แต่การใช้งานในผู้ป่วย Migraine กลับให้ผลที่ดีกว่า โดยเฉพาะคนที่เป็น Migraine ที่เป็นมานานแล้ว หรืออาจจะจ่าย Mefenamic Acid แทนก็ยังได้ อย่าฟันธงกันด้วยทฤษฎีว่ายาตัวไหนดีไม่ดีอย่างไรเพียงอย่างเดียวครับ เพราะแนวทางการรักษามันก็เป็นไปตาม guideline นั่นแหละ แล้ว guideline มันก็ระบุเป็นกลุ่มยามากกว่าที่จะเป็นตัวยา จริงไหมครับ :) ปล. ดีใจที่เห็นเภสัชกรเต็มกระทู้เลย หรือจะฟื้นโครงการพัฒนาบทบาทวิชาชีพเภสัชกรรมดีเนี่ย ใครสนใจจิ้มอมยิ้มมาได้เลยครับ ^^ จากคุณ : Epinephrine - [ 29 พ.ค. 52 20:34:57 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เสริมอีกนิดนึงสำหรับยากลุ่มเอนเสด ยากลุ่มนี้ฤทธิ์ในการลดอาการปวดนี่ให้ผลเเตกต่างกันมากในคนไข้ บางคนใช้เอนเซดที่บอกว่าว่าออกฤิทธิ์เร็วสุด ดีสุดเเต่ไม่หาย มากินเเค่ไดโคฟีเเนคธรรมดากลับบอกว่าดี จากคุณ : Pharmaceutic - [ 29 พ.ค. 52 20:55:35 ]

ความคิดเห็นที่ 62 มาให้กำลังใจคุณลูกเป็ดขี้เกียจค่ะ การอ่านกระทู้ให้ดี คืออย่าตะแบงให้เข้าข้างความรู้สึำกตัวเองค่ะ จากคุณ : ดาหลารัศมี - [ 29 พ.ค. 52 21:07:44 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เข้าใจ จขกท ค่ะ อ่านแล้วรู้สึกว่า  ถ้าใช้คำพูดดีๆ ตอบกระทู้แต่แรกก็ไม่มีปัญหากันแล้ว จากคุณ : Sweet Preppy - [ 30 พ.ค. 52 00:42:09 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ใจเย็นๆ ให้อภัยกันเถอะนะคะ.... กระทู้นี้มีเนื้อหาสาระดีมาก ขอบคุณทุกท่านที่มาแชร์ความรู้ เสริม คหที่ 61 เห็นด้วยค่ะว่าการตอบสนองของคนไข้แตกต่างกันทั้งๆที่ทานยาแก้ปวดชนิดเดียวกัน ส่วนตัวตอน migraine attack ลอง NSAIDs มาหลายตัวแล้ว แต่ตัวที่ตอบสนองดีสุดก็คือ Ibuprofenรูปที่ถูกดูดซึมได้เร็ว  แต่บางคนทานแค่ Diclofenac อย่างที่คุณ Pharmaceutic กล่าวก็หาย แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 52 00:56:49 จากคุณ : Madam_delight - [ 30 พ.ค. 52 00:54:35 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ในฐานะที่เป็นหมออายุรกรรม แล้วก็รักษาคนไข้ไมเกรนมาก็มากนะครับ ก็ขอช่วยตอบว่าไม่มีใครถูกไม่มีใครผิดครับ การใช้ยาเป็นเรื่องของศิลปะจริงๆ เพราะคนไข้แต่ละคนตอบสนองต่อยาก็ต่างกันไป ถ้าไม่ได้เป็นยาที่หลุดจากข้อบ่งชี้การใช้ ก็นำมาใช้ได้หมดน่ะครับ ก็ต้องบอกว่าต้องลองไปเป็นรายบุคคล คนไข้ไมเกรนขั้นเทพนี่จะได้รับยามากกว่านี้เยอะครับ ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบ Ergot เท่าไหร่ เพราะว่าผลข้างเคียงเยอะ ถ้าปวดเฉียบพลันจริงๆ ผมจะนำด้วย Ibuprofen หรือ Diclofenac และร่วมไปกับ Triptans ขึ้นกับความรุนแรง  แล้วตามด้วยยากลุ่มกล่อมประสาทซักตัว เช่น Amitryptiline หรือ Flunarizine ร่วมกับยาแก้อาเจียนซักตัว แต่ในระยะยาว ผมชอบที่จะป้องกันโดยใช้ Amitryptiline กับ Beta blockers ครับ ส่วน Ergot ผมจะให้คนไข้เก็บไว้เวลาฉุกเฉินมีปวดเฉียบพลันที่ไม่บรรเทาด้วยยาข้างต้นครับ จากคุณ : Modifier - [ 30 พ.ค. 52 04:23:23 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ในฐานะหมออายุรกรรมโรคข้อและรูมาติสซัม่ ซึ่งจ่ายยาnsaidsเป็นประจำ ขอแย้งคุณเภสัชกรนิดนึงนะคะ เรื่องการใช้ยาnsaids2ตัวร่วมกัน ถือว่าเป็นข้อห้ามใช้เลยค่ะ เนืองจาก nsaids ถึงจะเป็นคนละกลุ่ม แต่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ตัวเดียวกันคือ cyclo-oxygenase ผลข้างเคียงที่น่ากลัวก็คือ เลือดออกในทางเดินอาหารค่ะ ถ้าอยากให้ยาแก้ปวด2ตัวจริงๆ จ่ายเป็นnsaids กับanalgesics หรือmuscle relaxant ดีกว่า หรือ nsaids ตัวเดียวแต่ขนาดยาเต็มที่ ดีกว่านะคะ จากคุณ : หมอrheumato - [ 31 พ.ค. 52 23:21:12 A:222.123.205.189 X: TicketID:112403 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ห่างหายจากการจ่ายยาไปน๊านนานนน ขอแชร์บ้างนะครับ เมื่อก่อนผมก็ใช้ Naproxen เหมือนกันครับ คนไข้บอกว่าได้ผลดี หรือไม่ก็ Mefenamic ครับ เหมือน คห.ที่ผ่านมา ส่วนตัว ตามความรู้ทาง biopharmaceutic อันน้อยนิดนะครับขอแสดงความคิดเห็นหน่อยนุง ผมมองวา ถึงแม้ว่ายา NSAIDs เหมือนกัน แต่เมื่อยาเข้าร่างกายแล้ว เราไม่สามารถรู้ได้ว่า ยาชนิดไหนมันจะไปที่ active site ส่วนไหนในร่างกายมากหรือน้อยกว่ากัน ถึงแม้ว่าทาง Pharmacokinetic จะบอกว่า เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายแล้วการวัดระดับยาในเลือดจะเป็นตัวบ่งชี้หนึ่ง (ไม่ใช่ทั้งหมด) ว่าเป็นตัวแทนของยาที่อยู่ที่ Active site ก็ตาม (อนุมานว่ายาแต่ละชนิดประสิทธิภาพไม่ต่างกัน) แต่ NSAIDs (ซึ่งจำไม่ได้ว่ามีกี่กลุ่มแล้ว ) โครงสร้างยาส่วนใหญ่เป็นกรดอ่อน บางตัว polarity สูงซะด้วย ซึ่งโครงสร้างแบบนี้จะผ่านเข้าสู่เนื้อเยื่อที่มีไขมันสูงได้น้อย ยาบางตัวมีโครงสร้างที่ non polar ที่อาจส่งเสริมให้โครงสร้างโดยรวมของสาร มี polarity ลดลง อาจทำให้การผ่านเข้าสู่ tissue ได้ดีกว่า ซึ่งตรงนี้อาจมีผลต่อตำแหน่งออกฤทธิ์ในร่างกายของ NSAIDs แต่ละตัวหรือเปล่า ถ้ามอง Naproxen ซึ่งมีโครงสร้างที่เป็น Benzene ring 2 ตัวติดกัน Mefenamic acid มี Benzene 2 ตัวแต่ไม่ติดกัน ส่วน Ibuprofen มี แค่ 1 ตัวในโครงสร้าง หากเรียงลำดับ Polarity คร่าวๆ จากมากไปหาน้อยอาจเป็นได้ดังนีั ibuprofen>Mefenamic>Naproxen เป็นไปได้หรือไม่วา การให้ Naproxen แก้ปวดหัว คนไข้บางคนจึงตอบสนองต่ออาการปวดหัวได้ดีกว่า (ไม่ฟันธงว่าประสิทธิภาพดีกว่าแบบมีนัยสำคัญนะครับ) มองอีกประเด็นที่อาจเป็นข้อพิสูจน์ polarity ของยา ก็คือ dosage interval ยาที่ dosage interval ยาวกว่า นั่นคือยามี t1/2 สูงกว่า และส่วนใหญ่ก็เป็นยาที่ Polarity ต่ำ นั่นคือมันใช้เวลานานกว่าในการ metabolise ให้เป็นสารที่ Polarity สูงเพื่อที่จะขับออกทางไตได้ ซึ่งทางที่จะกำจัดยาหลักๆก็คือไต ตับต้องmetaboliseให้ยา มี Polarity สูงก่อนที่จะละลายน้ำและฉิ๊งฉ่องออกมาได้ ดังนั้นยาที่ Polarity สูงอยู่แล้ว ตับก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงมันมาก มันก็ขับออกทางไตได้อยู่แร้น มามองเรื่องการละลายน้ำก่อนที่จะเข้าสู่เรื่อง formulation ของ ibuprfen อีก ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่ว่าสารที่ Polar แล้วจะละลายน้ำได้ดีไปซะหมดครับ (ถ้าคุยเฉพาะเรื่องนี้อีกยาวเลย) Formulation ของ Advil ซึ่งละลาย Ibuprofen มาเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าสู่กระเพาะอาหาร ก็ละลายอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ผลของ formulation จะส่งเสริมให้มี "fraction ของ Ibuprofen ที่ละลาย" มีอยู่ในลำไส้เล็กมากกว่า traditional formulation ซึ่งเพิ่งจะเริ่มละลายเมื่อออกจากกระเพาะอาหาร (Ibuprofen เพิ่มเริ่มละลายเมื่อ pH เริ่มสูงขึ้น ซึ่งพิจารณาจาก pKa ของ Ibuprofen มีค่าประมาณ 4.4 ดังนั้น ibuprofen น่าจะละลายได้ดีขึ้นเมื่อ pH มีค่ามากกว่า 6.4 ขึ้นไป ซึ่งที่ pH นี้ในร่างกายก็น่าจะอยู่ในช่วงของ ลำไส้เล็กแล้ว ดังนั้นไม่แปลกเลยที่Traditional ibuprofen formulation จึงมี onset ช้ากว่า Solubilized formulatuon พิสูจน์ได้จากค่า Tmax จากการศึกษา Pharmacokinetic ประเด็นทางทฤษฎี biopharmaceutic ยังมีอีกมากมายครับ แต่ทั้งหมดที่เขียนไปก็เป็นแค่สมมติฐานที่ต้องอาศัยการทดลองพิสูจน์ (อาจมี reference แล้วแต่ผมขี้เกียจหา) แต่ยังไงผมว่าการทดลองทาง clinical efficacy ให้ได้อย่างแม่นยำเที่ยงตรง ซึ่งทำยากที่สุด นั่นหล่ะครับ ที่จะเป็นตัวตอบคำถามต่างๆได้ชัดเจนกว่า แค่การตั้งสมมติฐานทาง biopharmaceutics อาจไม่ได้ไปหา reference ขออภัยด้วยครับ ผิดตรงไหนช่วยแต่งเติมได้ครับ มาอ่านอีกรอบรู้สึกว่ามันวนไปวนมา ขออภัยอีกรอบคร๊าบ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 52 23:53:10 จากคุณ : Empirical Man - [ 2 มิ.ย. 52 23:21:19 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เป็นไมเกรนมานานสิบ ๆ ปีความรู้ด้านตัวยาน้อย แต่ที่รู้ ๆ ระยะหลัง ๆ มานี้ พอกินยาTofago ไม่ถึง 5 นาที กระเพาะจะมีปัญหา เสียงลมวิ่งในท้องครืดคราด และจะมีอาการปวดกระเพาะตามมาต้องกินยาเคลือบ ยาลดกรดในกระเพาะ 1-2 วัน ถึงจะปกติ กลุ้มใจจริง ๆ ปวดหัวแล้วยังต้องเตรียมปวดกระเพาะต่อ เคยปรึกษาหมอและเภสัช แต่ละคนก็บอกแต่ว่ายาตัวนี้ไม่มีผลข้างเคียงกับกระเพาะ และก็จ่ายยาตัวเดิมมาอีก ใครก็ได้ช่วยที มียาตัวอื่นอีกไหม แพงก็ไม่เกี่ยง ไม่อยากปวดกระเพาะ เคยกินยาไอบลูเฟนครั้งหนึ่ง ตื่นมาตาบวมปิด เลยไม่กล้ากินอีกเลย เดือนหนึ่งปวดประมาณ 1-2 ครั้ง ขอร้องวิงวอนคนที่รู้ช่วยแนะนำหน่อย จากคุณ : คนแก่ขี้โรค - [ 10 มิ.ย. 52 17:11:13 A:61.7.142.164 X: TicketID:219514 ]