๕ ธรรมชาติช่วยรักษา หลังการอาพาธหนักในเดือนตุลาคม ๒๕๓๔ แล้ว ท่านอาจารย์ก็อาพาธหนักบางเบาบ้างอยู่อีกหลายครั้ง ทัศนะของท่านที่ว่า ความเจ็บไข้มาเตือนให้ฉลาด ไม่สบายทุกทีก็ฉลาดขึ้นทุกที ทำให้ผมคิดว่า ท่านได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้สิ่งที่ท่านต้องการมากขึ้นเป็นลำดับจากการอาพาธในแต่ละครั้งด้วย
วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ สี่เดือนหลังการอาพาธหนักด้วยโรคหัวใจวาย ท่านอาจารย์อาพาธด้วยโรคภาวะเส้นเลือดสมองอุดตัน ทำให้เนื้อสมองบางส่วนขาดเลือด จากการสืบค้นทางการแพทย์ คาดว่าอาการนี้ เป็นผลจากการเต้นของหัวใจผิดจังหวะที่มีมาแต่เดิมของท่าน ทำให้มีลิ่มเลือดเล็กๆ หลุดจากหัวใจไปยังสมอง
ผมรับทราบข่าวนี้เมื่ออาจารย์ประดิษฐ์ (เจริญไทยทวี) ซึ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลแล้ว ท่านโทรศัพท์มาถึงผม มีคำสั่งให้เดินทางลงไปสวนโมกข์เนื่องจากท่านได้รับรายงานว่า ท่านอาจารย์พุทธทาสอาพาธหนัก และท่านอธิการบดีก็รับทราบอยู่ก่อนว่า ผมยังลงไปสวนโมกข์และติดตามดูแลอาหารของท่านอาจารย์อยู่ แม้จะอย่างไม่เป็นทางการ
ผมเดินทางไปสวนโมกข์ในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๕ ทราบว่า เมื่อบ่ายวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ น.พ.ทรงศักดิ์ ได้มาตรวจอาการแล้ว สันนิษฐานว่าลิ่มเลือดหลุดไปสู่สมอง
พระพรเทพ ฐิตปัญโญ พระอุปัฏฐากและเลขานุการส่วนตัวของท่านอาจารย์ได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ท่านสิงห์ทอง พระอุปัฏฐากซึ่งนอนเฝ้าท่านอาจารย์ได้มาเรียกท่านตอนกลางดึก บอกว่าให้ไปดูท่านอาจารย์ เนื่องจากท่านมีอาการแปลกๆ คืออยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ฝีมือแล้วก็บอกว่า เปิดซิ เปิดเสียง แต่เมื่อพระเดินไปเปิดวิทยุแล้ว ท่านอาจารย์ก็ยังพูดต่อเช่นเดิมอีก พระอุปัฏฐากกราบเรียนถามอะไร ท่านก็ไม่ตอบ และยังคงมีท่าทางเช่นเดิมอีก ซึ่งพระท่านจำได้ว่าเป็นกิริยาปกติของท่านอาจารย์ ในเวลาที่ท่านจะเริ่มการเทศน์ คือบอกให้พระที่คุมเครื่องเสียง เปิดไมโครโฟน
จากอาการและการที่สื่อสารกับท่านไม่ได้ ทำให้ทราบว่าท่านอาจารย์อาพาธ แต่ไม่ทราบกันว่าด้วยโรคอะไร จึงไปตามท่านอาจารย์โพธิ์ แล้วก็ไปตามอาจารย์ประยูร เมื่ออาจารย์ประยูรมาถึงก็ตรวจร่างกาย และวัดความดันโลหิตก็พบว่าปกติ ช่วงต่อมาท่านอาจารย์ลงไปนอนต่อได้เอง แล้วสักพักก็เปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นการทำกิจวัตรประจำวันของท่านโดยทำอยู่ซ้ำ ๆ เช่นลุกขึ้นมานั่งโถแล้วกลับไปนอนแล้วก็ลุกขึ้นทำใหม่อีก โดยที่ท่านไม่ได้ถ่ายจริงๆ เป็นอย่างนี้ทั้งคืนแล้วที่สุดท่านก็ลงไปนอนและหลับไปนาน
ตอนเช้า พ.ญ.เสริมทรัพย์ ดำรงรัตน์ แพทย์อาวุโสซึ่งเกษียณราชการแล้วมาอยู่สวนโมกข์ และเป็นผู้หนึ่งซึ่งคอยถวายการรักษาและถวายคำแนะนำเรื่องสุขภาพของท่านอาจารย์มานาน ได้ไปเยี่ยมอาการท่าน เมื่อกราบเรียนถามท่านว่า มีอาการปวดศีรษะไหม เวียนศีรษะหรือเปล่า ท่านก็ตอบว่า ไม่ โดยตลอด พ.ญ.เสริมทรัพย์จึงกราบเรียนว่าให้ท่านอาจารย์ลองนับนิ้ว ปรากฏว่าท่านนับไม่ได้ ได้แต่หัวเราะ หึ หึ จึงได้เริ่มเอะใจกันว่า ท่านอาพาธเกี่ยวกับสมอง จึงโทรศัพท์ตามน.พ.ทรงศักดิ์ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการถวายการรักษาอะไรในช่วงนี้ ท่านอาจารย์ยังสามารถทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ได้เป็นปกติ แต่จำอะไรและจำใครไม่ได้ หลังจากที่ท่านได้นอนพักประมาณ ๔ - ๘ ชั่วโมงแล้ว ท่านจึงเริ่มกลับเป็นปกติ เพียงแต่สูญเสียความทรงจำไปส่วนหนึ่งในช่วงนั้น
วันต่อมาอาจารย์ประเวศมาเยี่ยมอาการ และได้โทรติดต่อกับ ศ.น.พ.อดุลย์ วิริยเวชกุล หัวหน้าหน่วยประสาทวิทยาของศิริราช เพื่อปรึกษาอาการ อาจารย์อดุลย์วินิจฉัยหลังจากฟังสรุปอาการต่าง ๆ แล้วว่าท่านอาจารย์เป็นโรคเลือดแข็งตัวและอุดหลอดเลือดในสมองเป็นหย่อมๆ พร้อมกับสั่งยาเพื่อถวายการรักษา อาการของท่านอาจารย์เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ วันต่อมา เมื่อความจำของท่านกลับคืนมาแล้ว ท่านเล่าให้ผมฟังว่า ขณะที่เกิดเหตุนั้น ท่านอาจารย์กำลังเขียนหนังลืออยู่ สันนิษฐานว่าคงเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดมาก เนื่องจากท่านบอกว่า งานนั้นเป็นงานเผยแพร่ธรรมะชิ้นสำคัญสุดท้าย ที่ท่านอยากจะทำให้เสร็จก่อนสิ้นชีวิต
ท่านเล่าความรู้ลึกในช่วงที่เกิดอาการว่า ทันทีทันใดนั้นก็รู้ลึกวูบไปเฉยๆ ไม่สามารถจำอะไรได้ รู้สึกเพียงแต่ว่ามันเงียบและน่ากลัวมาก มีความรู้สึกว่าร่างกายเบาเหมือนปุยเมฆลอยอยู่ในท้องฟ้า แต่ไม่เห็นอะไรชัดเจน ท่านอาจารย์มีความรู้สึกว่า อาการอาพาธครั้งนี้ เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับการอาพาธครั้งอื่นๆ ที่ผ่านมา ทั้งนี้คงจะเป็นเพราะว่า ท่านไม่สามารถจะใช้สติสัมปชัญญะของท่าน ควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้เหมือนกับการอาพาธที่เกิดกับอวัยวะสำคัญส่วนอื่นๆ
เมื่อผมเห็นว่าอาการของท่านฟื้นตัวได้เร็วและไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายแล้ว วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ ผมก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ และคิดว่าน่าจะติดต่อให้มีแพทย์เฉพาะทางในด้านประสาทวิทยาไปตรวจเยี่ยมอาการของท่าน พอดีผมได้พบกับ ศ.น.พ.นิพนธ์ พวงวรินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาในการประชุม ก็เลยเรียนเรื่องต่าง ๆ ให้อาจารย์นิพนธ์ฟัง พร้อมกับชวนให้ท่านลงไปตรวจอาการท่านอาจารย์ แต่เนื่องจากตอนนั้นทางคณะฯ ยังไม่มีแผนการส่งแพทย์ไปถวายการรักษา เราจึงวางแผนกันว่า จะขออนุมัติท่านคณบดี คือ ศ.น.พ.อรุณ เผ่าลวัสดิ์ เพื่อที่จะเดินทางไปได้เลยในวันทำงาน โดยไม่ต้องเสียเวลารอจนถึงวันเสาร์-อาทิตย์ ผมเดรียมที่จะเดินทางไปพร้อมกับอาจารย์นิพนธ์ แด่เกิดมีภารกิจอื่นทำให้เดินทางไปด้วยไม่ได้ อาจารย์นิพนธ์จึงเดินทางคนเดียว โดยมีน.พ.ทรงศักดิ์ ช่วยประสานงานกับทางสวนโมกข์แทนผม หลังจากนั้นมา อาจารย์นิพนธ์ก็ลงไปตรวจเยี่ยมอาการท่านอาจารย์ทุกเดือนในวันอาทิตย์หรือเสาร์ โดยทำการตรวจและติดตามผลการฟื้นตัวของระบบประสาท โดยเฉพาะในเรื่องความจำ พร้อมกับปรับเปลี่ยนยาที่ใช้ในการรักษาตามความเหมาะสมด้วย
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ความทรงจำของท่านกกลับคืนมาได้มาก แม้จะไม่ทั้งหมด ท่านอาจารย์สามารถที่จะใช้ความคิดเพื่อเขียนหนังสือได้ครั้งละนานๆ มากขึ้น และสามารถแสดงธรรมแก่ผู้สนใจได้ตามสมควร ส่วนใหญ่ครั้งละไม่เกินครึ่งชั่วโมงแล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามความพร้อมของร่างกายและสมอง ซึ่งหลายครั้งเราก็ต้องคอยทัดทานท่าน มิให้หักโหมเกินไป ท่านอาจารย์มักจะบ่นให้ผมและคนอื่นๆ ฟังว่า ท่านไม่ประมาณตนในเรื่องการทำงาน คือมักจะทำงานมากกว่าอายุและสุขภาพของตนเองเสมอ ท่านบอกอยู่หลายครั้งว่า เวลาพูดธรรมะแล้วมักจะหยุดไม่ค่อยได้ ท่านปรารภให้ฟังว่า งานที่ท่านอยากจะทำในช่วงเวลาที่เหลือนี้ คือ พินัยกรรมธรรมะที่รวบรวมจากการเรียนรู้ตลอดชีวิตของท่าน ทำไว้เพื่อให้พุทธศาสนิกชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ และศึกษาค้นคว้าต่อไป
หลังการอาพาธด้วยลิ่มเลือดอุดตันเส้นเลือดสมองในครั้งนี้แล้ว ผมก็ยังลงสวนโมกข์เองเดือนละครั้งเช่นเดิมในวันสุดสัปดาห์ ไปถึงก็จะไปกราบท่านและตรวจร่างกายโดยทั่ว ๆ ไปพร้อมกับอ่านบันทึกสุขภาพซึ่งท่านพรเทพจดไว้ แล้วก็ขลุกอยู่บริเวณกุฏิของท่านตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เช้า ๖ โมงไปจนถึงดึก จะกลับที่พักเมื่อตอนกินข้าวและตอนมานอนเท่านั้น บางครั้งก็คุยกับท่านอาจารย์บ้างในเรื่องสัพเพเหระ เช่นข่าวสารบ้านเมือง ประวัติศาสตร์ เรื่องยุคเก่า ฯลฯ เพราะท่านเป็นผู้ที่รอบรู้ในเรื่องต่างๆ มากมาย มิใช่เพียงเรื่องธรรมะเท่านั้น บางครั้งท่านก็จะปรารภธรรมะ หรือเล่าเรื่องงานและเรื่องที่ท่านอยากทำให้ฟัง เป็นการคุยกับผมคนเดียวบ้าง หรือกับคณะแพทย์ซึ่งเคยถวายการรักษาคราวอาพาธเมื่อปี ๒๕๓๔ บ้าง ผมจะคอยจำคำพูดของท่านที่น่าสนใจ หรือที่คิดว่าแปลกดีไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วจดบันทึกไว้ แต่บางครั้งก็มิได้สนทนาอะไรกับท่านเลย บางคราวท่านนั่งอยู่หน้ากุฏิ ส่วนผมก็นั่งอ่านหนังสือไปเงียบๆ เหมือนต่างคนต่างอยู่ คงจะเป็นเพราะผมมักจะมีความรู้สึกเกรงใจไม่อยากรบกวนท่าน โดยเฉพาะในเวลาที่ท่านอาจจะกำลังใช้ความคิดในเรื่องงานของท่านอยู่
ผมจะได้คุยกับท่านมากหน่อยก็ตอนช่วงที่ตามท่านเดินออกกำลังกายในตอนเช้า ท่านจะเล่าเรื่องสมุนไพร และบอกสรรพคุณของต้นไม้ใบหญ้าที่พบให้ฟัง รวมไปกับเรื่องการดูแลรักษาตนเองของคนสมัยโบราณ ท่านรอบรู้เรื่องของสมุนไพรมาก และมักจะใช้สมุนไพรรักษาตนเองด้วยบ่อยๆ เช่นใช้ยางมะละกอรักษาตัวต่อต่อย หรือให้ท่านสิงห์ทองช่วยหาบอนเพื่อมารักษาหูด และว่านหางจระเข้รักษาแผลที่ถูกน้ำร้อนหรือไฟลวก ฯลข นอกจากนี้ท่านยังเคยเล่าให้ฟังถึงวิธีการรักษาโรคตามแบบของท่าน นั่นคือ เวลาที่อาพาธ ท่านมักจะรักษาโดยการนอนอย่างเดียว ไม่กินและไม่ทำอะไรอย่างอื่นทั้งสิ้น ประมาณ ๒-๓ วันก็จะรู้ผล ซึ่งส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นเอง ท่านอาจารย์จึงเชื่อในหลักของ ธรรมชาติรักษา ว่าเป็นหลักใหญ่แห่งสุขภาพและการบำบัด โดยที่แพทย์และวิทยาการทางการแพทย์ เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งในบางครั้งบางคราวสำหรับท่านเท่านั้น
สุขภาพที่ดีขึ้นของท่านอาจารย์ ทำให้ผมมีโอกาลได้รู้จักสวนโมกข์มากขึ้น มีเวลาเดินสำรวจเขาพุทธทอง สระนาฬิเกร์ โรงปั้น โรงหนัง ไปจนถึงลานลูกเสือ ฯลฯ รวมทั้งการวิ่งขึ้นเขานางเอตอนเช้า ๆ ด้วย เมื่อครบ ๑๒ เดือนของการมาถวายการดูแลท่านอาจารย์ คือในเดือนตุลาคม ๒๕๓๕ สุขภาพโดยรวมของท่าน หากดูจากภายนอกจะใกล้เคียงกับช่วงเดิมก่อนที่จะอาพาธ คือค่อนข้างแข็งแรง แต่ตัวท่านเองยังปรารภว่ามันไม่เหมือนแต่ก่อน ท่านรู้ลึกเพลีย ไม่อยากอาหาร และไม่สามารถใช้ความคิดได้เต็มที่
ผมสังเกตจากการเฝ้าดูท่านมาอย่างต่อเนื่องว่า ท่านอาจารย์พยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสุขภาพของท่าน แต่ก็ยังไม่พบจุดที่ลงตัวนัก จนเมื่อผ่านเขาสู่ปีใหม่ ๒๕๓๖ จึงดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะเริ่มเคยชินกับสภาพของสุขภาพใหม่มากขึ้น สามารถที่จะเดินออกกำลังในตอนเช้า เป็นระยะทางประมาณ ๓๐๐ เมตรเกือบทุกวัน และสามารถนั่งสนทนากับผู้ที่มากราบนมัสการ และแสดงธรรมเป็นระยะเวลานานๆ ได้ แต่สุขภาพของท่านก็ดีอยู่ได้ไม่นานนัก ปลายเดือนมกราคมนั้น ท่านอาพาธค่อนข้างหนักอีกครั้ง ทำให้การฟื้นตัวที่ค่อยๆ ดีขึ้น ต้องหยุดชะงักลงไปอีกครั้งหนึ่ง
วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๓๖ ท่านมีอาการเลือดออกจากทางเดินอาหารโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด โดยที่ท่านถ่ายเป็นโลหิต ซึ่งประมาณกันว่า รวมแล้ว ๑,๕๐๐ ซีซีใน ๒๔ ชั่วโมง การสูญเสียโลหิตในปริมาณมาก มีผลให้ท่านซีด และที่สำคัญคือความดันโลหิตต่ำลง จนอาจทำให้การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ล้มเหลว(ภาวะช็อค) ตามบันทึกของแพทย์นั้น ท่านอาจารย์เคยมีอาการทำนองเดียวกันนี้มาก่อนแล้ว ๒ ครั้ง ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกับครั้งก่อนๆ คือ ท่านอาจารย์จะใช้วิธีการรักษาตามแบบของท่าน ซึ่งท่านเล่าให้พระอุปัฏฐากฟังว่า เป็นการห้ามเลือดแบบของพวกนักบวชอินเดียในสมัยพุทธกาล คือการเข้าสมาธิจนร่างกายสงบนิ่งและเลือดหยุดไหล คืนนั้นท่านนอนตะแคงข้าง หันหน้าเขาหาผนัง และนอนนิ่งนานในท่าดังกล่าวอยู่เป็นชั่วโมง ๆ
ในตอนเช้าอาการของท่านดีขึ้น ในตอนแรกนั้น น.พ.วิโรจน์ พานิช ศัลยแพทย์โรงพยาบาลสุราษฎร์ฯ และเป็นหลานชายของท่านอาจารย์ซึ่งเป็นผู้ถวายการรักษา ได้เตรียมการที่จะให้เลือดทดแทน เนื่องจากในครั้งนี้ท่านอาจารย์เสียเลือดมากกว่าครั้งก่อนๆ จนอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต และมีผลเสียต่อการฟื้นตัวของโรคทางหัวใจและสมองที่ท่านเป็นอยู่ แต่ท่านอาจารย์ก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล โดยไม่มีใครทราบเหตุผลที่ชัดเจนของท่าน
จากคุณ |
:
มีนัดกับผู้รู้
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ก.ค. 52 07:05:20
|
|
|
|
|
|