ความคิดเห็นที่ 1 จากภาพข้างล่าง จอสีส้มๆที่มีเส้นเลือดคือจอประสาทตาที่มีหน้าที่รับภาพ เปรียบเสมือน film ของกล้องถ่ายรูป จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 22:25:03

ความคิดเห็นที่ 2 ส่วนขั้วประสาทตาที่พูดถึงกันในเรื่องของต้อหินก็คือ optic disc เป็นจุดที่รวมของประสาทตาที่รับภาพทั้งหมดไปเป็นเส้นประสาทตา (optic nerve) เพื่อส่งสัญญาณภาพไปแปรผลที่สมอง จากภาพเป็นลักษณะประสาทตาปกติ จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 22:28:47

ความคิดเห็นที่ 3 ในคนที่เป็นต้อหิน จะมีการเปลี่ยนแปลงของขั้วประสาทตาโดยมี cupping (สีเหลืองตรงกลาง) ใหญ่ขึ้น แบบนี้ จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 22:32:19

ความคิดเห็นที่ 4 ดังนั้น การจะวินิจฉัยต้อหิน ก็ต้องย้อนกลับไปดูที่นิยามของโรคนี้อีกครั้ง (นิยามนี้เราไม่ได้คิดขึ้นเองนะคะ เราแปลมาจาก text book เลย) Optic neuropathy คือมีพยาธืสภาพของขั้วประสาทตา ซึ่งตรวจได้ดังภาพข้างบน โดยทั่วไปควรมีการตรวจพบความผิดปกติของลานสายตา (Visual field defect) ร่วมด้วย จึงจะวินิจฉัยว่าเป็นต้อหิน และปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของต้อหิน (มุมเปิด) มีดังนี้ - ความดันลูกตาสูง (Increase intraocular pressure) - มีขั้วประสาทตาใหญ่ (increase cup to disc ratio) ตามภาพข้างบน - กระจกตาบาง - ประวัติครอบครัว - อายุ - เชื้อชาติ ส่วน possible risk factors หรืออาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยง มีดังนี้ - เบาหวาน - สายตาสั้น - ความดันโลหิตสูง - ไมเกรน จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 22:42:47

ความคิดเห็นที่ 5 ที่เราพิมพ์มาทั้งหมดนำมาจาก standard text book ของจักษุวิทยา ซึ่งผ่านการยอมรับจากจักษุแพทย์ทั่วโลก  ไม่ได้มาจากความเห็นของแพทย์ท่านใดท่านหนึ่งโดยเฉพาะ จะเห็นได้ว่า ความเสี่ยงของต้อหิน ไม่ได้มีการรับรองว่าเกี่ยวข้องกับการใช้สายตาหรือการใช้คอมพิวเตอร์ใดๆ ที่อาจจะเกี่ยวก็มีเพียงสายตาสั้นเท่านั้น (แต่ก็ยังจัดอยู่ในกลุ่ม possible) ความเห็นของเราอาจไม่ตรงกับความเข้าใจดั้งเดิม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการใช้คอมพิวเตอร์มากๆจะเป็นสิ่งที่ดี เพราะไม่ว่าจะแสงแดดหรือแสงจากคอมพิวเตอร์ก็มีผลกับตาของเราทั้งนั้น เช่น ตาแห้ง หรือแม้กระทั้งปวดตาเพราะใช้สายตามาก จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 22:54:36

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูล เพราะคุณพ่อเราก้พึ่งตรวจพบว่าเป็นต้อหินเหมือนกัน T^T จากคุณ : cHiHo เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 23:11:21

ความคิดเห็นที่ 7 บางครั้งสิ่งที่อยู่ในตำรามันจำกัด เป็นไปได้มั๊ยคะที่จะเกิดการค้นพบใหม่ๆ เหมือนๆกับความเชื่อทางวิทยาศาตร์ยุคนึงเชื่อว่าต้องเป็นอย่างนี้ พอเวลาผ่านไปก็เปลี่ยนไป  ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยน ทนต่อการพิสูจน์ ไม่จำกัดกาลเหมือนธรรมมะของพระพุทธเจ้าหรอกค่ะ จากคุณ : nongnou เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 23:36:56

ความคิดเห็นที่ 8 เผอิญเป็นเบาหวานต้องตรวจตาสม่ำเสมอเหมือนกัน และงานที่ทำตอนนี้มันเกี่ยวข้องกับต้อหิน ก็เลยได้พบกับจักษุแพทย์สาขาต้อหินระดับแถวหน้าอยู่หลายท่าน โดยส่วนตัวแล้วใช้คอมพิวเตอร์ค่อนข้างมาก อย่างน้อยก็หนึ่งในสามของแต่ละวันเป็นเวลาเกินสิบปี มาเจอเรื่องนี้ในเวปบอร์ดก็กังวล ครั้งแรกคุยกับจักษุแพทย์ที่ตรวจตา แพทย์ทำหน้างงแล้วบอกว่าสำหรับตัวหมอคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยว ต่อมาถามอาจารย์ที่เป็นจักษุแพทย์สาขาต้อหินหลายท่านที่ระดับต้นของประเทศไทยจากหลายสถาบันด้วย ทุกท่านตอบแบบเดียวกันหมดเลย เลยกลับมาหาข้อมูลไล่จากกระทูในนี้ แล้วก็ไปเสิร์ชในกูเกิ้ลอ่านทุกลิงค์ที่เกี่ยวข้องและพูดถึงโรงต้อหินจาการใช้คอมพิวเตอร์ ได้ข้อมูลมาว่าส่วนใหญ่มาจาก forward mail แล้วไปโพสต่อในเวปบอร์ดหลายแห่งมาก แต่พอตามลิงค์จากทูกแห่งไปมันจะไปสิ้นสุดที่แหล่งข้อมูลเดียวกัน สิ่งน่าแปลกที่เจอก็คือทุกลิงค์ที่เจอข้อมูลโรคนี้จะมาจักษุแพทย์เพียงท่านเดียวและท่านเดิม ในขณะที่เข้าไปเสิร์ชดูข้อมูลทั่วไป เวปบอร์ดของแพทย์ โดยเฉพาะจักษุแพทย์ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย และเวลาโดนถามถึงเรื่องนี้จะตอบแบบอาจารย์หลายๆท่านที่ตอบ ไม่ได้สนใจตามต่อว่าจักษุแพทย์ท่านนี้สาขาต้อหินหรือเปล่า และก็ไม่มีเวลาจึงยังไม่ได้หาข้อมูลในเรื่อง Background ของท่านด้วย ส่วนข้อมูลที่เอามาสนับสนุน ถ้าจำไม่ผิดเป้นงานวิจัยของประเทศญี่ปุ่น ข้อมูลที่โพสในแหล่งข้อมูลในเรื่องการวิจัยนี้ก็ไม่ได้เอามาทั้งหมดเอามาเป็นบางส่วน ก็เลยตามไปที่ตัว Full paper อ่านแล้วมันสะท้อนค่อนข้างแตกต่าง จำนวนตัวเลขที่เจอผู้ป่วยที่พบว่าเป็นต้อหินแล้วใช้คอมพิวเตอร์มันน้อยมากหลักหน่วยจากหลักร้อยปลาย ตัวงานวิจัยเองก็รายงานว่ามันยังไม่มีนัยยะสำคัญพอที่จะบอกว่ามันมีความสัมพันธ์กันชัดเจน และยังมีตัวแปรอื่นๆประกอบด้วย ถ้าจะฟันธงว่าใช่มันต้องไปเก็บข้อมูลทำการวิจัยอีกมาก เรื่องนี้ไม่ใช่ผลการวิจัยหลักของการวิจัยชื้นนั้นแค่กล่าวถึงแค่นั้น เราเห้นกระทู้แนะนำมาทุกอาทิตย์ บอกตรงๆว่าถ้าไม่กระทู้นี้เราก็ไม่กล้าเขียนแบบนี้หรอก เพราะรู้ว่าเละแน่ๆ และก็คิดเหมือนเจ้าของกระทู้ที่ว่าแม้ว่าจะไม่ใช่สาเหตุแต่เราก็คิดว่าการใช้คอมพิวเตอร์มากๆมันก็ไม่ใช่ผลดีต่อตา และควรจะใส่ใจและดูแลด้วย แต่ไม่ใช่ตระหนก Forward mail เรื่องนี้เยอะมากๆและคนส่วนใหญ่ก็เชื่อไปแล้ว จักษุแพทย์บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีกระแสนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย จุดประสงค์ที่โพสความเห็นนี้เพียงเพือนำเสนอข้อมูลให้เห็นอีกด้าน อย่างเพิ่งเชื่อทั้งหมด ไปค้นหาความจริงด้วยตัวเองได้ เหมือนที่เราทำมานั่นแหละ เพิ่มเติมข้อความ เราเสิร์ชหาข้อมูลในเรื่องนี้ไม่มีงานวิจัยหรือเวปไซด์ต่างประเทศพูดถึงเรื่องนี้เลยนะ มีอันเดียวที่เป็นงานวิจัยที่ญึ่ปุ่นนี่แหละ แต่งานวิจัยนั้นไม่ใช่งานวิจัยที่ทำการศึกษาเรื่องต้อหินกับการใช้คอมด้วย มันมีการพูดถึงเป็นติ่งอยู่นิดเดียวเองถ้าอ่านทั้งหมดจะเข้าใจได้ว่ามันยังไม่มีนัยยะสำคัญ เสียดายที่ไม่ได้เก็บลิงค์ไว้ไม่อย่างนั้นจะเอามาโพสให้อ่าน แก้ไข พิมพ์ผิด ตก หล่น แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 00:21:35 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 00:00:55 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 52 23:54:37

ความคิดเห็นที่ 9 สงสัยอยู่เหมือนกันว่าคุณ nongnou เป็นหน้าม้าของนพ.ท่านนั้นหรือเปล่า ถึงได้ปักใจเชื่อแบบสุดขั้วหัวใจ เรื่องนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ามาอ้างการรักษามั่วๆแล้วญาติพี่น้องของผมต้องตกเป็นเหยื่อ ผมเอาเรื่องแน่ เรื่องราวที่ฟังมาทั้งหมดหากเป็นการรักษาแบบไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน น่าจะมีการฟ้องยึดใบประกอบวิชาชีพ หากคุณไม่ใช่หน้าม้า  และคุณเป็นคนเดียวรักษาหายจริง มันก็ไม่ใช่มาตรฐานของวงการแพทย์ ผมไม่ยอมรับ คุณอาจจะหายด้วยตัวของคุณเองก็ได้ หรือไม่คุณก็ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่ต้น จากคุณ : ReMind Me เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 00:06:24

ความคิดเห็นที่ 10 ความเห็นที่ 7 คะ การจะเรียกสิ่งใดเรื่องใดว่าเป็นการค้นพบใหม่ สิ่งนั้นเรื่องนั้นต้องมีการศึกษา ทดลอง วิจัยและมีข้อมูล รายงานที่เกิดจากการทดสอบที่ถูกต้องตามหลักการศึกษาวิจัยและไม่ใช่งานวิจัยเพียงชิ้นเดียวด้วย ถึงจะเรียกว่าการค้นพบใหม่ ยาแต่ละตัวที่มาเป็นยาใช้รักษาโรคอยู่นี้ มันก็เป็นโมเลกุล สารเคมี ที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาวิจัยมาเป็นสิบปี ทุกคนมีสิทธิ์จะคิดมีสิทธิ์จะเชื่อ มีสิทธิ์จะตั้งสมมุติฐานในเรื่องใดๆก็ได้ แต่สมมุติฐานนั้นจะกลายเป็นข้อเท็จจริง ทฤษฎี หรือการค้นพบใหม่มันต้องผ่านการศึกษาทดลอง พิสูจน์อย่างมีหลักการและเหตุผลที่สากลยอมรับเสียก่อนค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 00:19:22

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณคุณ Alone with out lonely ครับ ผมได้ลอง search ตามที่คุณบอกแล้วและได้ค้นพบความจริง แรกๆก็เกือบจะหลงเชื่อไปแล้วเหมือนกัน พรุ่งนี้จะตามสืบที่มาที่ไปของนายแพทย์ท่านนั้น แล้วจะมารายงานให้ทราบครับ จากคุณ : ReMind Me เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 00:23:34

ความคิดเห็นที่ 12 ในฐานะที่มาเปิดประเด็นเรื่องนี้หลังจากที่โพสความเห็นข้างบนไปแล้วก็ลองเข้าไปเสิร์ชดูใหม่ มีข้อมูลหลายอย่างที่โพสข้างบนจากความทรงจำผิดพลาดคลาดเคลื่อนแต่ขอไม่แก้ไขนะค คงไว้อย่างนั้นแหละ แต่จะของลงข้อมูลที่ถูกต้องให้ความเห็นนี้และความเห็นต่อๆไป อันนี้เป็นตัวงานวิจัยหาได้แต่ฉบับย่อนะคะ เรื่องของงานวิจัยนี้ที่บอกข้างบนไว้ไม่ถูกต้องค่ะ จริงๆแล้วเขาตั้งใจศึกษาความสัมพันธ์ของการใช้คอมกับโรคต้อหินเลยค่ะ Possible association between heavy computer users and glaucomatous visual field abnormalities: a cross sectional study in Japanese workers. RESEARCH REPORT Journal of Epidemiology & Community Health. 58(12):1021-1027, December 2004. Tatemichi, Masayuki 1; Nakano, Tadashi 2; Tanaka, Katsutoshi 3; Hayashi, Takeshi 4; Nawa, Takeshi 4; Miyamoto, Toshiaki 5; Hiro, Hisanori 6; Sugita, Minoru 1 Abstract: Study objective: To study the association between computer use and visual field abnormalities (VFA) and to assess whether heavy computer users have an increased risk of glaucoma. Design: Cross sectional multicentre study. Subjects and observation procedures: A total of 10 202 randomly selected Japanese workers (mean (SD) age 43.2 (9.8) years) were screened for VFA using the frequency doubling technology perimetry (FDT-VFA), in addition to undergoing a general medical check up, and then ophthalmologically examined. Information about their computer use and refractive errors was obtained from a questionnaire and interview, respectively. Main results: As a result of FDT test, 522 and 8602 subjects were positive and negative for FDT-VFA, respectively. A significant (p = 0.004) interaction was found between computer use and refractive errors regarding the risk of FDT-VFA. In stratified analysis, heavy computer users with refractive errors showed a significant positive association with FDT-VFA (odds ratio (OR) = 1.74, 95% confidence interval (CI) 1.28 to 2.37), while those without refractive errors did not. Comparison of 165 subjects with an ophthalmological diagnosis of glaucoma and 2918 controls showed that the OR for glaucoma of heavy computer users with refractive errors was 1.82 (95% CI 1.06 to 3.12). Of 165 subjects with glaucoma, 141 had refractive errors, especially myopia (96.4%, 136 of 141). Conclusions: Although there are limitations to this study, such as its cross sectional design, heavy computer users with refractive errors seem to have an increased risk of FDT-VFA. Glaucoma might be involved in an underlying disease and myopia in a risk factor for FDT-VFA. จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 02:09:31

ความคิดเห็นที่ 13 จากข้อมูลเป็นการวิจัยในคนงานญี่ปุ่นที่ใช้คอมพิวเตอร์จำนวน 10 202 รายที่อายุเฉลี่ย 43 ปี จำแนกกลุ่มจากระยะเวลาการใช้คอมเริ่มจากน้อยกว่า 5 ปี มากกว่า 5, 10,15,20 ปีและระยะเวลาที่ใช้นานต่อครั้ง ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงจนถึงมากกว่า 8 ชั่วโมง 552 จาก 10202 รายพบภาวะการมองเห็นที่ผิดปกติ แต่มีแค่ 165 รายที่พบว่ามีภาวะต้อหิน มีการวิเคราะห์จาก 165 รายที่พบว่ามีความผิดปกติที่มีความเสียงต่อการเป็นต้อหินเช่น myopia จากเวปไซด์ต่างประเทศที่มีการพูดถึงเรื่องนี้และมีการขอความเห็นจากผู้เชียวชาญทางด้านนี้จากแหล่งต่างๆ ที่พูดถึงตัวแปรอื่นๆที่เกี่ยวข้อง http://news.bbc.co.uk/2/hi/health/4008185.stm they said their findings needed confirming because the study included mainly men and the refractive errors (which indicate how short- or long-sighted someone is) were not measured officially. Nick Astbury, president of the UK's Royal College of Ophthalmologists, pointed out that Japanese populations had a high prevalence of myopia anyway and that short-sightedness is a known risk factor for glaucoma. "I doubt whether staring at computers makes any difference," he said. David Wright, chief executive of the International Glaucoma Association, said: "There may be a risk in heavy use of computer equipment. "It would be wise for anyone involved in such heavy usage to ensure that they receive regular comprehensive eye examinations in order to detect the earliest possible signs of the development of glaucoma when treatment is most effective." He said three eye tests should be carried out to check for glaucoma: ophthalmoscopy (a visual examination of the optic disc), tonometry (a measurement of pressure in the eye) and perimetry (which checks for visual field anomalies). "It will be important to follow this study with further research in other ethnic populations in order to establish the complete validity of this initial indication of a potential problem and also to address the ethnic risk factors should the evidence add to the Japanese report," he said. โดยสรุปก็มีความเห็นให้มีการวิจัยเพิ่มเติมโดยทำในหลายๆเชื้อชาติ และปรับปรุงรูปแบบงานวิจัยให้ชัดเจนและกำจัดตัวแปรอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ผลการวิจัยชัดเจนขึ้น เช่นกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้ส่วนใหญ่เป็นเพศชายเป็นหลัก และrefractive errors มันไม่ใช่การวัดผลที่เป็นofficially และมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าประชาการญี่ปุ่นมีความชุกที่จะพบอาการmyopiaสูงกว่าชาติอืนๆ รายงานวิจัยนี้ตีพิมพ์เมือ December 2004 ข่าวเรื่องนี้ในเวปต่างประเทศจะเสนอในปีเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ และจนถึงบัดนี้ยังไม่รายงานว่ามีการศึกษาวิจัยเรื่องนี้เพิ่มเติมที่ใดในโลก หรือมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์เรื่องนี้อีกเลย ดิฉันไม่ได้เป็นแพทย์และไม่ได้มีความรู้ทางจักษุวิทยาแต่อย่างใด ที่แปลและโพสข้างบนมาจากสติปัญญาและความรู้เท่าทีมีนะคะ ถ้าผิดพลาดประการใดรบกวนผู้รู้มาช่วยแนะนำหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้ค่ะ ทั้งนี้ยืนยันอีกครั้งว่าที่เข้ามาโพสตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าการใช้คอมพิวเตอร์นานมากไม่เป็นอันตรายนะคะ แต่อยากให้พิจารณา ระวัง ดูแลตัวเอง บนข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเท่านั้นค่ะ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 02:56:15 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 02:42:20 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 02:33:16 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 02:31:20 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 02:21:30

ความคิดเห็นที่ 14 จากรายงานผลการวิจัยข้างบนลองมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ถูกโพสเพื่อสนับสนุนว่าการใช้คอมทำให้เกิดโรคต้อหิน ในอนาคต ประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคต้อหินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสภาพเศรษฐกิจที่รัดตัว ผู้คนจะทำงานหนักมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สายตา บวกกับความเจริญทางด้านไอที ทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์กันทั่วไป  และจะพบผู้ป่วยโรคต้อหินอายุน้อยลงเรื่อยๆ ( จากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การเล่นเกมส์ และการใช้อินเตอร์เน็ต ) เป็นต้อหินรูปแบบใหม่ที่เกิดจากเซลล์ประสาทตามีความต้องการเลือดมาหล่อเลี้ยงมากกว่าปกติ   ( More demand )    ซึ่งแตกต่างจากโรคต้อหินทั่วไปที่เกิดจากเลือดเข้ามาหล่อเลี้ยงน้อยกว่าปกติ            ( Less supply )  และเป็นกลุ่มของโรคต้อหินที่ไม่จำเป็นต้องมีค่าความดันลูกตาสูง ทำให้วินิจฉัยได้ยาก  เหมือนในประเทศญี่ปุ่น ที่ขณะนี้มีผู้ป่วยโรคต้อหินชนิดความดันลูกตาปกติ มากที่สุดในโลก  สอดคล้องกับงานวิจัยของ Dr.Masayuki Tatemichi, from Toho University, School of Medicine ที่รายงานการค้นพบความสัมพันธ์ของโรคต้อหินกับการใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อปี ค.ศ. 2004  แต่เนื่องจากไม่สามารถอธิบายกลไกการค้นพบดังกล่าวได้ จึงยังไม่มีใครเชื่อถือในขณะนั้น อ่านแล้วไม่เข้าใจว่ารายงานผลการวิจัยที่พบ 522(5.1%) ของประชากรทั้งหมดที่ทำการวิจัยพบความผิดปกติของการมองเห็นและ 165 (1.6%) ของประชากรพบว่ามีภาวะต้อหิน บวกกับตัวแปรอื่นๆที่ยังไม่มีการควบคุม ไม่มีข้อมูลเปรียบเทียบก่อนการใช้และข้อมูลสนับสนุนว่าได้ตรวจพบภาวะความผิดปกติที่ต่อเนื่องมาตลอด อีกทั้งไม่มีการศึกษาปัจจัยแวดล้อมด้านอื่นๆของตัวประชากที่มีผลต่อโรคนี้อีกด้วย สรุปว่ารูปแบบการวิจัย และตัววัดผลการวิจัย ควรต้องปรับปรุงให้รัดกุมและชัดเจนกว่านี้มันเป็นการบอกตรงไหนว่า รายงานนี้เป็นการค้นพบความสัมพันธ์ของโรคต้อหินกับการใช้คอมพิวเตอร์ และตรงไหนที่เป็นข้อมูลที่บอกว่า ต้อหินรูปแบบใหม่ที่เกิดจากเซลล์ประสาทตามีความต้องการเลือดมาหล่อเลี้ยงมากกว่าปกติ   ( More demand )    ซึ่งแตกต่างจากโรคต้อหินทั่วไปที่เกิดจากเลือดเข้ามาหล่อเลี้ยงน้อยกว่าปกติ ( Less supply ) ในเมื่อก็บอกเองว่าการค้นพบนี้อธิบายกลไกการเกิดไม่ได้ แต่เนื่องจากไม่สามารถอธิบายกลไกการค้นพบดังกล่าวได้ จึงยังไม่มีใครเชื่อถือในขณะนั้น ทำไมทั้งสมมุติฐานและผลการวิจัยมันจึงไม่ทำให้เกิดความสนใจในเรื่องนี้และไม่มีการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ต่อมาจนถึงบัดนี้ มันแปลว่าไม่น่าเชื่อถือในขณะนั้นจนถึงขณะนี้ด้วยหรือเปล่า โปรดให้วิจารณญาณในการรับข้อมูลและดุลพินิจในการพิจารณาว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อด้วยค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 03:12:59

ความคิดเห็นที่ 15 คห.8 ใช่ค่ะ เรานำข้อมูลตรงนี้ไปโพสต์ที่อื่น โพสต์ก่อนกระทู้นี้อีก ตั้งแต่ต้นปีโน่น แต่เราใช้ชื่อเดียวกับ login นี้ทุกครั้ง  ส่วนชื่ออื่นไม่ทราบ ที่เจอเป็นจักษุแพทย์ท่านเดิม ก็ถูกของคุณค่ะ ก็ท่านเป็นคนคิดวิธีรักษาขึ้นมาเองค่ะ บทความอาการต้อหิน18ข้อ ก็รวบรวมมาจากประสบการณ์การรักษาเอง ก็เลยไม่เจอจากท่านอื่น คห.9 เราเป็นจริงๆ ก่อนนี้เคยไปตรวจหมอว่าปกติ เป็นนานแล้ว มีอาการหลายอย่าง บอกไปคุณจะว่าเราโกหกอีก ไม่ก็คิดไปเอง  แฟนเราที่เป็นจริงอีก รักษาที่รพ.หลายที่มาก่อน แต่ของแฟนความดันตามันเด่นไง ไปที่ไหนเค้าก็ว่าเป็นจริงๆ เวลาที่อักเสบมันจะเกิน 40 mmHg รักษาอย่างเคร่งครัดมา 10 เดือน แล้วมันหนัก เพราะใช้ยาเยอะแล้วคุมไม่ได้ จะต้องผ่า แต่กลัวว่าจะตัน ก็เลยดิ้นรนหาทางอื่น แต่ก็ยังรักษาที่เดิมต่อเนื่อง รักษา2 ที่ แล้วมันเห็นผลเลยว่าดี คุณอาจจะงง ว่าทำไมต้องกลัวผ่า เพราะตอนที่รอหมอ (รพ.รัฐ รอนาน)คุยกับคนไข้ไปด้วย แล้วทราบว่า เมื่อผ่าไม่ใช่ว่าจบ ถ้ามันเกิดตันก็ต้องผ่าซ้ำๆ ซึ่งก็ซ้ำได้ไม่กี่ครั้งหรอก เค้าบอกว่าผ่าครั้งแรก อยู่ได้นาน สุดท้ายตัน ต้องไปซ้ำ พอรอบสอง คุมความดันอยู่ได้ไม่เท่าครั้งแรก ความถี่ตรงนี้จะลดลงเรื่อยๆ สุดท้านก็ผ่าไม่ได้ หมอก็รับรองไม่ได้ว่าจะหายด้วย        ตอนที่อาการแย่เคยมาหาข้อมูลในเวปพันทิปด้วย หาคนที่เป็นโรคเดียวกัน ไม่เจอ (หมายถึงต้อหินชนิดที่แฟนเป็นนะ) แล้วท้อมาก พอรักษาดีก็เลยตั้งใจจะบอกคนอื่น เป็นความตั้งใจตั้งแต่อาการแย่ๆอยู่เลย ก่อนที่คุณจะคิดเราเป็นหน้าม้าหรือเปล่า คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเราหรือคะ คุณถาม หรือ สืบ ก่อนดีไหมคะ เรื่องโรคภัยไข้เจ็บเราจะเอามาล้อเล่น หรือหลอกลวงคนอื่นเพื่ออะไรกัน ที่ทำไปตอนนี้ ในใจคิดถึงแต่ตอนที่สิ้นไร้หนทางรักษา(กรณีแฟน) เผื่อว่ามีคนกำลังทุกข์ใจอย่างตอนที่เราเคยเจอมา คห. 10 พอดีหมอที่รักษาจะให้ผ่า แล้วยังอายุไม่มาก กลัวจะตันแล้วต้องซ้ำ ก้ดิ้นรนหาทางอื่นก่อน เผื่อจะได้ไม่ต้องผ่าตัด เห็นว่าไม่อันตราย แล้วได้ผลดีมาหลายรายเลยลองดู ไม่รอวิจัยค่ะ ถ้ารอวิจัย(ตอนที่จะผ่า ช่วง พ.ย.51) คงผ่าไปแล้ว เจอผลข้างเคียงจากยามาเยอะแล้ว ไม่อยากจะเจอผลจากการผ่าตัดอีก คห.11 ถ้าคุณจะสืบ ดีค่ะ แต่ขอให้สืบให้หมดจริงๆ อย่าเอามาเพียงบางส่วน และขอให้สืบด้วยความเป็นธรรม อย่าอคติ เพราะมันจะเป็นการจ้องจับผิดไป ไม่ใช่สืบหาข้อเท็จจริง คห.12และ13 งานวิจัยญี่ปุ่น ก็ถูกตามที่คุณบอกค่ะ หยุดที่ยังไม่วิจัยเพิ่ม ถ้าจะบอกว่าคอมไม่ทำให้เป็นต้อหิน ควรมีงานวิจัยว่า คอมไม่ทำให้เป็นต้อหิน  ออกมาเยอะด้วย ถึงจะถูก และเห็นด้วยกับคุณที่ว่า '"โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล ข่าวสาร และใช้ดุลพินิจในการเชื่อหรือไม่เชื่อ" ขอยกกาลามสูตร10 สนับสนุนให้คนใช้พิจารณา ก่อนที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อด้วยคนค่ะ -------------------------------------------------------------------------- กาลามสูตร คือพระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาสั่งสอนชาวเมืองกาลามะ มีสิบข้อ ที่ไม่ควรยึดถือเป็นเหตุอันพึงทำให้เชื่อ อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่บอกต่อๆกันมา อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาได้ทำตามๆกันมา(ประเพณี) อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า มันเล่าลือกันกระฉ่อนไปหมดแล้วว่าเป็นความจริง อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า มันมีอ้างอยู่ในปิฎก(คัมภีร์,ตำรา) อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า เป็นตรรก หรือการคำนวณ อย่าได้เชื่อโดยการอนุมานเทียบเคียง หรือคาดคะเนเอาเอง อย่าได้เชื่อโดยการตรึกตรองเอาตามอาการ อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า มันเข้ากันได้กับลัทธิความเชื่อ และทฤษฎีของตน อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า รูปร่างลักษณะน่าเชื่อถือ อย่าได้เชื่อโดยเหตุสักว่า ผู้สอนเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา เพราะฉะนั้นจงใช้ปัญญาคิดพินิจพิจารณาก่อนจึงจะเชื่อ หรือกล่าวได้ว่า จากกาลามสูตรสิบข้อนั้น สามารถสรุปได้สั้นๆสองข้อว่า ๑. อย่าพึงเชื่อในสิ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์แก่ตน ๒. อย่าพึงไม่เชื่อในสิ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์แก่ตน หมายถึงเมื่อรับทราบข้อมูลใดแล้วให้ทำใจเป็นกลางอยู่ แล้วค่อยไตร่ตรองพิสูจน์ให้ประจักษ์แจ้ง เพราะถ้าตอบรับทันทีก็เท่ากับงมงายไม่ได้คิด ถ้าปฏิเสธทันทีก็เท่ากับมีอคติ งมงายพอๆกัน ---------------------------------------------------- เราแค่โพสต์ในสิ่งที่เราประสบมาจริงๆ เจอมาแล้ว รักษามาแล้ว สำหรับเรา ไม่ใช่ เชื่อแบบสุดขั้วหัวใจแบบ คห. 9 แล้วล่ะ มันเป็นเรื่องที่พิสุจน์เห็นจริงแล้ว คนที่ไม่ได้เจอแบบเรา ก็อย่าพึ่งเชื่อ  อย่าพึ่งไม่เชื่อ ควรอ่านโดยอาศัยวิจารณญาณ จากคุณ : nongnou เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 03:54:17

ความคิดเห็นที่ 16 คห.9 เราปวดตาแล้วเคยหาข้อมูลมาตลอดค่ะ  ประมาณนี้อ่ะ http://www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=eye;action=display;num=1138251264 ปวดข้างในลึกๆ แพ้แสงสะท้อน โดนแล้วปวดตาจี๊ดทันที จากคุณ : nongnou เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 03:58:51

ความคิดเห็นที่ 17 ผมก็เป็นคนนึงที่เป็นคนไข้ของคุณหมอนะ ไปหาเพราะพบว่าตัวเองมีอาการ มองเห็นเป็นวงกลมรอบดวงไฟ กลางคืนมองเห็นได้แย่ลง แล้วก็มองภาพเคลื่อนไหวไม่ค่อยทัน เวลาเลื่อนตัวหนังสือมันจะกระตุกๆ หรืออ่านหนังสือนานๆ 1 ชั่วโมงขึ้นไป ตัวหนังสือมันก็จะเบลอๆ แล้วก็แพ้แสงด้วย พอไปหาคุณหมอ ขยายม่านตาก้พบว่าขั้วประสาทตา ฝ่อไป 40 % ความดันลูกตาปกติ ก็ได้เริ่มรักษาด้วยวิธีของคุณหมอ มาได้ประมาณ 3 สัปดาห์  อาการที่ดีขึ้น คือ การมองภาพเคลื่อนไหว ดีขึ้น อ่านหนังสือนานๆแล้วไม่รู้สึกเบลอ แต่อาการมองเห็นในที่มืดไม่ชัด กับมองเห็น วงรุ้งรอบดวงไฟยังอยู่ คงไม่ได้เข้ามาเถียงหรือยืนยันข้อมูลอะไรนะ แค่มาบอกเล่าอาการกับผลการรักษาเฉยๆ สำหรับผมก็คิดว่าเป็นทางเลือกที่ดี กว่าการผ่าตัด หรือหยอดยา มากกว่าครับ ก็คงจะลองรักษาด้วยวิธีนี้ไปเรื่อยๆก่อน ซัก 3-4 เดือน ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ก็อาจจะต้องเปลี่ยนวิธี มันก็เท่านั้นเอง จากคุณ : dogedid เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 06:56:01

ความคิดเห็นที่ 18 อีกอย่าง วันเสาร์อาทิตย์ก็มีคนมาหาคุณหมอเยอะนะครับ คนแก่ก็มี วัยกลางคนก็มี คนหนุ่มๆ สาวๆ ก็มี ผม(แอบ)ฟังเค้าคุยกัน คุณหมอเค้าก็ให้รักษาด้วยวิธีนี้นะ ไม่รู้สิ มีคนมาตั้งข้อสังเกตมันก็ดีไปอย่าง แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าคุณอยากจะบอกอะไร หรือจะบอกว่าการรักษาวิธีนี้มันไม่ผ่านการรับรอง ถ้าเรื่องนี้ผมพอรู้อยู่แล้วเพราะในเว็บคุณหมอก็บอกว่าเค้าเป็นคนคิดขึ้นเอง ถ้าจะตรวจสอบ ผมอยากให้โฟกัสไปที่ ผลของการรักษามากกว่า  ถ้าไงรบกวนลองช่วยโทรไปเช็คกับคนไข้ในเว็บของคุณหมอ ที่ลงที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ดีมั้ยครับ ผมก็อยากโทรไปเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะเริ่มพูดว่าไงดี แล้วคุยไม่เก่งด้วย จากคุณ : dogedid เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 07:18:46

ความคิดเห็นที่ 19 แบบนี้หรือเปล่าคะที่บอกว่าฝ่อไปแล้ว 40% อันนี้มันปกตินะคะ ถ้าบอกว่าแบบนี้ฝ่อ ทุกคนในโลกนี้ก็ฝ่อหมดนั่นแหละ ไม่อยากโจมตีใคร แต่ก่อนที่จะไปรักษากับแพทย์ท่านไหน อยากให้หาข้อมูลที่แท้จริงก่อน คุณลองไปบอกชื่อแพทย์ท่านนี้กับอาจารย์ด้านต้อหินคนไหนก็ได้ แล้วจะได้คำตอบ เพราะทีแรกเราก็ว่าจะไม่ยุ่ง แต่การมาบอกว่าขั้วประสาทตาปกติเป็นขั้วประสาทตาที่เป็นต้อหินนี่ มันรับไม่ได้ค่ะ เป็นการทำร้ายคนไข้ชัดๆ แล้วการนวดตาน่ะ นวดแล้วมันก็หายปวดสิคะ ก็คุณไม่ได้เป็นต้อหินนี่ ใช้คอมมากๆตาคุณล้า นวดแล้วก็หาย ไม่เห็นแปลกเลย อย่าเอาเรื่องหนึ่งไปผูกกับอีกเรื่องให้มันเป็นเรื่องเดียวกันค่ะ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 16:39:38 จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 09:00:10

ความคิดเห็นที่ 20 รูปไม่ขึ้น เอาใหม่ จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 09:00:38

ความคิดเห็นที่ 21 เรากำลังรอนักสืบพันทิปกับเรื่องนี้อยู่ค่ะ เห็นตามจับมาหลายเรื่องหลายห้องแล้ว ถ้าเรื่องนี้ไล่ให้จนได้ แบบที่ จขกท.ตั้งเรื่องขึ้นมาก็คงจะดีไม่น้อยค่ะ พี่น้องหนูไม่ได้เป็นหน้าม้าหรอกค่ะ เพราะเราผ่านช่วงเวลาแห่งการสงสัย ไม่เชื่อ และตามหาข้อเท็จจริงมาด้วยกัน พี่น้องหนูเคยไม่อยากเชื่อมาก่อนค่ะ แต่เพราะพี่น้องหนูพบด้วยตัวเองว่าทำแล้วมันดีขึ้นน่ะค่ะ ก็เลยอยากแนะนำต่อ อันที่จริงเรื่องนี้ในเมื่อมันยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่นอนเราก็เลยยังไม่อยากเชื่อมากนัก และยังเกิดข้อสงสัยอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่การนวดก็ดีขึ้นบ้างอ่ะค่ะ ถึงจะไม่ชัดเจนมากนัก แต่ก็มีบ้าง ทั้งเราเองก็ไม่สม่ำเสมอเองด้วยแหละ ก็เลยสงสัยว่าที่ไม่ได้ผลเท่าไหร่ เป็นเพราะตัวเราเองรึเปล่า หรือว่าจริงๆแล้ว ทฤษฏีนี้ไม่เป็นความจริงเลย เพราะงั้นถ้านักสืบพันทิปห้องสวนลุมจะไขความจริงให้กระจ่างเราก็ไม่ขัดข้องค่ะ แล้วจะรอดูนะคะ จากคุณ : น้ำพริกกินกะปลาทู เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 09:07:13

ความคิดเห็นที่ 22 คห.12และ13 งานวิจัยญี่ปุ่น ก็ถูกตามที่คุณบอกค่ะ หยุดที่ยังไม่วิจัยเพิ่ม ถ้าจะบอกว่าคอมไม่ทำให้เป็นต้อหิน ควรมีงานวิจัยว่า คอมไม่ทำให้เป็นต้อหิน  ออกมาเยอะด้วย ถึงจะถูก   งานวิจัยจะทำเมื่อผลการวิจัยที่ได้มาจะมีประโยชน์ต่อไปค่ะ การวิจัยที่จะศึกษาว่าคอมไม่ทำให้เป็นต้อหินจะทำไปไมค่ะ ในเมื่อสมมุติฐานมันไม่ใช่ปัญหา  หลักการที่สากลเขายอมรับถ้าคุณตั้งสมมุติฐานขึ้นมาคุณต้องมีการทดลองค้นคว้าวิจัยเพื่อพิสุจน์สมมุติฐานของคุณค่ะ ไม่ใช่มาบอกว่าเป้นการค้นพบใหม่ ถ้าคิดว่าไม่ใช่ให้ไปวิจัยมายืนยันสิว่าไม่ใช่ อาการที่คุณบอกมาและตามลิงค์น่ะ ดิฉันก็เป็นค่ะ ตัวเองใช้คอมวันละสิบหกถึงยี่สิบชั่วโมงมาเกินสิบปีแล้ว  สายตาก็มีการเปลี่ยน ตาสองข้างก็สั้นยาวเอียงไม่เท่ากันค่ะ สั้นหรือยาวไม่เท่ากันยังดี สั้นข้างยาวข้างอีกต่างหากคิดดูว่าจะปวดตาขนาดไหน ดิฉันเชื่อว่าที่บอกว่ามีอาการน่ะมีจริงๆ และที่บอกว่ารู้สึกดีหรือรู้สึกว่าหายก็หายจริงๆ แต่ต้องใช้ข้อเท็จจริงและเหตุผลมาพิสูจน์กันว่า อาการที่เป็นจริงๆแล้วมันคืออาการอะไร แล้วการรักษาที่ที่ถูกต้องมันต้องทำอย่างไร และการรักษาที่ทำอยู่มันรักษาได้จริงหรือไม่ ที่รู้สึกว่าดีขึ้นนี่ มันแก้ปัญหาต้นตอหรือเปล่า แล้วมันจะดีไปตลอดหรือทำให้เกิดอันตรายในอนาคตไห ดิฉันไม่เข้ามาบอกเพื่อต้องการอะไรค่ะ อยากให้นึกถึงกรณียาชื่ออะไรจำไม่ได้แล้วที่บอกว่ารักษาโรคเอดส์หายจนคนแห่ไปรับแบบแทบเหยียบกันตายได้ไหมคะ แล้วตอนนี้มันเป็นอย่างไร ดิฉันไม่ใช่แพทย์ ไม่ได้มีความรู้เชี่ยวชาญเรื่องตา ไม่รู้หรอกค่ะกับอาการ การรักษาต่างๆมันถูกหรือผิดอย่างไร ที่แสดงความเห็นมานี้ก็แค่แบ่งปันประสบการณ์ กระบวนการคิด และการหาเหตุผล ในการพิจารณารับหรือเชื่อข้อมูล ข่าวสารเท่านั้นค่ะ คุณคหที่ 21 คะ เรื่องนี้มันพิสูจน์ไม่ง่ายเหมือนเรื่องโกหกอื่นๆค่ะ เพราะมันมีข้อมูลทางวิชาการที่ไม่ใช่คนทั่วไปจะรับรู้และเข้าใจได้ มันจะเหมือนข้อมูลสองฝ่าย คนที่รับไปถ้ามีพื้นฐานความรู้ก็จะเข้าใจและพิจารณาแต่ถ้าไม่มีมันเข้าใจได้ยากค่ะ เหมือนกรณีตัวอย่างข้างบนที่กล่าวถึง จำได้ว่าตอนนั้นมีเจาะเลือดพิสูจน์ด้วย คนที่มีพื้นฐานฟังแล้วมันจะขัดแย้งเพราะมันมีข้อเท็จจริงทางวิชาการอยู่ แต่สำหรับคนทั่วไปมันก็ทำให้เข้าใจได้ยาก จนกว่าเวลาจะพิสูจน์ออกมาเองซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็มีเหยื่อหลงไปไม่รู้เท่าไหร่ ดิฉันก็เพิ่งทราบจากระทู้นี้แหละว่าการรักษาของแพทย์ท่านนี้ทำอย่างไรและเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ว่า การนวดมันน่าจะมีผลต่อกล้ามเนื้อตามากกว่าก็เหมือนเราไปนวดสปานั่นแหละ มันทำให้รู้สึกสบาย แต่ถ้าปัญหามันอยู่ในลูกตา โดยเฉพาะประสาทตา จอตา หรือส่วนที่อยู่หลังกระจกตามันจะช่วยได้อย่างไร กระจกตามันต้องกระทบกระเทือนไปก่อนแล้วค่ะ ถ้าต้องการรู้ความจริงมันต้องให้หมอตาหลายๆคนตรวจอาการแล้วลงความเห็นก่อนว่าอาการคือโรคต้อหิน และการรักษาทำให้อาการของโรคดีขึ้นหรือหายโดยข้อเท็จจริงค่ะ ไม่ใช่ข้อมูลด้านเดียว แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 09:26:13 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 09:15:01

ความคิดเห็นที่ 23 ขออีกความเห็นนะคะ ไม่รับข้อความส่วนตัวนะคะ ถ้าจะคุยอะไรมาคุยหน้ากระทู้ดีกว่าค่ะ บอกอีกครั้งว่าไม่ใช่แพทย์ ไม่เชี่ยวชาญเรื่องตา ไม่เคยรู้แพทย์เจ้าของความคิดที่กำลังกล่าวถึงในกระทู้นี้ เป็นแค่คนที่เป็นโรคเรื้อรังที่มีความเสี่ยงจะเป็นโรคต้อหิน บวกกับใช้คอมติดต่อกันนานเกินสิบปีและมากกว่าสิบหกชั่วโมงต่อวันทุกวัน เมื่อได้เจอข้อมูลก็ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมและศึกษาค้นคว้าจากเครื่องมือที่เป็นสาธารณะ และสุดท้ายก็ใช้ข้อเท็จจริงและเหตุผลมาพิจารณาและตัดสินใจ เพราะฉะนั้นมาให้ข้อมูลอีกด้านเท่านั้น ไม่ได้เป็นนักสืบตามล่าใคร ไม่รับที่จะเป็นประเด็นหรือข้อพิพาทส่วนบุคคลกับผู้ใดทั้งสิ้นค่ะ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 10:13:06 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 10:12:09

ความคิดเห็นที่ 24 ความเห็นสุดท้ายค่ะ ด้วยมุมมองส่วนตัวและกระบวนการคิดของตัวเองที่ติดมาจากอาชีพ ผลการวิจัยที่ได้มาข้างบนนั้นมันยังระบุไม่ได้ว่ามันมีความสัมพันธ์กัน อย่างแรกมันต้องดูตัวเลขอัตราการเกิดโรคในคนทั่วไปที่ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ในญี่ปุ่นว่าพบผู้ป่วยต้อหินประมาณกี่เปอร์เซนต์ พบมากที่สุดอายุเท่าไร และผู้ป่วยที่เป็นโรคนั้นมีปัจจัยอะไรที่เหมือนหรือแตกต่างกันบ้าง ถ้าพบว่าโดยทั่วไปแล้วอัตราการเกิดโรคก็พบประมาณ 1-2 % ตัวเลขที่ได้จากงานวิจัยนี้มันก็ไม่ได้แตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญที่จะระบุว่ามันสัมพันธ์กันได้ มาดูที่คุณสมบัติของประชากรที่ใช้ เพศ ชายเป็นหลัก อายุมาก 43 ใช้คอมพิวเตอร์อย่างหนักและนาน ตัวประชากรที่เลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างที่เรียกว่าเอาหนักสุดมาแล้ว แต่การรายงานผลตัวเลขที่เจอว่ามีโรคก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่ามาจากกลุ่มไหนมากที่สุดแม้ว่าจะมีการแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกตามความหนักเบาของการใช้แล้วก็ตาม รวมถึงไม่ได้ศึกษาไปถึงตัวแปรควบคุมอื่นๆที่มีผลต่อการเกิดโรค  เช่น กรรมพันธุ์ โรคเรื่อรังอื่นๆที่มีผลต่อความเสี่ยง ภาวะแวดล้อม มันจึงระบุไม่ได้ถึงความสัมพันธ์ตามที่กล่าวอ้าง จากประสบการณ์อีกเช่นกันที่พบว่าในการรายงานผลการวิจัยใดๆ ส่วนใหญ่ข้อมูลที่่ได้แล้วสนับสนุนสมมุติฐานของการศึกษาจะถูกนำมาอ้างอิงทั้งหมดในขณะที่ข้อมูลที่ค้านต่อสมมุติฐานมันจะไม่กล่าวถึงหรือกล่าวไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งการจะให้ความเชื่อถือผลการวิจัยใดๆต้องดูที่รูปแบบ ขั้นตอน การคัดเลือกกลุ่มประชากร ตัวแปรต่างๆ และตัววัดผลว่ามันถูกต้องตามหลักการและเหตุผล บวกกับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ในขณะนั้นหรือเปล่าด้วย ไม่ใช่นักวิจัยแต่อ่านรายงานผลการวิจัยนี้แล้ว ความรู้สึกคือไม่น่าสนใจและไม่น่าเชื่อถือ นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้ไม่มีนักวิจัยสนใจจะค้นคว้าเรื่องนี้ต่อ ส่วนประเด็นที่เจ้าของกระทู้กล่าวว่า จริงๆแล้วอาการที่ถูกเรียกว่า โรคต้อหินที่เกิดจากคอมพิวเตอร์นี่มันคือโรคต้อหินจริงหรือเปล่า ไม่มีความเห็นเพราะไม่มีความรู้มากพอ แต่ถ้ามีเวลาและโอกาสจะหาไปข้อมูลมาว่าประเทศจำนวนผู้ป่วยโรคต้อหินเพิ่มมากขึ้นจริงหรือเปล่า และในกลุ่มผู้ป่วยเหล่านั้นมีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างที่ทำให้เกิดโรคได้ เพื่อพิสูจน์ว่าข้อเท็จจริงที่ให้ประชาชนนั้นมันจริงหรือเปล่า หรือจริงครึ่งเดียว หรือเอามาโยงเพื่อประโยชน์อะไร จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 10:37:26

ความคิดเห็นที่ 25 เอางี้นะ เราฐานะเป็นคนที่ป่วย+ญาตผู้ป่วย อยากให้หายเร็วที่สุด ได้รับการรักษาที่ได้ผลที่สุด ผลข้างเคียงน้อย  ประหยัด งานวิจัย หรือจะเป็นไม่เป็นเรื่องรอง   ไม่ให้ความสำคัญมากขนาด คุณ คห. ข้างบนค่ะ  วิธีรักษาก็ง่าย ผลข้างเคียงไม่เห็นมี แพงรึก็เปล่า ทำได้เองอีกต่างหาก อยากหายให้เร็วที่สุดค่ะ รีบทำดีกว่า ไม่อยากรอ ใครจะรอ รอไปค่ะ สิทธิ์ของคุณ ถ้าคุณ tachycardia บอกว่า ไม่ได้เป็นต้อหิน ปวดตา นวดแล้วมันก็หายปวด คุณก็ทำไปแล้วกัน  รวมถึงอาการอื่นๆอีกหลายๆอย่าง ขอให้หายเถิด ปล.มาแก้พิมพ์ตก -*- แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 12:41:51 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 12:38:19 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 12:35:53 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 12:27:33 จากคุณ : nongnou เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 12:19:49

ความคิดเห็นที่ 26 ผมเป็นคนไข้ของคุณหมอครับ คิดว่าถ้าทำ(นวดตา)แล้ว มันดีก็ทำครับ (ความดันลด สบายตา ไม่ต้องใช้ยามาก) มองในมุมของคนไข้นะครับ ถ้าเกิดการเจ็บป่วยก็ย่อมหาทางรักษา เมื่อแพทย์แผนปัจจุบัน(ที่ได้รับการวิจัยแล้ว)ไม่สามารถรักษาได้ หรือแพงหรือได้รับผลข้างเคียงจากยา(ได้ทำวิจัยแล้วพิจารณาตรงนี้ไหม) ก็ย่อมจะหาทางเลือก(แม้จะไม่ได้รับการวิจัย) แต่ก็ไม่ได้เลือกมั่วๆ ใช้วิจารณณาณ สอบถามคนที่เขาผ่านการรักษาแบบนี้มาก่อนนับสิบคน มีรายนึงเป็นหมอเอง เขาบอกว่าหาข้อมูลมาทั่วโลกแล้ว บอกว่าวิธีนี้ดีที่สุดในปัจจุบัน ตัวเขาก็เป็นหมอย่อมจะเสาะหาหมอที่เลิศที่สุดมากรักษาอยู่แล้วแต่มันไม่ได้ผล ก็ต้องใช้แพทย์ทางเลือก อีกอย่างเรื่องนี้เคยถูกผลักดันให้ทำวิจัยแล้ว แต่กลับถูกปัดทิ้งไป ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ ผมว่ามันต้องมีเบื้องหลังแน่ๆ สำหรับคนไข้ต้อหินชนิดความดันปกตินะครับ (NTG) ผมพาคนรู้จักคนนึงไปหาคุณหมอเพราะเขามีอาการ 3-4 ใน 18 ข้อที่แสดง่ว่าอาจจะเป็นต้อหิน ตอนแรกผมก็ยังไม่เชื่อว่าเขาเป็น เพราะวัดความดันตาปกติ จนกระทั่งได้ถ่ายรูปขั่วประสาทตา เห็นชัดเจนว่าฝ่อไป 40-60 เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่มี checklist 18 ข้อนี่ ไปหา รพ.ไหนก็คงบอกแค่ว่าตาล้า ไม่ได้ตรวจ ไม่ได้ขยายม่านตา ไม่ได้รักษา ไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง แล้วตาก็ฝ่อไปเรื่อยๆ ส่วนรายที่มีอาการใน 18 ข้อ แต่ขยายม่านตาแล้วไม่ฝ่อก็โชคดีไป แต่ก็ยังมีอาการที่ต้องรักษาอยู่ดี ถามว่าแพทย์ปัจจุบันมีทางออกไหม ก็ไม่มี แล้วจะให้คนไข้ทำไงครับ นอนก่ายหน้าผากทำใจอย่างนั้นหรือ คุณหมอสมเกียรติเป็นคนที่มีแนวคิดนอกกรอบ (ซึ่งคนในกรอบไม่ชอบ) รักษาโรคตาหลายโรคที่รักษาแบบปัจจุบันไม่ได้ผล ทั้งนวดตารักษาต้อหิน และมีอันนึงที่ผมประทับใจคือโรคน้ำตาไหล ผมได้ไปรักษาวันเสาร์หลายเดือนก่อน พบพ่อแม่คู่นึงพาลูกสาววัย 1 ขวบไปรักษาโรคน้ำตาไหลกับคุณหมอ ระหว่างรอเลยได้สนทนากัน เขาเล่าว่าไปรักษามาหลายที่แล้ว รพ.ได้แต่ให้ยาฆ่าเชื้อ (กับเด็ก 1 ขวบนี่นะ) ยังไงก็ไม่หาย สุดท้ายมาหายเพราะคุณหมอสมเกียรติซึ่งใช้วิธีที่ท่านคิดเอง ถามว่าถ้าลูกของท่านเป็นโรคนี้ แต่แพทย์ปัจจุบัน(ที่ได้รับการวิจัย) รักษาไม่ได้ ท่านจะมองหาทางเลือกอื่นไหมครับ คุณหมอสมเกียรติทำผิดอย่างเดียวครับคือท่านเรียนจบหมอมา ถ้าท่านไม่ได้จบหมอ ไปเป็นแพทย์ทางเลือกที่เกลื่อนกลาดในประเทศไทย ท่านคงไม่โดนโจมตีขนาดนี้ สุดท้ายฝากไว้นิดนึงนะครับ ในฐานะที่เราเป็นปุถุชนธรรมดา(ผมก็เช่นกัน) ย่อมมีความผิดพลาดในการตัดสินสิ่งต่างๆด้วยสิ่งที่เรียกว่า อคติ จึงเตือนตัวเองบ่อยๆว่า ในใจเรามีอคติไหม อคติ = ความลำเอียง เพราะรัก เพราะชัง เพราะขลาด เพราะเขลา ความขัดแย้งของคนเราเกิดจาก 3 สิ่งคือ ตัณหา - ความอยากได้ ผลประโยชน์ มานะ - ความถือตน อวดดี ทิฏฐิ - ความคิดเห็น ความเชื่อ และสุดท้าย คำพูดของไอน์สไตน์ที่ว่า "จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้" แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 13:47:48 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 13:46:19 จากคุณ : PPP (narsiz) เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 13:44:07

ความคิดเห็นที่ 27 ขออธิบายนิดนึงนะคะว่าเราไม่ได้ต้องการโจมตีวิธีการรักษาของใคร ถ้าคุณ nongnou มองอย่างเป็นกลางจะเห็นได้ว่าเราพยายามจะไม่พูดถึงบุคคลมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่คุณเองต่างหากที่พยายามบีบให้เราพูด โดยเฉพาะทางหลังไมค์ เราเห็นกระทู้แนะนำเรื่องต้อหินจากการเล่นคอมมาได้สักระยะนึงแล้ว แต่พยายามไม่ยุ่งเพราะไม่อยากเข้าไปต้านกระแส และก็เดาได้ว่าต้องมีแรงต้านแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ เราก็เลยไม่ได้เข้าไปอ่านอีกเลย จนกระทั่งเมื่อวาน ได้อ่านและเห็นว่ามีความเห็นหลายร้อย เราไม่ได้อ่านทั้งหมด แต่มาสะดุดตาที่ภาพขั้วประสาทตาที่มีคนเอามาให้ดูว่าเสื่อมไปแล้ว 40% เราถึงกับอึ้ง... ที่ทำไปก็แค่อยากอธิบายให้เข้าใจเรื่องต้อหินเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีคนบางคนเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดหลังไมค์มาหาเราเกือบ 10 ข้อความใน 1 ชั่วโมง เพื่อนๆคะ เราอาจจะความรู้น้อยไปเรื่องขั้วประสาทตา ด้วยความสงสัย วันนี้เราเลยเอารูปมาถามอาจารย์ทั้งด้านต้อหิน และด้านประสาทตา อาจารย์ทุกท่านที่เห็นภาพตอบตรงกันว่าปกติค่ะ และหลังจากทราบว่าเอาข้อมูลนี้มาจากใคร อาจารย์ก็ถึงกับส่ายศีรษะเลยค่ะ จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 13:57:21

ความคิดเห็นที่ 28 สุดท้ายนี้ ถ้าเพื่อนๆไม่พอใจที่เราบอกว่าคุณไม่ได้เป็นต้อหิน (เพราะประสาทตาคุณปกติ) แต่คุณอยากจะเชื่อว่าตัวเองเป็น เราก็ไม่ว่าค่ะ ส่วนเรื่องการนวดตา ก็อย่างที่บอก จริงๆแล้ววิธีนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร คนไข้หลังผ่าตัดต้อหินเค้าก็ยังนวด แต่ไม่ใช่ว่าคนไม่เป็นต้อหิน ไปบอกว่าเค้าเป็น แล้วให้เค้านวด แล้วบอกว่าจะหาย อันนี้เรารับไม่ได้ค่ะ จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 14:01:26

ความคิดเห็นที่ 29 เราเองก็อยากให้นักสืบพันทิปสืบให้เหมือนกันนะ ช่วยสืบหน่อยว่า ตัวอย่างผู้ป่วยใน website ของคุณหมอท่านนั้น เป็นหน้าม้า หรือว่าเป็นผู้ป่วยต้อหินที่ผ่านการวินิจฉัยมาจาก รพ.อื่นแล้ว จริงๆ   ขอยกตัวอย่างมา 5 ท่านละกัน 1.นพ.เอกชัย จุละจาริตต์ 2.นพ.วิวัฒน์ งามเกียรติไพศาล 3.นาวาโท บุญสิทธิ์ สุทธาชีวะ 4.คุณภัทรา แก้วเพชร 5.คุณระเบียบ ศรีถาวร ถ้ามีเวลาจะหารายละเอียดหมดทุกคนก็ดีนะคะ จากคุณ : nongnou เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 14:23:47

ความคิดเห็นที่ 30 คห.28 อืม ... ที่เรารู้มาการนวดหลังผ่าตัดต้อหิน กับการนวดรักษาต้อหิน ที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ ทำคนละอย่าง คนละท่าเลยนะคะ   " คนไม่เป็นต้อหิน ไปบอกว่าเค้าเป็น แล้วให้เค้านวด แล้วบอกว่าจะหาย " หายอะไรคะ อาการป่วยแปลกๆที่เป็นหายไป แล้วไม่ดีเหรอ เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับคนไข้ เสียอีก ปล.ที่เราต้องหลังไมค์ เราไม่อยากให้คนอื่นรู้ ถึงบุคคล สถานที่  ที่เราเจอมา แต่ถ้าเราไม่พูดตรงนี้ก็จะว่าหน้าม้าอีก เดือนร้อนนะคะ อยู่ดีๆมาว่ากันแบบนี้เลย เห็นเราเอาเรื่องเจ็บป่วยคนมาล้อเล่นหรือไง  ไม่เจอมาไม่กล้าพูดหรอก แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 14:48:29 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 14:34:13 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 14:31:27 จากคุณ : nongnou เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 14:30:15

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้าจะบอกว่าผมไม่ได้เป็นอะไร (ความจริงก็อยากให้เป็็นแบบที่คุณพูดเหมือนกันแหละ มากที่สุดเลย) ผมก็ยังสงสัยเรื่องการมองเห็นที่ผิดปกติของผม เรื่องการมองเห็นในที่มืดแย่ลง วงแสงรอบดวงไฟ ซึ่งผมเคยสอบถามคนที่เป็นต้อหิน แล้วเค้าบอกว่าเป็นอาการอย่างนึงของต้อหินเหมือนกัน ส่วนรูปขั้วประสาทตาผมยังไม่ได้ถ่ายมานะครับ แต่คุณหมอเค้าขยายม่านตา แล้วก็ส่องดูแล้ว บอกว่าคราวหน้าให้ถ่ายที่ รพ.ไหนก็ได้ แล้วเอามาดูกัน หมอเค้าจะอธิบายให้ว่ามันฝ่อยังไงบ้าง ผมว่า ลองถามจากคนไข้ที่เป็นต้อหินคนอื่นๆ ที่เคยรักษากับคุณหมอ ดูว่าผลการรักษาเป็นยังไง น่าจะได้คำตอบที่คนไข้อย่างเราๆต้องการนะครับ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 14:52:03 จากคุณ : dogedid เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 14:44:51

ความคิดเห็นที่ 32 คุณ dogedid คคห.31 แนะนำให้ย้อนไปดูที่นิยามของต้อหินอีกครั้งค่ะ แล้วจะได้คำตอบว่าตกลงคุณเป็นหรือเปล่า อาการที่บอกมีสาเหตุได้ตั้งหลายอย่างค่ะ ถ้าจะให้ไล่ก็คงยาว แต่ที่แน่ๆเราขอย้ำอีกครั้งว่าต้อหินไม่ได้วินิจฉัยด้วยอาการนี้เพียงอย่างเดียวค่ะ คนที่ได้ไปรักษากับคุณหมอ และเชื่อว่าตัวเองเป็นต้อหิน ถ้าได้ไปถ่ายรูปประสาทตามา แนะนำให้เอารูปของตัวเองมาเทียบกับปกติดูนะคะ เข้าใน google แล้ว search คำว่า optic disc หรือ retina ก็ได้ค่ะ แล้วจะได้รู้ว่าที่บอกว่าเสื่อมไป 40% น่ะ จริงๆมันคือ cupping ที่คนปกติต้องมีค่ะ แล้วที่หลายๆคนบอกว่าไปตรวจมาหลายที่แล้วปกติ มาหาคุณหมอท่านนี้บอกว่าเป็นต้อหิน ไม่แปลกใจเลยจริงๆเหรอคะว่าทำไม ทั้งๆที่เกณฑ์การวินิจฉัยมันก็มีอยู่ไม่กี่ข้อ (แต่ขอย้ำว่าไม่ใช่จากอาการค่ะ) เอาอย่างนี้ คนที่คุณหมอบอกว่าขั้วประสาทตาเสื่อมไป 40-50% ลองเข้า google แล้วพิมพ์คำว่า normal optic disc ดูนะคะ เมื่อกี้เราลองทำแล้วได้ภาพนี้ค่ะ รู้สึกว่าเหมือนของคุณๆมั้ยคะ จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:00:12

ความคิดเห็นที่ 33 คุณ nongnou คคห.29 ขอบคุณค่ะที่อุตส่าห์บอกชื่อ เราคงไม่โทรไปรบกวนใครหรอกค่ะ บอกแล้วว่าแค่ต้องการเสนอ "ข้อเท็จจริง" เท่านั้น  และข้อมูลทุกอย่างที่เราบอกล้วนมาจาก standard text book, จากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งมีการศึกษาวิจัยสนับสนุนทั้งหมดค่ะ ถ้าใครเป็นคนไข้ของคุณหมอและยังยินดีจะเชื่อเกณฑ์การวินิจฉัยแปลกๆ วิธีการรักษาแปลกๆ เค้าคิดขึ้นเองและไม่มีอะไรมาสนับสนุนสักอย่าง ก็แล้วแต่คุณค่ะ ส่วนตัวเราแล้วเราเชื่อความรู้ที่มีการพิสูจน์และศึกษาวิจัยยืนยันแล้วเท่านั้น (ประสบการณ์ส่วนตัว เป็นความรู้ที่ไม่ได้รับการยอมรับในสากลนะคะ เพราะการที่คุณรักษาได้ผล ไม่ได้หมายความว่าคนส่วนใหญ่จะได้ผลค่ะ) เราไม่อยากมาแฉใครหน้ากระทู้ แต่การกระทำของเค้าเราบอกตรงๆว่ายอมรับไม่ได้  เรื่องนวดตาเราเฉยๆ ที่เราไม่ยุ่งเพราะคิดว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่เรารับไม่ได้เรื่องที่มาวินิจฉัยว่าคนนั้นคนนี้เป็นต้อหิน ประสาทตาเสื่อมไป 40-50% ทั้งๆที่เค้าปกติ อันนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ในวงการแพทย์เลยนะคะ จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:58:12

ความคิดเห็นที่ 34 คุณdogedid  แชร์ความเห็นจากประสบการณ์ที่ตัวเองก็มีปัญหาตานะคะ ถ้าคุณอยากพิสูจน์ว่าคุณป่วยหรือไม่ ลองไปหาจักษุแพทย์ท่านอื่นตรวจดูค่ะ ถ้ามีแบบที่รู้จัก มีเพื่อนรู้จัก หรือที่แน่ไหนที่คุณเชื่อคุณศรัทธา ไปเลยค่ะ ไปแบบคนไข้ใหม่ไม่เคยตรวจที่ไหนมาก่อน แล้วให้หมอเขาตรวจวินิจฉัยเอาซักสองสามท่านก็ได้โดยไม่ต้องบอกว่าไปตรวจที่ไหนมาบ้าง แล้วลองดูว่าแพทย์ท่านอื่นเขาว่าคุณเป็นอะไร พอเขาวินิจฉัยแล้วลองถามว่ามีโอกาสเกิดแบบนั้นแบบนี้ได้ไหม ให้มันรู้ไปเลยว่ามีหมอกี่คนที่บอกว่าคุณเป็นโรคนี้และมีกี่คนที่บอกว่าไม่เป็น การไปถามคนไข้่ไม่ได้ยืนยันว่ามันจะถูกต้องได้ค่ะ คนไข้จะตอบตามความรู้สึก เรื่องมองเห็นในที่มืดแย่ลง มองสิ่งเล็กที่เคยมองเห้นก็ไม่เห็นดิฉันก็เป็นค่ะ วงแสงรอบดวงไฟนี่ไม่เข้าใจนึกไม่ออก ดิฉันไปตรวจตาเจอให้วัดสายตาที่ละข้างแล้วก็เจอว่ามันมองเห็นไม่เท่ากัน ถามหมอ หมอก็เลยให้ไปวัดสายตาก้เจอว่ามันไม่เท่ากันแบบสั้นข้างยาวข้างก็เลยมีปัญหากับการมองเห็น พอไปตรวจละเอียดเจอเอียงไม่เท่ากันเข้าไปอีกตอนนี้ตัดแว่นใส่ อาการหายไปเลยค่ะ ปวดตาน้อยลงด้วย อาการข้างบนนี่ได้มาจากคอมแน่ๆ ยืนยันเพราะแต่ก่อนสายตาไม่ได้เป็นแบบนี้ คือไม่ได้แย่ลงตามวัยแต่เป็นแบบกลับกันไปเลย เรื่องนวดตานี่จะบอกว่าตัวเองทำมา 2 ปีกว่าแล้วแต่ไม่ได้นวดกับหมอจักษูแต่นวดกับหมอนวดเจ้าประจำ ให้นวดศีรษะ นวดรอบๆตา เบาๆ บนเปลีอกตา แค่นี้ทั้งชั่วโมง เสร็จนี้ทั้งผ่อนคลายและหายปวดไปเยอะเลยค่ะ โรคปวดตา ปวดใหล่ ปวดกระดูกก้นกบ เคยขนาดคอแข็งขยับไม่ได้ก็เคยมาแล้ว ได้มาจากการนั่งทำคอมทั้งนั้นเสียค่านวดหมดไปไม่รู้เท่าไรแล้ว เชื่อว่ามีอาการทั้งหมดที่เล่าค่ะ มันมีอาการแน่ๆ แต่ต้องวินิจฉัยให้ถูกว่าอาการนั้นมันเป็นอาการ หรือโรค รุนแรงแค่ไหน รักษาหายได้ไหม แล้วอะไรเป็นสาเหตุ เพราะรักษาแต่ไม่แก้สาเหตุเดี๋ยวก็เป็นอีกค่ะ ว่าจะไม่เข้ามาโพสแล้วนะ ส่วนท่านอื่น ขอบายค่ะ ถ้าจะเลือกเชื่อก็เชื่อไปค่ะ สิทธิของคุณ เวลาจะพิสูจน์ได้ วันหนึ่งเกิดมีผู้เสียหายจากกรณีนี้ร้องเรียนขึ้นมา แพทยสภาก็ต้องเข้ามาจัดการเองค่ะ แต่ถ้าวันหน้าเหตุการณ์มันเกิดเหมือนกรณีที่ยกตัวอย่างเรื่องยาเอดส์  คุณก็แค่มีส่วนช่วยให้เขามีเหยื่อเยอะขึ้นมาเท่านั้นเอง กรรมใครกรรมมันค่ะ ช่วยกันรับไม่ได้ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 17:14:13 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:11:58

ความคิดเห็นที่ 35 มารายงานผลการสืบข้อเท็จจริงครับ นายแพทย์ที่คุณnongnouอ้างถึง เป็นจักษุแพทย์จริง แต่ไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต้อหิน ซึ่งมักจะอ้างผลการรักษาด้วยวิธีนอกกรอบ (หลุดโลก) ที่ไม่เคยมีการวิจัย และไม่ใครคิดจะวิจัย เนื่องจากเป็นที่พิสูจน์กันแล้วว่าการนวดตาไม่สามารถรักษาต้อหินได้ จักษุแพทย์หลายท่านยืนยันมาแล้วครับว่า เป็นบุคคลที่ไม่มีใครยอมรับในแนวทางการรักษาซึ่งท่านผู้นี้ก็ไม่เคยฟังใคร และบางทีจะกล่าวอ้างการรักษาที่มีอยู่แล้วมาเป็นของตน นายแพทย์ที่กล่าวถึง เคยถูกร้องเรียนไปที่แพทยสภาเรื่องการรักษานอกกรอบ (หลุดโลก) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (จะรายงานผลให้ทราบอีกครั้งครับ) ปล. หรือว่าจักษุแพทย์ทั้งโลกจะผิดหมด ยกเว้นแพทย์ท่านนี้คนเดียว จากคุณ : ReMind Me เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 17:52:21

ความคิดเห็นที่ 36 เอ่อ เป็นไม่เป็นต้อหินมันสำคัญนักหรือคะ ถ้าเราไปหาหมอๆบอกไม่เป็น ไม่ได้รักษาอะไรให้เลย อาการป่วยยังเป็นอยู่ กับไปรักษาให้มันหายกับหมอจะว่าเป็น แล้ว.... งงแล้ว อ่ะ ไปหาหมอนี่ไปรักษาความเจ็บป่วย ให้หาย ไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ว่าต้องไปหาหมอเพื่อถามว่าเราเป็นอะไรนิ อันนั้นเรื่องรอง ขอหายไว้ก่อนไม่ดีกว่าเหรอ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 18:23:31 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 18:08:53 จากคุณ : nongnou เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:05:16

ความคิดเห็นที่ 37 ขอตั้งข้อสงสัยจากการอ่านกระทู้ที่ผ่านมา และความพยายามในการโฆษณารวมทั้งการเข้าข้างอย่างออกนอกหน้าของคุณnongnou 1. คุณทำงานอะไรครับ รู้ศัพท์ทางการแพทย์มากขนาดนี้ได้อย่างไร ซึ่งผิดธรรมชาติของผู้ป่วยทั่วไปจนรู้ลึกขนาดนั้น 2. ทำไมเหตุผลทั้งหลายในกระทู้นี้ คุณถึงไม่รับฟังเลย ได้แต่เถียงข้างๆคูๆว่าคุณเป็นแล้วหาย ขอย้ำว่าการนวดตาทำให้สบายตาจริง แต่เป็นเพียงชั่วคราวและไม่ใช่การรักษา (ผมถามจากจักษุแพทย์หลายท่าน ไม่ใช่ถามเพียงท่านเดียวและคอยแก้ต่างจนน่าสงสัยเหมือนคุณ) 3. ทำไมต้องส่งหลังไมค์ ไม่โพสต์หน้ากระทู้ไปเลย มีเหตุผลอะไรที่บอกไม่ได้หรือ 4. คุณจะรับผิดชอบอย่างไร หากมีหลายท่านเชื่อคำโฆษณาของคุณ แล้วมีผลเสียจากการนวดตา ทั้งที่เค้าไม่ได้เป็นต้อหินด้วยซ้ำ (ผมเคยหลงเชื่อคุณมาแล้ว และโกรธมากหลังจากรู้ความจริง โดยการไปตรวจกับอาจารย์หมอด้านต้อหิน) จากคุณ : ReMind Me เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:14:57

ความคิดเห็นที่ 38 คห.37 1.ศัพท์แพทย์อะไรบ้าง งง 2.ยังไงคะ 3.บางทีถ้าจะบอกว่าเป็นอะไรมา ต้องเล่าเรื่องจริงๆของตัวเอง รายละเอียด มีชื่อหมอ ชื่อยา ชื่อ รพ. ไม่อยากโพสต์ตรงนี้ 4.ผลเสียอะไรคะ เค้าไม่เป็นต้อหินแล้วยังไง ก็ถ้าอาการเค้าหายก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ จากคุณ : nongnou เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:27:08

ความคิดเห็นที่ 39 อ่านคคห.36 อ้าว..คุณ nongnou อีกแล้วเหรอคะ เป็นต้อหิน กับไม่เป็น มันไม่สำคัญเหรอคะ เพิ่งรู้ ถ้าคนๆนึงเป็นต้อหินเรื้อรัง มันจะอยู่กับเค้าไปตลอดชีวิตนะคะ  และที่แน่ๆตาของเค้าจะเสื่อมลงเรื่อยๆจนอาจจะบอดได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี แต่ปัญหาคือ การบอกว่า "คนปกติ" เป็น "คนเป็นต้อหิน" เพื่อให้รับการรักษาโดยวิธีของเค้าแล้วบอกว่าจะหาย (ก็เป็นคนปกติตั้งแต่แรก แล้วจะหายจากต้อหินได้ไง) เรามีหลักฐานยืนยันจากกระทู้แนะนำ คคห.491 ที่มีรูปและบอกว่าประสาทตาเสื่อมไป 50% ทั้งๆที่ปกติ เรื่องนี้รับไม่ได้จริงๆค่ะ ก็คนเค้าปกติอยู่แล้วน่ะ เรื่องนี้เหมือนเป็นการสร้างภาพให้คนไข้ไปหาตัวเอง แล้วก็บอกว่าไปตรวจมาหลายคนแล้วหมอบอกปกติ มาตรวจกับหมอคนนี้แล้วเจอเลย หมอเก่งจัง..  แล้วทีนี้เรื่องก็ดังไปทั่ว internet เราสามารถเอาหลักฐานทั้งหมดร้องเรียนกับแพทยสภาเอาผิดได้เลยนะคะ เราว่านี่เป็นการรักษาผิดมาตรฐานอย่างรุนแรง ส่วนเรื่องการนวดตา เราบอกไปหลายครั้งแล้วว่าทำไปก็ไม่เสียหายอะไร มันก็สบายตาดี แต่ไม่ได้รักษาต้อหินแน่นอนค่ะ จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:31:05

ความคิดเห็นที่ 40 39 ถ้าเราไปหาหมอๆบอกไม่เป็น ไม่ได้รักษาอะไรให้เลย อาการป่วยยังเป็นอยู่ กับไปรักษาให้มันหายกับหมอจะว่าเป็น แล้วเราเสียหายยังไง ไม่เข้าใจ จากคุณ : nongnou เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:34:30

ความคิดเห็นที่ 41 37/4 หลงเชื่อคุณมาแล้ว และโกรธมากหลังจากรู้ความจริง เอ่อ .. แล้วเราไปหลอกคุณเมื่อไหร่ เราก็แค่เล่าสิ่งที่เจอมาจริงๆเท่านี้เอง เชื่อไม่เชื่อก็สิทธิ์ของคุน ไม่ได้โกหกใครนะ จากคุณ : nongnou เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:43:31

ความคิดเห็นที่ 42 คุณnongnou GCC, NTG คืออะไรครับ เป็นศัพท์ทางการแพทย์หรือเปล่า จากที่คุณโพสต์มา เห็นได้ว่าทำเพื่อผลประโยชน์ของบางคน ผมว่า คุณพยายามโฆษณาและเป็นหน้าม้าจริงๆ ทำไมถึงออกหน้ารับมากถึงขนาดนี้ และจากคคห.40,41 นี่คุณเริ่มมั่วแล้วครับ ใครอ่านก็รู้แล้วครับว่าคุณเป็นหน้าม้า และเริ่มเถียงไม่ออก ก็เลยพยายามแถไปเรื่อยๆ เฮ้อ.. แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 18:46:37 จากคุณ : ReMind Me เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 18:43:43

ความคิดเห็นที่ 43 พี่น้องหนูเนี่ยนะ หน้าม้า ขำเหอะ พี่น้องหนูอาจจะเข้าข้างคุณหมอมากไปหน่อย เพราะพี่น้องหนูทำแล้วได้ผลไงคะ ใครไม่เชื่อ แล้วยังไม่ลองทำ ก็คงไม่เข้าใจอารมณ์ของพี่หนู เพราะคุณไม่ได้เจอด้วยตัวเอง ไม่ใช่คนป่วยที่ต้องการที่พึ่งเหมือนกัน คุณจะสงสัยก็สงสัยไปสิ ขุดคุ้ยหาความจริงที่ว่าคุณหมอสมเกียรติ์ ท่านพูดจริงรึเปล่า? แล้ววิธีการนี้จะส่งผลเสียอะไรให้กับคนไข้ประมาณนี้ ถ้าขุดคุ้ยเรื่องนี้เราจะร่วมติดตามด้วยเลยนะ เพราะก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าสุดท้ายแล้วบทสรุปของข้อสงสัยในเรื่องนี้จะเป็นยังไง เสียดายกำลังจะโหวตกระทู้ให้ไปเคียงคู่กับกระทู้นู้นแล้วเชียว แต่ตอนนี้ไม่เอาดีกว่า เพราะรู้สึกมันเริ่มไร้สาระแล้วล่ะ มานั่งจับผิดว่าเป็นหน้าม้า โดยไร้หลักฐานยืนยัน ใช้เพียงความรู้สึกตัดสินว่าเค้าเข้าข้างในสิ่งที่คุณต่อต้านมากเกินไป แค่นี้ก็ไม่คุ้มค่าสำหรับการติดตามต่อแล้วล่ะ แต่ถ้าจะตามเรื่องประเด็นของวิธีการรักษา วิธีการวินิจฉัย ว่าน่าเชื่อถือแค่ไหน โดยจากผู้เชี่ยวชาญที่รู้ลึกจริงๆ ไม่ใช่จากความรู้นิดหน่อย และเสริชเน็ตมาประกอบ ก็จะพร้อมจะมาติดตามใหม่ค่ะ อยากรู้เหมือนกัน ถ้าอยากจะแฉก็เอาให้แน่แบบที่เฉลิมไทยไล่จับ สาวผู้กำกับที่บอกว่าได้รางวัลจากคานส์แต่จริงๆแล้วไม่ได้ เอาแบบนั้นเลยดีกว่าค่ะ ปล.พี่น้องหนูพอเถอะค่ะ ยิ่งเราคุมอารมณ์ไม่อยู่เราก็ยิ่งดูแย่อีก รอดูกระทู้นี้เงียบๆดีกว่าค่ะ พี่น้องหนูเองก็น่าจะอยากรู้เหมือนหนูนะคะ เพราะงั้นรอให้เค้าดำเนินการตามที่เค้าอยากทำให้ถึงที่สุดดีกว่าค่ะ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 20:38:57 จากคุณ : น้ำพริกกินกะปลาทู เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 20:37:38

ความคิดเห็นที่ 44 หน้าม้า น. ผู้ที่ทําเล่ห์เหลี่ยมเป็นเหมือนคนซื้อหรือคนเล่นการพนัน เป็นต้น เพื่อเป็นสื่อจูงใจให้คนหลงซื้อหรือหลงเล่นการพนันด้วย, โดยปริยายใช้เรียกคนที่หากินในลักษณะคล้ายคลึงเช่นนั้น. (จากเวบราชบัณฑิต) คห.42 ที่ต่อว่าคนอื่น(หน้าม้า) ข้างบน และความเห็นอื่นๆที่กระทบกระเทือนบุคคลอื่น ระวังด้วยนะครับ การโพสต์ข้อความใดๆในเวบที่กระทบกระเทือนถึงบุคคลอื่น ควรจะมีหลักฐานที่ชัดเจน มิฉะนั้นจะถือเป็นการหมิ่นประมาท ซึ่งเวบพันทิพย์มีระบบในการจัดเก็บรหัสบัตรประชาชนซึ่งเชื่อมโยงถึง ชื่อ-นามสกุล และข้อมูลของคุณ ถ้าผู้เสียหายเขาจะเอาผิดกับคุณนี่ทำได้ไม่ยากเลยครับ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ Quote มาให้อ่านครับ หมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต [ 2008-04-11 10:36:02 ] Add to Favorite Categories : Social บทความนี้จากหนังสือข่าว ส.ส.ท. โดย พรเทพ ทวีกาญจน์   เอามาลงเพื่อเป็นความรู้สำหรับคนเล่นอินเตอร์เน็ต          มาดูว่าการหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต คืออะไร ก่อนที่จะพิจารณาถึงเรื่องนี้ควรจะพิจารณาก่อนว่า หมิ่นประมาทนั้น มีลักษณะการกระทำอย่างไร หมิ่นประมาทคือ การใส่ความผู้อื่นไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ เช่น พูด เขียน พิมพ์ข้อความ หรือแสดงกริยาต่างๆ โดยการใส่ความดังกล่าวนั้น ต้องเป็นการกระทำให้บุคคลที่สามรับทราบ ซึ่งเป็นการกระทำให้ผู้ถูกใส่ความนั้น ได้รับความเสียหาย          ดังนั้น ผู้กระทำการหมิ่นประมาท จะมีความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา กล่าวคือ การหมิ่นประมาทนั้น ผู้กระทำผิดจะมีความหมายทางแพ่ง ฐานละเมิดตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ ผู้กระทำได้กล่าว หรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความที่ขัดต่อความเป็นจริง เป็นผลให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ต่อชื่อเสียงเกียรติคุณ          นอกจากนี้การหมิ่นประมาท ยังถูกบัญญัติให้เป็นความผิดหนึ่ง ในประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งลักษณะการกระทำคือ ผู้กระทำความผิดได้ใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง การพิจารณาข้อความที่เป็นการหมิ่นประมาทในทางอาญานั้น อาจเป็นความจริง หรือเท็จก็ได้ดังที่เคยมีคำกล่าวว่า "ยิ่งจริงยิ่งผิด" เพราะกฏหมาย มุ่งพิจารณาแต่เพียงว่าถ้ามีการกล่าวถึงบุคคลอื่น ในด้านที่ไม่ดีแล้ว ย่อมจะทำให้สังคมไม่สงบสุข ไม่ว่าข้อความนั้นจะเป็นจริงหรือไม่          ความรับผิดทางอาญา และทางแพ่งมีข้อแตกต่าง ประการสำคัญทีสุด คือ หากข้อความที่กล่าวเป็นเรื่องเท็จ ผู้กระทำจะมีความผิดทางอาญา และต้องชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง แต่ถ้าข้อความที่กล่าวเป็นจริง ผู้กระทำจะมีความผิดทางอาญา แต่ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง          กรณีความผิดทางอาญา ในการหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต จะมีความผิดตามมาตรา 326 ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่ทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมื่น หรือ ถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ"          หากนำข้อความ หรือภาพที่มีลักษณะหมิ่นประมาท ไปลงไว้ในเว็บไซต์ คนทั่วไปย่อมสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ อันเป็นลักษณะของการโฆษณาด้วยภาพ หรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฎด้วยวิธีใด อย่างหนึ่ง ซึ่งในมาตรา 329 บัญญัติไว้ว่า "ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาท ได้กระทำโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนต์ ภาพ หรือ ตัวอักษรที่ทำให้ปรากฎ ไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท" ผู้กระทำจะต้องได้รับโทษหนักกว่ามาตรา 326 เพราะการโฆษณาเป็นการทำให้ข้อความหรือภาพที่มีลักษระหมิ่นประมาทกระจายไปสู่คนจำนวนมากกว่าการหมิ่นประมาททั่วๆ ไป... +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ มาต่อเรื่องในกระทู้ การเขียนสิ่งใดในที่สาธารณะเป็นการแสดงออกถึงวุฒิภาวะ มุมมอง ทัศนะคติ ( Positive / Negative Thiinking) ของแต่ละคน ขอได้โปรดใช้เหตุผล ระมัดระวังคำพูดอันจะก่อความเสียหายต่อบุคคลอื่นด้วยครับ สำหรับเรื่องที่คุณมองว่า คุณ nongnou เป็นหน้าม้า นั่นก็เป็นมุมมองของคุณซึ่งเห็นว่าเขาทำเพื่อประโยชน์ของคนบางคน แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ถ้าเขาไม่ได้ผลประโยชน์ เพียงแต่มีความหวังดีให้กับคนอื่นๆ ทำเพื่อประโยชน์ของคนโดยส่วนรวมล่ะ อันนี้ก็มองได้นะครับ (แล้วแต่สภาพจิตของแต่ละคน ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน...) เหมือนกันคนคนหนึ่งเดินหลงทางในทะเลทราย แล้วไปพบแหล่งน้ำใสสะอาด ดื่มแล้วดับกระหายรอดตายไปได้ แล้วเขาก็เดินทางต่อ พบคนที่ตกอยู่ในชะตาเดียวกัน ก็แนะนำทางไปยังแหล่งน้ำนั้น...(ไม่ใช่คนขายน้ำ) ทุกวันนี้บ้างเมืองเรามีเต็มไปด้วยผลประโยชน์ แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ได้เป็นกันทุกคนหรอกครับ อีกอย่างนะครับ การนวดตานี่จะมีผลประโยชน์ตกกับใครหรือครับ คุณหมอที่รักษาอย่างนั้นหรือ ผมจะเล่าให้ฟังนะครับ คนไข้ที่รักษากับคุณหมอนี่(รวมทั้งผมเองด้วย) ไปหาเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นแหละ พอนวดตาเป็นแล้ว ความดันคุมอยู่แล้ว สภาพการมองเห็นดีขึ้น ก็แทบจะไม่ต้องไปอีก และสามารถติดตามผลด้วยตัวเองระดับนึงคือการวัดความดันตา (วัดที่ รพ.ไหนก็ได้ - ผมวัดแถว รพ.เอกชนใกล้บ้าน) และ สภาพการมองเห็นก็ไปตรวจที่ไหนก็ได้เช่นกัน(ที่เขามีเครื่องมือ) คือ การวัดลานสายตา แล้วหมอจะได้ประโยชน์อะไรกันนักหนาล่ะครับ ผมโทรไปหาผู้ป่วยหลายราย ส่วนมากก็นวดตาอยุ่แต่ก็ไม่ได้ไปหาคุณหมอสมเกียรติแล้ว มีแค่โทร.ไปรายงานผลและรับคำแนะนำ ก็แค่นั้น ใครได้ผลประโยชน์ล่ะครับ (บ.มือถือมั้ง) ผมกลับมองว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเสียด้วยซ้ำ ส่วนผู้เสียผลประโยชน์มีมหาศาลเลยครับ ก็ บ.ยา / ค่าผ่าตัด / ค่า รพ.ไงครับ ส่วนคนที่เสี่ยงต่อการเสียผลประโยชน์ที่สุดก็คุณหมอสมเกียรติแหล่ะครับ คือจะซวยมากถ้ามีคนไข้รักษาด้วยวิธีของท่านแล้วมันเกิดปัญหา ถูกฟ้องแน่ๆ ดีที่ยังไม่เคยมี (ขนาดรักษาตามตำรายังเจอฟ้องได้ นี่นอกตำราไม่ต้องพูดถึง) สำหรับที่คุณจะไม่เชื่อเรื่องนี้ก็เป็นสิทธิของคุณครับ แต่คนที่เขาเชื่อนั่นมี คนที่รักษาด้วยวิธีนี้แล้วหายนั้นมี (1.search ใน google พิมพ์ สมเกียรติ อธิคมกุลชัย 2.คลิก Link แรก 3.คลิก หัวข้อ 2. ต้อหิน 4.คลิก คลิ๊กเพื่อเข้าสู่หน้าหลัก 5.เลื่อนไปล่างสุด คลิกหน้า 4 6.ลองอ่านดูนะครับ ตัวอย่างผู้ป่วยที่ประสบความสำเร็จจากการนวดตา ถ้าอยากทราบความจริง ให้โทร.ถามผู้ป่วย ตาม คห.29 ก็ได้ หรือโทร.ถามใครก็ได้ครับ ความจริงย่อมเป็นความจริง ตอนผมวิกฤตสุดๆก็ได้ผู้ป่วยเหล่านี้แหละครับ คอยแบ่งปันประสบการณ์และให้กำลังใจ ได้ และ โทร.ไปถามได้ทุกคน (ถ้าทุกคนเป็นหน้าม้า คุณหมอคงใช้งบน่าดูเลย 555) จากที่ผมโทร.ไป(เยอะมาก) 80% จะดีขึ้น ที่เหลือ ไม่เลวลง และส่วนมากไม่ได้ไปรักษากับคุณหมอสมเกียรติแล้ว แค่โทร.ไปรายงานเฉยๆ มีหลายรายที่รักษากับรพ.รัฐ(ด้วยสิทธิสวัสดิการ)ด้วย (แอบ)รักษากับคุณหมอสมเกียรติด้วย ผมถามเขาว่าถ้า 2 หมอ ให้คำแนะนำไม่ตรงกันทำไง ทุกคนเชื่อหมอสมเกียรติครับ แล้วทีว่าถ้านวดแล้วเกิดผลเสียหายนี่กรรมใครกรรมมัน อันนี้ระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ คนไข้คนแรกที่รักษากับคุณหมอ ปัจจุบันก็รวมเป็นเวลา 5 ปีแล้ว สภาพการมองเห็นไม่เลวลงครับ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ทั้งๆที่เคยถูกวินิจฉัยว่าตาบอดแล้ว ส่วนที่มีการเทียบภาพว่า ขั้วประสาทตารูปนี้ปกติ รูปนี้ฝ่อมากน้อย เข้าหลักเกณฑ์ต้อหินแล้ว ผมเองคิดว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ มันน่าจะดูหลายๆอย่างประกอบกันโดยเฉพาะด้าน Functional หรือ สภาพการมองเห็นที่ผู้ป่วยรู้สึกจริงๆ อย่างความดันตานี่ยังบอกเรื่องต้อหินไม่ได้เต็มร้อยเลย บางคนความดันต่ำก็เป็นต้อหิน บางคนความดันสูงแต่ไม่เป็นต้อหิน(การมองเห็นปกติ) ก็มี และ สมมติว่าเราลบบัญญิติต่างๆทิ้งไป แม้แต่คำว่าต้อหิน ผู้ป่วยมีอาการมองเห็นผิดปกติ (ใน 18 ข้อ หรือ นอกจากนี้ก็ได้) อาจเรียกว่าโรคตาเสื่อมสภาพ แล้วไปหาหมอทั่วไปรักษาแล้วไม่ดีขึ้น (ถ้าดีขึ้นก็แล้วไปครับ)  แต่เขาไปรักษาโดยนวดตาแล้วมันดีขึ้น อาการผิดปกติหายไป แล้วถ้าเป็นท่าน ท่านจะไม่ไปรักษาเหรอครับ ผมเขียนความเห็นต่างๆในมุมมองของคนไข้นะครับ ว่าถ้ามันถึงที่สุดแล้วมันก็ต้องลองทุกวิถีทาง โดยใช้โยนิโสมนสิการ(การพิจารณาโดยแยบคาย) คือถ้าทำแล้วคุณภาพชีวิตมันดีขึ้น ก็ทำไป เพราะจุดมุ่งหมายของการรักษาคือสิ่งนี้มิใช่หรือ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 21:45:54 จากคุณ : มาพูดความจริงกันดีกว่า (narsiz) เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 21:42:20

ความคิดเห็นที่ 45   ขอยืนยันอีกครับ             ผมพาคุณแม่ไปรักษากับหมอสมเกียรติ แล้วใช้วิธีนวดตา ผ่านไป 1 เดือน อาการดีขึ้นครับ เลือกดำที่ตีบตันในตาเริ่มจากลงไป 50%         รู้สึกดีมากครับที่ได้ไปพบคุณหมอท่านนั้นมา ต้องขอบคุณคุณน้องหนูด้วยที่ช่วยแนะนำทางสว่างให้กับผม        ผมเห็นใจ พี่นะครับ ที่แนะนำสิ่งที่ดีๆ ให้คนในเวบแต่ก็ถูก เข้าใจในทางที่ผิด พี่หนูครับ ทองแท้ ยังไงก็ยังเป้นทองแท้แม้จะถูกสาดด้วยโคลน ขี้ ปล่อยไปเถอะครับ ใครจะพูดอย่างไรก็ช่าง แต่ผมคนนึงที่รู้สึกขอบคุณ คุณน้องหนูครับ ถ้าวันนั้น คุณน้องหนูไม่ส่งขอความหลัง MIC ให้กับผม ผมคงไม่ได้ไปพบคุณหมอที่ จนสามารถรักษาตาแม่ของผมให้ดีขึ้นได้หรอกครับ        ส่วนคนที่ไม่เชื่อไม่เห็นด้วย เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปใช้ข้อความอัน เสียบแทงทำลายต่อผู้ที่เค้าหวังดี มาโพสต์ใส่เว็บไซต์ ที่เค้าทำที่เค้าโพสต์ เพราะเค้ารักษากับคุณหมอแล้วหาย แล้วดี จึงอยากจะตอบแทนสังคม อยากช่วยเพื่อนมนุษย์ คุณคนที่คอย เอาเท้าราน้ำนั่นแหละ ที่ไม่ควรจะมา อยู่ร่วมโลกแห่งการช่วยเหลือกันอยากพวกเราครับ จากคุณ : N' SINCE (kuom3000) เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 22:34:34

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณทุกความเห็นค่ะที่ทำให้เราได้รู้ว่า "ความจริง ย่อมแพ้กระแส อย่าทำอะไรต้านกระแส เราจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว" นี่ขนาดเราอ้างอิงในเรื่องที่มีการยืนยันแล้ว พวกคุณยังเลือกที่จะเชื่อ "ความเชื่อ" มากกว่าเลย อยากจะให้เราแฉจริงๆเหรอคะ มันจะไม่ขัดใจความเชื่อของคุณๆมากไปกว่านี้อีกเหรอ ทำไปเราก็เหนื่อยเปล่าๆเพราะยังไงก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี ก็พวกคุณ fix idea มาตั้งแต่แรกแล้วนี่ แต่ถ้าอยากรู้และพร้อมที่จะเชื่อรับฟังเรา (ยังไม่ต้องเชื่อค่ะ กลับไปคิดและหาข้อมูลก่อน) ก็บอกมา ยินดีค่ะ ความตั้งใจดั้งเดิมที่แค่อยากจะให้หลายๆคนสบายใจขึ้นบ้างว่าแท้จริงตัวเองไม่ได้เป็นต้อหิน กลับเป็นแบบนี้ บอกตรงๆว่าเสียใจค่ะ จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 23:56:06

ความคิดเห็นที่ 47 สุดท้าย... ส่วนที่ถามว่าแพทย์ท่านนั้นได้ประโยชน์อะไร ง่ายๆค่ะ ที่พวกคุณพากันไปตรวจนี่ คุณคิดว่าเค้าได้ DF ไปเท่าไหร่แล้วล่ะคะ  พวกคุณก็ลองไปตรวจกับเค้าที่รพ.รัฐสิ เราถึงจะเชื่อว่าเค้าไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเลย ถ้าจะมีคนไม่พอใจก็ขอโทษด้วยค่ะ เพราะเราก็ไม่ชอบใจเหมือนกันที่จักษุแพทย์คนนึงจะมาวินิจฉัยคนไข้ว่าเป็นต้อหินง่ายๆแบบนี้ (แถมจริงๆก็เป็นตาที่ปกติด้วย) จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 00:10:09

ความคิดเห็นที่ 48 ยุติได้แล้วสินะกระทู้นี้ เพราะว่าอาการเริ่มออกล่ะ 55+ ขำอ่ะ ใครไม่เชื่อตรู ก็คือไม่เชื่อความจริง เพราะเรื่องที่ตรูบอกคือความจริงทั้งนั้น และตรูจะไม่ต้านกระแสอีก กะจะเป็นผู้นำ กระแสใหม่ซะหน่อย แต่เป็นไปไม่ได้เลยไม่ทำต่อซะงั้น อย่ามาพูดอะไรลอยๆ ถ้าให้แน่เอาแบบเฉลิมไทยในกรณีผู้กำกับเมืองคานส์เลยนะจ๊ะ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็เงียบๆไว้อย่าเที่ยวป้ายสีคนอื่นแบบลอยๆดีกว่าค่ะ ปล.ฝากไว้อีกนิด คือเราอยากให้มองในแง่ของจิตใจคนป่วยน่ะค่ะ ว่าทุกข์ใจกับอาการป่วยตัวเองอยู่ ก็ย่อมมองหาที่พึ่งใช่มั้ยคะ? ในเมื่อไปหาหมอคนไหนๆ ก็บอกได้แค่ว่าอาจจะเป็นเฉยๆ ไม่ต้องระวังอะไร ได้แต่ให้ยาหยอดตาลดความดันตามา หยอดไปผลข้างเคียงก็เยอะแยะ แล้วคนไข้ก็ได้แต่กังวลกับการมองเห็นแปลกๆของตัวเองแบบรอวันบอด เพราะอาการต้อหินนี่ เท่าที่หาข้อมูลมา ทั้งฟังจากคุณหมอ ไม่มีทางรักษานะคะ ทางเดียวที่รักษาได้คือหยอดยาลดความดันตา ซึ่งผลข้างเคียงก็เยอะ แถมบางคนเป็นคนไข้แบบความดันตาก็ไม่ได้สูงอีก แบบนี้จะให้เค้าทำยังไงคะ? นั่งรออาการมันกำเริบแล้วรอวันบอดรึไง? แล้ววิธีนี้ทำแล้วอาการต่างๆดีขึ้น มองในแง่ของคนไข้เค้าผิดเหรอคะ?ที่จะเชื่อ แล้วคุณเป็นใคร เป็นผู้เชี่ยวชาญขนาดไหนล่ะ ถึงจะให้คนเค้าเชื่อคุณ? แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 52 07:50:29 จากคุณ : น้ำพริกกินกะปลาทู เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 07:47:07

ความคิดเห็นที่ 49 น้ำพริกกินกะปลาทูคะ ตัวดิฉันนะยืนยันได้แน่ๆว่าไม่ได้มาโพสเพราะอยากดังหรือเป้นผู้นำกระแส พฤติกรรมการเข้าพันทิปคงจะช่วยยืนยันได้ ส่วนเจ้าของกระทู้ก็ไม่รู้ว่าถ้าจะอยากเป็นผู้นำกระแสหรืออยากดังจะมาโพสประเด็นที่กระแสมันไปทางเดียวกันหมดแบบนี้ทำไม มีเรื่องอื่นที่น่าจะดังง่ายกว่าเรื่องนี้ค่ะ อย่ามาพูดอะไรลอยๆ ถ้าให้แน่เอาแบบเฉลิมไทยในกรณีผู้กำกับเมืองคานส์เลยนะจ๊ะ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็เงียบๆไว้อย่าเที่ยวป้ายสีคนอื่นแบบลอยๆดีกว่าค่ะ กรณีนี้มันทำให้กระจ่างได้ด้วยข้อมูลทางวิชาการที่ยากต่อการเข้าใจของคนทั่วไป มันต้องใช้พื้นฐานความรู้เข้ามาประกอบกับความเข้าใจด้วย มันถึงลำบากไงคะ ส่วนผู้เชี่ยวชาญที่คุณกล่าวถึง ดิฉันเห็นเขานั่งหัวเราะหึหึกับเรื่องนี้กันค่ะ ไม่มีใครอยากเปลืองตัวให้โดนด่าว่าให้ร้ายป้ายสี แบบที่เจ้าของกระทู้โดนคุณว่าข้างบนนั่นแหละ หรือกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก คิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดความเสียหายขึ้นมาและมีการร้องเรียนเมื่อนั้นแหละถึงจะมีการยื่นมือเข้ามาทำอะไรกับเรื่องนี้ ที่มักพูดถึงการศึกษาวิจัยวิธีกับการรักษา ไม่ใช่ต้องการมาบอกว่ามันถูกหรือมันผิด แต่การศึกษาวิจัยมันไม่ได้ดูเฉพาะประสิทธผล แต่มันดูไปถึงความปลอดภัยและอาการข้างเคียงทั้งในระสั้นและระยะยาวด้วย ตรงนี้มันสำคัญกว่าประสิทธิผลของการรักษาอีก เพราะการรักษาที่ไม่ได้ผลมันไม่มีอะไรเสียหายแค่เสมอตัวเท่านั้น ที่ท้วงติงกันขึ้นมาก็เพราะคิดถึงตัวผู้ป่วยนั่นแหละค่ะ การรักษาใดๆ แม้มันจะแก้ไขปัญหาให้หมดไปไม่ได้แต่ช่วยให้ความรู้สึกผู้ปวยดีขึ้นได้ มีกำลังใจขึัน ก็ยังทำกันอยู่ในปัจจุบ้นนี้ แต่มันต้องไม่มีความเสี่ยงหรือการสูญเสียโอกาสใดๆไป เป็นความจริงที่ว่าโรคต้องหินเป็นแล้วรักษาไม่หาย สิ่งที่ทำได้คือชะลอให้การลุกลามเป็นไปให้ช้าที่สุดหรือหยุดการลุกลามนั้นได้ สาเหตุที่มันรักษาไม่หายก็มีข้อมูลทางวิชาการที่อธิบายได้แต่คนที่รับข้อมูลต้องมีพื้นฐานความรู้บ้างจึงจะเข้าใจได้ง่าย หลายสิบปีก่อนเสตียรอยด์ถูกนำมาใช้รักษาโรคกันอย่างกว้างขวางจนมันถูกเรียกว่า ยาเทวดา เพราะเมื่อใช้แล้วอาการผู้ป่วยดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ในปัจจุบันนี้ใครจะใช้เสตียรอยด์รักษาผู้ป่วยต้องคิดหนัก และต้องดูแลกันอย่างใกล้ชิด กลายเป็นไม่จำเป็นไม่ใช้ ก็เพราะอาการพิษจากเสตียรอยด์มันเพิ่งมาปรากฏภายหลังนานเป็นปีๆ ตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งน่ากลัวไปแล้ว ขนาดมันถูกใช้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการทั้งขนาด ระยะเวลา และความจำเป็น คนไข้ยังปฏิเสธที่จะรับมันเลยค่ะ เหมือนกับที่คนไทยชอบใช้ยาหม้อ และก็มีเชื่อว่ามันรักษาได้เพราะก็เห็นกับตาว่ากินแล้วหายบ้าง ดีขี้นบ้างจริงๆ วันนี้คนก็ยอมรับมากขึ้นว่ายาหม้อ ยาชุดส่วนใหญ่ที่เป็นยาเทวดานั้นมันมีเสตีรอยด์เป็นองค์ประกอบเป็นส่วนมาก มันจึงตอบคำถามได้ว่าทำไมกินแล้วมันถึงดีขึ้น เจตนาที่มีกระทู้นี้คงไม่ได้มาบอกว่าคนที่เชื่อน่ะผิด เพียงแต่อยากให้ไตร่ตรองและหาข้อมูล รวมทั้งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำอะไร อย่างดูแต่เพียงผลที่เห็นเฉพาะหน้าในวันนี้ ถ้ามันหายได้ตลอดไป ถือว่าเป็นโชคดีมหาศาล ถ้ามันไม่ได้หายตลอดไปแต่วันนี้มันดีขึ้นหรือแค่รู้สึกว่าดีขึ้น มันก็ไม่เสียหาย ถ้าสุดท้ายพบว่ามันไม่ได้หายจริงๆ ก็แค่เสียเงินก็ยังโอเค นะ แต่ถ้าวันหนึ่งในอีกสองสามปีข้างหน้ามันเพิ่งปรากฏความเสียหาย นี่แหละคือจุดที่เขาออกมาท้วงติง และอีกเรื่องที่สำคัญมากคือเวลาที่สูญเสียไป คนไข้บางรายถ้าไม่ได้ไปเสียเวลารักษาผิดทางและเริ่มต้นรักษาที่ถูกทางตั้งแต่แรก เขาอาจมีช่องทางและอาการของโรคที่รักษาได้ดีกว่า หรือยืดเวลาออกไปได้มากกว่า มันเป็นการเสียโอกาสที่สำคัญต่อชีวิตผู้ป่วยเองมากกว่า เหตุการณ์ลักษณะแบบนี้มันไม่ได้เกิดเป็นครั้งแรกสำหรับประเทศไทยในทุกๆวงการ แล้วมันก็เกิดเป็นวงจรเหมือนๆกัน เชื่อมั่น เฮโลกันไป สักพักก็ปรากฏความเสียหาย กว่าจะหยุดคิดทำอะไร ความเสียหายก็ปรากฏเป็นวงกว้างไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ทักท้วงตอนกระแสแรงก็โดยว่าให้ร้ายป้ายสี อิจฉา ไปทักท้วงรอให้เหตุมันเกิดก่อนก็โดนว่าอีกว่าทำไมไม่ออกมาท้วงติงตั้งแต่แรก นี่แหละคือที่มาของการนั่งหัวเราะหึหึแล้วก็อยู่เฉยๆ เคยมีคนพูดกับดิฉันว่า สังคมไทยชอบเรียนรู้จากความสูญเสีย ดิฉันบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ต้องเชื่อ แค่ข้อให้เอาข้อมูลไปพิจารณา ถ้าคิดว่ามันไร้สาระก็โยนทิ้งไป เงินของคุณ ตาของคุณ ชีวิตของคุณ คุณมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะตัดสินใจว่าคุณจะเลือกทำอะไรกับมันค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 12:08:01

ความคิดเห็นที่ 50   ผมว่าหยุดเสียทีเถอะครับ โพสซํ้าไปซั้ามาและประเด็นก็อยู่ที่เดิม โพสมากไปก็เปลืองกระทู้เปล่าๆ ของแบบนี้ผมว่ามันอยู่ที่คุณจะเชื่อเองหรือเปล่า แค่นั้น ถ้าคุณคิดและเชื่อว่าในการรักษาตามตำรานั้นถูกต้องคุณก็รักษาไป แต่ถ้าคิดว่าทางออกนั้นมันไม่ดีขึ้นสำหรับคุณก็สามารถลองวิธีใหม่นี้ได้นิมันก็ไม่ได้เสียหาย และก็มีคนมายืนยันแล้วด้วยว่าไม่มีผลข้างเคียงอะไร ผมไม่เข้าใจว่าจะแตกประเด็นทำไมในเมื่อประเด็นมันมีอยู่แค่สองข้อที่ผมพูดแค่นี้เอง จากคุณ : คนผ่านมาดู เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 13:34:14 A:202.6.90.86 X: TicketID:215064

ความคิดเห็นที่ 51 ตามมาจากกระทู้นู้น ไม่คิดเลยว่าจะมีการแตกประเด็นมาเป็นแบบนี้ ขอพูดอะไรในฐานะคนไข้ที่ตาเคยเกือบบอดบ้างนะคะ ไม่ได้เป็นต้อหิน ไม่ได้ปวดตา แค่อยู่ดีๆตาก็ช็อตมืดไปเฉยๆ ขณะที่ท้องอ่อนๆ มองที่มืดไม่เห็น ที่แสงน้อยไม่ชัดเจน มองสีเพี้ยน มืดดำไปหมด และสู้แสงไม่ได้ ท้อมาก รักษาหาหมอมาหลายที่ ทั้งรพ.เอกชนชื่อดัง(+แพงอีกต่างหาก) รพ.รัฐที่อาจารย์หมอเยอะๆ ก็ยังวินิจฉัยไม่ได้ บอกได้แค่ตาเราปกติ จนให้ไปตรวจลานตา ตรวจการมองเห็น ถึงรู้ว่าเราเห็นแคบลงจริงๆนะ แล้วก็วินิจฉัยสรุปให้ว่า คงเป็นอาการคนท้องมั๊ง ซะงั้นอ่ะ ใครบ้างที่ไม่อยากให้ตาคู่นี้มองเห็นได้ดีไปตลอดชีวิต ทั้งที่คิดว่าหาหมอที่ดีที่สุดมาก็หลายที่ ยังบอกไม่ได้เลยว่าเป็นอะไร มีทางไหนที่คิดว่าทำแล้วจะดีขึ้น ก็จะทำค่ะ อย่างน้อยที่สุด การได้รับน้ำใจจากคำแนะนำของเพื่อนคนนึงที่มีความรู้สึกแบบเดียวกัน ว่าเรายังอยากมองเห็นนะ อยากใช้ชีวิตแบบคนปกติ ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่หาได้จากในโลกอินเตอร์เน็ตนี้แล้ว ถ้าเปลี่ยนจากการจับผิดเป็นคำแนะนำที่ดีให้กัน จะดีกว่านะคะ เข้าใจว่าทุกคนก็ 'หวังดี' ด้วยกันทั้งนั้น จากคุณ : เจ้าหญิงกิงก่องแก้ว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 20:29:17

ความคิดเห็นที่ 52 คุณ nongnou, คุณ น้ำพริกกินกะปลาทู และท่านอื่นๆ เราก็ไม่ได้อยากจะนำกระแสค่ะ แต่อยากบอกความจริงล้วนๆ และเราก็ไม่ได้จับผิด ถ้าไม่เชื่อรบกวนอ่านตอนต้นของกระทู้อีกครั้งว่าเราจับผิดใครหรือเปล่า แล้วเราถูกกดดันยังไง รบกวนทบทวนอีกครั้งด้วยใจที่เป็นกลางค่ะ และขอเชิญที่กระทู้นี้ค่ะ http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L8172853/L8172853.html จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 23:18:05

ความคิดเห็นที่ 53 สรุปว่า ใครอยากรักษาก็รักษาไป.. ส่วนคนที่เชื่อหรือกำลังจะเชื่อก็ขอให้ใช้วิจารณญานให้มากก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป.. จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 00:55:10

ความคิดเห็นที่ 54   นานแล้ว ภรรยาผมเคยจะต้องผ่าตัดกับอาจารย์แพทย์ของจุฬา หมอบอกนอกจากการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องแล้ว ยังมีอีกวิธีคือเจาะรูที่หน้าท้อง 3 รูแล้วสอดเครื่องมือผ่าตัดและกล้องส่องเข้าไป แต่มันเป็นวิธีใหม่ (ในขณะนั้น) อาจารย์ทำไม่เป็น ถ้าจะทำต้องไปหาอาจารย์อีกคน ฝังเข็มก็เป็นอีกรูปแบบการรักษาที่ผมจะไม่ยอมรับการรักษาเด็ดขาด ถ้าการฝังเข็มไม่ได้ค้นพบมานานแล้วแต่มาพบในขณะนี้ ผมว่าก็คงเป็นเรื่องต้องพูดกันมากน่าดู ในทุกวันนี้การแพทย์ก้าวเคลื่อนไปข้างหน้าตลอดเวลา โรคบางโรคเช่นมะเร็ง ก็ยังรอการค้นพบที่มันใหม่กว่าความรู้ปัจจุบันอยู่ (ผมกลัวมะเร็งพอสมควร) แต่ผมเชื่อคุณหมอว่ามีความตั้งใจดี และผมชอบที่คุณหมอใช้หลักวิชาการเป็นหลัก เพราะอะไรก็ตามที่อยู่ในตำราแล้ว มันต้องถูกใช้มากับคนอีกมากมาย เราไม่ต้องรับความเสี่ยงมากกว่าความเสี่ยงโดยปกติที่อาจพบได้ พิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็คิดจะลบ เพราะกลัวโดน แต่ลองทำใจสู้ดู จากคุณ : ลองทำใจสู้ (ประเคนสุข) เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 01:18:26

ความคิดเห็นที่ 55   ในฐานะที่เป็นหมอคนหนึ่ง ปัจจับันเป็นยุคโรคแห่งข้อมูล  บางครั้งมันก็มีมากเกินไปจนทำให้สับสน ผมชอบเรียกว่าโรคข้อมูลท่วม ปัจจุบันทางการแพทย์รู้เกี่ยวกับโรคและรักษาได้จริงอธิบายได้อย่างแจ่มชัดจริงๆ มีไม่ถึง 60 %(เป็นคำพูดที่อาจารย์แพทย์สอนต่อมา) ซึ่งเป็นเป็นความคิดที่ผมเห็นด้วย โดยส่วนตัว หากผู้ป่วยเป็นคนที่มีความรู้ พอที่จะเข้าใจอะไรได้ หมอเป็นเป็นเพียงคนให้ข้อมูล คนที่ตัดสินใจว่าจะเอา จะทำ จะรักาาอย่างไร ขึ้นกับผู้ป่วย การรักษาอะไรก็ตามหากมีผลดีต่อผู้ป่วยทั้งระยะสั้นและระยะยาว ถึงแม้มันเสี่ยงต่อการ malpractice(ณ เวลาปัจจุบันแต่ไม่ผิดกฎหมาย) หากผู้ป่วยทราบทั้งผลดีผลเสีย และยินยอมให้ทำ ตอนเป็นหมอ จบใหม่---------------------จะทำตรงตามหลักวิชาแต่ ตอบโจทก์การรักของผู้ป่วยไม่ได้ เมื่อจบมาหลายปีจึงเข้าใจของคำว่า                             ใบประกอบโรคศิลป ถึงตรงนี้ผมอยากเพียงบอกว่า การทำอะไรก็ตามหากไม่มีหลักวิชามารองรับ ผู้ป่วยต้องยอมรับผลที่ตามมา(เป็นตัวทดลองเอง) ซึ่งจริงๆแล้วอาจเป็นการ กระทำที่ถูก หรือผิดก็ได้ ผมของยกตัวอย่างของหมอท่านนี้ที่เสียชีวิตไปแล้ว(เครดิตจากคุณ Burawat T. แห่ง TCC ) Ignaz Philipp Semmelweis   เกิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1818 ที่เมือง Budapest ประเทศฮังการี เขาเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยโดยเป็นลูกคนที่ 5 จากทั้งหมด 10 คนของ Jozsef Semmelweis (1778 – 1846) และ Terezia Mueller Semmelweis ค.ศ. 1837 เขาเข้าเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยแห่งกรุงเวียนนา  แต่ปีต่อมาก็เปลี่ยนไปเรียนแพทย์และจบในปี ค.ศ. 1844 เนื่องจากไม่ได้รับตำแหน่งด้านอายุรศาสตร์  เขาจึงตัดสินใจไปเป็นสูติแพทย์แทน  โดยเริ่มต้นเป็นผู้ช่วยของ Johann Klein (1788 – 1856) ศาสตราจารย์ด้านสูติศาสตร์ที่ Vienna General Hospital ประเทศออสเตรียเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1846 ที่นี่มีหอผู้ป่วยหลังคลอดอยู่ 2 ตึก  เขาสังเกตว่าตึกแรกที่ใช้สำหรับสอนนักเรียนแพทย์นั้น  ผู้ป่วยมีไข้หลังคลอดและอัตราการตายสูงถึง 13.10%  ขณะอีกตึกที่ใช้สำหรับสอนพยาบาลผดุงครรภ์มีอัตราการตายเพียง 2.03%  เขาตั้งคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น จากการศึกษาเขาพบว่าความแตกต่างอยู่ที่นักเรียนแพทย์ต้องเข้าเรียนวิชาชันสู ตรศพก่อนจะมาตรวจผู้ป่วยในตึก  ขณะที่พยาบาลผดุงครรภ์ไม่ต้องเรียนวิชานี้  เขาจึงสันนิษฐานว่ามีอะไรบางอย่างจากศพเป็นสาเหตุของไข้ในหญิงหลังคลอด  แต่ตอนนั้นเขาไม่มีหลักฐานยืนยัน เกิดเหตุบังเอิญขึ้นในปี ค.ศ. 1847  เพื่อนร่วมงานที่ดีของเขาชื่อ Jakob Kolletschka (1804 – 1847) ขณะผ่าชันสูตรศพหญิงที่เสียชีวิตจากไข้หลังคลอด  มีดผ่าตัดของนักศึกษาเกิดทิ่มที่นิ้วมือเขา  ต่อมาเขาป่วยเป็นไข้อาการคล้ายคลึงกับผู้ป่วยไข้หลังคลอดและเสียชีวิตในที่ ส ุด  ผลการชันสูตรศพ Kolletschka พบว่ามีลักษณะเหมือนกับผลการชันสูตรศพหญิงที่เสียชีวิตจากไข้หลังคลอด  นับเป็นหลักฐานที่สนับสนุนความคิดของ Semmelweis  เขาจึงออกนโยบายให้มีการล้างมือหลังเรียนชันสูตรศพก่อนจะเข้าไปในตึกผู้ ป่วย   และเมื่อตรวจผู้ป่วยเสร็จต้องล้างมือก่อนจะเข้าไปตรวจผู้ป่วยรายต่อไป  ปรากฏว่าอัตราการตายลดลงจากเดิมมากและบางเดือนเป็นศูนย์เลย Semmelweis ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล (Nosocomial infection)  แต่น่าเสียดายคนส่วนใหญ่ที่นั่นไม่เชื่อทฤษฎีเชื้อโรคจึงไม่มีใครทำตามแถม ยั งต่อต้านอีกด้วย   ในที่สุด ค.ศ. 1850 เขาจึงย้ายออกจากกรุงเวียนนา กลับไปทำงานในโรงพยาบาลที่ Budapest บ้านเกิดของเขาเอง  แม้นโยบายการล้างมือของเขาสามารถลดอัตราการตายในหญิงหลังคลอดของโรงพยาบาล แห ่งนั้นเหลือเพียง 0.85%  แต่ทฤษฎีของเขาก็ยังคงถูกต่อต้าน ค.ศ. 1857 เขาแต่งงานกับ Maria Weidenhoffer (1837 – 1910) บุตรสาวของพ่อค้าผู้ประสบความสำเร็จใน Pest (เมือง Budapest มีสองส่วนคือ Buda กับ Pest) ค.ศ. 1861 เขาตีพิมพ์หนังสือชื่อ “Die Aetiologie, der Begriff und die Prophylaxis des Kindbettfiebers (The Cause, Concept and Prophylaxis of Childbed Fever)” แต่ไม่ได้รับความสนใจ  ต่อมา Semmelweis เริ่มแสดงอาการของโรคซึมเศร้า   อาการโรคซึมเศร้ากำเริบหนักจนวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1865 ตจแพทย์ชาวออสเตรีย Ferdinand Ritter von Hebra (1816 – 1880) ต้องหลอกล่อพาเขาเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวช  เขาพยายามหลบหนีออกจากโรงพยาบาลจึงถูกยามหลายคนตี  เขาถูกใส่ straitjacket และอยู่ในห้องมืด  แผลที่ได้รับบาดเจ็บเกิดอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มเดียวกับที่เป็น สาเหตุ ของไข้หลังคลอด   สองสัปดาห์ต่อมาวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1865 เขาก็เสียชีวิตจากเชื้อโรคที่เขาพยายามหาทางป้องกันมาตลอดชีวิต จากคุณ : ethic&philosophy เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 07:41:08

ความคิดเห็นที่ 56 ผมก็เป็นหมอคนหนึ่ง หลังจากอ่านกระทู้แล้ว  จับประเด็นได้คือ 1.มีการเปิดประเด็นว่า  การเล่นคอมพ์มากๆ  อาจทำให้เกิดเป็นโรคต้อหิน  โดยคุณ  T-TprincecryT-T  และโดยการสนับสนุนอย่างแข็งขันของคุณน้องหนู  จากกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L7825682/L7825682.html 2.คุณหมอ Tachycardia เข้ามาแย้งว่า  ยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการใดๆพิสูจน์ว่า  การเล่นคอมพ์ทำให้เป็นโรคต้อหิน  จากกระทู้  http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L8164565/L8164565.html และกระทู้http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L8172853/L8172853.html 3.มีการเล่าถึงหมอท่านหนึ่งในร.พ.บางมด  ที่ชอบบอกคนไข้ว่าขั้วประสาทเสื่อม  และกำลังจะเป็นโรคต้อหิน  แต่ก็ได้รับการอธิบายจากคุณหมอ tachycardia ว่า  ประสาทตาของทุกคนในโลก  ก็ต้องเสื่อมอยู่แล้วตามกาลเวลา  ( แปลว่า ทุกคนในโลกกำลังจะเป็นโรคต้อหิน  ถ้าหมายความตามแพทย์ท่านแรก )  ซึ่งข้อนี้สำคัญมาก  เพราะเหมือนการหลอกลวงคนไข้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง -เมื่อคนไข้คิดว่าตนเองเป็นหรือกำลังจะเป็นโรคต้อหิน  (ทั้งๆที่ไม่ได้เป็น)  เมื่อได้รับการรักษาจนอาการทุเลา  คนไข้ก็จะพูดจากปากต่อปากว่าหมอท่านนี้รักษาโรคต้อหินได้หายขาด  สุดท้ายหมอท่านนี้ก็เกือบจะเป็นหมอเทวดา  ค่า DF ก็จะมากไปเป็นเงาตามตัว 4.มีการพูดถึงการรักษาแบบ mal-practice ของหมอคนนี้  เรื่องนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของแพทยสภาครับ แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 52 09:01:09 จากคุณ : ส.มโนมัย เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 08:59:11

ความคิดเห็นที่ 57 ให้กำลังใจท่านที่กล้าเข้ามาค้านกระแสค่ะ เพราะว่ารู้ทั้งรู้ว่าไม่ได้อะไรเลยแถมจะโดนเละก็ยังกล้า ยกย่องนับถือจริง ๆ คนอื่น ๆ จะได้รู้ในมุมมองอื่นบ้าง เพราะบางครั้งเราเชื่อเพราะว่าไม่รู้ค่ะ จากคุณ : tugsinat เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 10:04:38

ความคิดเห็นที่ 58 มาให้กำลังใจคุณ tachycardia ค่ะ เราเป็นคนนึงที่ใช้คอมมา 10 ปีแล้ว ใช้อย่างหนักด้วย (เขียนเว็บขายตั้งแต่ ม.4) ยอมรับว่าอ่านกระทู้นั้นแล้วกังวลมาก จากนั้นก็พยายามใช้ให้น้อยลง แต่ทำไม่ได้เลยซักวัน เราเลยคิดว่าป้องกันตัวเองดีแล้ว เพราะคุณแม่เองก็เป็นกรมมพันธุ์ ต้อหิน หรือต้อกระจกนี่แหละ คุณแม่บอกว่าเราน่าจะต้องเป็น เพราะเป็นมาตั้งแต่รุ่นทวด เลยให้ไปตรวจตาเป็นประจำ ทุกวันนี้เราสายตาเอียงค่ะ ข้างนึงปกติ อีกข้าง 25 บางคนก็ตกใจ เป็นไปได้ไง ใช้คอมวันละ 8+ ชม. อยากบอกคนที่กังวลนะคะ เราใช้วิธีธรรมชาติบำบัด (555 เรียกให้หรูไปงั้น) คือบนโต๊ะเราจะมีต้นกระบองเพชรค่ะ ตรงหน้าต่างเราก็มีต้นไม้เขียว ๆ พอเรามองคอมไปซักพักเรามองต้นไม้ หรืออะไรเขียว ๆ ค่ะ พักสายตาเรื่อย ๆ พยายามไม่จ้องต่อเนื่อง พอเริ่มล้า จะไม่ฝืนค่ะ จะหลับตาซักพัก(ไม่ได้แอบงีบนะ) อยากให้ทุกคนทำค่ะ เราเองก็ไม่อยากเห็นต้องอยู่ในโลกของความมืดอะค่ะ อ๋ออีกเรื่อง น้าเราเป็นต้อหินค่ะ ตาขวามองไม่เห็นแล้ว ตาซ้ายก็พร่าเต็มทน ทั้งนี้ทั้งนั้นน้าเราไม่เคยแตะคอมเลยค่ะ น่าจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์มากกว่า จากคุณ : เดินโซเซ เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 10:46:10

ความคิดเห็นที่ 59 เรียนคุณหมอ tachycardia ครับ       ผมคิดว่าคุณหมอควรหยุดโพสต์กระทู้ตอบโต้กับผู้คนในเว็บบอร์ดสาธารณะ ในเรื่องข้อขัดแย้งทางการการแพทย์ โดยเฉพาะเรื่องโรคต้อหิน ซึ่งมีความซับซ้อนทางวิชาการค่อนข้างสูง หมอเป็นจักษุแพทย์ เรามีเว็บบอร์ดของราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ที่พร้อมให้จักษุแพทย์ทุกท่านเข้าไปแสดงความเห็นทางวิชาการหรือเรื่องทั่วๆไปได้ครับ และผมก็ได้โพสต์หัวข้อประวัติการคิดค้นการนวดตารักษาต้อหินเอาไว้ให้แล้ว หมอลองเข้าไปดูซิครับ    ผมเชื่อว่าคุณหมอมีความตั้งใจดีที่ต้องการปกป้องผลประโยชน์ของผู้ป่วย มีจิตสาธารณะที่ช่วยเหลือผู้อื่นเช่นเดียวกับคุณน้องหนู เพียงแต่หมอยังไม่ทราบอะไรที่ลึกซึ้งพอเท่านั้น ฉะนั้น อย่าลังเลที่จะเข้าไปซักถามในเว็บบอร์ดของราชวิทยาลัยฯหรือ e-mail ซักถามผมเป็นการส่วนตัวก็ได้ครับ ยินดีตอบข้อข้องใจหรือคาใจทุกคำถาม  อาจารย์ทางด้านต้อหินที่คณะแพทยศาสตร์ท่านหนึ่ง เคยโทรสุ่มคุยกับผู้ป่วยในเว็บ www.geocities.com/glaucomathai  พบว่าผลการรักษาน่าจะได้ผลจริง จึงโทรศัพท์มาซักถามคำอธิบายทางวิชาการว่ากลไกที่ทำให้การรักษาได้ผลดี เป็นอย่างไร ผมก็ได้อธิบายจนท่านได้ความกระจ่างไป  หรืออาจารย์ทางด้านจอประสาทตาในโรงเรียนแพทย์ท่านหนึ่ง ได้แนะนำผุ้ป่วยเด็กอายุ 11 ปี ที่ป่วยเป็นโรค RP ให้มารักษากับผมด้วยการนวดตา และขณะนี้ผู้ป่วยดังกล่าวก็อาการดีขึ้นแล้ว ( ดูรายละเอียดในเว็บ www.geocities.com/rpsiam ) จากคุณ : นพ.สมเกียรติ (somkiatoo) เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 10:49:55

ความคิดเห็นที่ 60 คคห.59 คะ รบกวนช่วยอ่านเนื้อหาในกระทู้อีกครั้ง ชัดๆค่ะ ทั้ง 2 กระทู้ เราได้ย้ำแล้วย้ำอีกว่า เรื่องนวดตา เราไม่ยุ่ง ใครอยากทำเชิญเลย แต่เรื่องที่เราไม่ยุ่งไม่ได้เพราะคิดว่ามันสร้างความเข้าใจผิดให้คนทั่วไปอย่างรุนแรง คือการที่มีการวินิจฉัยคนปกติว่าเป็นต้อหิน แถมยังเผยแพร่ข้อมูลผิดๆในที่สาธารณะ เรื่องนี้เรารับไม่ได้ค่ะ เรื่องนี้ไม่ต้องมีผู้เสียหายก็ได้ เพราะเข้าข่ายการโฆษณาเกินจริง ซึ่งเรื่องนี้ก็เคยได้ถูกขอให้ลบข้อความออกแล้วด้วย ส่วนเรื่องการนวดตา ถ้ามันได้ผลจริง ก็ทำวิจัยมาสิคะ ถ้ามันรักษาได้จริงเราจะได้เอาไปรักษาคนอื่นด้วยไง ทำไมไม่ทำล่ะคะ เห็นว่าคิดวิธีนี้มาตั้งนานแล้ว ถ้าทำวิจัยคงเสร็จไปแล้วล่ะค่ะ ถ้ายังไงรบกวนมาตอบข้อสงสัยของเราเรื่องนี้ด้วยค่ะ อ้อ.. และเรายังมีความรู้ใหม่ว่ามีการส่งหลังไมค์ไปหาใครต่อให้ให้เข้ามาช่วย โหวตกระทู้ตัวเอง  เลยกลายเป็นคนดังไปเลย  แต่ระวังนะคะ คิดจะดัง อย่าดังแบบผิดๆค่ะ เดี๋ยวจะเดือดร้อน จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 12:19:13

ความคิดเห็นที่ 61 เรียนคุณหมอ tachycardia ครับ    พยายามทำใจให้สงบ ดับความโกรธในใจออกไป แล้วนำคำถามที่คาใจเข้าไปโพสต์ในเว็บบอร์ดของราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ ผมขอยืนยันไม่ขอตอบโต้กับคุณหมอในเว็บบอร์ดสาธารณะ เพราะจะนำความเสื่อมเสียมาสู่วงการแพทย์ครับ และจะเป็น คห สุดท้ายที่ผมจะโพสต์ในกระทู้นี้ จากคุณ : นพ.สมเกียรติ (somkiatoo) เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 12:56:50

ความคิดเห็นที่ 62 ตอนนี้เราก็ฟังหูไว้หูนะ ตอนที่มีคนบอกว่าโลกกลมแรกๆ ก็โดนโจมตี สุดท้ายก็มีคนพิสูจน์ได้ว่าโลกกลม จริงๆ คุณหมอคนที่พูดๆ ถึงกันน่าจะเก็บผลการรักษาจากคนไข้ที่มารักษาเนี่ยแหล่ะ ให้ละเอียดแล้วสรุปออกมาเป็นงานวิจัยไปเลยจะดีมั๊ย จะได้ไม่ต้องมามีข้อสงสัยกันอีก จากคุณ : รักแฟน เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 13:05:01

ความคิดเห็นที่ 63 คุณ narsiz ยก เอากม.หมิ่นประมาท อินเตอร์เน็ตมา แต่ลืืมยกข้อยกเว้นมารึเปล่าเอ่ย ... จากคุณ : อาซิ่ม เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 13:49:35

ความคิดเห็นที่ 64 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 14:42:17

ความคิดเห็นที่ 65 ตามมาดูอีกกระทู้ จริงๆก็รู้สึกมาตั้งแต่กระทู้แรกแล้ว ว่ามันดูเหมือนเป็นการปลุกกระแส หรือเรื่องการนวดตาอะไรก็ตาม ที่ต้องสงวนไว้ โดยบอกว่าต้องให้หมอพิจารณาก่อนว่านวดได้หรือไม่ = ยังไงก็ต้องไปหาหมอคนนั้น (ทั้งที่จริงผมว่ามันน่าจะเป็นความรู้ที่เหมาะจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่า ถ้าได้ผลจริง) จริงๆก็ไม่ได้แอนตี้หมอท่านใดในนี้นะครับ ผมว่าเรื่องแบบนี้ ความสบายใจของคนไข้ก็เป็นส่วนสำคัญ ไ่ม่ว่าคนไข้จะเป็นอะไร แต่ถ้าหมอสามารถทำให้คนไข้รู้สึกดีขึ้น มีทางออกมากขึ้น สบายใจมากขึ้น นั่นผมถือว่าเป็นการรักษาเบื้องต้นที่ได้ผลมากอย่างหนึ่งแล้วครับ ยังไงก็จะติดตามดูตอนจบแล้วกันครับ =) จากคุณ : B@@M เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 15:32:17

ความคิดเห็นที่ 66 โอ๊ะโอ!! คุณหมอสมเกียรติเล่นพันทิปแถมมี log in ด้วย อืมๆ เราบอกตรงๆ เคยอ่านกระทู้ต้นเรื่องผ่านๆไม่ได้ลงรายละเอียดเพราะเนื้อหาเยอะมาก ขี้เกียจอ่าน ไม่ได้เข้าไปตอบกระทู้ด้วย ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไรเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล่าจากประสบการณ์ธรรมดา มาสะดุดใจตรงที่คุณnongnou ส่ง link กระทู้ทางหลังไมค์มาให้ เรายังงงเลยว่าอยากให้เข้าอะไรขนาดนั้น ชักแปลกๆ พอมาเจอกระทู้นี้เข้า เริ่มเข้าเค้าเเฮะ ยังไงกันล่ะนี่ ต้องขอบคุณนาธานที่ทำให้เรารู้จักมองโลก 2 มุม คราวที่แล้วเขางอกเต็มๆ จากคุณ : himawari_dpu เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 16:23:13

ความคิดเห็นที่ 67 ผมเชื่อว่าคุณ Tachycardia ให้ข้อมูลที่เป็นกลาง และเป็นวิทยาทาน จากคุณ : crooner (crooner) เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 20:36:52

ความคิดเห็นที่ 68 ได้หลังไมค์เหมือนกันค่ะ ยังงงว่าใครส่งมา ไม่ได้รู้จักกันด้วย เราว่า คุณnongnou หลงประเด็นนะคะ ไม่มีใครว่า ว่าคุณเป็นต้อหินจริงหรือไม่ แต่ประเด็นมันคือ อาการต้อหินมันมีสาเหตุมาจากการเล่นคอมจริงไหม จากคุณ : เด็กเพ้อเจ้อ เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 20:43:20

ความคิดเห็นที่ 69 ตามเข้ามาอ่าน และตะหงิดๆแล้วตั้งแต่กระทู้โหวตแรกที่ไม่หล่นสักที อีกอย่างคือ ทำไมต้องนวดตา และมีคนที่อ่านกระทู้นั้นไปหาหมอคนนี้ตลอกเลย ทำไมไม่แนะนำให้ไปตรวจตากับจักษุแพทย์ปกติธรรมดา ทำไมต้องโฆษณาทั้งโรงพยาบาลที่ไปตรวจมา และสุดท้ายชื่อหมอที่รักษา ผมตั้งข้อสังเกตไว้ตั้งแต่แรกในใจว่า อาจมีเรื่องผลประโยชน์แอบแฝง เพราะเห็นผลลัพธ์ที่ได้คือ มีคนไปหาหมอคนนี้มาก แต่ก็ไม่กล้าค้านกระแสครับ จากคุณ : Athlons เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 21:12:27

ความคิดเห็นที่ 70 ขอเป็นกำลังใจให้คุณหมอ tachycardia ค่ะ จากคุณ : dreamin เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 52 23:44:53

ความคิดเห็นที่ 71   คุณ น้องหนู ส่ง หลังไมค์มาทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน เราก็ไม่ค่อยได้เล่นห้องนี้ด้วย เออ มันแปลกๆตั้งแต่ตอนนั้นแระ เข้าไปอ่าน กะทู้ก้อพอจะเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไม่อยากไปขัดกระแส ดีแล้ว ที่มีคนกล้าหาญ ค้นหาความจริง เปน กำลังใจให้คุณ  tachycardia จากคุณ : OL girl (OL Girl) เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 52 09:33:07

ความคิดเห็นที่ 72 ู^ ^ ^ ได้เหมือนกันครับ และก็ยอมรับว่ามันแปลกตรงนี้แหล่ะ.. จากคุณ : Mr.Quiet เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 52 10:49:00

ความคิดเห็นที่ 73 คุณหมอtachycardiaครับ ผมขออณุญาติไม่ให้giveนะ เพราะสิ่งที่คุณทำนั้นมีค่ามากกว่าgiveหลายเท่านั้น ผมเห็นคุณโดนพวกหน้าม้าเเละงมงายตอบโต้เเบบไร้เหตุผลเเล้วสงสารมากเเต่คุณยังต่อสู้เพื่อความถูกต้อง(เป็นผมคงเลิกไปแล้ว) คุณจะเก่งเเค่ไหนไม่ทราบเเต่ผมมั่นใจว่าคุณเปนหมอที่ดี ยอมสละเวลาเพื่อสังคมออนไลน์ ขอยกคุณเป็นหมออันดับหนึ่งในใจครับ จากคุณ : ReMind Me เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 52 11:19:29

ความคิดเห็นที่ 74 ทำไมไม่แนะนำให้ไปตรวจตากับจักษุแพทย์ปกติธรรมดาหน่ะเหรอครับ ทำไมใครมีปัีญหาสายตาต้องหมอสมเกียรติเท่านั้นหน่ะเหรอครับ ก็เพราะจักษุแพทย์คนอื่นวินิจฉัยไม่ได้เหมือนหมอสมเกียรติ ไม่สุดยอดเท่าหมอสมเกียรติไงครับ เอ้า เฮ............................................................ จากคุณ : MDcute เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 52 15:48:59

ความคิดเห็นที่ 75 เราก็ได้หลังไมค์ด้วยคน ซึ่งเราว่ามันแปลกๆนะคะเลยไม่ได้โหวต แต่ยอมรับว่าอ่านกระทู้ไม่จบ ยาวเกินไป ( กระทู้ที่ส่งมาให้โหวตนะคะ) จากคุณ : jommassalyn เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 52 21:55:13

ความคิดเห็นที่ 76   ทำไมไม่ตอบในนี้ล่ะครับ หมอสมเกียรติ คนทั่วไปจะได้รู้ และทำความเข้าใจไปด้วย แล้วมันจะนำความเสื่อมเสียมาสู่วงการแพทย์ยังไงอ่ะครับ....คนธรรมดาทั่วไป ไม่มีสิทธิ์พอที่จะรับรู้ได้เลยเหรอครับ ฝากให้ให้คุณหมอคิดด้วยนะครับ แก้คำผิดครับผม แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 52 22:22:02 จากคุณ : unap ณ เมืองตาก เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 52 22:21:22

ความคิดเห็นที่ 77 มางงๆ ว่าทำไมคุณน้องหนูมีรายชื่อคนไข้ของคุณหมอ จากคุณ : Jai_ya เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 52 23:32:05

ความคิดเห็นที่ 78 ก็เพราะเป็นเเก๊งหน้าม้าครับ จากคุณ : ReMind Me เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 52 23:51:38

ความคิดเห็นที่ 79 ให้กำลังใจคุณ tachycardia ค่ะ ขอบคุณ คุณtachycardiaที่ทำให้ผู้...ในทู้นั้น มาดิ้นพล่านในทู้นี้ รู้สึกเหมือนบางคนกินปูนร้อนท้องยังไงยังงั้น... จากคุณ : Pon Pon Pata Pon! เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 01:44:34

ความคิดเห็นที่ 80 ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจ และทุกความเห็นนะคะ ตอนแรกที่มาตั้งกระทู้แล้วเจอแบบนี้ เราก็เกือบจะท้อแล้วเหมือนกันค่ะ แต่ก็ไม่อยากให้กระแสความเชื่อผิดๆถูกเผยแพร่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว จริงๆก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ไม่ออกมาพูดแบบนี้ตั้งแต่ที่เห็นว่าเป็นกระทู้แนะนำ (น่าจะหลายเดือนแล้วนะ) ตอนนั้นเท่าที่อ่านผ่านๆ ก็รู้ว่าไม่จริง แต่ก็คิดว่าไม่ได้เสียหายอะไรมาก เพราะอย่างที่บอกว่าจริงๆการใช้คอมฯมากๆ มันก็ไม่ดีกับดวงตาของเราอยู่แล้ว บอกตรงๆว่าไม่อยากต้านกระแสให้เจ็บตัว เพราะคิดว่าเดี๋ยวกระทู้ก็คงตกไป เรามาอ่านกระทู้นั้นอีกทีเมื่อวันที่มาตั้งกระทู้ จึงได้มาเป็นภาพ ขั้วประสาทตาปกติ ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น ต้อหิน ตอนนั้นก็อึ้งไปเหมือนกัน เลยคิดว่าว่าคงต้องอธิบายให้เพื่อนๆเข้าใจแล้วล่ะ เรื่องราวหลังจากนั้น เพื่อนๆคงได้เห็นในกระทู้แล้ว หลังจากนี้เราอาจจะไม่ได้ตอบกระทู้มาก เพราะคิดว่าได้พูดสิ่งที่อยากบอกไปหมดแล้ว  แต่ไม่ว่ายังไงเรายังเข้ามาในห้องนี้เป็นระยะเพื่อติดตามเรื่องอยู่และจะส่งไปยังแพทยสภาในเร็วๆนี้ค่ะ ขอบคุณเพื่อนๆอีกครั้งจริงๆค่ะ ที่ทำให้เราได้เห็นว่าอย่างน้อยสิ่งที่เราพยายามทำไป มันก็ไม่สูญเปล่า และยังได้รับน้ำใจดีๆจากเพื่อนในสังคมออนไลน์่ค่ะ จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 14:43:36

ความคิดเห็นที่ 81 เข้ามาอ่านและเป็นกำลังใจให้คุณ tachycardia กับคุณ ReMind Me นะคะ เราอ่านทู้ตอนแรกแล้วก็ทำเอาตกใจว่า เออ..หรือเราจะเป็นเหมือนกันเนี่ย พออ่านไปเรื่อยๆก็รู้แล้วว่า เค้าไปหาหมอที่ไหนกัน อย่างน้อยก็เป็น reference ว่าคุณหมอท่านนี้น่าเชื่อถือ น่าจะไปหาดีกว่าไปหาหมอจักษุที่ไม่รู้จักชื่อเสียงมาก่อน ซึ่งถ้าเรื่องนี้เป็นการกระทำของหน้าม้า คุณหมอท่านนั้นก็คงได้ลูกค้าเยอะมาก (อย่างน้อยก็เราอีกคนที่คิดว่าจะไปหา) แต่เราอ่านไปๆมาๆ เรากลับเชื่อที่คุณ tachycardia และคุณ Remind Me บอก ชอบความเห็นที่ 73 มากค่ะ คิดเช่นนั้นเหมือนกันค่ะ จากคุณ : แม่น้องนิว (vilailuk_j) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 15:14:44

ความคิดเห็นที่ 82   ผมคนนึงที่ไม่ได้หลังไมค์....อยากจะบอกว่า สมัครมือถือโหวตไม่ได้ เลยไม่ได้หลังไมค์ หวังดีจริงก็น่าจะได้ทุกคนนะ ไม่ได้น้อยใจนะครับที่ไม่ได้ แต่ดีใจมากกว่า จากคุณ : unap ณ เมืองตาก เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 52 17:00:10

ความคิดเห็นที่ 83   นักสืบพันทิพย์มารายงานผลครับ ได้ลองเจาะเข้าไปในเว็บต้อหินของหมอสมเกียรติ (http://www.geocities.com/glaucomathai) เพื่อดูรายละเอียดในตัวอย่างผุ้ป่วย โดยเริ่มที่ผู้ป่วย 5 รายที่นำเสนอในกระทู้ 1. นพ.วิวัฒน์ งามเกียรติไพศาล ยืนยัน หมอสมเกียรติรักษาได้จริง ตรวจสอบต้นสังกัด ผู้ป่วยมีตัวตนจริง 2. นพ.เอกชัย จุละจาริตต์ ยืนยัน หมอสมเกียรติรักษาได้จริง ตรวจสอบต้นสังกัดไม่ได้ เนื่องจากเป็นข้าราชการเกษียณอายุ จึงค้นเข้าไปใน google รายนี้ผลงานเพียบ โดยเฉพาะในวงการธรรมะ 3. นาวาโทบุญสิทธิ์ สุทธาชีวะ รน. ยืนยัน หมอสมเกียรติรักษาได้จริง ตรวจสอบต้นสังกัด ผู้ป่วยมีตัวตนจริง 4. นส.ภัทรา แก้วเพชร ยืนยัน หมอสมเกียรติรักษาได้จริง ไม่สามารถตรวจสอบต้นสังกัดได้ เนื่องจากมีอาชีพอิสระ 5. นางระเบียบ ศรีถาวร อาจารย์โรงเรียนนารีรัตน์ จังหวัดแพร่ ยืนยัน หมอสมเกียรติรักษาได้จริง ตรวจสอบต้นสังกัด ผู้ป่วยมีตัวตนจริง หลังจากนั้น ได้สุ่มเจาะเข้าไปสืบผู้ป่วยรายอื่นๆที่มีต้นสังกัดตรวจสอบได้ 6. นางจันทิรา นิราราช ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ ยืนยัน หมอสมเกียรติรักษาได้จริง ตรวจสอบต้นสังกัด ผู้ป่วยมีตัวตนจริง และยังแนะนำว่าพี่สาว ( นางกาญจนา ปานข่อยงาม )ก็เป็นต้อหินตรวจกับ นพ.สมเกียรติ 7. นางกาญจนา ปานข่อยงาม รองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ยืนยัน หมอสมเกียรติรักษาได้จริง ตรวจสอบต้นสังกัด ผู้ป่วยมีตัวตนจริง 8. นายนวรัตน์ กลิ่นรัตน์ ผู้พิพากษา ยืนยัน หมอสมเกียรติรักษาได้จริง ตรวจสอบต้นสังกัด ผู้ป่วยมีตัวตนจริง 9. นายมานะ เงินศรีสุข อาจารย์มหาวิทยาลัยรังสิต ยืนยัน หมอสมเกียรติรักษาได้จริง ตรวจสอบต้นสังกัด ผู้ป่วยมีตัวตนจริง สรุป หมอสมเกียรติ ของจริงครับ ตัวอย่างผู้ป่วยของเขา ไม่ใช่หน้าม้า กระทู้นี้น่าจะเป็นเรื่องของหมอ discredit หมอด้วยกันเอง 555+ ไปละคราบบบบ จากคุณ : นักสืบเก่า เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 12:11:08 A:58.9.6.64 X: TicketID:215064

ความคิดเห็นที่ 84 คุณนักสิบเก่า ข้อมูลแบบที่คุณบอกว่ามันเชื่อถือไม่ได้ค่ะ รักษาได้จริง เอาอะไรมาเป็นตัววัดคะ ที่สำคัญคนไข้ที่ไปรักษาเป็นโรคอะไรล่ะคะ โรคบางโรครักษาหายได้ โรคบางโรคมีอาการดีขึ้นแต่ไม่ได้หมายความว่าโรคหายไป โรคบางโรคอาการที่ดีขึ้นจากการรักษาที่ไม่ถูกต้องยิ่งทำให้โรคลุกลามในภายหลังอีก เขากำลังถกกันเรื่อง คอมพิวเตอร์ทำให้เป็นต้อหินได้หรือเปล่า ไม่ได้ถกกันเรื่องหมอคนนี้รักษาคนไข้หายหรือเปล่าคะ แล้วน่าจะใช้ล๊อคอินดีกว่าไหมคะ บัตรผ่านใครก็เข้ามาตอบอะไรก็ได้ ไม่ต้องรับผิดชอบ ความเห็นของคุณนี่ไม่ได้มีหลักฐานอะไรจะมาว่าเขามา discredit เลยนะคะ ข้อเท็จจริงที่โพสมามันตรวจสอบได้ แต่ข้อเท็จจริงของหมออีกฝ่ายไม่ยอมเอาออกมาให้ตรวจสอบต่างหากคะ อย่างแสดงความงมงายจนไม่พิจารณาตรวจสอบเหตุผลเลยค่ะ ยิ่งทำให้หมอคนนั้นเสียdiscreditเปล่าๆ คุณจะเชื่อจะงมงายต่อไปอย่างไรไม่มีใครว่า เงินคุณ ตาคุณ ชีวิตคุณ แต่คุณจะเอาทัศนคติความเข้าใจของคุณมาว่าคนที่เข้าใช้ข้อเท็จจริงมาอธิบายว่าเขามา discreditนั่นมันไม่ถูก หมอในห้องนี้มีหลายท่าน มีท่านไหนไหมที่ออกมาค้านว่าข้อเท็จจริงนี้มันไม่จริง แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 52 12:28:58 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 12:22:40

ความคิดเห็นที่ 85 อืม .... รอดูผลกันต่อไป ความจริงมันไม่เคยตาย ยังไงๆ ก็ต้องปรากฏอยู่ดี จากคุณ : ตัวตลกจมูกแดง เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 12:35:02

ความคิดเห็นที่ 86   ถึงคุณ Alone with out lonely ครับ ผมว่าจะโพสต์ข้อมูลให้ที่กระทู้นี้ที่เดียว ไหงพลอยโดนด่าไปด้วย เพราะคนไข้ที่ผมโทรสืบทั้งหมดนั่นอะ เป็นคนไข้ต้อหินที่เคยรักษากับหมอคนอื่นทั้งนั้น ก่อนที่จะไปรักษากับหมอสมเกียรติ ลองไปสืบอย่างผมและไปคุยกับคนไข้ก่อนก็ได้นะครับ และประเด็นที่คุณอยากรู้ที่มาที่ไป ทำไมไม่โทรไปคุยกับคุณหมอเค้าเองเลยล่ะ ยอมรับครับว่าขาจร เพราะผมมานานๆทีพอมาเห็นมีข้อโต้แย้งกันเลยลองตรวจสอบดู ส่วนผม ไปดีกว่า (เจอแต่หน้าม้าทั้งนั้น) ลาแล้ว ลาลับ จากคุณ : นักสืบเก่า เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 14:22:47 A:161.200.255.162 X: TicketID:215064

ความคิดเห็นที่ 87 แล้วคุณคิดว่าใครจะเอาคนไข้ที่รักษาไม่หายมาลงเวปไว้ในเวปเขาล่ะ ถ้าคุณจะอ่านรายละเอียดที่ดิฉันโพสไว้ข้างบนอย่างไม่มีอคติแล้วจะเห็นว่าไม่ได้เข้ามาเหมารวมคุณไปกับใครเลย โพสจากข้อความที่คุณโพสล้วนๆ ถ้าคุณจะเข้ามาแย้งแบบความเห็นบนๆที่เขาก็คิดว่าเขารักษาหายกับหมอคนนี้เหมือนกัน แต่เขาไม่ได้เข้ามาด่าคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลก็คงไม่มีใครว่าคุณเหมือนกัน เพราะคนไข้ที่ผมโทรสืบทั้งหมดนั่นอะ เป็นคนไข้ต้อหินที่เคยรักษากับหมอคนอื่นทั้งนั้น ก่อนที่จะไปรักษากับหมอสมเกียรติ ลองไปสืบอย่างผมและไปคุยกับคนไข้ก่อนก็ได้นะครับ ข้างบนนี่ใครวินิจฉันล่ะคะ ทั้งที่เป็นและหายแล้ว แล้วที่หายใครตรวจวินิจฉัย  มีหลักฐานการตรวจที่เป็นมาตฐานมายืนยันไหมว่าก่อนรักษาเป็นอย่างไร หลังรักษาเป็นอย่างไร รอยโรคยังมีไหม ปัญหาหลักที่ทำให้โรคลุกลามได้ยังมีไหม ในเมื่อโรคต้อหินยังเป็นโรคที่รักษาหายขาดไม่ได้ ร่องรอยโรคมันตรวจได้ชัดเจน การที่บอกว่าหายเอาอะไรมาวัด เอาง่ายๆนะ ถ้ามีคนเป็นโรคต้อหินที่ตรวจวินิจฉันจากหมอตาคนอื่นๆแล้วไปรักษากับหมอคนนี้หาย เขาคงไม่แค่เอาชื่อมาบอกแค่นี้หรอกค่ะ เขาคงเอาหลักฐานการรักษาการตรวจขั่วประสาทตา ความดันลูกตามาเปรียบเทียบให้ดูกันชัดๆแล้ว ป่านนี้เขาดังไปทั้งโลกแล้วค่ะไม่ใช่แค่ในเวปบอร์ด ไม่ต้องควบคุมตัวแปรใดๆด้วย ถ้าภาพถ่ายจริงๆ ของผู้ป่วยก่อนและหลังรักษามันแสดงให้เห็นชัดเจนแบบนั้น ทำไมไม่ทำล่ะ จะได้ไม่มีใครลุกขึ้นมาค้านอีกไง เอากันจะๆไปเลย ไปเถอะค่ะ ไปงมงายต่อไป มันเรื่องของคุณและเรื่องคนใครๆที่จะเลือกเชื่อตามแต่ละคน แต่อย่าไปปรักปรำคนอื่นว่าเข้ามาเพื่อต้องการทำให้ใครเสียหาย เรื่องหน้าม้า ดิฉันไม่ทราบว่าใครเป็นหน้าม้า ดิฉันทราบแต่ว่าพฤติกรรมการกระทำที่เรียกว่า หน้าม้า น่ะมันเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ทำ อย่าร้อนตัว คนไทยส่วนใหญ่ขาดการศึกษาที่ทั่วถึงจริงๆ มันถึงเป็นเหยื่อไม่รู้จักจบจักสิ้น แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 52 15:55:26 แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 52 15:55:00 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 15:48:50

ความคิดเห็นที่ 88 อ่านแล้วเซ็งเป็ดนิดๆ.... ในฐานะของหมอตา และเป็นอาจารย์ของหมอที่มาเรียนตาในปัจจุบัน ขอแง้วๆกับเค้านิดนึง ------------------------------------------------------------ GCC (Glaucomatocyclitic crisis, Possner-Schlossman syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรคตาอักเสบแบบหนึ่ง ซึ่งมักจะมีการอักเสบในตาข้างใดข้างหนึ่ง ร่วมกับการมีความดันตาสูงอย่างมาก ทำให้ตามัวทันทีในไม่กี่วัน การรักษา - ให้ยาลดการอักเสบ และยาลดความดัน พยากรณ์โรค - ดีมาก ซักพักพอคุมการอักเสบได้ ความดันก็ลง ---------------- มีคนไข้น้อยมากที่ความดันไม่ลง กลายเป็นต้อหินจริงๆ แปล - ดังนั้น ถ้าคุณเป็น GCC แล้วความดันสูง รักษากับหมอท่านหนึ่ง ความดันไม่ลง คุณย้ายหมอ ไปเจอหมออีกคน แล้วให้ยาไม่กี่จึ๊ก ก็ความดันลง อาจเป็นไปได้(อย่างยิ่ง)ว่า ความดันตามันจะลงของมันเองอยู่้แล้ว --------------------------------------------------------------------------- NTG - normal tension glaucoma คือ โรคประสาทตาเสื่อมในลักษณะเดียวกับต้อหิน โดยที่ความดันตาที่วัด อยู่ในเกณฑ์ปกติ วินิจฉัยยาก และหลายคราว หมอตาก็วินิจฉัยผิด ----------------------------------------------------------------------------- เรื่องอ.สมเกียรติื เท่าที่ผมได้รับรู้ - เรื่องนี้มีแพทย์เคยเอาเข้าไปในที่ประชุมราชวิทยาลัย และกรรมการพิจารณาแล้ว สรุปว่า ไม่มีหลักฐานที่หนักแน่นเพียงพอที่จะเอามาใช้จริง ผมไม่แน่ใจว่ามีจดหมายเตือนไปถึงอ.สมเกียรติหรือไม่ครับ (ไว้ขอไปสืบก่อนนะ) - อ.สมเกียรติเคยส่งเรื่องนี้ให้คุณพ่อผมพิจารณา (คุณพ่อผมก็เป็นหมอ แต่ cardiologist ครับ ไม่ใช่หมอตา) คุณพ่อผมไม่ให้ความเห็น เพราะไม่ใช่หมอตา และไม่ทราบเหตุผลที่ส่งเรื่องนี้ให้ท่าน - มีการเผยแพร่ทฤษฏีของท่านทางอินเตอร์เนท อาจารย์จักษุแพทย์หลายๆท่าน (รวมทั้งอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญต้อหิน) ได้รับรู้เรื่องนี้ และไม่ได้ให้ความเห็นสนับสนุน ------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สำหรับความเห็นของผม - เรื่องนี้ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และไม่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงพอ - การรัำกษาโรค ไม่ได้เ็ป็นเรื่อง 'รักษาแล้ว ผู้ป่วยพึงพอใจ' --- นี่ไม่ใช่เครื่องสำอางค์ครับ การจะเอาการรักษาอะไรมาใช้จริง 1. ต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นน่าเชื่อถือ 2. ต้องมีงานวิจัยรองรับ  และงานวิจัยนั้นต้องน่าเชื่อถือเพียงพอ - ถ้าผมมียา A ให้คนไข้ร้อยคนกิน มีคนอาการดีขึ้น (ซึ่งอาจจะจากธรรมชาติของโรคเองก็ได้) 10 คน ผมเอาคนไข้สิบคนมาขึ้นชื่อโฆษณา ทุกคนก็ยืนยันว่าดีขึ้นเมื่อมารักษาด้วยยา A ของผม ผมก็ทำได้ครับ แต่อีก 90 คน ผมก็ไม่ลิสท์ชื่อมา - งานวิจัยที่น่าเชื่อถือ ปัจจุบันคงต้องเป็นแบบ randomized double blind ซึ่งการทำยุ่งยากพอสมควร โดยเฉพาะถ้าจะเทียบการนวด ไม่นวด อาจจะทำแค่การ blind คนวัดค่าความดันตาที่ลดลง และคนอ่านผลลานสายตา อาจจะค้านความรู้สึกหลายๆท่าน แต่โปรดรับไว้พิจารณาครับ จากคุณ : หมอเถื่อน เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 16:42:53

ความคิดเห็นที่ 89 ชอบคคห.88 มากค่ะ คิดแบบนี้เหมือนกันแต่ไม่รู้จะเรียบเรียงเป็นคำพูดยังไง และขอเรียนคุณ คคห.83 น่าแปลกจังนะคะที่คุณบอกว่าเพิ่งเข้ามาอ่านแต่อุตส่าห์โทรไปหาคนที่ไม่รู้จักตั้ง 9 คน โดยไม่มีผลประโยชน์หรือส่วนได้ส่วนเสียอะไร หรือว่าคุณก็เป็นต้อหินด้วยคะ แปลกค่ะ แปลก ขาจรไม่น่าทุ่มเทขนาดนี้ เราไม่มีเหตุผลที่ต้องไป discredit ใคร ถ้าไม่เข้าใจรบกวนย้อนกลับไปอ่านตอนต้นของกระทู้อีกครั้งว่าเราเอ่ยชื่อ หรือพาดพิงถึงใครหรือเปล่า เพราะโดยส่วนตัวแล้วเราเกลียดการ discredit คนอื่น  แต่เราก็ไม่ชอบการ mal-practice เหมือนกัน และเราก็ไม่คิดจะโทรไปถามใคร ขอเลียนแบบคำพูดของคุณ หมอเถื่อน คคห.88 นะคะ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องความพึงพอใจของผู้ป่วยค่ะ เรากำลังพูดถึงประเด็นเรื่อง มาตรฐานการวินิฉัยโรค การรักษา และการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องในที่สาธารณะค่ะ จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 52 22:07:31

ความคิดเห็นที่ 90 สงสัยว่าคุณ "นักสืบเก่า" หาข้อมูลและสามารถพูดคุยติดต่อกับคนไข้ที่คุณหมอเขาอ้างถึงได้อย่างไรคะ เราจะสามารถ search หาข้อมูลเบอร์ + ที่อยู่ จาก internet ได้ด้วยเหรอคะ หรือว่าสอบถามเบอร์โทร.จาก 1133 เอา จากคุณ : ก็ฉันมันเลว ... เลยแซวเล่น เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 52 21:14:18

ความคิดเห็นที่ 91 ผมเป็นคนหนี่งที่บังเอิญอ่านเนื้อหาเรื่องนี้ และมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น ได้ไปตรวจเช็คกับ รพ. ชื่อดังมากมาย ทั้งเฉพาะด้านตาก็เคย กลับตรวจไม่พบอะไรเลย แต่สภาพการมองเห็นกลับไม่ดีเหมือนเก่า มีอาการแปลกๆ มองไม่ชัดเหมือนเดิม โดยข้อมูลการตรวจยืนยันว่าปกติทุกประการ ผลการตรวจกับสภาพการมองเห็นไม่ไปทางเดียวกัน ผมจึงมองโดนส่วนตัวว่า การรักษาวิธีแพทย์ทางเลือก สำหรับคนที่สิ้นหนทางน่าจะเป็นทางที่น่าสนใจ ซึ่งก็ยืนยันไม่ได้ว่าหายขาด ดีที่สุด วิธีการรักษาที่เราไม่มีหลักฐาน เหตุผล หรือ เอกสารรองรับจากสถาบันเป็นเรื่องเสี่ยงมาก เว้นเสียแต่มีผลที่ได้รับการยืนยัน ประเด็นเรื่องการรักษารวมถึงวิธีการนำเสนอต่างๆ ผมคงตอบไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้ด้านนี้ทั้งหมด แต่ทำให้ผมนึกถึงกรณีของชีวจิต โดย อ.ดร. สาทิต อินทรกำแหง ที่มีคนออกมาค้านมากมายว่าไม่มีทางเยียวยามะเร็งได้ จนวันนี้ ผมได้มีโอกาสไปพบกลุ่มคนที่บอกว่าเป็นมะเร็ง แต่ก็ยังดำรงชีวิตอยู่ได้ยาวนานเป็น 10 ปี ด้วยการปฏิบัติตามแนวชีวจิต (แบบทางสายกลาง ที่ไม่เคร่งจนร่างกายขาดสารอาหาร) การรักษาแบบทางเลือกจึงเป็นทางออกของคนที่พบทางตัน และ กำลังหาแสงสว่างอยู่ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การพูดคุยกันในนี้จะเป็นการปรึกษาเพื่อหาทางรักษาหรือ ก่อให้เกิดประโยชน์ มากกว่ามองว่าความคิดของฝ่ายใด ถูก หรือ ผิด เพราะสุดท้ายจะไม่สร้างให้เกิดอะไรต่อทั้งสังคมและวงการแพทย์ด้านจักษุ ส่วนตัวผมยกย่องคนเป็นหมอทุกคนว่ามีจิตใจดีครับ ความรู้ของท่านรักษาชีวิต หรือ เยียวยาให้ดีขึ้นได้ บุญกุศลนั้นมากมายนัก ประเด็นจะจบลงอย่างไร คงไม่มีใครสรุปหรือให้คำตอบได้ แต่ผมอยากเห็นทุกคนหันหน้าเข้าหากันเพื่อสร้าง มากกว่าเพื่อมุ่งทำลาย เพราะบทสรุปที่มีประโยชน์มันทำให้โลกใบนี้ดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น และจะมีคนที่มีปัญหาด้านการมองเห็น ได้เห็นโลกใบนี้ชัดขึ้น ได้ช่วยกันทำให้มันสดใส หรือ ให้มันไม่แย่ลงไปกว่าเดิม ขอบคุณครับ จากคุณ : ปะการังสีเพลิง เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 02:21:24

ความคิดเห็นที่ 92 ถึงคคห 91 แพทย์ทางเลือกเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องรักษาควบคู่ไปกับวิธีการนี่การรับรองเป็นที่น่าเชื่อถือ อย่างที่คุณว่าจริงๆ แต่พฤติกรรมที่รับไม่ได้ คือการบอกว่าคนไข้เป็นต้อหินทั้งๆที่ไม่ได้เป็น คนเหล่านั้นแค่มีอาการอื่นที่ใกล้เคียง บางอาการไม่เกี่ยวกับต้อหินด้วยซ้ำ และชักชวนมารักษาด้วยวิธีของตน เจตนาคือการโฆษณาด้วยการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนความจริงผ่านกระทู้ต้นเรื่องและ website (ผมก็เป็นคนหนึ่งที่หลงเชื่อคำโฆษณานั้น) มีบางความคิดเห็นบอกว่าหมอ discredit หมอด้วยกันเอง แต่ผมว่าไม่ใช่ ผมว่าเป็นเรื่องของหมอหนึ่งคนกับ "หมอทั้งโลก" ต่างหาก แนะนำให้ย้อนไปที่กระทู้ต้นเรื่อง ดูการกระทำการโฆษณาของเหล่าหน้าม้า ที่ออกมาเตี๊ยม เเถ ชงเรื่องสิครับ แล้วคุณจะเข้าใจ 100% แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 52 09:50:23 จากคุณ : ReMind Me เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 09:47:36

ความคิดเห็นที่ 93   ผมเชื่อมั่นในการสืบสวนของผมว่าถูกต้อง แต่เมื่อบางคนยังแคลงใจบางประเด็น สืบต่ออีกนิดคงไม่เสียเวลา(และสตางค์)อีกสักเท่าไร ผมจึงได้โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมมาให้ และส่วนใหญ่ก็ยังให้ความร่วมมือดี หรือถ้าใครยังสงสัยในข้อมูลอีก อย่ามาโต้แย้งผม สาวไปที่ต้นตอผ่านผู้ป่วยเหล่านั้น และทำใจกล้าๆให้พร้อมที่จะเผชิญความจริง โทรเข้าไปสอบถามผู้ป่วยเหล่านั้นด้วยตัวเองเลย ทุกคนน่ารักและยินดีให้ความร่วมมือดีมาก เมื่อยิ่งสืบลึกลงไปอีก กลับกลายเป็นว่า หมอสมเกียรติ กำลังปิดทองหลังพระอยู่ครับ ประเด็นแรก ที่บอกว่าผู้ป่วยอาการดีขึ้น เกือบทั้งหมดไม่ใช่หมอสมเกียรติบอก แต่เป็นตัวผู้ป่วยเองที่เห็นการเปลี่ยนแปลงดีขึ้น ประกอบกับจักษุแพทย์ที่รักษาเขาอยู่เดิมเป็นผู้บอก และที่ผมแปลกใจยิ่งขึ้นก็คือ ทั้งหมดเป็นผู้ป่วยโรคต้อหินของจักษุแพทย์ท่านอื่นที่อาการหนักจนตาบอดแล้ว หรือใกล้บอด หรือโรคกำลังเลวลงแทบทั้งสิ้น ก่อนที่จะแอบไปรักษากับหมอสมเกียรติ ในขณะที่ยังรักษาติดตามอาการอยู่กับจักษุแพทย์เดิมอยู่ ประเด็นเรื่อง ผู้ป่วยที่รักษากับหมอสมเกียรติเป็นคนงมงาย ขาดการศึกษา เลยตกเป็นเหยื่อ จากการโทรคุย ผมว่าเขาไม่งมงายหรอกครับ แต่เขากลัวตาบอด และจากตัวอย่างทั้ง 9 ราย ล้วนมีการศึกษาและประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควร ไม่น่าที่หมอสมเกียรติจะไปหลอกเขาได้ หรือคุณกาญจนาที่เป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ลองค้น Google ดู เขาก็ทำงานขลุกอยู่กับงานวิจัยและกับนักวิจัยระดับชาติทั้งสิ้น ประเด็นเรื่องที่ว่า ถ้าดีจริงรักษาได้จริง ก็ทำไมไม่ทำวิจัย จะได้ดังระดับโลกไปเลย ประเด็นนี้ ผมก็ข้องใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมหมอเขาถึงไม่ทำวิจัย ทั้งๆที่เมื่อผมเปิดเข้าไปในเว็บต้อหินของเขา ก็พบคำแถลงในหน้าแรก ดังนี้ “ ผมยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับสถาบันวิจัย ที่พร้อมและกระตือรือร้นที่จะทำวิจัยในเรื่องนี้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปก่อนที่จะเผยแพร่ในวงกว้าง เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคต้อหินทั่วประเทศและทั่วโลกในขั้นตอนต่อไป “ และจากการซักถามจนได้ข้อมูลลึกๆจากบางท่าน โดยเฉพาะคุณกาญจนาที่อยู่ในวงการวิจัย ซึ่งท่านก็อยากจะให้มีการวิจัยในเรื่องนี้เช่นกัน เพื่อว่าจะได้นำไปใช้ประโยชน์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยอื่นๆได้อย่างเปิดเผย ก็พบเรื่องน่าแปลกใจเข้าไปอีก กลายเป็นว่า หมอสมเกียรติเคยดำเนินเรื่องที่จะขอทำวิจัยอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนสาเหตุเพราะอะไร ผมว่าใครอยากรู้ โทรเข้าไปคุยกับผู้ป่วยเองดีกว่า ปัญหามันซับซ้อนเหมือนคดีคุณสนธิถูกลอบยิงเลยครับ จากคุณ : นักสืบเก่า เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 12:25:52 A:58.9.8.34 X: TicketID:215064

ความคิดเห็นที่ 94   นักสืบพันทิพย์ มาปิดสำนวนครับ นาวาโทบุญสิทธิ์ ฝากบอกมาว่า คนที่โทรไปแล้วไม่กล้าพูด โทรกลับก็ไม่ยอมรับสายอีก ท่านบอกว่าไม่ต้องกลัว ยินดีรับฟังข้อคิดเห็น ท่านเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าอะไรหรอกครับ ( คุณกาญจนาท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ท่านไม่สะดวกครับ ) เรื่องมาตรฐานการรักษาโรคต้อหิน คุณหมอวิวัฒน์ งามเกียรติ ไพศาล ฝากบอกมาว่า ท่านซื้อความเชื่อเรื่องมาตรฐานการรักษาด้วยการสูญเสียตา 1 ข้าง ฉะนั้น เมื่อตาอีกข้างกำลังแย่ลงและได้รับการแนะนำให้ผ่าตัด ท่านจึงตัดสินใจปฏิเสธการผ่าตัดและเข้ารับการรักษาด้วยการนวดตาจนอาการดีขึ้นแล้ว จาก คห 2 “ที่สำคัญ คนๆนี้เคยถูกแพทยสภาตรวจสอบ และขอให้ลบข้อความใน website ดังกล่าวแล้ว เนื่องจากไม่มีการศึกษาวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่ารักษาได้จริงรวมทั้งอาจเกิดผลเสียต่อผู้ป่วยหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง แต่เนื่องจากเหตุการณ์ผ่านมานานแล้ว คนๆนี้จึงได้นำข้อความมาเผยแพร่อีก “ เราได้ตรวจสอบไปยังฝ่ายร้องเรียนและจริยธรรมของแพทยสภาแล้ว ไม่ประกฎว่ามีกรณีดังกล่าว นักสืบพันทิพย์ เรามาตามการเรียกร้องของเจ้าของกระทู้ เราสืบไปตามข้อเท็จจริงที่สามารถเจาะเข้าไปได้ และไม่จำเป็นต้องถูกใจเจ้าของกระทู้เสมอไป หากไม่ถูกใจก็ขออภัย ลาก่อน แล้วพบกันใหม่เมื่อสังคมเรียกร้อง จากคุณ : นักสืบเก่า เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 14:39:23 A:161.200.255.162 X: TicketID:215064

ความคิดเห็นที่ 95 มีอาการตาแดง เคืองตาเสมอๆ เป็นทุกวันจนรำคาญ วันนึงต้องหยอดตาแก้แพ้วันละ 10 กว่าครั้งได้ จึงไปติดต่อที่รพ.แห่งหนึ่ง หมอจักษุบอกว่าเป็นต้อหินและมีความดันตาสูง ประสาทตาข้างขวากำลังเริ่มถูกทำลาย (มีตรวจลานสายตา+ขั้วประสาทตา) หมอไม่แนะนำให้ทำ ให้ยามาหยอดได้ 2 เดือนแล้ว แต่มีอาการแพ้ยาหยอดแล้วตาแดง แต่หมอบอกเป็นตัวยาที่อ่อนที่สุดแล้วนะ ลองไปหาหมอที่กำลังเป็นประเด็นอยู่นี้ (รพ.แห่งที่2) หมอไม่ได้ตรวจอะไรมาก แค่ขยายม่านตา แล้วส่องดูตา แล้วมองผ่านเครื่องวัด แล้วบอกว่าประสาทตาหายไปประมาณ 50% นี้แหละ เป็นต้อหินแบบความดันตาปกติ สรุปหมอท่านทั้ง 2 รพ.บอกไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ หมอสอนนวดตา กลับมานวดตาได้ 2 วัน แต่ยังหยอดตาหมอของหมอเดิมอยู่ ปรากฎว่าตาเลิกแดง และตาสู้แสงได้ แต่ไม่รู้ว่าต้อหินจะดีขึ้นมั้ย?? ประสาทตาจะแย่ลงมั้ย??? หลังจากอ่านกระทู้นี้เครียดนิดนึง แต่คิดว่าจะพยายามไปหาหมอแห่งที่ 1 และที่ 3 ควบคู่ไปกับการนวดตา แต่อาจจะนวดไม่บ่อย ถึงแม้รู้สึกว่านวดแล้วจะดีขึ้นมาก ไม่มีปัญหาตาแดงและเคืองตา อีกเลย แปลกจังเลย เป็นบุญที่ประเทศไทยเรามีหมอมากความสามารถเต็มไปหมด บางทีนวดตาอาจเป็นการรักษาทางเลือกเสริมนะคะ Ps ไม่ได้เป็นหน้าม้านะคะ แค่อยากระบายจริงๆ อาจกระทู้แล้วเครียดน่ะค่ะ จากคุณ : penny_b เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 15:50:35

ความคิดเห็นที่ 96 ผมอยากจะรู้ในประเด็นของกท.นี้ที่ว่า "คนไข้ไม่ได้เป็นต้อหิน แล้วไปวินิฉัยว่าเป็นต้อหิน ได้อย่างไร" กับประเด็นที่ว่า "ใช้คอมนานมากแล้วจะเป็นเป็นต้อหิน" จริงหรือป่าว ส่วนเรื่องรักษาได้ ไม่ได้ มันไม่ใช่ในประเด็นในกท.นี้เลย ช่วนถกกันให้ตรงประเด็นด้วย จากคุณ : อยากรู้ (bvy) เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 52 18:08:46

ความคิดเห็นที่ 97 การแจ้งคนไข้ว่าเป็นต้อหิน แต่จริงๆไม่ได้เป็น ถือว่าผิดจรรยาบรรณแพทย์แน่นอนค่ะ ส่วนต้อหิน โดยส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีจากหลายสาเหตุนะคะ คนต่างจังหวัด ที่ไม่ใช้คอมยังเป็นเลย จากคุณ : penny_b เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 52 11:43:50

ความคิดเห็นที่ 98 มี หลังไมด์มาให้โหวตด้วย แต่ไม่เคยเข้าไปอ่าน อืม........... จากคุณ : แก้วหนึ่งใบกับเบียร์สองขวด เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 52 17:26:52

ความคิดเห็นที่ 99 สรุปคืออะไรหรอครับผม เข้ามาอ่านหาความรู้ก็งงๆ ว่าสรุปอะไรครับ จริงไม่จริง ยังไงอะไร ครับ ครอบคุณครับ จากคุณ : MzZzZzZ (tstevy1a) เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 00:01:56

ความคิดเห็นที่ 100 เฮ้อ..... ได้รับ FW เรื่องการใช้คอมฯ มากเสี่ยงต่อการเป็นต้อหิน แล้วได้เจอเรื่องประมาณนี้ในกระทู้แนะนำพันทิพ บอกตามตรงว่า "ไม่เชื่อ" เพราะอะไรเหรอคะ ...เพราะตัวเองเป็นวุ้นในตาเสื่อม+สายตาสั้น+สายตาเอียง เป็นมานานแล้วด้วยค่ะ อาการที่บอกว่า "เสี่ยงเป็นต้อหิน"  มีกะเค้าด้วยสิเอ้า ส่วนเรื่องการนวด... "หมอนวดแผนโบราณ" เนี่ยแหละค่ะ ทุกครั้งที่ไปนวดเค้าจะมีการนวดกดจุด ตาสว่างขึ้นมาทันที แถมหมอนวดยังแนะนำว่า ตาแห้ง น่าจะพักผ่อนมากๆ อย่าดูโทรทัศน์ หรือใช้คอมพิวเตอร์เยอะ  พักสายตาบ้างถ้าอ่านหนังสือแยะ แค่นี้ ก็พอค่ะสำหรับหลายๆ อาการที่บอกว่า "เสี่ยงเป็นต้อหิน" ไม่ได้คัดค้านวิถีการรักษาแบบใดๆ เพราะหลายคนสามารถเชื่อมั่นในวิถีของ"ตนเอง" แต่เราเชื่อในสิ่งที่สามารถจับต้องได้ สามารถพิสูจน์ออกมาได้อย่างชัดเจน การแพทย์ทางเลือกหลายอย่างที่เรายอมรับ เพราะมี "ข้อพิสูจน์" ที่ชัดเจนและไม่ขัดแย้งกับความรู้พื้นฐานทั่วไปที่สามารถหาข้อมูลได้ แต่สำหรับกรณี "ต้อหิน" นี้ ในความเห็นส่วนตัว มันเลื่อนลอยเกินไป อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นนะคะ ไม่ได้เถียงเรื่องการนวดตาแล้วทำให้รู้สึกดีขึ้น เพราะเราก็รู้สึกแบบนั้น เพียงแต่ไม่ได้มาจากหมอคนนั้น แล้วเราใช้การนวดกดจุด ทั้งด้วยตัวเองและหมอนวดไทย มานานมากแล้ว เราเชื่อในเรื่องการพักผ่อน การพักสายตา การกินที่ถูกต้อง และการรับรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นอะไร เพียงแค่ "อย่าตระหนก" จนเกินควร ความรู้สมัยนี้หาง่ายค่ะ การจะหาความรู้มาประกอบการพิจารณาเรื่องใดๆ สักเรื่อง หาง่ายมากจากหลายๆ แหล่ง กรณีนี้ ถ้าไม่อยาก search จากอินเตอร์เนท  ก็เข้าห้องสมุดดูได้ค่ะ "งานวิจัย" มีเยอะแยะและสามารถ "พิสูจน์" ได้ "ผลงานการวิจัย" ควรจะระบุไว้ด้วยว่า *เป็นการวิจัยจากแหล่งข้อมูลใด และใช้กลุ่มตัวอย่างแบบไหน จำนวนเท่าไหร่* แล้วตัวเองก็ต้องประมวลผลตามไปด้วยว่า "ตัวเองเชื่อ" ในสิ่งที่เห็นมากน้อยแค่ไหน ยาวและ  ไม่ใช่หมออีกต่างหาก เป็นแค่พวกชอบอ่านงานวิจัยในทุกๆ สาขาวิชาชีพ เป็นแค่พวกบ้าเล่นเกมส์ บ้าเล่นเนต เรียนสาขาคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ยังวัยรุ่น เป็นแค่พวกบ้าดูซีรีย์ได้เป็นวันๆ แค่สามบ้าเนี่ย ก็ทำร้ายสายตาได้แล้วค่ะ อ้อ..แต่ไม่ได้บอกนะคะว่าไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็น "ต้อหิน" เพียงแต่ไปตรวจมาจากหลายสถาบันแล้ว ยังไม่พบว่าตัวเองเป็นอะไรนอกจาก "สายตาสั้นมากขึ้น (แต่ไม่นานคงจะยาวขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ)" "สายตาเอียงมากขึ้น" "ตาแห้ง" และ "วุ้นในตาเสื่อม" ปล.เป็นกำลังใจให้แพทย์ดีๆ ทุกท่านที่ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ใน "เวบบอร์ดสาธารณะ" ค่ะ  ขอบคุณค่ะ จากคุณ : T.Kirati เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 04:43:13

ความคิดเห็นที่ 101 แปลกดีเหมือนกัน นับตั้งแต่รายงานปี 2004 แล้ว ก็ไม่มีใครศึกษาผลกระทบของการใช้คอมพิวเตอร์กับต้อหินอีกเลย รายงานปีนั้นสรุปว่า อาจจะ เกี่ยวข้องกัน แต่รายงานชิ้นนี้ความน่าเชื่อถือค่อนข้างต่ำ เพราะเป็นการศึกษาที่จุดหนึ่งของเวลาแล้วย้อนกลับไป เป็นไปได้ไหมว่า การเล่นคอมพิวเตอร์นานๆ ทำให้เกิดการปวดตาจากการใช้สายตามากเกินไป ทำให้ผู็ป่วยไปหาจักษุแพทย์เร็ว และทำให้เจอต้อหินที่ซ่อนอยู่ซึ่งจริงๆแล้ว มันยังไม่มีอาการ ถ้าเอามาประชุมวิชาการ รายงานชิ้นนี้คงโดนสับกระจุยละมั้งครัย จากคุณ : Nighthawk121 เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 01:59:45