 |
เอามาฝากครับ ข้อมูลน่ารู้ การออกกำลังกายเพื่อลดไขมันในร่างกายด้วยวิธีใด?? จึงจะได้ผลดีที่สุด
|
|
การออกกำลังกายเพื่อลดไขมันในร่างกายด้วยวิธีใด?? จึงจะได้ผลดีที่สุด ..................ข้อกล่าวอ้างถึงความสำคัญของการออกกำลังกายเปรียบเทียบกับการกินอาหารเพื่อรักษาสุขภาพมีว่า
..ผู้ที่ต้องการมีสุขภาพดีทั้งหลายจำเป็นจะต้องมีการกินอาหารและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ถูกต้องเหมาะสมควบคู่กับการออกกำลังกายหรือบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ หากยังไม่พร้อมที่จะกระทำหรือปรับเปลี่ยนได้ทั้งหมด พบว่าการได้ออกกำลังกาย เล่นกีฬาหรือบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ โดยยังไม่สามารถจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารและดำเนินชีวิตที่ถูกต้องเหมาะสมได้ ก็ยังจะดีเสียกว่า การได้กินแต่อาหารดีๆ มีความเป็นอยู่อย่างสะดวกสบายโดยไม่ได้ออกกำลังกายหรือบริหารร่างกายเลย .....................ตามข้อมูลสถิติการวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านพัฒนาการของชีวิตคนเรา พบว่าเมื่อร่างกายเจริญเติบโตสูงสุดเต็มวัยแล้ว (หญิง 21 ปี / ชาย 24 ปี) ช่วงชีวิตหลังจากนั้นต่อมาเป็นระยะเวลาประมาณ 20 ปี ซึ่งเป็นช่วงของวัยผู้ใหญ่หรือวัยกลางคน ในทุกๆ10 ปีที่ผ่านไป คนเราจะต้องสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปเฉลี่ย 2.5 กิโลกรัม โดยจะมีเนื้อเยื่อไขมันสะสมเพิ่มขึ้นทดแทนประมาณ 8 กิโลกรัม จึงเป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะมากหรือน้อย เร็วหรือช้าแตกต่างกันไปในและบุคคล จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราทุกคนจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และวิธีการในการดำรงชีวิตอยู่อย่างเหมาะสมพอดีพอควรที่จะควบคุมให้มีการสูญเสียมวลของกล้ามเนื้อและมีการสะสมของไขมันส่วนเกินเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด ....................วิธีลดไขมันส่วนเกินนี้ถ้าไม่นับการดูดไขมันโดยวิธีทางศัลยกรรมแล้ว การทำให้กล้ามเนื้อได้ออกกำลังหรือ ทำงานในระดับเบาๆ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานประมาณ 1 ชั่วโมงขึ้นไป ถือเป็นกระบวนการที่จะช่วยให้ร่างกายได้นำเอาสารไขมันไปใช้ประโยชน์เป็นแหล่งพลังงานของกล้ามเนื้อได้มากที่สุด เกี่ยวกับความสำคัญในเรื่องนี้จึงขอนำเสนอความรู้พื้นฐานการใช้พลังงานของกล้ามเนื้อแบบย่อ ๆ พอให้เข้าใจ คือ.......... ตามปกติกล้ามเนื้อจะสร้างพลังงานเพื่อใช้ในการหด - ยืด - และคลายตัวจากปฏิกริยาชีวเคมีโดยสารอาหารต่างๆดังนี้
[1] สาร ATP (Adenosine triphosphate) และ Creatine phosphate สารทั้งสองตัวนี้จะมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญเป็นโปรตีนที่กล้ามเนื้อสามารถเก็บสะสมไว้ได้ เป็นสารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางชีวเคมีในเซลล์กล้ามเนื้อได้อย่างรวดเร็วมาก โดยจะมีการสลายตัวด้วยปฏิกิริยาชีวเคมีแบบ ไม่ใช้ออกซิเจน เป็นพลังงานลำดับแรกสุดเพื่อใช้ในการหดตัวของกล้ามเนื้อ ตามธรรมชาติของคนเราสารดังกล่าวนี้ถูกเก็บสะสมไว้ในเซลล์กล้ามเนื้อปริมาณน้อยมาก ว่ากันว่าถ้ากล้ามเนื้อจะใช้เฉพาะสารทั้งสองชนิดนี้ในการสร้างพลังงาน กล้ามเนื้อจะสามารถหดและคลายตัวได้เพียงระยะเวลาที่สั้นมากๆ แค่ประมาณ 20 วินาที เท่านั้น ก็ใช้หมดแล้ว [2] กลัยโคเจน (glycogen) เป็นสารประกอบเชิงซ้อนในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ที่ร่างกายเก็บสะสมไว้ในบริเวณใยกล้ามเนื้อและตับ ถือเป็นสารให้พลังงานที่สำคัญมากที่สุดต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกรณีที่กล้ามเนื้อมีความต้องการใช้พลังงานในปริมาณมากๆ โดยมีอัตราความต้องการพลังงานต่อหน่วยสูงๆในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น การวิ่งแข่ง การว่ายน้ำแข่งขันที่ต้องใช้ความเร็วในระยะสั้น เซลล์ของตับและกล้ามเนื้อจะทำการสลายสารกลัยโคเจนที่เก็บสะสมไว้ โดยใช้ปฏิกิริยาชีวเคมีแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Glycolysis ) ซึ่งจะสามารถให้พลังงานแก่กล้ามเนื้อได้ทำงานอย่างเต็มที่ประมาณ 2 นาที แล้วค่อยๆลดลงเรื่อยๆ จนหมดในช่วงระยะ 5 6 นาที โดยร่างกายจะเกิดความปวดเมื่อย อ่อนล้าตามมาเพราะปฏิกิริยาชีวเคมีแบบไม่ใช้ออกซิเจนจะทำให้มีกรดแลกติก (Lactic acid) สะสมคั่งค้างเป็นพิษอยู่ภายในกล้ามเนื้อจำนวนมาก ตรงกันข้ามกับการออกกำลังกายแบบที่กล้ามเนื้อต้องใช้พลังงานต่อหน่วยไม่สูงมากนัก ในระยะเวลาต่อเนื่องนานๆ เช่น การเดินเร็วๆ วิ่งแบบจ๊อกกิ้ง เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ฯ เซลล์กล้ามเนื้อจะใช้ปฏิกิริยาชีวเคมีแบบที่ต้องใช้ออกซิเจน ซึ่งจะทำให้ได้รับพลังงานที่มากกว่าอย่างต่อเนื่องกัน โดยจะไม่มีการสะสมของกรดแลกติก กล้ามเนื้อจึงสามารถทำงานได้เป็นระยะเวลานานกว่าและเกิดความปวดเมื่อย อ่อนล้าน้อยกว่า [3] สารไขมัน ได้แก่ กรดไขมันและไขมันไตรกลีเซอไรด์ (free fatty acid and triglyceride) ซึ่งจะสะสมเป็นส่วนใหญอยู่ในเซลล์เนื้อเยื่อไขมัน มีเป็นส่วนน้อยสะสมอยู่ในเซลล์เนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อ เป็นสารที่ช่วยให้พลังงานแก่กล้ามเนื้อที่สำคัญมากรองจากกลัยโคเจน โดยปฏิกิริยาชีวเคมีแบบต้องใช้ออกซิเจน ซึ่งสามารถจะสลายตัวให้พลังงานได้มากกว่าสารพวกคาร์โบไฮเดรตถึงกว่า 10 เท่า แต่มีข้อเสียที่สำคัญคือ ปฏิกิริยาชีวเคมีในการสลายตัวสารดังกล่าว จะมีอัตราการสร้างพลังงานต่อหน่วยเวลาค่อนข้างช้ากว่าเมื่อทียบกับสารคาร์โบไฮเดรต คือ สามารถจะให้พลังงานแก่กล้ามเนื้อทำงานได้ประมาณช่วง นาทีที่ 5 6 เป็นต้นไป การทำงานของกล้ามเนื้อแบบที่ต้องใช้พลังงานจากการสลายตัวของสารไขมันนี้ ได้แก่ การออกกำลังแบบเดินเร็วๆ การวิ่งแบบจ๊อกกิ้ง การเต้นแอโรบิก การว่ายน้ำแบบต่อเนื่อง ขี่จักรยาน กิจกรรมเข้าจังหวะ การขยับแขนขาเป็นจังหวะในท่ากายบริหารเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่องกัน การบริหารร่างกายรูปแบบต่างๆ เช่น โยคะ ชี่กง ไท้เก็ก เป็นต้น รวมทั้งการประกอบอาชีพการงานและการทำงานบ้านประเภทต่างๆ ที่ต้องใช้เวลาต่อเนื่องกัน
งานวิจัยในคนเราเกี่ยวกับการทำงานของกล้ามเนื้อ พบว่า
ถ้ากล้ามเนื้อมีการทำงานอย่างเต็มที่สูงสุด 100 % กล้ามเนื้อจะใช้พลังงานที่ได้จากสาร ATP , creatine phosphate และจากขบวนการสลายสารกลัยโคเจนแบบไม่ต้องใช้ออกซิเจนเป็นหลัก โดยจะไม่มีการสลายไขมันเพื่อการสร้างพลังงานเลย ถ้ากล้ามเนื้อมีการทำงานประมาณ 80 % ของความสามารถสูงสุด กล้ามเนื้อจะใช้พลังงานจากปฏิกิริยาการสลายไขมันเพียง 25 % เท่านั้น ถ้ากล้ามเนื้อทำงานประมาณ 60 % ของความสามารถสูงสุด กล้ามเนื้อจะใช้พลังงานจากปฏิกิริยาการสลายไขมันและคาร์โบไฮเดรตในปริมาณเท่า ๆ กัน คือ 50 % และที่น่าสนใจมากก็คือ ถ้ากล้ามเนื้อมีการทำงานเพียง 25% ของความสามารถสูงสุด โดยต้องใช้เวลาในการทำงานมากกว่า 60 นาทีขึ้นไป กล้ามเนื้อจะใช้พลังงานจากปฏิกิริยาการสลายไขมันได้มากถึง 80 % และ เกือบทั้งหมดเป็นการได้พลังงานมาจากการสลายไขมันที่สะสมอยู่ภายนอกเซลล์กล้ามเนื้อ ..................ดังนั้นถ้าต้องการจะลดปริมาณของไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คงต้องหากิจกรรมที่มีการทำงานของกล้ามเนื้อที่ไม่หนักจนเกินไปนักคือ อยู่ที่ประมาณ 20 30 % ของความสามารถสูงสุดที่กล้ามเนื้อจะทำงานได้อย่างเต็มที่ เช่น การเดินเร็วๆ วิ่งจ๊อกกิ้ง เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำแบบต่อเนื่อง ขี่จักรยาน กิจกรรมเข้าจังหวะ การขยับแขนขาเป็นจังหวะในท่ากายบริหารเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่องกัน การบริหารร่างกายรูปแบบต่างๆ เช่น โยคะ ชี่กง ไท้เก็ก รวมทั้งการประกอบอาชีพการงานและการทำงานบ้านประเภทต่างๆ โดยมีข้อสำคัญที่สุดคือ จะต้องทำกิจกรรมเหล่านั้นต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไปทุกๆ วันอย่างสม่ำเสมอ ไขมันส่วนเกินจึงจะถูกใช้ไปเรื่อยๆ รูปร่างที่เคยดูดีก็จะกลับคืนมาดังเดิม แต่ทั้งนี้ก็มิใช่ว่าจะใช้เวลาเพียงแค่ชั่วข้ามวันคืนเท่านั้น คงต้องใช้เวลาเป็นเดือนจึงจะเห็นผลได้อย่างชัดเจน และจะยิ่งเห็นผลเร็วมากขึ้นไปอีก ถ้าจะมีโปรแกรมการควบคุมอาหารที่เหมาะสมรวมอยู่ด้วย .................อนึ่ง กิจกรรมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่นิยมกันทั่วๆไปไม่ว่าจะเป็นการวิ่งจ๊อกกิ้ง การเต้นแอโรบิก รวมถึงกีฬาประเภทต่างๆ (รวมทั้งแบดมินตันด้วย) มักจะมีรูบแบบของการใช้กล้ามเนื้อที่ต้องทำงานในขนาดความหนักที่เกินกว่า 50% ขึ้นไป การใช้สารอาหารเพื่อสร้างพลังงานจึงมาจากสารอาหารคาร์โบไฮเดรต (กลัยโคเจน) ที่เก็บสะสมไว้ในกล้ามเนื้อและตับเป็นหลัก โดยจะมีการใช้ไขมันที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อไขมันภายนอกกล้ามเนื้อน้อยกว่ากิจกรรมของกล้ามเนื้อที่มีขนาดความหนักประมาณ 20 30% และยังพบอีกว่า ภายหลังจากออกกำลังกายแล้วร่างกายจะปรับสมดุลให้มีขบวนการสร้างและเก็บสะสมสารอาหารไว้ในกล้ามเนื้อและตับ เพื่อให้กลับมามีสภาพเหมือนเดิมอีก ผลที่ตามมาของกระบวนการดังกล่าวนี้ก็คือ จะทำให้มีความรู้สึกอยากกินอาหารเพิ่มมากขึ้นภายหลังจากออกกำลังกายแล้ว .................นอกจากนี้การออกกำลังกายบางประเภทที่นิยมกันมาก เช่น การวิ่งแบบจ๊อกกิ้ง การรวมกลุ่มกันเต้นแอโรบิก และการเล่นกีฬาชนิดที่ต้องมีการลงน้ำหนักหรือกระแทกกับพื้นนั้นคงจะไม่เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักเกินในเกณฑ์อ้วนเพราะนอกจากจะต้องออกแรงกล้ามเนื้อเพื่อการวิ่งหรือเต้นอย่างมากและหนักกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ ซึ่งจะทำให้ร่างกายสลายไขมันที่สะสมไว้ได้น้อยแล้ว ยังจะมีโอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อและระบบข้อต่อต่างๆ โดยเฉพาะข้อเข่า ข้อเท้าได้ง่ายกว่า ในที่สุด อาการเมื่อย เหนื่อย ล้า ร้อน หงุดหงิด เบื่อ ขี้เกียจ และหิวก็จะเริ่มเข้ามารบกวน แล้วจะหากำลังใจจากไหนมาช่วยส่งเสริมให้ฮึดสู้ต่อไปได้ สุดท้ายก็เลิก ..................มีข้อสังเกตว่าตามร้านอาหารที่มีคนเข้าเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ ราดหน้า ก๋วยเตี๋ยว หรือร้านซีฟู้ด ร้านข้าวต้ม ฯลฯ สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ก็คือ พนักงานที่ทำหน้าที่ในการเสริฟอาหาร เก็บถ้วยชาม จะหาคนที่มีรูปร่างอ้วนได้น้อยมาก ถ้าเห็นคนอ้วนก็มักจะเป็นเจ้าของร้านหรือพ่อครัวแม่ครัวเป็นส่วนใหญ่ หรือแม้แต่คนรับใช้ในบ้านก็เช่นกัน กลุ่มคนเหล่านี้เขากินอาหารเป็นเวลา ซึ่งแต่ละมื้อนั้นกินปริมาณมากพอสมควร แต่ด้วยลักษณะงานที่ทำต้องเคลื่อนไหวโดยใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อ แขน ขา อย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมงและทำอยู่ก็เป็นกิจวัตรประจำวัน นี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากและเห็นผลได้อย่างแท้จริง น่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาหรือโปรโมชั่นในรูปแบบต่างๆที่มีออกมาตามสื่อทั้งหลาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าไม่อยากอ้วนก็ต้องทำตัวเป็นเด็กรับใช้หรอกนะ เพียงแค่นำเอาลักษณะการทำงานของกลุ่มคนเหล่านี้มาปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันของตนเอง ก็คงจะเป็นการช่วยส่งเสริมให้มีร่างกายที่สมส่วนรวมไปถึงการมีสุขภาพที่ดีได้เช่นกัน
..................นำมาโพสต์ลงไว้ให้อ่านกัน เห็นว่าข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์ อาจจะเป็นด้านวิชาการบ้างและยาวไปสักหน่อย แต่ถ้ามีความสนใจในเรื่องสุขภาพอยู่แล้วก็คงจะชอบนะครับ อยากอ่านข้อมูลดีๆที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ก็โพสต์ตอบ บอกความต้องการมาได้ ยินดีจะนำมาโพสต์ลงให้ได้อ่านกันเป็นระยะๆครับ
ข้อมูลด้านสุขภาพ โดย หมออั๊ง (ภทร)
เครดิต คุณหมออั๊ง แห่งเวป ไทยแบดมินตั้นครับ http://www.thaibadminton.com/main/modules/newbb_plus/viewtopic.php?topic_id=9923
ส่วนตัวผม ชอบตีเเบดเป็นชีวิตจิตใจ อยู่เเล้ว ครับ อาหมอเขียนใว้นานเเล้ว นึกได้เลย เอามาฝากครับ
จากคุณ |
:
jokto
|
เขียนเมื่อ |
:
31 ส.ค. 52 13:28:43
|
|
|
|  |