มาสะกดจิตตัวเองเพื่อลดน้ำหนักกันดีกว่าค่ะ
|
|
ความยากของการลดน้ำหนักอยู่ที่จิตใจจริงมั๊ยคะ หากเราควบคุมจิตใจเราได้ เราก็จะควบคุมอย่างอื่นได้ นอกจากการปรับพฤติกรรมการกินแล้ว เราก็ควรบวกการปรับจิตใจของเราไปด้วยพร้อมๆ กัน โดยเริ่มจากการ
1.ยอมรับตนเองให้ได้ก่อนว่าตอนนี้ชั้นอ้วนเกินไปแล้ว และชั้นกำลังจะผอม ลง ชั้นจะอดทน และชั้นจะไม่สนใจต่อสายตา คำพูดของคนอื่นเกี่ยวกับรูป ร่างของชั้นเป็นอันขาด
2.ทำความเข้าใจและยอมรับกลไกของร่างกาย และวัฏจักรการลดน้ำหนัก และการกลับมาอ้วนใหม่ ว่าสามารถเกิดขึ้นได้ไม่รู้จบ ต้องทำใจและ พยายามมองให้เป็นเรื่องธรรมดา อย่าคิดว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเมื่อ น้ำหนักเพิ่มขึ้นซักขีด และอย่าเครียดกับมันจนเกินไป
3.กำหนดวันเริ่มต้นตามแผนการลดน้ำหนัก เป้าหมายที่ต้องการ (จำนวน กิโล) กำหนดวันสิ้นสุด รวมทั้งโปรแกรมอาหารให้เหมาะสมกับสภาพจิต ของแต่ละคน เช่นหากมั่นใจแล้วว่าเป็นคนหักดิบไม่ได้ มั่นใจว่าตบะแตก แน่ๆ มั่นใจว่าไม่สามารถเลิกกินอาหารประเภทนี้ได้ตลอดชีวิต ก็ไม่ควร หยุดกินมัน!!
4.ทำสมาธิตั้งมั่น บอกตัวเองหลังตื่นนอนทุกเช้าและบ่อยๆ ว่า "ชั้นกำลังจะ ผอมๆๆ"
5.จากข้อ 3 หากคุณอยากจะเลิกกินอะไรซักอย่างที่คิดว่าต้องเลิกให้ได้ หรือกำลังจะซื้อหรือคว้าสิ่งนั้นให้จ้องมองมันแล้วพูดกับตัวเองว่า "ชั้น เกลียดแกๆๆๆ แกทำให้ชั้นอ้วนๆๆ ชั้นไม่เห็นอยากจะกินแกซักหน่อย" แล้วก็เดินจากมาอย่างไม่ลังเล (เราทำสำเร็จกับการเลิกกินขนมกรุบกรอบ ทั้งหลาย ตอนนี้ขนมที่กินอยู่มีแค่สองประเภทคือplain cracker และ ถั่ว) ทำบ่อยๆแล้วความอยากเวลาเห็นมันจะหายไป
6.เวลาของเหลืออย่าเสียดาย ถ้าไม่เก็บไว้มื้อต่อไป ก็สั่งมาทานแต่น้อย ขอ ลดปริมาณข้าวลง บอกตัวเองว่าถ้าชั้นเสียดายและต้องกินมันให้หมด สุด ท้ายชั้นก็จะมานั่งเครียดและรู้สึกผิดว่าตัวเองกินเยอะเกินไป
7.หากอดไม่ไหวอยากทานขนม ทานไปเลยค่ะ แต่เอาแค่หายอยาก อย่า เพลิน ต้องบังคับใจตัวเองให้ได้ บอกกับตัวเองว่า "ชิ้นเดียวพอแล้วๆ ชั้นไม่ อยากมานั่งรู้สึกผิดและคิดว่าตัวเองล้มเหลวอีกแล้ว"
8.นั่งเขียนไดอารี่เกี่ยวกับการลดน้ำหนักของตัวเองทุกวัน รวมทั้งความรู้สึกที่ เกิดขึ้นทุกขณะ บอกกับตัวเองว่าถ้าชั้นผอมกว่านี้ชีวิตชั้นจะดีขึ้น เป็นการ ให้กำลังใจตัวเอง
9.พฤติกรรมการกินก็เป็นความเคยชินที่เป็นนิสัยรูปแบบหนึ่งของคนเรา เช่น ชอบทานของหวานหลังมื้ออาหาร ชอบอดอาหารเช้าแล้วทานมื้อหนักตอน ค่ำ หรือชอบทานข้าวเยอะกับข้าวน้อยๆ หากเราสามารถปรับพฤติกรรมให้ เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตและแนวทางตามหลักการลดน้ำหนักอย่างถูก วิธี ยาวนานติดต่อกันเกิน 21 วัน พฤติกรรมนั้นก็จะกลายเป็นนิสัยเราไป โดยปริยาย เรื่องการทานของหวานหลังมื้ออาหารเป็นตัวอย่างที่ดี ที่ตอนนี้ เราเลิกนิสัยนั้นไปแล้ว โดยหาตัวทดแทนเป็นไดเอ็ตโคล่าหากอยากทาน ของหวานจิงๆ
10.เราไม่เห็นด้วยกับการ "อด" อาหาร หรือตัดขาดอาหารที่คิดว่ายังไงชีวิตนี้ก็ต้องกินมันอยู่ดี เพราะเราว่าเราจะโหยมันและกินมันหนักกว่าเดิมหลังจากลดน้ำหนักได้แล้ว แถมกลับมาด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รายละเอียดเกี่ยวกับกลไกการทำงานของร่างกายในเรื่องนี้ คุณสามารถหาอ่านได้ทั่วไปตามหนังสือ หรือเวบไซต์ แม้แต่ในพันทิบนี้
11.จากข้อข้างบน หลายคนอาจจะทราบดีอยู่แล้วแต่เป็นเพราะ "ความใจร้อน" และรับไม่ได้กับ"สภาพ"ที่ตัวเองมองและคิดว่าคนอื่นมองว่าดูไม่ได้แล้ว (สรุปคือจิตตัวเองบอกตัวเอง) ดังนั้นกลับไปอ่านข้อ 1 อีกรอบ แล้วบอกตัวเองว่า "ใจเย็นๆ" เวลาจะอ้วนก็ไม่ได้อ้วนภายในข้ามคืน ดังนั้นเวลาจะผอม ก็คงเสกให้ลงทันใจไม่ได้เช่นกัน
12.สุดท้ายนี้ อย่าให้เรื่องความอ้วนกลายมาเป็นส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตไปนะคะ ทำใจให้สบาย ปฏิบัติตามแผนที่วางเอาไว้เคร่งบ้างหย่อนบ้างไม่เสียหาย (แต่อย่าบ่อย อิอิ) เทคไทม์ ค่อยเป็นค่อยไป และดำรงนิสัยการกินดีๆ ช่วงที่ลดน้ำหนักให้ได้ตลอดไป หากวันไหนเผลอตามใจสมอง (ไม่บอกว่าตามใจปากนะ เพราะยังไงปากก็ถูกควบคุมโดยสมองอยู่ดี) ก็อย่าคิดว่าเป็นวันโลกแตก วันนี้เผลอไป พรุ่งนี้เอาใหม่ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ชีวิตยังมีเรื่องให้คิดอีกเยอะค่ะ
จบแล้วค่ะ ยาวไปหน่อยขอโทษนะคะ เราขอแนะนำว่า "การนับแคลอรี่" เป็นการลดน้ำหนักที่ทรมานน้อยที่สุดค่ะ เพราะยังสามารถทานของที่ชอบได้ รวมทั้งการไม่ทานมื้อเย็นดึกค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังลดน้ำหนักอยู่นะคะ ส่วนเราขอควบคุมมันให้อยู่กะตัวเองไปนานๆ ก่อนนะคะ ยากพอๆ กันเลย
จากคุณ |
:
crazy apple
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ก.ย. 52 19:36:21
|
|
|
|