Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สเต็มเซลล์ กับ ความงาม ... ดร.นพ. เวสารัช เวสสโกวิท หัวหน้ากลุ่มงานพันธุศาสตร์ระดับโมเลกุล สถาบันโรคผิวหนัง  

น่าสนใจดี .. นำมาฝากกัน ...


สเต็มเซลล์กับความงาม

ดร.นพ. เวสารัช  เวสสโกวิท  
หัวหน้ากลุ่มงานพันธุศาสตร์ระดับโมเลกุล  
สถาบันโรคผิวหนัง  



ความหมายของสเต็มเซลล์  

สเต็มเซลล์  หรือ เซลล์ต้นกำเนิด คือเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวได้เรื่อยๆ โดยไม่มีขีดจำกัด และสามารถเปลี่ยนเป็นเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ ได้หลากหลาย  

ที่มาของสเต็มเซลล์  

สเต็มเซลล์  มีสองประเภท คือ ที่มาจากตัวอ่อน (embryo) หรือมาจากสิ่งมีชีวิตหลังคลอด  

สเต็มเซลล์จากตัวอ่อน ได้มาจากการดึงเอาเซลล์ออกมาจากตัวอ่อนที่มีอายุเพียงไม่กี่วัน ดังนั้น การนำเอาสเต็มเซลล์ออกมาจากตัวอ่อนจะต้องมีการทำลายชีวิตของตัวอ่อนดังกล่าว  ในมนุษย์ ตัวอ่อนมักถูกสร้างจากไข่และสเปิร์มของผู้ที่มีบุตรยาก เมื่อฝังตัวอ่อนในมารดาจนได้บุตรเพียงพอแล้ว มักจะต้องทำลายตัวอ่อนที่เหลืออยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นการสร้างตัวอ่อนขึ้นมาเพื่อทำลายโดยตรง  

สเต็มเซลล์ที่มาจากสิ่งมีชีวิตหลังคลอด ได้มาตั้งแต่ทารกเพิ่งคลอด หรือเมื่อคนๆ นั้นเติบโตขึ้น หากเอาจากทารกหลังคลอด ส่วนใหญ่จะเป็นการเอาเซลล์มาจากรก โดยอาจทำการเจาะหลอดเลือดดำในสายสะดือ แล้วนาเซลล์ต้นกำเนิดมาเก็บไว้ หรือได้จากวุ้นที่อยู่ภายในสายสะดือ ที่เรียกว่าวาร์ตัน เจลลี่ (Wharton jelly)

       ส่วนสเต็มเซลล์ที่ได้จากผู้ใหญ่ แต่เดิมจะเก็บจากการเจาะไขกระดูก แต่ในปัจจุบันเราทราบว่าเซลล์ต้นกำเนิดมีในหลายๆ อวัยวะ ดังนั้น สามารถจะเก็บเซลล์ต้นกำเนิดได้ตามอวัยวะต่างๆ เช่น เก็บจากผิวหนัง หรือจากเลือดหลังจากฉีดยาบางอย่างเพื่อให้เซลล์เหล่านี้ออกมาจากไขกระดูก  



การพัฒนาเพื่อใช้ในการรักษาโรค  

เมื่อได้เซลล์ต้นกำเนิดมักได้ปริมาณน้อย จะต้องมาทาการเพาะเลี้ยงในจานเพาะเลี้ยงเซลล์  กระบวนการดังกล่าวมีความยุ่งยากซับซ้อน  บางกรณีจะใช้น้ำเหลืองจากวัวมาผสมในน้ำเลี้ยงเซลล์ ตลอดจนอาจต้องใช้เซลล์พี่เลี้ยงที่เป็นเซลล์มาจากหนู เซลล์เหล่านี้ เลี้ยงยาก ตายง่าย ไม่สามารถเก็บรักษาไว้ในบรรจุภัณฑ์ต่างๆ  

เมื่อได้เซลล์จำนวนมากพอ อาจนำมาใช้รักษาผู้ป่วยได้ ทั้งนี้ส่วนใหญ่เมื่อเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดโดยใช้ยากระตุ้น มักเก็บได้เซลล์ปริมาณมากพอจนไม่จาเป็นต้องนำเซลล์มาเพาะเลี้ยงเพื่อเพิ่มปริมาณก่อนนำไปใช้  

การใช้สเต็มเซลล์ในผู้ป่วย หากเป็นโรคทางโลหิตวิทยามักจะฉีดเซลล์ดังกล่าวเข้าไปทางหลอดเลือดดำของผู้ป่วย แต่การใช้รักษาโรคอื่นๆ มักจะให้ในวิธีการต่างๆ กัน เช่น หากใช้มารักษาแผล อาจนำเซลล์มาปิดไว้ที่ผิวหนัง หากนำมาใช้รักษาโรคตับ  อาจฉีดเข้าไปที่เส้นเลือดดำใหญ่ที่ไปเลี้ยงตับ เป็นต้น  

การใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาโรค  ในปัจจุบัน การรักษามาตรฐานมีเพียงโรคทางโลหิตวิทยาเท่านั้น ส่วนใหญ่ใช้ในการรักษามะเร็งเม็ดโลหิต หรือภาวะโลหิตจากธาลัสซีเมีย


มีการศึกษาวิจัยเพื่อใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาโรคต่างๆ มากมาย อาทิ โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต อย่างไรก็ดี ตราบจนปัจจุบันการศึกษาวิจัยเหล่านี้ไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าการใช้สเต็มเซลล์ก่อให้เกิดประโยชน์ ได้ผลสม่ำเสมอในผู้ป่วยทุกราย

ดังนั้น นอกจากโรคทางโลหิตวิทยา การใช้สเต็มเซลล์เพื่อรักษาถือเป็นการวิจัยทั้งสิ้น โดยการรักษาเหล่านี้ จะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการวิจัยและจริยธรรมฯ ก่อน ว่ามีความเหมาะสมที่จะวิจัย ตลอดจนจะต้องได้รับคำยินยอมจากผู้ป่วยเป็นรายลักษณ์อักษร แสดงความจำนงว่าจะเข้าร่วมการศึกษาวิจัย โดยทราบผลดีผลเสียที่ได้จากการวิจัย และ ผู้ป่วยจะต้องไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการวิจัยดังกล่าว  

การใช้สเต็มเซลล์เพื่อการรักษานอกจากโรคทางโลหิตวิทยา อาจพิจารณาใช้ในกรณีที่ไม่มีหนทางอื่นแล้วที่จะใช้รักษาโรคของผู้ป่วย ตลอดจนมีหลักฐานหรือทฤษฎีว่าการใช้สเต็มเซลล์จะเกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วย  โดยไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ป่วย

จากคุณ : หมอหมู
เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 52 20:07:38




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com