 |
ความคิดเห็นที่ 27 |
อืม...ม
เราว่าสิ่งที่คุณเป็นเหตุผลในอดีตก็อาจจะเกี่ยว แต่ที่ตอนนี้คุณเป็นแน่ๆคือคุณขาดเมตตาต่อสัตว์โลกค่ะ
ขอโทษที่ใช้คำพูดค่อนข้างแรงนะคะ คือในที่นี้เราไม่ได้หมายถึงเฉพาะคนรอบตัวคุณ เราหมายถึงคุณขาดเมตตาต่อตัวคุณเองด้วย คือคุณไม่ให้อภัยกับทุกอย่าง เพื่อนแซวมาแรงๆ (ซึ่งมาตรฐานคนเราก็ไม่เท่ากันอีกว่าแค่ไหนแรง) คุณก็เงียบแล้วไม่ยุ่ง แต่การไม่ยุ่งไม่ได้แปลว่าคุณให้อภัยเขานี่คะ แล้วจากนั้นคุณก็มาตั้งกระทู้เบื่อตัวเอง บอกไม่ชอบที่เป็นแบบนี้ ทำไปแล้วก็รู้สึกแย่ การที่คุณมาเขียนกระทู้ (คล้าย) สำนึกผิดแบบนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณให้อภัยตัวเองนี่นะ
ฝึกสติค่ะ คำตอบเดียวที่แก้ทุกปัญหาที่คุณเป็น (ศาสนาไหนไม่เกี่ยว เรื่องนี้คือธรรมชาติของมนุษย์ที่ทุกคนมีและฝึกได้)
สติก็คือความระลึกได้ ระลึกยังไง เคยไหมคะที่คุณกำลังกวาดบ้านอยู่หรือทำอะไรอยู่ คุณก็ใจลอยไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วพอคิดจบก็นึกขึ้นได้กลับมากวาดบ้านต่อ เจ้าตอนที่นึกขึ้นได้แล้วกลับมาอยู่กับตัวเองนั่นแหละค่ะคือสติ
แต่ตัวอย่างข้างบนคือคุณต้องรอคิดจบก่อนคุณถึงจะกลับมาได้
อีกตัวอย่างหนึ่งคือกำลังเหม่ออะไรเพลินๆว่าเย็นนี้จะกินข้าวอะไรดี ราดหน้าก็ดีนะแต่เอ๊ะ...ช่วงนี้กินอาหารเส้นๆบ่อยแล้วเปลี่ยนดีกว่า จู่ๆก็เสียงดังปังคุณตกใจกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้งแบบงงๆ ถ้าสมมติว่าเสียงนั้นเป็นสติ นั่นคือมันช่วยพาให้คุณกลับมาอยู่ตัวเอง เรื่องราดหน้ากับอาหารเย็นหายวับไปกับตาโดยที่ยังคิดไม่จบแบบตัวอย่างข้างบน นี่แหละค่ะคือประโยชน์ของสติที่จะไม่ทำให้คุณไปจมอยู่กับความเพลิดเพลินนั้นนาน
ทีนี้คุณไม่ได้มีเสียงมาช่วยเรียกให้กลับมาอยู่กับตัวทุกครั้งนี่คะ ดังนั้นถ้าไม่อยากจมกับความทุกข์นาน คุณก็ต้องหาเสียงเรียกด้วยตัวเอง นั่นก็คือการฝึกสติค่ะ ถ้าคุณฝึกจนพอจะนำไปใช้งานได้ สติจะช่วยคุณก่อนที่จะจบกระบวนการ กระบวนการอะไร ขอยกตัวอย่างตามที่คุณพูดให้ฟังนะคะ เช่น เพื่อนร่วมงานของคุณแซวมาแรงๆคุณก็หงุดหงิดแล้วก็เงียบจากนั้นก็ห่างๆเขาไป
รู้ไหมคะว่าเรื่องนี้มีกระบวนการยังไง
เพื่อนคุณแซวมา --> เสียงเพื่อนลอยมากระทบหูคุณ --> สมองคุณแปลสิ่งที่เพื่อนพูด --> ไม่ชอบใจ --> ใจหงุดหงิด --> ไม่พอใจเพื่อน --> อยากทำลายหรืออยากไปให้พ้น (ในที่นี้คือคุณเลือกวิธีการเงียบ และห่างเพื่อนออกมา) --> ลงมือทำ
อันนี้เป็นกระบวนการคร่าวๆที่เกิดขึ้นในช่วงเสี้ยววินาที คุณไม่รู้ตัวในตอนนั้นหรอกค่ะว่าทำอะไรลงไปบ้าง หรือรู้ตัวแต่หยุดตัวเองไม่ได้เสียแล้ว จากนั้นก็มานั่งเสียใจทีหลัง แต่ถ้าคุณฝึกสติ สติจะเข้ามาช่วยเหลือคุณตอนใดตอนหนึ่งก่อนจะจบกระบวนการข้างบนนั้น แต่จะช่วยตอนไหนก็ขึ้นอยู่กับความกล้าแข็งของการฝึกของคุณ
เช่น
1. เพื่อนคุณแซวมา --> เสียงเพื่อนลอยมากระทบหูคุณ --> สมองคุณแปลสิ่งที่เพื่อนพูด --> สติมา รู้ว่าเพื่อนพูดอะไรมันจะไม่คิดอะไรต่อ แล้วก็จบกระบวนการไม่ไปถึงสุด คุณก็ไม่ทุกข์ ไม่ทำอะไรให้เพื่อนเสียใจ
2. เพื่อนคุณแซวมา --> เสียงเพื่อนลอยมากระทบหูคุณ --> สมองคุณแปลสิ่งที่เพื่อนพูด (สติรู้ไม่ทันตอนนี้ว่านั่นคือสิ่งที่สักแต่ว่าได้ยรู้ว่าเพื่อนพูดอะไร) --> ไม่ชอบใจ --> ใจหงุดหงิด --> ไม่พอใจเพื่อน --> สติมารู้ตัวว่าไม่พอใจแต่ก็หยุด แต่ไม่ได้คิดอยากทำลาย จบกระบวนการ คุณก็ไม่ทุกข์ ไม่ทำอะไรให้เพื่อนเสียใจ
3. เพื่อนคุณแซวมา --> เสียงเพื่อนลอยมากระทบหูคุณ --> สมองคุณแปลสิ่งที่เพื่อนพูด --> ไม่ชอบใจ --> ใจหงุดหงิด --> ไม่พอใจเพื่อน --> อยากทำลายหรืออยากไปให้พ้น --> จบกระบวนการ อยากทำลายแต่สติมาช่วยบอกคุณทันว่าตอนนี้คุณกำลังอยากทำอะไรสักอย่างให้มันพ้นๆไป อยากทำให้เพื่อนรู้ว่าโกรธ หรือพูดสิ่งไม่ดี แต่หยุดยั้งได้ทัน คุณไม่ได้ทำไป คุณไม่ทุกข์ เพื่อนไม่ทุกข์ (ซึ่งถ้าปล่อยให้มาถึงกระบวนการนี้เริ่มจะหยุดตัวเองได้ยากนะ)
ที่จริงเราไม่ได้เก่งพอจะสอนวิธีฝึกสติหรอกค่ะ ทีนี้หลวงพ่อที่วัดนาป่าพงท่านเคยให้คีย์เวิร์ดกับพี่ชายเราตอนที่ไปปฏิบัติธรรมมาว่า "รู้ลม ละเพลิน" คือไม่ว่าคุณกำลังคิดอะไรพอนึกขึ้นได้ก็กลับมาอยู่ที่ลมหายใจ อยู่กับสิ่งที่ตัวเองทำ ละความเพลินซึ่งก็คือสิ่งที่คุณกำลังคิดนั่นแหละค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแง่บวกหรือแง่ลบก็ตาม คิดถึงเรื่องทุกข์ นึกได้ก็กลับมา คิดถึงเรื่องสุข นึกได้ก็กลับมา ใช้กายเป็นบ้านน่ะค่ะ ไม่ว่าไปที่ไหนก็ดึงให้กลับมาอยู่ที่บ้านอย่างนี้
ประตูที่จะเข้ามายุ่มย่ามกับเราก็คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
หูได้ยินคำไม่ดีของเพื่อน อะ...กลับมาได้, ตาที่มองเพื่อนที่เราเหม็นหน้า อะ...กลับมาได้, จมูกได้กลิ่นน้ำหอมที่เจ้าเพื่อนคนนี้ชอบใช้ ถึงมันจะหอมแต่มันก็เหม็นเฟร้ย อุ้ย...แอบด่ามันไปแล้ว อะ...กลับมา, กาย มือเจ้าคนที่เราไม่ชอบหน้ามาแตะที่มือเรา สากชะมัด อุ้ย...ลืมตัววิจารณ์เสียแล้ว อะ กลับมา, ใจ...ไอ้ที่คิดเผลอนึกอะไรไปเพราะเจ้า 5 ประตูข้างบนนั่นแหละ ใจนึกไปแล้ว อะ...กลับมา
ถ้ายิ่งทำได้ถี่เท่าไร ความทุกข์ร้อนในตัวเราก็น้อยเท่านั้น กลับกันยิ่งเราเห็นคนอื่นร้อนเท่าไร เรายิ่งเห็นใจเขาเท่านั้น เพราะสติทำให้เรารู้แล้วนี่คะว่าตอนโกรธน่ะมันร้อนแค่ไหน เราก็จะมีเมตตาให้กับตัวเองและคนอื่น
โดยธรรมชาติคนเรามักจะชอบอยู่กับอะไรเย็นๆค่ะ ใครก็ตามที่เป็นคนร้อน โกรธง่าย ขี้โมโห หรือบรรยากาศรอบตัวมาคุอยู่ตลอดเวลาก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้โดยปริยาย แต่ถ้าใจคุณเย็น คุณรู้เท่าทันกระบวนการที่เราอธิบายและสติหยุดยั้งได้ทัน ความร้อนจะไม่มากล้ำกรายคุณ แล้วตอนนั้นคนก็จะเข้ามาหาเองล่ะค่ะ (ถ้าคุณสนใจลองไปห้องศาสนาดูดีกว่า ที่นั้นมีคนเย็นๆให้คุณพึ่งพิงมากมาย)
แต่ถ้าสิ่งที่เราแนะนำไปมันดูไม่เคลียร์ก็ช่างมันเถอะค่ะ แต่เรายังเชื่อนะว่าถ้าเมตตาคุณมีมากเท่าไรจะทำให้คุณหายร้อนจากสิ่งที่เป็นอยู่
คุณอยู่ต่างประเทศ เพื่อนร่วมงานคือเพื่อนที่ร่วมทำงาน เป็น colleague ไม่ใช่ friend ซึ่งอาจคุยกันไม่รู้เรื่องนอกจากเรื่องงาน คุณอาจลองเปลี่ยนสไตล์ดูบ้าง เปลี่ยนสังคมดูบ้าง ลองไปเป็นอาสาสมัตรดูดีไหมคะ หาจากอินเตอร์เนตหรือเพื่อนร่วมงานก็ได้ การเป็นอาสาสมัครอะไรสักอย่างจะช่วยให้คุณไม่ว่าง ไม่คิดมากฟุ้งซ่าน ได้พบสังคมใหม่ๆที่มีจิตใจเมตตา ได้พบกับผู้ต้องการความช่วยเหลือในสังคม ได้ช่วยเหลือใครสักคนทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าต่อโลกใบนี้
เราไม่ทราบว่าคุณอยู่ประเทศอะไร ถ้ามีโบสถ์ก็ลองแวะเวียนเข้าไปดู มองหา target ที่จะถามไถ่ได้ ไม่ว่าศาสนาไหน มนุษย์ทุกคนก็ต้องการความช่วยเหลือทั้งนั้นล่ะค่ะ ช่วงคริสต์มาสคุณอาจจะเป็นซานตาครอสให้เด็กด้อยโอกาสก็ได้นะ หรืออาจเป็นอาสาสมัครดูแลคนเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
แต่ถ้าไม่ได้คุณก็ลองหาทำงานอาสาสมัครในไทยนี่แหละค่ะ เช่น อ่านหนังสือให้คนตาบอด คุณสามารถโหลดโปรแกรมอัดเสียงเข้าคอมก็ได้ หนังสือที่จะอ่านสมมติว่าคุณไม่มีหนังสือไทยเลย ก็เอาสิ่งที่คุณเห็นว่าเป็นประโยชน์ในอินเตอร์เนทนั่นแหละค่ะ เช่น ตัวอย่างบทความความรู้ในเวปวิชาการ (ถ้าเป็นไปได้ขอจากเจ้าของบทความก่อนก็ดีค่ะ) จากนั้นก็อัดใส่ซีดี แล้วก็ส่งไปรษณีย์ให้ทางห้องสมุดคนตาบอด หรือถ้ามันส่งยากนักก็ลองถามเขาดูก็ได้ค่ะว่ารับเป็นไฟล์เสียง MP3 ไหมแล้วคุณก็ส่งเป็นอีเมล์หรืออะไรไป
หรือถ้าคุณยังไม่อยากทำตัวเป็นแม่พระขนาดนั้น ก็ลองเปลี่ยนสังคมเป็นแบบอื่นดู คุณอาจจะไปลงคอร์สลาตินแดนซ์ มีเพื่อนเป็นคนที่ชอบแดนซ์ด้วยกันอาจจะชวนกันไปสโมสรลีลาศ (ฟังดูแก่เนอะ) ไม่อย่างนั้นก็ลองไปหัดทำขนมดู หา Activity ให้ตัวเอง หรือสมมติเห็นอาม่าอากงไปรำไทเก็กในสวนสาธารณะ ทำใจกล้าเดินเข้าไปคุยด้วยเลยก็ได้ค่ะ
ไม่ว่าจะอะไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากจะออกมาจากสิ่งที่เป็นอยู่หรือเปล่า บางอย่างต้องใช้ความกล้าที่จะเริ่มต้น จะล้มลุกคลุกคลานบ้างก็ไม่เป็นไร แต่มันจะทำให้คุณไม่จมจ่อมกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแน่นอน
เขียนยาวมากเลยแฮะ -*-
จากคุณ |
:
peiNing
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ก.ย. 52 21:57:50
|
|
|
|
 |