ความคิดเห็นที่ 1 ทำไมถึงอ้วน? หลายๆคนชอบตั้งคำถามนี้กับตัวเองครับ ว่าทำไมเราถึงอ้วน ทั้งๆที่เพื่อนคนนั้นคนนู้นเค้าก็ทานอาหารเยอะเท่าๆกับเรา และไม่ออกกำลังเลย ทำไมมันผอมล่ะ ทำไมเราอ้วนอยู่คนเดียว? ความอ้วนนั้น เกิดจากการสะสมของไขมัน ซึ่งเกิดมาจากการที่พลังงานที่เราได้รับจากอาหารมีมากกว่าความจำเป็นที่ร่างกายใช้ ในขั้นต้น จะเก็บไว้ในรูปไกลโคเจน ซึ่งเป็นพลังงานที่ใช้ได้ทันที และจะถูกใช้ในการออกกำลังแบบ anaerobic (ไม่ใช้ Oxygen) ถ้าเกินกว่านั้นจะเก็บในรูปของไขมัน โดยสถานที่สะสมของไขมันมีตั้งแต่ ในอวัยวะภายใน โพรงกระดูก และอันที่เป็นปัญหามากที่สุดสำหรับเราๆท่านๆ ไขมันชั้นใต้ผิวหนังนั่นเอง ผลจากฮอร์โมนเพศ จะทำให้สถานที่เก็บไขมันของ ชาย และ หญิง ต่างกันไป โดย หญิงนั้นจะสะสมท่ ต้นขา และสะโพก ก่อนส่วนอื่น ในขณะที่ชาย จะลงพุง ทั้งนี้ทั้งนั้น จะเห็นได้ว่า ร่างกายของเราจะสะสมไขมันหรือไม่ ขึ้นกับว่าเราใช้พลังงานที่ได้รับมาจากอาหารไปเท่าไหร่ และเหลือสะสมเป็นปริมาณเท่าไร ประเด็นที่ว่าบางคน ทานน้อย แต่ก็ยังอ้วน ส่วนบางคน ทานมาก แต่ก็ยังผอม เป็นเรื่องของ metabolic rate หรืออัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ถ้าคนที่มีการเผาผลาญสูงจัดตลอดเวลา โดยไม่ต้องอาศัยการออกกำลังกาย ก็จะมีผลให้มีการสะสมของไขมันได้น้อย ทำให้ผอมนั่นเอง ในทางตรงข้าม หากคนที่มีการเผาผลาญพลังงานต่ำ ทำให้ทานไม่เท่าไรก็อ้วนขึ้นเอาง่ายๆ บางกรณี ความอ้วน หรือ ผอม อย่างผิดปกติ ก็เกิดได้จากการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไร้ท่อ หรือความบกพร่องบางอย่างภายในร่างกาย เช่น คนเป็นเบาหวานแต่กำเนิด (type 1) หรือคนที่มีปัญหากับต่อม Tyroid ก็ทำให้ metabolic rate ผิดปกติไปได้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้อยู่เหนือกว่าการควบคุม และต้องปรึกษาแพทย์ต่อไปครับ จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 11:06:07

ความคิดเห็นที่ 2   เมื่อก่อน กินเท่าไหร่ก้อไม่อ้วนนะ แต่พออายุ 22 เริ่มทำงานในออฟฟิต เท่านั้นแหละ !!~ น้ำหนักขึ้นมา โลก่าๆ ภายในเดือนเดียว -*- จากคุณ : วันวาน~* เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 11:17:33 A:125.24.98.172 X: TicketID:235147

ความคิดเห็นที่ 3 ทำอย่างไรให้ไม่อ้วน? เป็นคำตอบที่ง่ายและตรงไปตรงมามาก นั่นก็คือ อย่าทานเกินกว่าความจำเป็นที่ต้องการใช้พลังงานในแต่ละวันของร่างกาย กิจกรรมที่เราทำเป็นประจำในแต่ละวัน เช่น เดินไปนู่นนี่ อ่านหนังสือ พิมพ์คอม จนไปถึงหายใจ ล้วนอาศัยพลังงานทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าถ้าไม่ออกกำลังการแล้วร่างกายจะไม่ใช้พลังงานเอาซะเลย อันที่จริงแทบทุกกิจกรรม ทั้งในและนอกร่างกาย ล้วนใช้พลังงานด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการใช้งาน หากว่าแต่เดิมไม่อ้วน แล้วกังวลว่าจะอ้วนขึ้นมา ต้องเข้าใจก่อนว่า ไขมันใต้ผิวหนังนั้น ไม่ใช่ว่ามันจะสะสมพรวดพราดภายในวันเดียว การทานอาหารปริมาณเยอะๆภายในวันเดียว ไม่ทำให้อ้วนระเบิดระเบ้อขึ้นมาได้ภายในพริบตา แต่การทานเกินความจำเป็นของร่างกายอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานต่างหาก ที่ทำให้ไขมันค่อยๆสะสม กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็ขาใหญ่ขึ้น พุงหลามเสียแล้ว การมีวินับในการกินจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ร่างกายเราคงรูปร่างที่สมส่วนได้อยู่เสมอ แม้จะมีบางโอกาสที่ต้องทานอาหารเกินความจำเป็น (เช่น นานๆทีเลี้ยง buffet กันอย่างยิ่งใหญ่) ก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่นักถ้าหากมื้ออื่นๆในวันถัดๆไปเราทานแต่พอดีและถูกหลักอนามัย อย่าหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง อย่าบอกตัวเองว่าเมื่อนั้นเมื่อนี้จะทานน้อยๆแล้ว นี่เป็นมื้อสุดท้าย ครั้งสุดท้าย วันสุดท้าย เพราะวันรุ่งขึ้นเราจะบอกตัวเองแบบเดียวกัน การสร้างลักษณะนิสัยท่ทานเกินอิ่ม หรือทานเกินพอดี รวมไปถึงทานจุกจิก ปล่อยให้ปากว่างไม่ได้ เป็นหนทางที่รวดเร็วในการพาท่านไปสู่สถานะที่เรียกว่า อ้วน อาหารปริมาณน้อย ไม่ได้แปลว่าแคลอรี่ไม่มาก และเช่นเดียวกัน อาหารปริมาณมากๆ ไม่ได้แปลว่าแคลอรี่ต้องมากตามไปด้วย พลังงานของอาหารนนั้นไม่ได้ขึ้นกับปริมาณแต่เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับคุณภาพของอาหารด้วย การทานอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันเช่นพวกของทอดน้ำมันชุ่มทั้งหลาย รวมไปถึงของว่างเช่นป๊อบคอร์น มันฝรั่งทอด แม้เราจะรู้สึกว่า นิดเดียว ไม่ทันจะอิ่มเลย แต่หารู้ไม่ เหล่านี้ล้วนเป็นเส้นทางลัดไปสู่ความอ้วนด้วยกันทั้งสิ้น จำไว้ให้ขึ้นใจ ว่าพลังงานที่ได้จากอาหาร ไม่ได้แปรผันตาม "ความรู้สึก อิ่ม" จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 11:21:38

ความคิดเห็นที่ 4 แต่เราว่าถ้าอ้วนไม่มากก็น่ารักดีนะ (เข้าข้างตัวเอง)อิอิอิ .... เราแค่อวบ แต่ลดไม่ได้แล้ว ชอบกิน กินแล้วอารมณ์ดี แต่ถ้าเกิน 80 โลไปแล้ว อันนี้เราว่าเยอะเกินไป แต่มันก็ต้องเทียบกับส่วนสูงด้วย เพื่อนเรานน.80 โลแต่มันสูง 170 ซม. เราว่าก็อ้วนแต่ไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นเราเลยไม่ค่อยเห็นปัญหาที่มันจะเจอ แต่อาจจะมีเรื่องการสมัครงานบ้าง เพราะ คนรับสมัครเค้าก็ต้องดูบุคลิคบ้าง เห็นอ้วนแล้วมีคนผอมคนอื่นคุณสมบัติใหล้เคียงกันเค้าก็คงเอาคนผอม แต่เพื่อนเราเป็นคนอารมณ์ดี แล้วอ้วนน่ารัก น่าแกล้ง เราเลยไม่ค่อยอยากให้เพื่อนผอมเท่าไหร่ เด๋วมันจะห่วงสวย ทำให้พวกเราคุยกันไม่รู้เรื่อง กลุ่มเราเป็นพวกเซอร์ๆโทรมๆ ไม่ค่อยห่วงสวย ต่างจากผู้หญิงทั่วไป จากคุณ : dfh เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 11:29:47

ความคิดเห็นที่ 5   การคำนวณแคลอรี่สำคัญนะ เห็นด้วยอย่างยิ่ง.. จากคุณ : มดนิ่ม เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 11:32:37

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าอ้วนแล้ว จะทำอย่างไร ปัญหาใหญ่ที่หลายคนประสบ ในประเทศเรายังไม่มากเท่าไหร่ ในประเทศอย่างอเมริกา พบว่าน้ำหนักเฉลี่ยของคนทั่วไป เกินค่ามาตรฐานที่เหมาะสม เนื่องมาจากโภชนาการที่ไม่ได้เรื่องของอาหารอเมริกันนั่นเอง ประเทศเราซึ่งก็รับอาหารเหล่านั้นเข้ามาก็จึงเริ่มจะมีปัญหาตามไปด้วย (ไม่รู้จะไปกินกันทำไม ผมไม่เห็นมันจะอร่อยที่ตรงไหน) ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ตามที่กล่าวไปแล้วว่าไขมันใต้ผิวหนังนั้น ไม่ได้สะสมกันในวันเดียว ร่างกายเรามีปริมาณที่กระเพาะรับได้จำกัดในแต่ละวันอยู่ (กระเพาะแต่ละคนมีความจุที่ตายตัว ยืดหดได้ตามการใช้งาน) ดังนั้นต่อให้จะหิวโซมาจากไหน เราก็ยัด อาหารจนถึงขีดจำกัดกระเพาะได้เท่าเดิม อีกทั้งความสามารถในการสะสมไขมันขอร่างกายในหนึ่งวันก็มีขีดจำกัดเช่นเดียวกัน การทานอาหารภายในวันเดียวแล้วจะอ้วนแผละขึ้นมาทันทีจึงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น การที่เรา อ้วน จึงเป็นผลกรรมที่เกิดจากการขาดวินัยในการกินอย่างต่อเนื่องและยาวนาน การจะลดน้ำหนัก จึงต้องยอมรับไว้เสมอว่า เราก็ต้องใช้เวลานาน เท่าๆ หรือนานกว่า ระยะเวลาที่เรากินสะสมมา การที่จะออกกำลังวันเดียว แล้วหวังว่าจะผอมลง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน อ้วน ไม่ได้แปลว่า น้ำหนักเยอะ สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปเข้าใจผิดกันอย่างมหันต์นั่นคือความอ้วน ไม่ได้เป็นเรื่องของน้ำหนักแต่เพียงอย่างเดียว น้ำหนักของร่างกายมีทั้ง น้ำหนักของกลางเนื้อ กระดูก และของเหลวภายในร่างกาย ไม่ใช่แต่เพียงไขมันอย่างเดียว เวลานักมวยชั่งน้ำหนักก่อนขึ้นชก ถ้าไม่ผ่าน จะวิ่ง เพื่อลด การรีดเหงื่อออกไปสามารถลดน้ำหนักโดยรวมของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว แต่มันไม่ได้หมายความว่าไขมัน และกล้ามเนื้อ หายไปด้วยความเร็วที่เท่ากัน ดังนั้นน้ำหนักที่เพิ่มหรือลด ไม่ใช่น้ำหนักของไขมันแต่เพียงอย่างเดียว ขอให้รู้ไว้ว่า น้ำหนักกล้ามเนื้อ ในปริมาตรที่เท่ากัน นักมากกว่าไขมัน และน้ำหนักของของเหลวในร่างกาย (เลือด และอื่นๆ) ในปริมาตรที่เท่ากัน ก็หนักยิ่งกว่ากล้ามเนื้อเสียอีก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นนักกีฬารูปร่างล่ำบึ้ก ฟิตเปรี๊ยะ มองหาไขมันใต้ผิวหนังแทบไม่ได้ มีน้ำหนักที่มากโข ดังนั้นอย่ามานั่งดีใจว่าน้ำหนักลดๆ บางทีดื่มน้ำสักแก้วสองแก้ว ก็กลับไปเท่าเก่า การจะวัดว่าอ้วนหรือไม่ สายวัด รอบเอว รอบแขน รอบขา และ กระจก บอกเราได้ดีกว่าเครื่องชั่งน้ำหนักเป็นไหนๆ จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 11:37:58

ความคิดเห็นที่ 7 ปาด ตามอ่านอย่างกระชั้นชิดค่ะ จากคุณ : เพลงพันทาง เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 11:38:40

ความคิดเห็นที่ 8 คุณวันวาน สวัสดีครับ อายุ 22 เองครับ หาเวลาไปออกกำลังบ้าง ดีต่อสุขภาพนะครับ ผมเองก็นั่งจับเจ่า รู้สึกไม่สบายตัวมากๆ ต้องไปออกกำลังสัปดาห์ละหลายๆวัน คุณ dfh แล้วแต่คนชอบแหล่ะครับ ถ้าน้ำหนักไม่เกินจนรู้สึกว่าเรามีปัญหา ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องลดเหมือนกันเน๊าะ มันเป็นเรื่องของความสุขแหล่ะ ผมเองก็ชอบทานอาหาร แต่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ (กระเพาะผมแย่มากครับ) เลยทำให้ทานได้เท่าเนี้ย คุณมดนิ่ม เห็นด้วยครับ แต่ทางปฏิบัติเป็นเรื่องยากเหลือเกิน ========================================================= อ้วนแล้ว ทำอย่างไร (ต่อ) อ้วนแล้ว ก็ต้องลดสิครับ คำถามง่ายๆ ที่มีคำตอบง่ายๆ แต่มักจะทำกันไม่ได้ เรามาทำทีละขั้นตอนครับ แรกสุดเลยเราต้องรู้ตัว ว่าเราอ้วนขึ้นเสียแล้ว ฉะนั้นสิ่งแรกที่ต้องลงมือ คือทำอย่างไร ไม่ให้อ้วนไปกว่านี้ เริ่มต้นด้วยการพิจารณาอาหารที่เราทานในแต่ละวัน ถ้าเราอ้วนขึ้น ย่อมหมายความว่าพลังงานที่ได้จากอาหารที่เราทานทุกวันนั้น มากเกินกว่าความต้องการพลังงานของร่างกาย สิ่งที่เราต้องทำอย่างเร่งด่วนคือ ลดพลังงานที่ได้จากอาหารลง ถ้าทานอาหารปริมาณมาก ให้ลดปริมาณลง ถ้าทานอาหารปริมาณไม่มาก แต่เป็นอาหารที่คุณค่าทางโภชนาการไม่เหมาะสม มีพลังงานสูง ไขมันมาก ให้เปลี่ยนชนิดอาหาร ถ้าทานอาหารที่ไม่ถูกโภชนาการ และทานเป็นปริมาณมากๆ ให้ทั้งลดปริมาณอาหาร ทั้งเปลี่ยนชนิดอาหารครับ... ถ้าจะไม่เปลี่ยนลักษณะนิสัยการกินให้ได้ (หัวเด็ดตีนขาดเดี๊ยนก็จะกินๆๆ) ก็ต้องเพิ่มกิจกรรมที่ใช้พลังงานที่เราทานเข้ามาครับ ถ้าจะไม่เปลี่ยนนิสัยการกิน และไม่ออกกำลังด้วย.... ก็อ้วนต่อไปครับ... จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 11:52:11

ความคิดเห็นที่ 9 คุณเพลงพันทางสวัสดีครับ :) ===================================================== ความเชื่อผิดๆของคนลดน้ำหนัก เรามักเข้าใจว่า อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ทำให้อ้วน ฉะนั้นจึงควรเลี่ยงการกินอาหารแป้ง น้ำตาล เพื่อลดพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต จะได้ไม่อ้วน เป็นความเชื่อที่ ผิด ครับ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกลไกที่สำคัญในร่างกายของเราก่อน นั่นคือ ความ "หิว" ความรู้สึกหิวจะถูกสั่งการโดยสมอง เมื่อระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ต่ำ ทั้งนี้เพื่อเป็นกลไกป้องกันร่างกายจากภาวะที่เรียกว่า Hypoglycemia หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนั่นเอง เราจึงถูกกระตุ้นให้รู้สึกหิว เพื่อที่จะได้ทานอาหารไปชดเชยระดับน้ำตาลในเลือดครับ การงดอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตลงอย่างต่อเนื่องนั้น มีผลให้ระดับความเข้มข้นของน้ำตาลในกระแสเลือดเราลดลงครับ เมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดเราลดลง ผลที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือความรู้สึกหิว ถ้าคนความอดทนต่ำ คราวนี้ล่ะงานเข้าเลยครับ หิวจัด ก็ต้องหาอาหารทาน แต่เราจะไม่ทานอาหารแป้ง เลยซัดอาหารมันแทน... ไข่เจียวชุ่มน้ำมัน กับไข่ดาวทอดน้ำมัน ทานกับไก่ทอดกระเทียม แต่ไม่เอาข้าว... ทานจนกว่าจะอิ่มก็ลาก่อนครับ ไม่อิ่มซะที แต่แคลอรี่พุ่งไปถึงไหนแล้วไม่รู้ ถ้าคนความอดทนสูง ไม่ยอมทาน ไม่นานร่างกายก็ต้องปรับตัวครับ เพื่อรับมือกับปัญหาน้ำตาลต่ำเกินไป การแก้ปัญหา ก็คือ ลดปริมาณเลือดลงครับ ลองคิดถึงน้ำแดง ถ้าเรามีน้ำแดงน้อย แต่เราใส่น้ำเยอะ มันก็จืดใช่มั้ยครับ? แต่ถ้าเราอยากให้มันหวาน เราก็ผสมน้ำน้อยๆ ร่างกายก็เช่นกันครับ เมื่อเลือดมันมีความเข้มข้นต่ำ ร่างกายก็จะลดปริมาณเลือด เพื่อรักษาระดับความเข้มข้น เนื่องจากเราไม่เติมน้ำตาลให้กับมัน ทีนี้น้ำหนักจะลดฮวบเลยครับ อย่างที่บอกไปว่า น้ำในร่างกาย มีน้ำหนักสูงสุดเมื่อเทียบกับกล้ามเนื้อหรือไขมันที่มีปริมาตรเท่ากัน (น้ำมีความหนาแน่นมากกว่าที่คุณคิดนะครับ) น้ำหนักที่ลดลงคือไขมันหรือเปล่าครับ? คือกล้ามเนื้อหรือ? ผอมลงจริงหรือครับ? คำตอบคือเปล่าเลย น้ำหนักเลือดหรอกครับที่ลดลงน่ะ แล้วพอเราได้ใจ ว่าน้ำหนักลงแล้ว ยอมทานอาหารแป้งและน้ำตาล ทีนี้ล่ะครับ... น้ำตาลในเลือดเท่าเก่า ร่างกายก็ดูดน้ำเพิ่ม ดื่มน้ำเข้าไป ก็ไปชดเชยเป็นเลือด น้ำหนักก็กลับมาเท่าเดิมราวปาฏิหาริย์... สรุปคือ เหนื่อยฟรี หิวฟรีครับ edit: แก้คำผิดครับ แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 52 12:10:42 จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 12:08:51

ความคิดเห็นที่ 10 ก่อนนี้กินๆๆ เท่าไหร่ก็ไม่อ้วน แต่พอเข้า 30 เริ่มรู้สึกอย่างทที่หลายๆ คนบอก อวบขึ้นมาซะงั้น กว่าจะรู้ตัวก็ขึ้นมาจะ 5 โลแล้ว ตอนนี้กำลังลดอยู่เหมือนกันค่ะ แรกๆ ที่คิดจะเริ่มลด ยังแอบคิดเข้าข้างตัวเองไม่อ้วนหรอก เดี๋ยวก็เหมือนเดิม ยังกินกระจายเหมือนเดิม เหอะๆ พอไปต่างจังหวัด ไม่ได้ชั่งน้ำหนักหลายวันเข้ามาชั่งอีกที เฮ้ย ขึ้นมาอีก 2 โลตั้งกะเมื่อไหร่เนี่ย ช่วงนี้เลยขยันเข้าฟิตเนสหน่อย ระวังเรื่องอาหารมากขึ้น เย็นทานมั่ง ไม่ทานมั่ง เหมือนจะเริ่มลดแล้วค่ะ ก็ตั้งหน้าลดกันต่อไป แต่ให้อดเลยคงไม่อ่ะคะ ให้กำลังใจคนที่กำลังลดความอ้วนทุกคนเลยนะคะ จากคุณ : minty girl เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 12:16:03

ความคิดเห็นที่ 11 ++9 อ๋อออออออออออ  เพิ่งรู้นะเนี่ยเรื่องความหิว  ขอบคุณจริงๆค่ะ จากคุณ : เพลงพันทาง เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 12:22:02

ความคิดเห็นที่ 12 ทานอาหารที่ดี ทานอย่างไร คำจำกัดความของอาหารที่ดี คือ มคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน อย่างที่เราๆท่านๆเรียนมาตั้งแต่ประถมนั่นล่ะครับ ทานอาหารให้ครบห้าหมู่ มีใยอาหารเพียงพอ จะได้ไม่เป็นปัญหากับระบบขับถ่าย (ซึ่งผมพบว่ามันเป็นปัญหาอย่างมากตอนผมอยู่ US) และมีน้ำตาลในปริมาณเพียงพอให้เรา อิ่ม ครับ ก่อนเราจะไปแสวงหาสูตรอาหารลดความอ้วนมหัศจรรย์ ซึ่งมีนักโภชนาการมากมายคิดค้นขึ้นมาแล้ว (และพบว่ามันมักจะไม่น่ารับประทานเอาสักเท่าไหร่) เราควรจะมาพิจารณาอาหารที่เราทานก่อนครับ มีคนมากมายหัดนิสัย "ทานไม่หมด" เพราะรู้สึกว่า ทานน้อย จะได้ไม่อ้วน ซึ่งผมพบว่ามันตลกมาก เมื่อเพื่อนผมคนหนึ่งแทนที่จะทานอาหารกลางวัน 1 จานเหมือนคนทั่วๆไป เค้าเลือกที่จะเหลือ เกือบครึ่งจาน แต่จะสั่งมาสามจาน เพราะบอกว่าไม่อิ่ม.... แต่ไม่ทานให้หมด เพราะ...มันอ้วน.... ผมว่ามันฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย.. ถ้าเราพบว่าเราน้ำหนักขึ้น ย้อนกลับไปดูก่อนครับ เราทานอาหารมีไขมันเยอะเกินไปหรือเปล่า เราทานอาหารปริมาณมากไปหรือเปล่า เคล็ดลับหนึ่งที่สำคัญในการทานอาหาร คือทานช้าๆครับ เพราะว่าร่างกายเราสามารถย่อยแป้งเป็นน้ำตาลได้ในปริมาณหนึ่งจาก enzyme ในน้ำลาย การที่เราค่อยๆทาน ค่อยๆเคี้ยว จะทำให้น้ำตาลเหล่านี้เข้าไปชดเชยระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ทำให้รู้สึก อิ่ม ขึ้นมาครับ จะช่วยลดปริมาณอาหารที่ทานลงได้เป็นอย่างดี เพราะถ้ารีบๆทาน รีบๆอัดๆเข้าไป กว่าร่างกายจะรู้สึกอิ่ม เราก็ทานเกินพอดีไปเสียแล้ว เริ่มต้นง่ายๆแค่เท่านี้ก่อน ก็เป็นก้าวแรกสู่การลดน้ำหนักอย่างถูกอนามัยแล้วครับ edit: ขอไปทานอาหารกลางวันก่อนนะครับ เดี๋ยวจะกลับมาต่อ :) แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 52 12:28:48 จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 12:24:51

ความคิดเห็นที่ 13 ขอติดตามอ่านนะคะคุณจขกท - -" แต่ไม่สามารถรับปากได้ว่าจะลดได้เท่าไหร่ค่ะ อิอิ เนื่องจากอวบๆกำลังดีๆเกือบจะระยะสุดท้ายแต่ยัง อิอิ (แต่นานไปเกรงว่าจะแย่เหมือนกันค่ะ- -") เนื่องจากเราเป็นคนที่เอ็นจอยอีทติ้งมากๆๆๆค่ะ เรานี่ให้ลดพวกอาหารมื้อๆทำได้ง่ายๆค่ะ แต่ให้ลดขนมนี่ เฮ้อออออออ - -" หลายครั้งมากที่พยายามห้ามใจไม่แตะขนมทั้งอาทิตย์แต่ทำได้ไม่ถึงอาทิตย์ค่ะ มันอยากอะไรหวานๆเข้าท้อง - -" เหมือนคนติดยามากๆๆ เครียดเนอะ เราว่าเราอ้วนขนมนี่แหล่ะค่ะ กินจุบจิบได้ทั้งวัน ข้าวบางมื้อถ้าไม่ได้ตั้งใจว่าอยากทานก็ลืมทานเอง ไปคว้าพวกเบเกอรี่ใส่ท้อง- -" ไอศกรีมเหมือนกันทานบ่อยมาก ตอนนี้ก็พยายามลดลงให้น้อยลงค่ะ ตอนนี้มาอยู่ไกลบ้านดีอย่างที่เราไม่ทานพวกอาหารฝรั่งเท่าไหร่ นานๆทีเท่านั้น ส่วนพวกแฮมเบอร์เกอร์อะไรไม่ค่อยมีปัญหาค่ะ เพราะไม่ค่อยชอบทานอยู่แล้ว ปัญหาอย่างเดียวก็คือพวกขนมต่างๆเบเกอร์รี่ต่างๆอยู่ที่นี่ทุกบ้านเค้ามีเตาอบให้ก็สนุกเราเลย ทำบราวน์นี่เอย คุกกี้เอย ขนมทั้งนั้น  - -" เคยมีคนบอกว่าถ้าอายุมากขึ้นจะเลิกทานพวกนี้ไปเอง - -" ไม่เห็นวี่แวว เหอๆ แต่ของเราก็มีวิ่งบ้าง เต้นอยู่กับบ้านให้เหงื่ออกเยอะๆ วิ่งไม่ค่อยบ่อยค่ะเพราะรู้สึกว่าไม่สนุกเลย- -" แต่ถ้าเอาหมาน้อยไปวิ่งด้วยกันก็ค่อยสนุกค่ะ วิ่งได้นานเลยทีเดียว แต่ถ้าวิ่งคนเดียวน่าเบื่อจริงๆ (หุหุ เรื่องมากอีก- -") สำหรับเราพยายามหากิจกรรมทำค่ะ เพราะรู้ว่าถ้าให้หักดิบขนมไปเลย ทำไม่ได้จริงๆ - -" ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะจขกทไว้จะคอยมาอ่านเรื่อยๆเพื่อเตือนใจค่ะ ปล..ไว้เราลดได้อย่างหวังจะมาลง before and after นะคะ แต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้ เพราะตอนนี้ก็ยังมีความสุขดีแต่คงไม่ให้มันเพิ่มมากไปกว่านี้ก็คงต้องคุมๆกันไป - -" จากคุณ : แฟนสาวฮัตโตริคุง เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 12:28:00

ความคิดเห็นที่ 14 ผมไม่ได้อ้วนครับ................................... แต่ผม.......เรียกว่าผู้ใหญ่สมบูรณ์ครับ............................ จากคุณ : sagurahi เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 12:34:37

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณมากๆเลยค่ะ :) จากคุณ : JingSe เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 12:35:36

ความคิดเห็นที่ 16 เป็นไทรอยด์ง่ะ จากหุ่นละโอดสะองกลับอ้วนเอ๊า อ้วนเอา  เสียดายหุ่นเดิมจริงๆค่ะ ออกกำลังกายเท่าไหร่ คุมอาหารเท่าไหร่ นน. ก็ไม่ลด  เหนื่อยแระ จากคุณ : แม่ขนตางอน เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 12:42:33

ความคิดเห็นที่ 17 แล้วทำอย่างไร ถึงจะลดปริมาณเลือดลงได้ละคะ จากคุณ : เพื่อนกับแฟนแทนกันไม่ได้ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 13:03:26

ความคิดเห็นที่ 18 เราอยากถามต รงข้ามกับ ++17 ค่ะ  ว่าเราอยากเพิ่มเม็ดเลือด ให้ได้ระดับปกติ  หรือมากกว่า เราคิดถูกไหมว่า ถ้าเลือดมากอัตราการเผาผลาญก็ยิ่งสูงไปด้วย จากคุณ : เพลงพันทาง เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 13:29:50

ความคิดเห็นที่ 19 คุณแม่ขนตางอน เสียใจด้วยครับ.. หาหมอหรือยังครับเป็นไทรอยด์นี่เรื่องใหญ่นะ คุณ คห.17 เอาแบบตรงๆเลยนะครับ... บริจาคเลือดครับ ลด แบบง่ายและเร็ว ได้บุญด้วย แต่จะลดไปทำไมน่ะครับ? ============================================== ทานบ่อยๆ ทานเยอะๆ แต่ไม่อ้วน ทำอย่างไร? อย่างที่บอกครับ การควบคุมน้ำหนัก ปัจจัยสำคัญที่สุดเลยคือ การควบคุมอาหาร เพราะอย่างน้อย ถึงจะยังไม่สามารถช่วยให้ผอมลงได้ทันที แต่ก็ป้องกันไม่ให้อ้วนขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่เดิม พอไม่อ้วนขึ้นแล้วก็ค่อยมาหาทางลดกันต่อไป ทานเยอะๆ แล้วไม่อ้วน ทานอย่างไร? หลายคนติดนิสัย ปากกว้างกว่าท้อง หิว ต้องทานให้อิ่ม ต้องเต็มท้อง ถึงจะรู้สึกว่าทำงานอะไรต่อไปได้ ในกรณีนี้แนะนำให้พิจารณาอาหารที่ทานในแต่ละมื้อ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารมัน ในที่นี้รวมหมดทั้งของทอดน้ำมัน มันสัตว์ ขนมที่มีไขมันเป็นส่วนผสมปริมาณมาก เลี่ยงได้ก็เลี่ยงครับ แต่อย่าไปทำอะไรอย่างไม่ทานข้าว แต่อัดกับเยอะๆ มันไม่ได้ทำให้ผอม กลับให้ผลตรงกันข้ามตามที่อธิบายไว้เบื้องต้น หากอยากทานมากๆๆๆ ต้องการอัดปริมาณเยอะๆเพื่อความสุขใจ พยายามเพิ่มผักผลไม้ให้มากขึ้น เพิ่มข้าวมากขึ้นก็ยังดีกว่าเพิ่มไขมันครับ ทานเยอะได้ แต่ทานให้พลังงานไม่เยอะครับ ต่อให้จะทานแตงโมทั้งลูกคนเดียว ก็ยังได้พลังงานน้อยกว่าทานป๊อบคอร์นเฟรนช์ฟรายอีกครับ อาหารที่ควรเลี่ยงถ้าเลี้ยงได้มีดังนี้: -ของทอดน้ำมัน ที่อมน้ำมัน อาทิ ไข่เจียว หอยทอด เฟรนช์ฟราย มันฝรั่งทอด -อาหาร(เนื้อสัตว์)มันจัดๆ อาทิ หมูกรอบ หมูสามชั้น เนื้อติดมันเยอะๆ เบคอน -อาหารที่มีส่วนผสมของไขมันปริมาณมาก อาทิ ชีส พิซซ่า ไส้กรอก -ของว่างที่ไม่มีสารอาหารอื่นไดนอกจากไขมัน อาทิ ข้อไก่ทอด ป๊อบคอร์น มันฝรั่งทอดกรอบ ส่วนตัวผมเป็นคนเลี่ยนง่ายมาก ดังนั้นอาหารดังกล่าวจึงไม่เคย หรืออาจจะนานๆที มาอยู่ในเมนูของผม แต่ถ้าใครที่ชอบอาหารเหล่านี้เป็นชีวิตจิตใจ ระลึกไว้เสมอว่า กินไป มีแต่อ้วนกับอ้วนเท่านั้นครับ ทานบ่อยๆแล้วไม่อ้วน ทานอย่างไร? บางคนติดนิสัยชอบทานของว่างตลอดเวลา ปากว่างไม่ได้ อันที่จริงแล้วเราสามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ครับ โดยวิธีที่เรียกว่า Grazing วิธีนี้ หลักการคือ ไม่ทานอาหารมื้อใหญ่เลย แต่ทานมื้อย่อยๆตลอดเวลา อารมว่าทานวันละ 6 ครั้ง แต่ทานครั้งละไม่มาก วิธีนี้ทำได้โดยการทาน ของว่าง ที่มีประโยชน์ อาทิ ถั่วอบชนิดมีมันน้อยๆ สลับกับของหวานที่ชอบ ของหวานเหล่านั้น ทานน้อยๆ จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ให้เราหิวขึ้นมาครับ ทำให้ไม่ต้องทานมื้อใหญ่ก็ได้ แต่แบ่งทานสลับกัน ขนม กับอาหารว่างที่มีประโยชน์ แต่ต้องทานครั้งละไม่มากนะครับ ไม่ใช่อัดเค้กมันทีลำครึ่งปอนด์แล้วบอกว่า grazing อันนี้ผิดครับ อีกทั้งการทานแต่ของหวานไขมันสูง บ่อยๆ โดยไม่ทานอาหารมีประโยชน์เลย อันนี้เรียกว่า snacking ครับ อันนี้ก็ผิดเหมือนกัน การ grazing นี้ต้องมีวินัย และต้องอาศัยความรู้พอสมควรนะครับ เราต้องพิจารณาว่าเราได้สารอาหารครบถ้วน รวมไปถึงใยอาหารด้วยนะครับ จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดือนอาหารในภายหลัง จากการวิจัยพบว่า การทานอาหารแต่ละครั้ง จะเพิ่ม metabolic rate ของร่างกาย การที่เราแยกอาหารเป็นมื้อย่อยๆ จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ทำให้ควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้นครับ แต่ถ้าเราพยายาม grazing แต่ว่าขาดวินัยเมื่อไหร่ ความอ้วนอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมครับ อย่าลืมนะครับ ว่ามันมีโอกาสที่จะเปลี่ยน 6 มื้อเล็กๆ ให้กลายเป็น 6 มื้อใหญ่ๆ หรือ 3 มื้อใหญ่ เพิ่ม 3 มื้อย่อย ซึ่งเกินพอดีไปได้เสมอ เคล็ดไม่ลับนะครับ พกลูกอมไว้แก้หิวเวลาที่น้ำตาลในเลือดเริ่มต่ำครับ ถ้าใครที่รู้ตัวว่าเวลาหิวจัดจะทานอาหารแบบไม่ลืมหูลืมตา อารมว่าปากกว้างกว่าท้อง พกลูกอมไว้สักเม็ด ช่วยได้เยอะเลยครับ ก่อนเวลาอาหาร อมให้น้ำตาลเพิ่มขึ้นบ้าง ช่วยให้หิวน้อยลง ทานน้อยลงได้ครับ (แต่ถ้าพกเป็นกระปุก อมตลอดเวลานี่ก็ไม่ถูกต้องละนะครับ) จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 13:41:30

ความคิดเห็นที่ 20 จาก **19 สรุปคือ  เราไม่ควรกินอาหารจำพวกไขมัน ใช่ไหมคะ จากคุณ : เพื่อนกับแฟนแทนกันไม่ได้ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 14:17:51

ความคิดเห็นที่ 21 ออกกำลังเท่าไหร่ ไขมันถึงจะหมดเสียที เป็นอีกคำถามที่พบได้ทั่วไปครับ หลายคนออกกำลังจนเหงื่อโชก แล้วบ่นว่าไม่เห็นลด ไม่เห็นผอม เรามาทำความเข้าใจเรื่องระบบการใช้พลังงานภายในร่างกายกันดีกว่าครับ แหล่งพลังงานในร่างกายคนเรานั้น มีสามส่วนด้วยกัน คือ คาร์โบไฮเดรต(ในรูปกลูโคส) ไขมัน และ โปรตีน (พลังงานสำรองสุดท้ายที่เราจะเอามาใช้ในกรณีที่อดอยากจริงๆเท่านั้น) ในชีวิตประจำวัน คาร์โบไฮเดรตจะถูกใช้ เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ได้ทันที พูดไปก็เหมือนน้ำมันเบนซิน ติดไฟง่าย ให้พลังงานดีนั่นล่ะครับ กิจกรรมทั้งหลายแหล่เราก็จะใช้คาร์โบไฮเดตรไว้ก่อน ไขมันใช้ได้ยากกว่า เพราะว่าจะมีของเสียคือคีโตนซึ่งเป็นผลผลิตที่จะได้จากการใช้ไขมันเป็นพลังงาน ทว่าในปริมาณเท่ากันนั้น ไขมันจะให้พลังงานที่มากกว่าคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเหมาะกับกรณีที่ต้องการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องและยาวนาน อีกทั้งของเสียคีโตนสามารถถูกสลายได้โดยการใช้พลังงานแบบที่มี Oxygen เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเรียกว่าการออกกำลังแบบ Aerobic นั่นเอง ส่วนโปรตีนนั้นเป็นแหล่งพลังงานสุดท้ายที่ร่างกายจะเลือกเอามาใช้ในกรณีที่เราขาดสิ้นสารอาหารแล้วจริงๆเท่านั้น ดังนั้นการลดกล้าม ยากเย็นกว่าการลดอ้วนเยอะเลยครับ อันเนื่องมาจากธรรมชาติของการให้พลังงานของสารอาหารแต่ละอย่างนั้นต่างกัน กิจกรรมที่ใช้พลังงานก็จะต่างกันไปด้วย กิจกรรมที่ต้องการใช้พลังงานเฉียบพลัน เป็นต้นว่าการออกกำลังกายแบบที่ต้องมีการเคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นพักๆ อาทิ วิ่ง sprint เล่นบอล เล่นบาส ชกมวย ตีแบด เล่นเทนนิส เหล่านี้ ร่างกายก็จะนำไกลโคเจน ซึ่งเป็นกลูโคสรูปแบบหนึ่งออกมาใช้ครับ การออกกำลังกายแบบนี้ ไม่ใช้ Oxygen นะครับ และผลลัพท์ที่ได้ก็คือการคั่งของกรดแลคติก ซึ่งเป็นที่มาของอาการปวดกล้ามเนื้อต่างๆนั่นเอง เรามาสามารถรู้ได้ด้วยตัวของเราเองเลยครับว่าเรากำลังเอาไกลโคเจน เอาคาร์โบไฮเดรตออกมาใช้ เพราะเวลาตอนที่เราเล่นกีฬาลักษณะนี้ เราจะรู้สึกไม่หิว เนื่องจากร่างกายเปลี่ยนไกลโคเจนออกมาเป็นกลูโคส เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดเราระหว่างการออกกำลังการแบบ anaerobic ทว่า หลายคนเข้าใจผิดว่า เราจะใช้ไกลโคเจน จนกว่าจะหมดถัง แล้วจะเริ่มเอาไขมันออกมาใช้ อันนี้เป็นความคิดที่ผิดครับ การนำไขมันออกมาใช้จะไม่ถูกกระตุ้นด้วยการออกกำลังประเภทนี้ ดังนั้นจุดหมายปลายทางที่ท่านจะประสบเมื่อเราออกกำลังกายแบบใช้ไกลโคเจนจนถึงขีดจำกัดที่เราแทบจะไม่มีเหลือให้ใช้แล้ว เราจะล้าครับ แล้วพอล้า เราจะหยุดเล่น เมื่อหยุดเล่น ร่างกายจะดูดน้ำตาลในกระแสเลือดกลับไปเก็บเป็นไกลโคเจน ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำตาลเฉียบพลัน หรือ Hypoglycemia แบบรวดเร็ว ส่งผลให้ หน้ามืด และเป็นลม นั่นเองครับ ฉะนั้น ต่อให้ออกกำลังเหงื่อโทรม ถึงขนาดเป็นลมไป พลังงานที่ใช้ ก็คาร์โบไฮเดรตทั้งนั้นครับ แต่เป้าหมายเราคือลดไขมันใช่มั้ยครับ? ดังนั้นจึงเห็นชัดๆว่าการออกกำลังแบบนี้ ผิดวัตถุประสงค์ครับ ผลที่จะได้รับคือกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งาน ปวดล้า ทำให้ออกกำลังไม่ได้อีกหลายวัน อีกทั้งน้ำตาลในเลือดลดลงรวดเร็ว ทำให้หิวจัด ก็จะทานมากขึ้น กลายเป็นว่าอ้วนกว่าเก่าอีก รวมไปถึงกล้ามเนื้อขยายขนาดจากการใช้งานหนัก มวลกล้ามเนื้อเพิ่มอีก กลายเป็นยิ่งเล่นน้ำหนักยิ่งเพิ่ม คราวนี้ล่ะกลุ้มใจกันเลยครับ จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 14:20:21

ความคิดเห็นที่ 22 รออ่านต่อคะ จากคุณ : lady [V] เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 14:40:37

ความคิดเห็นที่ 23 มีคนรอไม่ไหวเหมือนเราเลย 555  งานการไม่ต้องทำกันล่ะวันนี้ จากคุณ : เพลงพันทาง เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 14:44:13

ความคิดเห็นที่ 24 คห.20 เลี่ยงได้ก็เลี่ยงครับ แต่มันเลี่ยงเลยไม่ได้หรอก มันเป็นส่วนหนึ่งในการทำอาหารเสมอครับ แค่เราอย่าไปจงใจทานมันเพิ่มก็พอแล้วๆ ================================================ การออกกำลังแบบที่จะลดไขมันลง หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า Fat Burn นั้น ต้องออกกำลังต่อเนื่อง ยาวนาน และไม่หนักเกินไปครับ วิธีการง่ายๆที่นิยมใช้ในการดูว่าเรากำลังออกกำลังหนักเกินไปหรือไม่นั้น นิยมวัดโดยใช้เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจครับ คือประมาณ 60% ของค่าสูงสุดที่หัวใจเราทำงานได้ เป็นต้นว่าอายุ 20-30 คือไม่เกิน 120 bpm (beat per minute) ครับ ถ้าหัวใจเต้นมากกว่านี้ ร่างกายเราจะส่งสัญญาณว่าการออกกำลังนั้นๆต้องการพลังงานที่รวดเร็วกว่าที่ไขมันจะให้ได้ จึงจะไปเรียกไกลโคเจนมา แล้วก็เป็นดังที่ว่าไปข้างบนนั่นล่ะครับ ฉะนั้นถ้าเราต้องการลดไขมันให้ได้จริงจัง นิยมออกกำลังไม่หนัก แต่ออกกำลังต่อเนื่อง ยาวนาน เกิน 30 นาทีก็จะดีครับ มีการวิจัยอีกว่า การออกกำลังหนักสลับกับเบาไปเรื่อยๆก็ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในร่างกายเช่นกัน การออกกำลังเบาๆ แล้วเร่งขึ้นไปเพื่อกระตุ้นให้เอาไกลโคเจนออกมาใช้ ตามด้วยการ cool down หรือการผ่อนระดับความหนักของการออกกำลังกายลงมา ช่วงนั้นจะมีการเผาผลาญพลังงานได้ดีครับ ข้อสังเกตุที่ดีคือ ถ้าเราออกกำลังถูกวิธี จะไม่เมื่อยล้า เพราะว่าของเสียตีโตน จะถูกกิจกรรม aerobic นี้ช่วยย่อยสลายครับ จะไม่เหมือนเวลาใช้ไกลโคเจนที่กรดแลคติกจะคั่งค้างทำให้ปวดล้า ออกกำลังถูกวิธี ถึงจะช่วยลดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ อย่างที่เค้าว่ากันล่ะครับ ว่า "Work hard is NOT equal to work smart" ออกกำลังหนัก เหนื่อยแทบตาย กลับไม่ผอม แต่ออกกำลังเบาๆ ชิวๆ ต่อเนื่อง กลับดีกว่า ก็ด้วยเหตุนี้ล่ะครับ แต่พึงระลึกไว้เสมอว่า พุงน้อยๆ หรือต้นขาของเรานั้น อาศัยเป็นแรมเดือนแรมปีที่ค่อยๆสะสมครับ เราจะชดใช้กรรมแค่วันเดียวแล้วคาดหวังว่ามันจะกลับไปเพรียวเรียวสวยเหมือนเดิมนั้น ผิดกฎแห่งกรรมครับ... เราสร้างเค้ามานาน กว่าจะเอาเค้าออก ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกันครับ กำลังใจเท่านั้น ที่จะทำให้เราสู้ต่อไป เราอาจจะไม่สังเกตุเห็นผลวันนี้ แต่พอสักเดือนสองเดือนผ่านไป กับการทานอาหารอย่างมีระเบียบวินัย และออกกำลังกายถูกวิธีสม่ำเสมอ ไม่ช้า เราจะได้เห็นตัวเราเองที่เป็นคนใหม่ บุคลิกรูปร่างดีขึ้นครับ ผมคงจบแค่เท่านี้ก่อนล่ะครับ ถ้าใครมีข้อสงสัยอะไรจะรีบมาตอบนะครับ ^ ^ จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 14:48:51

ความคิดเห็นที่ 25 เพิ่มเติมให้ครับ เผื่อมีคนสงสัยอยากรู้ ว่ามนุษย์ สามารถ "ลดน้ำหนัก" ได้ขนาดไหน ขอให้ดูภาพต่อไปนี้นะครับ.... จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 14:52:47

ความคิดเห็นที่ 26 Christian Bale เจ้าของบทบรู๊ซ เวนย์ Batman นั่นเองครับ เค้าล่ำบึ้กขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ ในบท The Machinist เค้าลดได้ถึงขนาดนี้เลยครับ........ จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 14:56:18

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณสำหรับสาระครับ.... กำลังหาวิธีลดน้ำหนักอยู่เลยครับ.... แล้วที่บอกหลายๆคนมักจะเชื่อผิดๆ.... ผมรู้สึกว่าผมก็เป็นเหมือนหลายๆคนเลยอ่ะครับ....เข้าใจผิดซะเยอะ จากคุณ : aristoTuEY เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 15:03:03

ความคิดเห็นที่ 28 Christian Bale เค้าลดโดยการ อดอาหารครับ อดอาหาร ทานแต่วิตามิน และสารอาหารเท่าที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตครับ... ถ้าถามว่าเค้าหิวมั้ย.... ผมว่าเกินจะบรรยายเลยครับ... และอันตรายมากด้วย เพราะมันสร้างภาระให้ร่างการสาหัสเลยครับ ถึงบอกว่าของแบบนี้มันอยู่ที่ใจครับ มนุษย์เรา ลดได้ แค่ คุณกล้า คุณมีกำลังใจพอ ที่จะทนกับมันได้หรือเปล่า ยิ่งอยากลดเร็ว ลดเยอะ ยิ่งทรมานครับ ถ้าอยากลดแบบไม่ทรมาน ก็ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และยาวนานครับ สู้ๆในการลดน้ำหนักนะครับ :) จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 15:05:56

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณมากจริงๆนะคะ =)) จากคุณ : lady [V] เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 16:33:38

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณมากๆค่ะ ได้ความรู้มากเลย เดี๋ยวเอาไปปรับใช้บ้าง ตอนนี้กินผิดๆถูกๆอยู่เลย - -" จากคุณ : cassecou เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 17:18:26

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณมากค่ะ จขกท นี่เป็นทู้ยาวทู้แรก ที่เราอ่านทุกตัวทุกบรรทัด อย่างตั้งใจ จะนำไปปรับใช้นะคะ แต่เราเป็นคนที่กลางวันจะทานน้อย แต่ตกดึกจะหิวและต้องทานก่อนนอนตลอดเลย (ไม่งั้นจะหิวจนนอนไม่หลับ) ทำจนติดมาสองสามปีแล้ว ตอนนี้น้ำหนักขึ้นอย่างน่าใจหายค่ะ Y_Y ไม่รุ้จะแก้นิสัยแบบนี้ยังไงดี เฮ้อ เคยลองไม่ทานไรเลยก่อนอนดู แต่ก้หิวจนนอนไม่หลับ - -" ถ้ามีอะไรที่ไม่มีไขมัน แต่ทานแล้วไปพองในท้องไม่รู้สึกหิวก้คงดี แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 52 17:48:17 จากคุณ : Kinder's~RuleS เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 52 17:46:23

ความคิดเห็นที่ 32 มาสนับสนุน ที่บอกว่า ให้ทานช้า ๆ ค่อย ๆ เคี้ยว จะทำให้อิ่มเร็วและทานได้น้อย  ผมเองก็พึ่งจะได้พิสูจน์กับคำพูดนี้ครับ ตอนที่ไปฝึกปฏิบัตกรรมฐานที่วัดดอน  ตอนนั้นให้ฝึกการกินข้าวโดยกำหนดรู้ ผมก็ค่อย ๆ เคี้ยวครับ จนละเอียด จากที่หิวข้าวสุด ๆ แบบว่า 2 จานนี่คงจะไม่พอกินแน่ ปรากฏว่า กินข้าวไปประมาณ 7 คำได้มั้งครับจำไม่ค่อยได้ อิ่มครับอิ่ม ผมก็ งง เห้ย เมื่อกี้โมโหหิวแบบว่า 2 จานนี่สบาย ๆ เลยนะ ใครอยากจะควบคุมอาหารละก็ ค่อย ๆ กินครับ เคี้ยวให้ละเอียด รับรองจะกินพออิ่มจริง ๆ แต่ต้องใช้เวลาในการกินสักหน่อยเท่านั้นเองครับ อยากจะถาม จขกท ครับการที่เราวิ่งที่ลู่วิ่ง 10 นาทีแล้วมาพักโดยการ ปั่นจักยาน อีก 20 นาทีขึ้นไป  มีผลในการลดไขมัน หรือไม่ครับ หรือมากน้อยแค่ไหน ..... หรือถ้าเราจัดเซ็ตการออกกำลังกาย หนักบ้าง เบาบ้าง รวม ๆ แล้ว 30-60 นาที มีผลในการลดไขมันหรือไม่ครับ จากคุณ : เตี้ยจัง เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 10:38:38

ความคิดเห็นที่ 33 ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่ "ใจ" จริงๆค่ะ ว่าแล้วก็ไปพยายามต่อไป T__T จากคุณ : lonelytoto เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 15:14:49

ความคิดเห็นที่ 34   รู้ทุกอย่างแต่ทำไม่ค่อยได้ จากคุณ : เพียงแค่ฝันดี เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 15:33:57

ความคิดเห็นที่ 35 เป็นประโยชน์มากเลย ไล่อ่านแต่ต้นยันจบ ผมก็เคยลดมาหลายวิธีไม่ลงสักที ยิ่งตอนอดอาหารแล้วแบบว่าสุดๆ ตบะแตกทีก้เลิกลดที จนน้ำหนักพุ่งขึ้นมาเรื่อยๆ ทะลุสามหลัก จนวันนึงมาเจอวิถี Fast-5 และลองปฏิบัติดูปรากฎว่ามันได้ผลดีจนตอนนี้หุ่นเพรียวแล้ว แต่ต้องไปฟิตให้บึกขึ้นกว่านี้อีก ปกติผมจะอัพเดทอยู่คลับลดน้ำหนัก จึงขออนุญาต จขกท โพสลิงค์นิดนึงนะครับเผื่อมีสนใจหรือจะเป็นแรงขับดันได้ http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L8427241/L8427241.html จากคุณ : องค์ชายกำมะลอ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 16:06:26

ความคิดเห็นที่ 36   ผมกำลังลดความอ้วนอยู่ครับ ทานอาหารให้น้อยลงแล้ว+กับออกกำลังกาย จาก103.5กิโลมาเป็น 101.3 ภายใน1อาทิตย์ครับ เหนื่อยตอนออกกำลังกายแต่หายเหนื่อยก็ตอนชั่งน้ำหนักเนี้ยละ อิอิ จากคุณ : ขอลดอีก 30กิโล (เศษหัวใจใครจะเอา) เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 17:03:41

ความคิดเห็นที่ 37 กระทู้โดนใจจจจจจจจจ กำลังลดอยู่นี่ แต่มันขึ้น ๆ ลง เฮ้ออออออออ จากคุณ : **หิมะใต้พระจันทร์** เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 17:40:07

ความคิดเห็นที่ 38 Christian Bale เค้าลดไปทำไมอ่ะคะ ก่อนหน้านี้ก็หุ่นดีออก จากคุณ : crazybaboon เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 17:43:35

ความคิดเห็นที่ 39 ใครลดความอ้วนอยู่ เชิญเข้าไปคุยกันได้ในคลับลดความอ้วนนะคะ ^-^ http://diet.pantipmember.com จากคุณ : เป็นกำลังใจให้คุณ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 17:57:09

ความคิดเห็นที่ 40   ได้ความรู้เพิ่มความมั่นใจอีกแล้วค่ะ พอดีกำลังลดน้ำหนักอยู่เลยน่ะค่ะ แต่กำลังฝึกทานอาหารที่ดีๆ มีประโยชน์ โดยการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่น่ะค่ะ ก็พยายามทำแบบที่คุณใหม่ว่านั่นแหละค่ะ เห็นผลช้ามากค่ะ น้ำหนักไม่ค่อยลดทันใจ แต่รูปร่างเราโอเคขึ้นมากกว่าเดิมมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่นำความรู้มาแบ่งปันกัน จากคุณ : เพื่อนคนใหม่ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 17:58:34

ความคิดเห็นที่ 41 ความอ้วนจงเจริญ จากคุณ : La Gioconda เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 18:06:40

ความคิดเห็นที่ 42 เข้ามาเก็บข้อมูลไปประยุกต์ใช้ จากคุณ : samapapa เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 18:09:29

ความคิดเห็นที่ 43 กำลังลดเลยค่ะ  น้ำหนักขึ้นมาห้ากิโล  ใส่กางเกงไมได้แล้ว.... รู้สึกอึดอัดมาก  พุงเป็นชั้นๆ หน้ากลมดิ๊กเลยตอนนี้ อ่านแล้วฮึด  สู้ๆ! สงสัยค่ะ  ทำไมเวลาคนหิวแล้ว  พอไม่ได้กิน  มันจะหายหิวล่ะคะ? แบบนี้ถ้าไม่กิน  มันจะอันตรายหรือมีผลกระทบยังไงรึป่าว? จากคุณ : ธราธาร เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 20:30:14

ความคิดเห็นที่ 44   ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ ดีจังได้รู้ข้อมูลอะไรดีๆ เพิ่มขึ้นเยอะเลย จากคุณ : สวรรค์บันดาล เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 20:39:50

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณมากๆครับ ข้อมูลเป็นประโยชน์มากๆ ตอนนี้ผมก็อยู่ในช่วงอ้วนที่สุดในชีวิต *-* เมื่อเดือนก่อนชั่งน้ำหนัก ได้ตั้ง 89 กิโล ผมสูง 182 cm ครับ ก็เลยพยายามออกกำลังกายมากขึ้น แม้จะต้องฝืนอาการเจ็บเท้าที่เป็นอาการประจำก็ตาม ตอนนี้ก็ได้แค่วิ่งเบาๆวันละ สามสิบนาที มันก็ยังไม่เหนื่อยมากหรอกครับ แต่เท้าผมมันเจ็บแล้ว *-* กลัว่าถ้าฝืนนานกว่านี้อาการเอ็นข้อเท้าอักเสบจะกำเริบอีก หนึ่งเดือนผ่านไปลดมาได้สองกิโลเองครับ เหลือ 87 เศร้า แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 52 21:09:35 จากคุณ : nickyagape เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 21:08:40

ความคิดเห็นที่ 46 เป็นกระทู้สุขภาพ  เหมาะที่จะเป็นกระทู้แนะนำโดยแท้จริงค่ะ^___^ จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 21:30:05

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณความรู้ดีๆค่ะ คุณใหม่คะ ตาม  คห.9 อย่างนี้ถ้าเราทานแป้งและน้ำตาลน้อยๆ แต่เน้นผักประเภทใยสูงๆแทน แล้วทานยาลดน้ำตาลในเลือดช่วยอีกแรง แบบนี้จะลดน้ำหนักได้เร็วใช่ไหมคะ ทำแบบนี้จะดีไหมคะ จากคุณ : miscellaneous เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 21:49:58

ความคิดเห็นที่ 48 ^ ^ ความคิดเห็นที่ 38     Christian Bale เค้าลดไปทำไมอ่ะคะ ก่อนหน้านี้ก็หุ่นดีออก จากคุณ : crazybaboon ^ ^ คุณเบลเขาต้องลดน้ำหนักเพื่อเล่นหนังครับ เรื่องนั้นเขาเล่นเป็นคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับมั้ง (ถ้าจำไม่ผิด) แต่หลังจากเล่นเรื่องนั้นแล้ว ก็เล่นเรื่องต่อๆ มาคือ Batman begin, Dark Knight, Terminator4 ก็เป็นอย่างที่เห็นในภาพแรกเลยครับ คือเค้าค่อนข้างจะทุ่มเทให้กับบทมากๆ เลยน่ะ จากคุณ : ม้าเหล็ก (ม.ม้าขาสั้น) เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 21:51:28

ความคิดเห็นที่ 49 เราอ้วนเป็นช้างน้ำ.....ชอบที่ตัวเองตัวนิ่ม แต่พุงเกะกะจัง จากคุณ : Mrs.Reda เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:21:36

ความคิดเห็นที่ 50 ฮูเร คนอ้วนจงเจริญ.....ด้วย จากคุณ : Mrs.Reda เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 22:52:08

ความคิดเห็นที่ 51 โอ๊ะโอ... ไม่มาดูวันนึง ได้ขึ้นกระทู้แนะนำด้วยแห่ะ แอบดีใจ ฮาๆๆ คุณ คห.32 มีผลครับ ผมว่าเป็นวิธีที่ดีเลยนะ ทำต่อเนื่องและทานอาหารดีดี ไม่นานก็ได้ผลครับ คห.43 ร่างกายเรามีกลไกรักษาระดับน้ำตาลในเลือดตามที่กล่าวไว้แล้วครับ แต่การที่เราหิวเป็นเวลานั้นมันมีกลไกที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้นอีกครับ ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่ทราบในรายละเอียดมากนัก ทว่าถ้าเราหิว นานๆ แล้วเราไม่ได้ทาน ร่างกายจะรับรู้ครับ ว่าเราไม่อยู่ในสภาพที่มีอาหารพร้อมทาน ร่างกายจะค่อยๆปรับเรื่องการหลั่งน้ำย่อย และระดับน้ำตาลในเลือดจะถูกปรับให้กลับสู่สภาพเดิมครับ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเราจะย่อยจนกระเพาะตัวเองทะลุ (แต่ไอ้ส่วนที่ย่่อยไปแล้วตอนที่หิวนั้นก็ยังมีปัญหาอยู่ดี ทำให้ถ้าอดบ่อยๆก็เป็นโรคกระเพาะครับ) และน้ำตาลในเลือด ถ้าต่ำเกินไปนี่ก็อันตรายถึงตายครับ ดังนั้น ต่อให้ไม่ทานอะไรเลย ถ้าทนหิวได้ ร่างกายจะปรับกลัสู่สภาวะสมดุลอีกครั้ง เลยหายหิวครับ จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 00:00:02

ความคิดเห็นที่ 52 คห.47 ยาลดน้ำตาลในเลือด ถ้าไม่จำเป็นอย่าทานเลยครับ.. ผมเป็นคนหนึ่งนะ ที่เชื่อว่าสิ่งที่ธรรมชาติให้มานั้นดีที่สุด ทำอะไรเป็นธรรมชาติดีกว่าครับ ส่วนเรื่องอาหาร ทานพออิ่ม ทานพอดี แค่นั้นก็ช่วยได้เยอะแล้วล่ะครับ ที่เราอ้วนๆกันปัจจุบันนี้เพราะเราทานตามใจปากกันเกินไป (ผมเองก็บางครั้ง ฮาๆ) จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 00:07:24

ความคิดเห็นที่ 53 "หนึ่งเดือนผ่านไปลดมาได้สองกิโลเองครับ เหลือ 87 เศร้า " จะเศร้าไปทำไมครับ ถ้าคุณน้ำหนักไม่เพิ่มก็ถือว่าดีแล้ว ถ้าลดเดือนละ 1 กก 1 ปีก็ได้ 12 กก แล้ว 2 ปีก็ได้ 24 กก คงเหลือ 67 ใน 2 ปี แต่คุณทำได้หรือเปล่าแค่ 1 กก ต่อเดือน ต่อให้คุณลดได้ 2 กก ต่อปี และทำได้ตลอด จนเหลือ 70 กก ผมก็ว่าคุณประสพผลสำเร็จแล้ว ไม่มีอะไรจะน่าเศร้า ที่ควรน่าเศร้าคือ เห็นลดได้แค่ 2 กก ใน 1 เดือน แล้วเลิกออกกำลังกาย เลิกคุมอาหาร น้ำหนักกลับมาเหมือนเดิม หรือ มากกว่าเดิม แบบนี้มีมากจนนับไม่ถ้วน น่าเศร้าจริงๆ ปล ผมใช้เวลา 1 ปีเต็ม ลดน้ำหนักจาก 70 เหลือ 66 เมื่อ 10 ปีก่อน แบบไม่ได้ตั้งใจลดจริงจัง แค่คุมอาหาร ไม่ตามใจปาก และออกกำลังทุกวัน จากใส่กางเกงเอว 34 ก็มาใส่เอว 32 ได้ คือดูผอมแต่เอวใหญ่มากๆ 555 ตอนนี้ก็ยังเอว 32 อยู่แต่น้ำหนักเพิ่มเป็น 68 แล้ว เพราะเล่นเวทเสริมส่วนบนให้แข็งแรง อย่าลืมกล้ามเนื้อหนักกว่าไขมันนะครับ สร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นเอง จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 00:46:04

ความคิดเห็นที่ 54 เ่อ่อ  เท่าที่ทราบมานะคะ   การลดความอ้วนเนี้ย  จะใจร้อนไม่ได้เลย  การลดได้สัปดาห์ละ 0.5 กิโลกรัม  ถือว่ากำลังดีต่อร่างกายนะคะ  ไม่ทำให้ร่างกายโทรมจนเกินไป  กล้ามเนื้อ ผิวหนัง  ก็จะได้ค่อยๆ ปรับสภาพด้วย  ไม่ใช่ว่าพอผอมแล้ว  ก็กลายเป็นว่ามีปัญหาผิวเสียอีก  (เช่น เหี่ยว ผิวลาย เป็นต้น) อ่า  แฟนเราก็อ้วนล่ะ  หึหึ  ตอนคบใหม่ๆ นี่ยังกะพระเอกซีรีย์เกาหลี (เพื่อนเรานี่ชมกันใหญ่  ไม่อยากให้เห็นสภาพตอนนี้เล้ย  ท่าจะช็อคกันไปเลยมั้ง)  ตอนนี้กลายเป็นเสี่ยไปล่ะ  - -"  งงอยู่ว่านี่คนเดียวกันเหรอ (วะ) เนี้ย  555 กำลังคิดว่าถ้าวิกฤมากๆ เราจะบังคับแกมขู่เข็ญให้เข้าสถาบันลดน้ำหนักล่ะ  ดีรึป่าวไม่รู้  กำลังหาข้อมูลอยู่เหมือนกัน จากคุณ : Queen_Devil เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 01:01:30

ความคิดเห็นที่ 55 ผมเล่าประสบการณ์ชีวิตให้ฟังก็แล้วกันครับ สมัยก่อนผมเอว 35 นิ้ว ถือว่าใหญ่แล้วสำหรับผม ช่วงนั้นรู้สึกตัวเองท้วมๆครับ ทีนี้ด้วยแรงบันดาลใจบางอย่าง ซึ่งผมเองก็ลืมมันไปแล้ว ทำให้ผมตั้งใจที่จะลดน้ำหนักครับ วิธีที่ผมใช้นั้นคือการ "อดอาหาร" ผมทานสลัดน้ำใส วันละ 1 มื้อ ตอนเช้า แล้วไม่ทานอะไรอีกเลยทั้งนั้น กินกรรมที่ทำในแต่ละวันก็พยายามเพิ่มการใช้พลังงานให้มากขึ้น จากที่เคยขึ้นรถ ก็เดินเอาวันละไกลๆ วันไหนไหวก็วิ่งออกกำลัง ทั้งๆที่ไม่ทานอะไรนอกจากสลัดน้ำใสนั่นล่ะครับ... เวลาผ่านไปไม่นาน ร่างกายก็เริ่มโทรมครับ เริ่มเป็นลม เริ่มไม่ไหว แต่ผมก็ยังฝืนครับ ทั้งๆที่รู้ว่าจะหิวจนเป็นลม ก็ยังไม่ยอมทานอะไรนอกจากสลัดตอนเช้า ทั้งๆที่เดินจะไม่ไหว ก็ยังพยายามเดิน เรียนไม่ไหวเลยครับ ได้แต่นอนอย่างเดียว ผ่านไปสองเดือนครึ่งครับ... เอวผมเหลือ 26 นิ้ว... ผอมจนโดนสงสัยว่าติดยา... จนโดนทักนั่นล่ะ ผมถึงได้มามองตัวเองว่า นี่น่ะหรือ รูปร่างที่ผมต้องการ? แล้วจึงสำนึกได้ว่าผมลดเกินไปเสียแล้ว กางเกงทุกตัวที่มีต้องเปลี่ยนใหม่หมด ได้โรคกระเพาะเรื้อรังที่จนปัจจุบันก็ยังตามมาหลอกหลอนเป็นของรางวัลความพยายาม กับบทเรียนราคาแพงที่แลกมาด้วยสุขภาพ และสิ่งที่จำขึ้นใจคือ คนเราผอมได้ ถ้าพยายาม.... แต่ถ้าไม่อยากทรมาน... อย่าอ้วนมันซะแต่แรกดีกว่าครับ.. มันทำได้จริงๆครับ เอวลดไปจะ 9 นิ้ว ในสองเดือนครึ่ง...แลกกับสุขภาพของตัวคุณเอง แต่ผมพิสูจน์แล้วครับ... มันทำได้จริง.. จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 02:48:48

ความคิดเห็นที่ 56 เขียนได้ดีค่ะ อ่านแล้วเข้าใจง่าย และสร้างกำลังใจให้กับคนที่เจอกับปัญหา   แต่อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ หลายคน รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังกินทั้งนั้น ต้องร้องเพลง ก็ทั้งๆ ที่รู้...อยู่ (เก่าไปไม๊เนี่ย ) แต่ผอมแบบนี้ อิฉันคนหนึ่งแหล่ะ ไม่เอาด้วยหรอก!!!! จากคุณ : ก๋าสะลองเงิน เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 04:39:14

ความคิดเห็นที่ 57 เข้ามากระทู้นี้ได้ความรู้เยอะเลย ขอบคุณค๊าบ จากคุณ : Love in the mist เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 07:33:27

ความคิดเห็นที่ 58 เพื่อนผม ว่า อยากผอมง่ายมาก ถ้าทำใจได้ ออกกำลังกาย 30 ควบคุมอาหาร 70 จากคุณ : แก้วคุง เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 07:37:28

ความคิดเห็นที่ 59 โอ้ กระทู้โดนใจแห่งปีครับ คือแบบ กำลังลดน้ำหนักอยู่ แต่เป็นอย่างที่คุณ จขกท.บอกแป๊ะๆเลยครับ ขออนุญาตนำคำแนะนำไปทำตามนะครับ ^^ จากคุณ : น้าเปี๊ยก เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 10:41:59

ความคิดเห็นที่ 60 ตอบคุณ K.Senior ตอนี้ผมก็ออกกำลังกายปกติครับ ก็ไม่ตามใจปากเหมือนเดิม ที่บอกว่าเศร้าก็เพราะว่าเราน่าจะออกกำลังกายได้มากกว่านี้ เพราะสภาพเท้าผมไม่อำนวยก็เลยอกได้แค่นี้จริงๆ เพื่อเซฟเท้าตัวเอง เหอๆ แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ซีเรียสมากครับ ค่อยๆลดไม่หักโหม เข้าใจครับว่าน้ำหนักมันไม่ได้ลงง่ายๆ เพราะเวลามันขึ้นเราไม่ได้สนใจเอง 555 แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 52 11:16:40 จากคุณ : nickyagape เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 11:04:41

ความคิดเห็นที่ 61 ขอบคุณมากค่ะ ^^ จากคุณ : mswis เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 12:03:45

ความคิดเห็นที่ 62 พูดง่าย ทำยาก มากกกก จากคุณ : คนหัวฟู เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 12:04:48

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ จขกท จากคุณ : Pnene เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 14:26:17

ความคิดเห็นที่ 64 ตอนแรกผมผอมมากใส่เสื้อเบอร์ s ได้เลย แต่พอเรียนจบพุงก็บวมขึ้นมา เพราะว่าถ้าไม่กินก็ไม่มีแรง จนต้องใส่เสื้อ XL เท่านั้น ไม่งั้นพุงมันดันเสื้อ เลยต้องปรับพฤติกรรม ที่อยากแนะนำมีดังนี้ 1.ลดน้ำอัดลม - อันนี้ตัวดีเลย  วิธีที่น่าจะช่วยได้คือพกน้ำเปล่าติดตัวถ้ากระหายก็หยิบซดได้เลย เพราะถ้าไปซื้อร้านจะพาลซื้อน้ำอัดลม -*- 2.ลดเบียร์ - ถ้าจะปาร์ตี้ก็พยายามอย่าทานเบียร์ ถ้าจะทานก็อย่าให้มาก ที่สำคัญคืออย่าบ่อยดีกว่า อย่างที่ จขกท.กล่าว ชุดใหญ่ไม่เลวร้ายเท่าบ่อยๆ 3.ทานต่อมื้อให้น้อยลง - ตอนที่บวมๆนี่เวลาทานท้องต้องตึงไม่ตึงไม่เลิก แต่ตอนนี้กินพอแค่อิ่ม ไม่ถึงกับต้องท้องตึง จากสั่งพิเศษก็เป็นธรรมดา 4.เลิกกินจุบจิบ - ที่ทำงานของท่านมักจะมีผู้ใจบุญเอาของกินมาวางที่ส่วนกลางใช่ไหม?? พอมีของฟรีก็มักจะหยิบกิน นั่นล่ะ เลิกซะ 5.เลิกทานอาหารขยะ - กินเอาอร่อยนานๆทีก็ไม่เลว แต่ถ้าทานเป็นดินเนอร์ทุกเย็นหรือพาแฟนเข้าร้านแบบนี้ตลอดทุกอาทิตย์รับรองพากันบวมคู่แน่ 6.ออกกำลังกาย - อันนี้เพิ่งเริ่มทำเลยไม่รู้จะแนะนำยังไงดี รอฟังผู้รู้บอกเคล็ดอยู่เหมือนกัน จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 14:36:14

ความคิดเห็นที่ 65 #64 เป็นสิ่งที่ผมทำ ความเห็นนี้จะเล่าถึงสิ่งที่เป็นอยู่และอยากขอคำปรึกษาจากผู้รู้ให้ช่วยหน่อยเพราะคิดว่ามาถูกทางแล้วแต่ยังติดปัญหาอยู่นิดหน่อย คือผมเมื่อก่อนตัวผอมมากก็อยากล่ำเหมือนผู้ชายคนอื่น ตอนที่ตัวบวมขึ้นมาก็ดีใจว่าตัวหนาขึ้นแล้ว เย้ๆ แต่สิ่งที่ไม่พึงประสงค์คือ มันมีพุงติดมาด้วย -*- เลยพยายามควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ทีนี้ตัวมันก็กระชับขึ้น ไม่บวมบึ้กกำลังดีอย่างที่อยากได้เลย แต่พุงไม่เรียบครับพี่น้องครับ คือข้างในมีกล้ามเนื้อมันแข็ง แต่ไขมันยังไม่หมด มันยังนูนอยู่ เลยอยากขอคำปรึกษาจากผู้รู้หน่อยครับว่าเราจะลดพุงได้โดยการออกกำลังกายชนิดไหนอย่างไรบ้างครับ ที่ผมทำอยู่ตอนนี้คือ ซิทอัพ แล้วก็เตะต่อยเข่าศอกใส่ลมเอาน่ะครับ แขนขาไหล่หลังขากำลังได้ที่แล้วแต่พุงยังไม่ลดเลย T-T วอนผู้รู้ช่วยทีครับ จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 14:47:06

ความคิดเห็นที่ 66 กระทู้นี้ดีจังคะ ตอนนี้ลดอยู่คะ พุงโตเหลือเกิน กินสูตรพระราชทานอยู่คะ เพราะก่อนหน้านี้หลังจากที่คลอด สามารถลดได้ เดือนนึง 3 โล แต่มีอ้วนอีกก็เลย ต้องเริ่มใหม่  บอกคำเดียวคะ ว่าถ้าจะลด ต้องใจแข็งมากๆ จากคุณ : ลูกกาหยูของแม่นก เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 14:55:36

ความคิดเห็นที่ 67 ตอบ คห.65 ครับ sit up ไม่ช่วยลดหน้าท้องครับ ยกเว้นเราจะซิทวันละเป็นพันครั้ง ซึ่งมันทำไม่ได้หรอกครับ... sit up จะเสริมสร้ามกล้ามเนื้อ อย่างที่เห็นว่ามีกล้ามแข็งอยู่ภายใต้นั่นล่ะครับ แต่เนื่องจากเพศชาย ฮอร์โมนของเราจะระบุว่าสถาะที่เก็บไขมันแรกสุดอยู่ที่รอบเอว (ผู้หญิงจะไปขาและสะโพกก่อน) เราจะลดพุงก็ต้องลดไขมัน ด้วยรรมวิธี fat burn ต่างๆนั่นล่ะครับ จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 15:30:35

ความคิดเห็นที่ 68   ปั่นจักรยาน ดีป่าวครับ วันวันปันสัก 20-30กิโล น่าจะช่วยได้เยอะเลย ^^ ช่วงนี้แถวบ้านผม จักรยานเยอะมากๆ วันๆมีหลายร้อยคันเลยอาจถึงพันคัน(ผมอยู่บางแสน) ดูแล้วการปันจักรยานเนี้ย เข้าสูตร ออกกำลังกายแบบ หนักสลับเบาเลยครับ เพราะทางตรงก็ค่อยๆปั่นไป ขึ้นเนินทีก็หนักเอาการ แต่ถ้าคน กทม ก็แย่หน่อยนะครับ หาที่ปั่นจักรยานคงอยากกว่า ตจว อย่างบ้านผม จากคุณ : Nioka เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 52 22:39:15

ความคิดเห็นที่ 69 เข้ามาร่วมด้วยคนครับ หลังจากที่ลดไปได้เมื่อต้นปี ตอนนี้มันกลับมาแล้วครึ่งนึง หะหะ ดีที่คอยพยุงไว้ได้โดยไม่ให้มันพรวดๆขึ้นไป คือผมหนักร้อยกว่าโล (สูง 180) วิ่งแล้วปวดเท้า เลยใช้วิธีเดินเอาแทนครับ เดินประมาณ 4 กิโล หลังอาหารเย็น เป็นคนติดเดินมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ (เลยไม่ค่อยมีโรคภัยอะไรเท่าคนที่อ้วนแผละ) ช่วงนี้ซื้อ Wii มาแล้ว ตีเทนนิสทุกวันเลย แหะๆๆ จากคุณ : CARAGIO เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 03:49:36

ความคิดเห็นที่ 70 เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ความหิวนี่แหละตัวดี หิวมากกินไม่คิดชีวิตเลย และก็กินเร็วด้วย  อิฉันซัดไปสองจาน คุณพ่อบ้านเพิ่งจะครึ่งจาน คราวนี้ก็โมโหสิคะ เพราะอ้วนอยู่คนเดียว ฮ่าๆๆๆ พ่อบ้านบอกว่าคุณไม่ต้องลดความอ้วนหรอก แค่ทานให้น้อยลงเดี๋ยวก็ผอมเอง จากคุณ : Fru Huldra เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 06:20:22

ความคิดเห็นที่ 71 เมื่อก่อนตอนมัธยมน่ะนะ เราก็อ้วนเหมือนกัน (ตามความเห็นคนทั่วไป คือ 48-50 สูง 156) เเต่พอเรียนมหาลัยเท่านั้นเเหละ ทำไมมันลดลงเรื่อยๆ อ่า คงมีอยู่อยู่ช่วงหนึ่งอาหารเป็นพิษ ท้องเสีย ได้นอนโรงพยาบาล น้ำหนักลดฮวบเหลือ 43 จากนั้นก็ไม่อ้วนอีกเลย ลดลงอีกด้วยซ้ำ (ตอนนี้36-38 ไม่เคยเกินนี้นะ)เเต่ก็กินเยอะเหมือนเดิม กินสิ่งที่ชอบ เรากินได้หมดทุกอย่าง เเต่จะชอบออกกำลังกาย ชอบทำงาน ไม่ชอบอยู่นิ่ง จนตอนนี้อยากอ้วนมากมาย หาเสื้อผ้าใส่ยากค่ะ ทำทุกอย่างที่เค้าว่าจะทำให้อ้วน ก็ไม่เห็นจะอ้วนขึ้นเลย กลุ้มใจเหมือนกัน นี่ก็ว่าจะปรึกษาหมออยู่ อยากให้อ้วนกว่านี้อีกนิดนึงอ่ะค่ะ....................... จากคุณ : แฟนฉันเป็นลิง เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 06:35:22

ความคิดเห็นที่ 72 โพสรูปเสริมสร้างกำลังใจ จากคุณ : giang_au เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 12:28:47

ความคิดเห็นที่ 73 แต่ว่า ตอนนี้ ไม่ได้ทำใหม่ บางลงอีกนิดค่ะ ป.ล. ชุดเดิม 555 แวะมาที่ dietclub กันนะคะ ตอนนี้ 104-62 = 42 โลที่หายไป รูปนี้หนัก 62 ค่ะ สูง 170 ก็ช่วงนี้แอบอวบมาอีกสองโล เป็น 64 แหะๆ รู้สึกผิด แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 52 15:36:27 แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 52 15:35:41 แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 52 12:32:46 จากคุณ : giang_au เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 12:32:21

ความคิดเห็นที่ 74 แล้วถ้า ไม่ได้อ้วน แต่ลงพุง นี่ คือ ภายนอกดูผอมนี่แหละ แต่ลงพุง จัดว่าเป็นคนอ้วนไหมครับ จากคุณ : หมีน้อยร้อยรัก เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 14:30:09

ความคิดเห็นที่ 75 ขอบคุณครับ กำลังคิดจะลดพุงอยู่พอดี ถ้าปั๋นจักรยาน ต้องได้วันละกี่กิโลเป็นอย่างน้อยครับ จากคุณ : Dr.GTO เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 14:35:27

ความคิดเห็นที่ 76 ปั่นจักรยานเป็นวิธีที่ดีครับ ช่วยได้เยอะเลย บางคนไม่ชอบวิ่งเพราะเห็นว่าน่าเบื่อ หันมาปั่นจักรยานแทนก็ดีครับ ดูสบายๆ แล้วก็ได้ผลกว่าที่คิด ปั่นขึ้นลงเนินก็เป็นการออกกำลังหนักสลับเบาตามที่ว่าแหล่ะครับ ทำได้เป็นประจำนี่รักษาหุ่นได้ดีนะ อีกทั้งการทรงตัวบนจักรยานก็ช่วยในการกระชับกล้ามเนื้อด้วยครับ จักรยานจริงจะดีกว่าจักรยานที่ปั่นอยู่กับที่ก็ตรงนี้ล่ะครับ คุณ คห.69 สูง 180 หนักร้อยกว่าๆนี่อาการปวดเท้าจะเป็นเรื่องปกติครับ รีบลดแต่ตอนนีเป็นเรื่องดีเพราะถ้าปล่อยให้พุ่งไปจะมีปวดเข่าเพิ่มให้อีกรายการครับ ถ้าปกติเป็นคนไม่จับเจ่าอยู่กับที่อยู่แล้ว ใส่ใจเรื่องอาหารการกินอีกนิดก็จะลดได้แบบต่อเนื่องครับ คห.72 สามสิบกว่าโล!! สุดยอดเลยครับ ขอแสดงความนับถือด้วยคน คห.74 เป็นปัญหาของผู้ชายครับ ถ้าไม่เกินไปก็ยังไม่นับว่าอ้วนครับ แต่ถ้าป่องเป็นคนท้องแล้วล่ะก็ต้องระวังแล้วครับ การสะสมของไขมันในแต่ละคนจะแตกต่างกันครับ เป็นเรื่องของพันธุกรรม แต่ตามธรรมชาติแล้วเพศชายมักออกพุงก่อน จะเริ่มไปสะสมที่อื่นต่อเมื่อไรนี่ขึ้นกับแต่ละคนครับ แต่การลงพุงจะมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับการรับภาะน้ำหนักของร่างกายที่ทำให้ข้อเท้าข้อเข่ามีภาระครับ ในระยะยาวก็ไม่ดีเช่นกันครับ อย่างที่ว่า ความอ้วนไม่ได้มีผลแต่กับบุคลิกภาพครับ แต่เป็นปัญหากับสุขภาพเช่นกัน ถ้าแค่หน้าท้องไม่แบนราบ ไม่มี six pack แบบนั้นไม่เป็นปัญหาครับ เป็นความพึงพอใจของแต่ละคน แต่ถ้าป่องเป็นคนท้อง แขนขาต่อให้ยังเล็ก แต่เริ่มเดินอืดๆแล้ว นี่ก็ต้องมาพิจารณากันอีกทีครับ คุณ คห.75 ไม่อยากให้พิจารณาเป็นระยะทางครับ เอาเป็นเวลาจะดีกว่า พยายามเล่นน้อยๆ แต่นานๆครับ ถ้าเมื่อยล้าปวดขาเกินไป แสดงว่าเราออกกำลังผิดละครับ โดยส่วนใหญ่คนที่คิดจะวัดเป็นระยะทาง เช่นคนวิ่งรอบสนามบอลนับรอบเอา มักเกิดอาการ "เร่ง" เพื่อให้เสร็จเร็วๆครับ มักนำไปสู่การออกกำลังแบบ anaerobic ที่ให้ผลในการลดไขมันไม่คุ้มค่าเหนื่อยครับ เปลี่ยนเป็น ปั่นชิวๆ เรื่อยๆ ไม่หยุด สักวันละ 30 นาที อะไรแบบนี้ได้ผลคุ้มค่าเหนื่อยกว่าครับ จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 15:31:49

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบคุณครับ สำหรับข้อแนะนำ เพิ่งรู้เกี่ยวกับผลเสียจากการงดคาร์โบไฮเดรต ^ ^ นะเนี่ย  ของผมก็เคยลดน้ำหนักแบบตามสูตรที่เขาว่ากัน ก็ลดได้3เดือนจาก 130 เป็น 102 (ตัวผมสูง182 รูปร่างใหญ่ครับ อายุ17) แต่ หลังๆ เครียดกับพวกการสอบไม่ไ่ด้ทำตามสูตร กับชอบกินของว่างตอนอ่านหนังสือ  กลายเป็นพุ่งจากเดิม เป็น130ปลายๆซะหละ T T เคยให้หมอดูก็บอกเป็นคน metabolic rate ต่ำ กินนิดเดียวก็อ้วนหละ ไม่รู้มีวิธีแก้ให้ ระบบmetabolic rate สูงๆได้ไหม เห็นแล้วก็อิจฉาพี่ชายตัวเอง กินเยอะกว่าผมเยอะแยะ สูง 183 น้ำหนักแค่ 65 แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 52 17:46:56 จากคุณ : Buddychans เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 17:45:16

ความคิดเห็นที่ 78 มาให้กำลังใจครับ ^^ ผมได้ทั้งกรรมพันธุ์เบาหวาน metabolism ต่ำ แล้วก็เป็นทานยาโรคภูมิแพ้ด้วยครับ แถมออกกำลังกายมากไม่ได้ หอบหืบถามหาอีก - -" ตอนเด็กๆนี่บวมมาก สูงแค่ 167 แต่น้ำหนักสูงสุดผมเคยอยู่ที่ 86 จนตอนเรียนปีสามปลายๆเริ่มลดจริงจังครับ ค่อยๆลดเดือนละนิด ไม่ต้องรีบร้อน ควบคุมการกินอาหาร...แต่อย่าอดนะครับ แล้วก็หมั่นออกกำลังกายวันเว้นวัน ตอนนั้นผมวิ่งบ้าง ว่ายน้ำบ้างหรือเข้าฟิตเนสครับ ผ่านไปปีนึงน้ำหนักเหลือที่ 62 ได้ครับ รอบเอวจาก 37 เหลือ 31 ไม่มี yoyo effect ด้วยถ้าเราควบคุมพฤติกรรมการกินให้เป็นด้วยครับ แต่ช่วยหลังผมก็แอบกินเยอะบ่อยๆนะ หลังจากผอมลง 55+ แต่กินเสร็จก็จะชั่งน้ำหนัก แล้วก็ไปออกกำลังกายให้มันบาลานซ์ครับ ps. ตอนนี้น้ำหนักเหลือ 57 ได้แล้วครับ รอบเอว 29 ตอนลดน้ำหนักได้นี่ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะเลยครับ แบบชนะใจตัวเองได้แล้ว จากคุณ : เฉาก๊วยกะบ๊วยเค็ม - -" เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 18:49:59

ความคิดเห็นที่ 79 ใช้วิธีแบบจขกท.ลดอยู่ค่ะ 5 เดือนลดไปได้ 10 กก. 74 เหลือ 64 พยายามทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ5หมู่  แต่ก็มีทานขนมบ้าง ออกกำลังประจำ ขี่จักรยานทางไกล จ๊อกกิ้ง โยคะ พิลาเทส ค่ะ ขอบคุณที่มีอธิบายข้อมูลเพิ่มให้เข้าใจกลไกต่างๆเพิ่มขึ้นนะคะ จากคุณ : พริกน้ำส้ม เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 01:58:17

ความคิดเห็นที่ 80 ของเราใช้เวลาประมาฯ 1 ปีค่ะ.....จาก 60  เหลือ 55 และเหลือ 50 ปัจจุบันน้ำหนักอยู่ที่ 50-52  ถ้าเริ่มรู้สึกอึดอัด ก็จะอาศัยการเดินช้อปปิ้ง ที่สยาม  จากสยามเดินไป CTW หรือไม่ก็แด้นซ์กระจุย.....ง่ายๆไม่ทำให้เรารู้สึกลำบากหรือเป็นภาระกับการออกกำลังกาย  และมีรูปประกอบด้วย   ปล..ประจานตัวเองกันสุดๆ แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 04:47:49 แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 52 04:45:13 จากคุณ : น้ำเต้าหู้กับเฉาก๊วย เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 04:40:57

ความคิดเห็นที่ 81 and After is...สูง 168  หนัก  50-52  แล้วแต่ช่วง แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 52 02:14:56 จากคุณ : น้ำเต้าหู้กับเฉาก๊วย เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 04:44:59

ความคิดเห็นที่ 82 เห้นแล้วอย่าตกใจนะคะ...Before is... แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 52 02:15:09 จากคุณ : น้ำเต้าหู้กับเฉาก๊วย เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 04:48:28

ความคิดเห็นที่ 83 คห.82 คุณน้ำเต้าหู้กะเฉาก๊วย รูปนั่นรูปชุดนักเรียนใช่มั้ยครับ? เซ็นโย รึอัสสัม รึเปล่าครับ ไทด์แบบนี้? ^ ^ แด๊นซ์กระจุยเนี่ย.. เป็นวิธีที่ดีเหมือนกันเน๊าะครับ ฮาๆๆ ผมตอนปี 3 ไปอาทิตย์ละแปดวันเลย! (และผอมเร็วทันใจ เพราะอดนอน + ไม่มีตังค์กินข้าว ^ ^!!!) คห.77 คุณ Buddychans เรื่อง metabolic rate เนี่ยเป็นเรื่องซับซ้อนมากที่แม้แต่แพทย์เองก็ไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนครับ การเพิ่ม metabolic rate นั้น "เชื่อกันว่า" ทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ครับ 1.การใช้ hormone ซึ่งในที่นี้เราผู้ชายก็ใช้ ฮอร์โมนเพศชายครับ เหล่านักเพาะกายจะรู้จักมันเป็นอย่างดีเพราะว่ามันมีผลต่อการเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อครับ และ "เชื่อกันว่า" มันเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันด้วย แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้ในคนที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อมากกว่า ตัวผมเองก็เคยใช้ครับ.... และผลกระทบที่ได้รับคือ...สิวขึ้น = ='''' ดังนั้น ลองดูก็ได้ครับ อาหารเสริมเพื่อนักกีฬามีขายตามร้านขายยาทั่วไป แต่ผมห่วงผิวหน้ามากกว่ากล้ามเนื้อ ผมเลยเลิกใช้ครับ 2.Weight training หรือก็คือการออกกำลังอย่าง anaerobic นั่นเอง สาเหตุที่เราจะออกกำลังหนัก สลับกับเบานี่ก็เพื่อการนี้แหล่ะครับ เราจะออกกำลังแบบ anaerobic ก่อน เพื่อเตรียมพร้อม metabolism ในร่างกาย แล้วพอขึ้นสูง ก็จะ aerobic เพื่อให้ลดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ แต่ก็เป็นแค่ความเชื่อที่มีผลการค้นคว้ารองรับนะครับ ที่บอกว่าเป็นความเชื่อนี่เพราะว่า มีผล ไม่เท่ากันในแต่ละคนครับ ต่างคน ใช้ต่างวิธี ก็ลดได้ต่างกัน มนุษย์เราก็แปลกอย่างนี้ล่ะครับ คห.78-79 ยินดีด้วยกับผู้ชนะความอ้วนทั้งสองท่านครับ ^ ^ จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 10:27:59

ความคิดเห็นที่ 84 เข้ามาอ่านจ้า ตอนนี้หยุดออกกำลังมานาน เพิ่งเริ่มใหม่ แต่อยากผอมจัง อิอิ คุณใหม่คะ แอล คารนิทีน นี่ได้ผลจริงบ่ จากคุณ : Suomi เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 13:09:55

ความคิดเห็นที่ 85 เป็นประโยชน์มากค่ะ อธิบายหลายเรื่องที่สงสัยได้ดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะ จากคุณ : notno เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 18:19:08

ความคิดเห็นที่ 86 "แล้วถ้า ไม่ได้อ้วน แต่ลงพุง นี่ คือ ภายนอกดูผอมนี่แหละ แต่ลงพุง จัดว่าเป็นคนอ้วนไหมครับ " ไม่จัดว่าอ้วน แต่สุขภาพไม่ดีครับ ผมก็เคยดูผอม แต่เอว 34 นิ้วหนักแค่ 70 สูง 179 หลังจากออกกำลังกาย 1 ปี ว่ายน้ำ ปั่น วิ่ง น้ำหนักเหลือ 66 เอวแค่ 31-32 พุงหายไปหมดครับ รูปนี้ถ่ายตอนอายุ 55 แต่ตอนนี้ 57 แล้วครับ จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 52 21:34:05

ความคิดเห็นที่ 87 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ตอนนี้กำลังพยายามอยู่ จาก 85 จากคุณ : kwang_tum เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 52 20:07:23

ความคิดเห็นที่ 88 ตอนนี้กะลังอยากลดน้ำหนักมากๆค่ะ แต่มันยากกกอ่า ขอบคุณจขกท.สำหรับความรู้นะค่ะ ขอถามอีกนิดว่าอดอาหารเอาแล้วไม่โยโย่บ้างหรอ เข้ามาเห็นคนอื่นลดได้มากมาย กำลังใจเพียบ 555 จากคุณ : จอมโจร1412 เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 52 20:59:09

ความคิดเห็นที่ 89 อดอาหารไม่โยโย่สำหรับบางคน เพราะบางคนอดแล้ว ร่างกายปรับตัวให้กระเพาะหดลง และความหิวหายไป อย่างน้องชายผมเมื่อ 30 ปีก่อน อดอาหารเพื่อให้น้ำหนักน้อย จะได้ไม่ต้องเกณท์ทหาร วันหนึ่งทานแค่มื้อเดียว ค่อยๆ ผอม จนน้ำหนักเหลือแค่ 42 กก สูง 175 ผอมจนเห็นซี่โครง แพทย์ตรวจไม่รับเกณท์ทหาร จากนั้นกว่าจะมีน้ำหนักเท่าเดิม (65) ก็ใช้เวลาเป็น 10 กว่าปี เพราะร่างกายมันเคยชินกับการทานน้อยๆ ไปแล้ว ไม่ได้รู้หยากอาหารเท่าไร อีกอย่างเป็นคนไม่จุบจิบ ไม่มีขนมในบ้าน จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 52 21:12:25

ความคิดเห็นที่ 90 เห็นรูปคุณ K.Senior แล้วต้องบอกว่าดูแลตัวเองดีมากค่ะ ดูหนุ่มกว่าวัยจริงๆ เห็นคุยเรื่องปั่นจักรยานประจำ ออกกำลังทำให้ดูอ่อนกว่าวัยอย่างนี้นี่เอง อ่านข้อความของ คุณ จขกท. ทำให้รู้สึกเหมือนอ่านบทความเรื่องอ้วนเลยค่ะ  สำนวนเหมือนคนเขียนหนังสือ พวกคอลัมน์อาชีพเลย จากคุณ : ก๋าสะลองเงิน เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 03:52:20

ความคิดเห็นที่ 91 โห...คุณ K.Senior 57 แล้วจริงเหรอครับนั่น.... ดูแลตัวเองดีมากๆๆจริงๆครับ ขอแสดงความนับถือเลย คุณคห.88 ก็ตามที่คุณ K.Senior ว่าเลยครับ บางคนลดแล้วกระเพาะก็หดจริงๆ ผมเองตอนนี้ก็ทานไรไม่ค่อยลงเหมือนกัน ทานนิดๆก็อิ่มซะแล้ว ต่อให้หิวแทบตาย ตั้งใจไปทาน buffet มันก็จุได้แค่เท่านี้ล่ะครับ คุณคห.90 ขอบคุณครับ ,,>_<,, จากคุณ : คุณใหม่ เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 52 09:19:11

ความคิดเห็นที่ 92 อีกนิดนะค่ะ จะมีคนมาตอบมั้ยนี่ โยโย่นี่เกิดจากการที่เราอดอาหารนานๆ ทำให้ร่างกายปรับตัวให้ใช้พลังงานลดลง ทำให้เวลากลับมากินเหมือนเก่าแล้ว จะอ้วนมากกว่าเดิม ใช้มั้ยค่ะ จากคุณ : จอมโจร1412 เขียนเมื่อ : 20 ต.ค. 52 19:43:57