++ KAEW ไดอารี่ ++ AIDS แบบต้นทุนต่ำ คุณภาพสู๊ง สูง
|
|
หวัดดีค่ะ
มายืมเครื่องคุณอาเล่นเหมือนเดิม ยังไม่ได้แบกคอมพ์ตัวเองไปซ่อมเลยจ้า เท้ายังไม่หายปวดดี ไม่กล้าเดินมาก
รายงานอาการวันนี้ ก็ปวดน้อยลง อาจจะเพราะกินยาแก้ปวดแบบแรง 3 เวลาหลังอาหารเลย จากการค้นคว้าถามอากู๋ google และ อ่านจากที่เพื่อนๆมาเขียนในกระทู้ ก็เลยสรุปเอาเองว่า เราคงเป็น เส้นเอ็นอักเสบ แต่คงไม่ใช่เพราะใส่ส้นสูง เพราะเราไม่ได้ทำงาน office มา 8-9 ปีแล้ว เลิกใส่กระโปรง ใส่ส้นสูงมานานแล้ว
คาดว่าคงเป็นเพราะขับรถยาวนาน 7 ชั่วโมง เมื่อวันอาทิตย์ แล้ววันจันทร์ดันซ่าส์ ไปเล่น บอดี้ บาลานซ์ มีการยืนขาเดียวเยอะไปหน่อย รู้สึกเหมือนกันว่ามันเจ็บๆๆกว่าวันอื่น พอกลางคืนก็ได้เรื่องเลย ปวดสุดๆๆ จนต้องตื่นอ่ะ นอนไม่ได้
วันนี้เท้าบวมน้อยลง ลงน้ำหนักได้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่เต็มเท้า กินยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อเป็นระยะๆ แล้วก็แปะพลาสเตอร์แก้ปวด
เมื่อวานมีพี่ในเว็บมาเยี่ยมถึงบ้าน ได้ของขวัญ เป็นขนมอร่อยๆ กะ เจลลดอาการบวม และ กระเป๋าน้ำร้อน แบบเสียบปลั๊ก เอาไว้เอาเท้าวางอ่ะนะ
วันนี้ก็เดินกระเผลกไปทำงาน เพราะเป็นวันจ่ายเงินเดือน และ เราเป็นคนทำบัญชี ไม่ไปไม่ได้อ่ะ ก็หวังว่าอาการจะดีขึ้นเรื่อยๆ เราจะได้ไปไหว้พระธาตุพนมพร้อมเพื่อนๆ เสาร์อาทิตย์นี้
วันนี้จะมาเล่าเรื่อง AIDS ในกัมพูชา ตามที่สัญญาไว้ในกระทู้ก่อนค่ะ
เมื่ออาทิตย์ก่อน เราถูกส่งไปดูงาน บ้านเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อ HIV ในเขมร ไปกับน้องที่ทำงานดูแลเด็กติดเชื้อ ที่บ้านแกร์ด้าอีก 2 คน
ตอนแรกแอบงงๆ ส่งไปดูงานทั้งที ทำไมไม่ไปดูในที่ๆมันเจริญว๊า แต่ฟังเหตุผลแล้วก็ต้องอึ้ง เหตุผลคือ จะไปดูในที่เจริญๆทำไม ในเมื่อเรามีทรัพยากรไม่เท่ากับเขา ไปดูในที่ที่เขาลำบากกว่าเราซิ จะได้รู้ว่า เขาอยู่รอดได้อย่างไร ทั้งๆที่ลำบากกว่าเราตั้งเยอะ มันก็จริงเนอะ
การเดินทางเริ่มแบบหรูๆ คือ ไปขึ้นเครื่องบินที่สุวรรณภูมิ ไปลงสนามบินพนมเปญ ต่อจากนั้นก็เป็นการผจญภัย มีรถตู้เก่าๆ จากมูลนิธิ New Hope ที่เราจะไปดูงานมารับ ระยะทางเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ใช้เวา 1 ชั่วโมง จากสนามบิน
ระหว่างทางก็ดูจะลำบากมาก ยิ่งบ้านเด็กที่เราไปนี่ อยู่กลางดง กลางป่าเลยหล่ะ เขามีพื้นที่กว้างใหญ่ เลี้ยงเด็กติดเชื้อ HIV ไว้ 200 คน เจ้าของเป็นฝรั่ง อาสาสมัครส่วนใหญ่ก็เป็นฝรั่ง
ตอนไปถึงนั้นหัวค่ำแล้ว เขาก็พาไปกินข้าวที่โรงครัวก่อน บอกว่าต้องรีบกิน เดี๋ยวจะถึงเวลาดับไฟแล้ว คือที่นี่มีไฟฟ้าแค่วันละ 5 ชั่วโมง เป็น 3 ช่วง ตอนเช้าเปิด ตี 5 - 6 โมง กลางวันเปิด เที่ยง - บ่าย 2 เย็นเปิด 6 โมงเย็น - 2 ทุ่ม
ตอนกินข้าว คุณฝรั่งเรียกเด็กคนโตสุดของบ้านมาโชว์ตัว เห็นแล้วต้องตะลึงอ่ะ เป็นเด็กหนุ่มอายุ 18 ปี หน้าตาดีเชียว คมเข้ม ที่สำคัญ มีกล้ามเป็นมัดๆ ซักถามได้ความว่า กินยาต้านมาแล้ว 5 ปี ไม่เคยเปลี่ยนยาเลย
แอบงงเฟ้ย ทำไมเขาดูดีมีสกุล ไม่มีผลข้างเคียงจากยาต้านเลย ต่อจากนั้นมีเด็กๆเดินมาดูพวกเราอีกหลายคน ทุกคนดูสภาพดีมากๆ ดูปกติมาก ไม่มีผลข้างเคียงของยา และ เติบโตตามวัย ตัวไม่แคระแกร่น เริ่มงงๆแล้ว ทำไมเขาเลี้ยงเด็กได้ดีอ่ะ มันต้องมีเคล็ดลับอะไรแน่ๆ เราจะต้องสืบให้รู้
แต่คืนนั้นต้องรีบกลับห้องพัก แล้วอาบน้ำให้ทันก่อนไฟดับ 2 ทุ่มเป๊ะ ไฟดับสนิท มืดตึ๊บมากๆๆๆๆๆ ชูมือตัวเองไว้ตรงหน้า ยังมองไม่เห็นเลย ต้องนอนกางมุ้ง เพราะมียุงและแมลงเยอะ ขนาดกางมุ้ง แมลงตัวเล็กๆ ยังเข้ามาได้อ่ะ ทำให้คันยุบยิบไปหมด เป็นคืนที่ทรมานพอควร เพราะมันร้อนๆ ไม่มีไฟ ไม่มีพัดลม คันเพราะแมลง แล้วมันเพิ่ง 2 ทุ่ม ให้นอนแล้วเหรอ
กว่าจะหลับได้แทบแย่ พอตี 5 เป๊ะ ไปเปิดพรึ๊บ ก็รีบลุกไปอาบน้ำ เสร็จก็ออกไปสำรวจ บรรยากาศตอนเช้า สดใสดีมาก เด็กๆที่นี่กินยาต้านตอน 6 โมงเช้า แล้วก็กินข้าว 6.30 แล้วก็มาขึ้นรถไปโรงเรียน ยิ่งเห็นเด็กมารวมตัวกันเยอะๆ ยิ่งงง ว่าทำไมเด็กส่วนใหญ่เขาดูสภาพดีมาก
พอเด็กๆไปโรงเรียนก็ได้เวลา สืบความลับ ว่าเขามีเคล็ดลับอะไรนะ ไปคุยกับฝ่ายการพยาบาล คุยแล้วยิ่ง งง เพราะเขาลำบากกว่าเรามากๆ ยาต้าน HIV รัฐบาลเขาไม่ได้ช่วย ยานี้ได้มาจากการบริจาค เป็นยามาจากอินเดีย และมีเฉพาะยาสูตรพื้นฐานเท่านั้น เขากินยาธรรมดาๆๆมาก กิน AZT และ D4T เป็นส่วนใหญ่ แถมไม่เปลี่ยนยาด้วย
การตรวจภูมิคุ้มกันหรือ CD4 นั้นก็ตรวจบ้างไม่ตรวจบ้าง เพราะมีงบประมาณน้อย การตรวจนับไวรัส HIV ไม่ต้องพูดถึง ไม่เคยตรวจ เพราะแพง
เขามีหลักการกินยาต้านแบบเรียบง่ายมาก กินเมื่อสุขภาพเริ่มไม่ดีแล้ว และกินไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจตรวจว่า ภูมิคุ้มกันขึ้นดีมั้ย หรือ ดื้อยารึเปล่า กินแล้วไม่ป่วยไม่ไข้เป็นพอ เขาว่า ตรวจเยอะไปก็เท่านั้น ในเมื่อเขาก็ไม่มียาให้เปลี่ยน ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจดีกว่า
เขาไม่มีวิตามิน หรือ อาหารเสริมกิน แม้แต่นมก็ไม่มีกิน เขาเน้นให้กินข้าว และ อาหารปกติให้มากๆๆๆ เน้นหมวดโปรทีนเยอะๆ คือเน้นกินเนื้อสัตว์ และ ไข่ เขามีฟาร์มไก่เป็นของตัวเอง ผักก็ปลูกเอง เด็กของเขากินข้าวเยอะมาก ตักข้าวพูนจาน แล้วกินหมดด้วยแถมบางคนกิน 2 จานเลย อ้อ เขาไม่มีขนมใดๆทั้งสิ้นให้เด็กกิน
อืมมมม เท่ากับว่า เขาลงทุนในการดูแลสุขภาพเด็กๆน้อยมากๆๆๆๆ แต่กลับได้เด็กที่มีคุณภาพชีวิต และ สุขภาพที่ดีมากๆๆ
ตรงข้ามกับเรา และผู้ติดเชื้อในไทย ที่มีความพร้อมกว่ามาก ยาต้านก็ได้ฟรีหลายสูตร มียาให้เปลี่ยนเยอะ มีตรวจภูมิคุ้มกัน ตรวจนับไวรัสฟรี แถมบางรายก็ทุ่มทุนเรื่องวิตามิน อาหารเสริม การเข้าฟิตเนส คือลงทุนมหาศาล แต่ผลที่ได้ก็เท่าๆเขา หรือ บางคนดูแย่กว่าเขาอีก
มึนๆๆไปเลยค่ะ อะไรคือปัจจัยที่ทำให้แตกต่างนะ สำรวจทั่วแล้ว เขาไม่มีความลับผิดบังไว้จริงๆ ก็เลยต้องสรุปว่า เขาสุขภาพดีเพราะอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ อาหารสะอาด ผลิดเอง ไม่มีสารเคมี ออกกำลังกายโดยการทำการเกษตร และที่สำคัญ เขาอยู่แบบเรียบง่าย ไม่คิดอะไรมาก อยู่กับปัจจุบันจริงๆ
พยายามเอามาปรับใช้กับตัวเอง แต่ก็ยากเหมือนกัน เพราะเราเป็นคนเมือง จะเลี้ยงไก่ ปลูกข้าว ปลูกผักกินเองก็คงไม่ไหว หรือจะปล่อยวางไม่สนใจระบบการดูแลรักษา ไม่สนใจผลตรวจเลือด มันก็คงไม่ได้ มันกว้างมาไกลเกินแล้วอ่ะ
ได้ไปเห็นมาก็ได้แง่คิดใหม่ๆดีอ่ะคะ ชีวิตที่เรียบง่ายนี่ มันก็ทำให้มีคุณภาพชีวิตสูงได้นะ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะเลย
ความคิดอีกอย่างที่ได้จากการไปดูงานคือ ดีใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย ได้อยู่เมืองไทย เราสุขสบายกว่าเขาเยอะเลยค่ะ มีพร้อมกว่าเขาทุกอย่างเลยนะ ดังนั้นต้องรักเมืองไทยมากๆๆ
กลับจากดูงาน 3 วัน เราก็ต้องมารักษา ผด ผื่นทั้งหลาย ที่เกิดจาก แมลงต่างๆ และ การแพ้น้ำ อีกเป็นอาทิตย์ เรียกว่ายับเยินกลับมาเลยหล่ะ พอรักษาผื่นทั้งหลายหาย ก็เท้าบวม นี่หล่ะจ้า เรียกว่า มีปัญหามาให้แก้ตลอด ไม่เป็นไร สู้อยู่แล้ว
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ขอตัวไปอาบน้ำ กินยาก่อนหล่ะ
จากคุณ |
:
++MooKaew++
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ต.ค. 52 19:51:43
|
|
|
|