Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องของผู้ชายวัย 40  

2 ปีกว่ามาแล้วที่ผมไม่ได้เข้ามาตั้งกระทู้ในห้องนี้ ครั้งนั้นที่เข้ามาตั้งกระทู้
เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว ภรรยาผมมีปัญหากับทางบ้านผม เราเลยต้องย้ายครอบครัว
ออกมาไปอยู่ที่บ้านของภรรยา ไปเริ่มต้นชีวิตกันใหม่แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน
ผมก็ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านผม สาเหตุเพราะเรื่องรายได้จุนเจือครอบครัว
และทางบ้านผมโดยเฉพาะคุณพ่อกับคุณแม่ผม เป็นห่วงผมมาก เพราะจังหวัดที่ผมไปอยู่
อยู่ใกล้ 3 จว.ภาคใต้ ผมกับภรรยาก็ตกลงปรึกษากันว่าให้ผมกลับมาอยู่ที่บ้าน
มาทำงานที่กทม. ส่วนเค้าจะอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม เรามีลูก 2 คน ลูกชายมาอยู่กับผม
ส่วนลูกสาวอยู่กับภรรยาผม ก่อนจะแยกกันอยู่เราต่างก็ตกลงว่า ถึงจะอยู่ไกลกันแต่เราก็ยัง
จะรักและห่วงใยกันเหมือนเดิม ตอนที่ผมกลับมาทางบ้านผมดีใจมาก คิดว่าผมเลิกกับ
ภรรยาผมไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้บอกกับใครว่าเราเลิกกัน หรือว่ายังรักกันเหมือนเดิม
ก็มีเพียงแค่ผมกับภรรยาเท่านั้นที่เข้าใจว่าเรายังรักกันเหมือนเดิม
ตอนที่ผมตัดสินใจกลับมานั้น เรา 2 คน ตกลงกันว่าต่างจะดูแลลูกของเราให้ดี
ส่งเสริมให้เป็นคนดี และสนับสนุนด้านการเรียนทุกอย่าง และคิดว่าสักวันหนึ่ง
ครอบครัวของเราคงจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน พ่อแม่ลูก 4 คนอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากที่กลับมา ผมก็เริ่มทำงานเป็นธุรกิจของพี่สาวผม ส่วนภรรยายังไม่ได้งาน
ผมมีรายได้ก็จะส่งไปให้เค้าทุกเดือน ผ่านมาได้ 3-4 เดือน ภรรยาผมเริ่มท้อ
เค้าบอกกับผมว่าเค้าไม่มันใจ ว่าสิ่งที่รอมันจะเป็นจริงหรือเปล่า ผมก็ได้แต่ปลอบใจ
ว่าเราจะต้องอดทน แต่เค้าก็บอกว่าอดทนเพื่ออะไร มันจะเป็นจริงหรือสิ่งที่เราหวัง
มันจะเป็นจริงหรือ เค้าไม่อยากรอ ไม่อยากอดทนอีกต่อไปแล้ว...
ผมใช้เวลาเป็นอาทิตย์ กว่าจะดึงภรรยากลับเข้ามาสู่ชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่ง
คือเราอยู่ไกลกัน ผมทำงาน จ.- ส. โอกาสที่จะได้เป็นหากันน้อยมาก
ผมเข้าใจความรู้สึกของภรรยาผมดี แต่ผมเป็นคนที่ไม่เคยหมดหวัง
เพราะทุกวันนี้ผมก็ทำงานคอยแก้ปัญหาให้กับทุกคนอยู่แล้ว ทำไมเรื่องของเราเอง
จะทำไม่ได้ หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมาเราคุยกันว่าถ้าไม่สบายใจเรื่องอะไร
ก็ขอให้บอก เราต้องคุยกันไม่ปิดบังกัน แต่ภรรยาผมเค้าเป็นคนที่พอไม่พอใจแล้ว
เค้าจะไม่พูด ถามอะไรไปก็จะบอกว่า "เปล่า..ไม่มีอะไร" แล้วจะเงียบ ๆ ไม่ค่อยคุย
นั่นแหละมีแล้ว มีเรื่องแล้วแต่ผมก็จะอดทนค่อยคุยหรือไม่รอให้เค้าสบายใจ
แล้วอยากคุยจึงมาคุยกัน

หลังจากนั้นมาไม่นานภรรยาผมก็ได้งาน เป็นงานที่ดีที่เดียว
เพราะว่าเกือบทุกเดือนภรรยาผมจะต้องมาทำงานที่กทม.ด้วย จึงทำให้เราได้มีโอกาส
เจอกันบ่อยมากขึ้น ก็ได้พูดคุยแบบเห็นหน้ากัน แต่อย่างว่าเราไม่ได้เจอกันทุกเดือน
แค่เกือบทุกเดือน หลังจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ประมาณปลายเดือนกันยายน
เราก็ยังไม่ได้พบกันอีกเลย แต่ก็จะโทรศัพท์คุยกันเกือบทุกวัน กับลูกสาวผมก็จะคุยกัน
และจะทิ้งท้ายด้วยคำว่า "รักลูกนะ รักแม่ด้วย" เค้าก็จะตอบมาว่า"รักพ่อเหมือนกัน"
ทุกครั้งที่ผมได้ยิน น้ำตาผมจะคลอเบ้าเลยครับ คงเป็นความรู้สึกของพ่อที่รักลูก

ผมเล่ายาวเกินไปหรือเปล่า?  ถ้าอยากอ่านต่อผมก็จะเล่าต่อนะครับ

เชื่อมั้ยครับว่าผมกับภรรยาอยู่ด้วยกันมา 13 ปี ผมเพิ่งจดทะเบียนสมรสกัน
เมื่อ 17 พ.ย. 2551 ใช้ครับเกือบครบ 1 ปีแล้วอีก 9 วัน สาเหตุเพราะเราไม่ได้
แต่งงานกัน คือ ประมาณว่าผมพาลูกสาวเค้าหนีมาด้วย แต่ก็กลับไปคุยไปขอขมา
คุณพ่อคุณแม่ของภรรยาตอนหลัง แล้วก็โอเค "รักกันแล้วตกลงจะใช้ชีวิตคู่กันแล้ว
ก็ต้องดูแลกันและกันให้ดี" นั่นคือ คำที่ผู้ใหญ่ให้พรกับเรา แต่ผมไม่สนับสนุน
ให้ใครทำแบบนี้นะครับ ทำอะไรให้ถูกต้องตามประเพณีดีกว่า
ในวันที่จดทะเบียนสมรสกันนั้น ภรรยาผมบอกกับผมว่า"พ่อห้ามลืมวันนี้นะ
และเมื่อถึงวันที่ 17 พ.ย.ของทุกปีเราจะต้องมาเจอกัน" ปีนี้ตรงกับวันอังคาร
แฟนผมก็ไม่ได้กทม.ช่วงวันนี้ด้วย หรือว่าผมจะต้องบินไปหา กำลังคิดอยู่ครับ
พอดีผมตั้งใจว่าจะไปวันที่ 20 พ.ย.เพราะตรงกันวันที่ลูกสาวผมแสดงดนตรี
น่าจะเลื่อนไปเป็นวันนั้นได้ แต่ก็ยังไม่ได้คุยกับภรรยาผม เพราะว่าเหมือนจะมีอะไร
ที่ทำให้ภรรยาผมรู้สึกท้อขึ้นมาอีกแล้ว

เมื่อวันพุธที่ผ่านมาภรรยาผมโทรมาหาบอกว่าไม่สบาย เป็นไข้สูงมากจนที่ทำงาน
ให้ลากลับบ้านแล้วไปหาหมอ หมอบอกว่าภรรยาผมเป็นทอลซินอักเสบ เป็นหนอง
เยอะมาเลยทำให้ไข้สูง 39 ํ ผมเป็นห่วงมากแล้วก็บอกว่าพักผ่อนมาก ๆ นะ
แต่ผมรู้สึกไม่ดีเลย เพราะน้ำเสียงผมสั่นเครือ คือผมเป็นห่วงเค้าคิดว่าถ้าอยู่ด้วยกัน
ผมคงจะได้ดูแลกันได้ดีกว่านี้ ผมคิดแล้วก็พูดไปแบบนั้น
หลังจากวันนั้นเราก็โทรคุยกันอีกแต่น้ำเสียภรรยาผมไม่เหมือนเดิม
ถามว่าเป็นอะไร ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า  ก็ได้คำตอบว่า "เปล่าไม่เป็นไร ไม่มีอะไร"
ผมบอกว่ามีอะไรเราต้องคุยกันนะ เราไม่ใช่คนอื่นเราไม่มีอะไรต้องปิดบังกัน
แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากภรรยาผม ผมพยายามโทรไปเพื่อปรับความเข้าใจ แต่ก็ไม่เป็นผล
ภรรยาผมจะส่งโทรศัพท์ให้คุยกับลูกแทน โทรไปที่ทำงานก็บอกว่าไม่สะดวกคุยติดธุระ
ผมว่า ผมงานเข้าแล้ว

ผมคิดว่าภรรยาผมคงจะรู้สึกเหนื่อยยิ่งไม่สบายด้วย และผมก็ไปพูดแทนที่จะสร้างกำลังใจ
กลับทำให้เค้ารู้สึกใช่ มันจริงนะเพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยกันเลยดูแลกันและกันไม่ได้
และทำให้ไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้อีกต่อไปหรือเปล่า ไม่อยากให้เค้าคิดแบบนั้นเลย
แต่ผมคงจะต้องผ่านฉากนี้ไปให้ได้และต้องจบให้สวย

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะผมเอง ผมมีโอกาสแล้วแต่ผมไม่พยายามทำให้ดี เพราะอะไร?
ก็เพราะว่าผมไม่สร้างครอบครัวให้เป็นครอบครัวของตัวเองอย่างแท้จริง
ผมอายุเลข 4 นำหน้าแล้ว แต่ยังอาศัยคุณพ่อกับคุณแม่ผมอยู่เลย ผมไม่คิดที่จะมีบ้าน
เป็นของตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงาน ผมขยันทำงานมีรายได้ แต่ก็ใช้แบบไม่วางแผน
คิดอยากได้อะไรก็ซื้อ มีข้าวของเครื่องใช้มากมาย แต่ไม่ได้มีบ้านของตัวเองที่จะเก็บข้าวของ
เหล่านั้น และที่สำคัญ คือ ไม่มีบ้านที่จะสร้างความอบอุ่นให้กับครอบครัว
เงินที่มีเก็บก็ไม่ได้มากมาย แต่เป็นเงินเก็บสะสมที่ผมทำไว้ให้ลูกของเรา 2 คน

ผมว่าทุกคนมีโอกาสแต่อย่าปล่อยโอกาสให้มันผ่านไป
ทุกคนมีเวลาที่เท่ากัน แต่อย่าปล่อยเวลาให้มันล่องลอยไป หรือทำตัวล่องลอยไปกับเวลา
เพราะเมื่อมันผ่านไปแล้ว มันจะไม่หวนกลับมาอีก
อย่าทำเหมือนกับผม เพราะว่าเมื่อรู้สึกตัวแล้ว บางทีมันอาจะสายไป

ผมไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว ผมคงมีแค่วันนี้ เพราะทุกเช้าที่ผมตื่นมา คือเช้าของวันนี้
วันที่ผมจะ... ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อรักษาครอบครัวของผมไว้

ผมขอชมเชยทุกคนที่ว่างแผนชีวิตได้ดีกว่าผม และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน
ผ่านพ้นอุปสรรค ที่ผ่านเข้ามาไปได้ด้วยดี โชคดีนะครับ

ขอบคุณมากครับที่เข้ามาอ่านเรื่องของผม

จากคุณ : dech_1
เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 18:40:06




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com