ความคิดเห็นที่ 1   พอรู้ผลปุ๊บ เราก็รีบโทรไปหาแม่ เสียงเราก็สั่นๆ แม่ก็เริ่มรู้แล้วว่าผลต้องไม่ดีแน่ๆเลย........ เราเล่าให้แม่ฟังทุกอย่าง แม่เราก็ปลอบใหญ่เลย....... ไม่ต้องตกใจนะลูก ทำใจดีๆ รีบกลับบ้านมากินข้าวกินปลาก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ทำหมูกะเทียมพริกไทยกับมะระผัดไข่ และก็แกงจืดตำลึงให้กิน...... พูดถึงอาหาร (ด้วยความตะกละ) เสียงเราก็เริ่มหายสั่น..... ถามแม่ว่าแล้วแม่มีซอสพริกศรีราชารึเปล่า จะเอามากินกับมะระ.... แม่บอกว่า เดี๋ยวดูให้นะ..... อ๊ะ เหลือก้นขวดพอดี เดี๋ยวจะให้พี่มานีไปซื้อให้นะจ๊ะ.......... แล้วเราก็เรียกแท็กซี่ แล้วก็นึกถึงมะระผัดไข่ไปตลอดทาง.......... พอไปถึงบ้าน....... เราก็กินข้าวกับแม่(ที่พึ่งทางใจจริงๆเลยค่ะ)...... กินข้าวเสร็จแล้วแม่ก็บอกว่าแม่โทรไปปรึกษาเพื่อนให้แล้ว สรุปว่าให้เราไปหาหมอที่โรงพยาบาล A ดีกว่า....... เพราะหมอที่นี่น่าจะเฉพาะทางมากกว่า วันต่อมา เราก็ไปโรงพยาบาลตามที่แม่เราแนะนำ  เราก็ระบุว่าขอคุณหมอผู้หญิง.... แต่พยาบาลก็บอกว่าคุณหมอผู้หญิงยังไม่เข้าเวร ต้องมาใหม่พรุ่งนี้ เรารอไม่ไหว ก็เลยบอกว่าหาหมอผู้ชายก็ได้ค่ะ...... ในใจเราตอนนั้น เราอยากได้หมอผู้หญิงมากกว่า บอกตรงๆว่าอายค่ะ........ แต่พอเราเข้าห้องตรวจแล้ว ติดใจค่ะ....... ขอบอกว่าหมอผู้ชายเริศกว่าหมอผู้หญิงที่เราเคยไปหามากค่ะ...... มือเบา ละเอียด อธิบายกระจ่าง แถมมีมุขตลกให้เราไม่เครียดด้วย........ คุณหมอบอกว่าเพราะเราย้ายโรงพยาบาลมา คุณหมอขออนุญาตตรวจเราใหม่หมดเลย เริ่มต้นจากตรวจภายใน ทำอุนตร้าซาวด์..... เราก็บอกว่า เรามีรูปอุนตร้าซาวด์มาจากโรงพยาบาลเก่าแล้ว..... คุณหมอก็บอกเราว่า คุณหมออยากตรวจเองมากกว่า เพราะสายตาของหมอแต่ละคนก็จะมีมุมมองที่ต่างกัน บางทีคุณหมอก็อยากได้รูปมดลูกของเราจากอีกมุมนึงที่คุณหมอคนที่แล้วไม่ได้ถ่ายรูปมาก็ได้.......... พอทำอุนตร้าซาวด์เสร็จแล้ว คุณหมอก็บอกว่ามดลูกเราสมบูรณ์ดี ไม่มีพังผืด ไม่หย่อน ไม่ย้อย ไม่มีปัญหา...... แล้วคุณหมอก็อธิบายขั้นตอนต่อไปให้เราฟัง ว่าคุณหมอจะต้องส่องกล้องไปที่น้องสาวของเรา เพื่อตรวจดูว่าปกติดีหรือเปล่า...... ถ้าไม่ปกติคุณหมออาจจะต้องขอตัดชิ้นเนื้อ(มดลูก)ของเราไปตรวจในห้องแล็ป ว่ามีเชื้อมะเร็งหรือเปล่า.... การตัดชิ้นเนื้อก็จะไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด พอตัดเสร็จเราก็สามารถกลับบ้านได้เลย แต่เราอาจจะมีเลือดออกเล็กน้อยเท่านั้น......... พออธิบายเสร็จ คุณหมอก็ให้คุณพยาบาลพาเราไปขึ้นลิฟท์ไปอีกชั้นนึง...... ขอบอกว่าโรงพยาบาลที่เราไปหา เป็นโรงพยาบาลที่บริการดีเริศมากค่ะ.... จะย้ายชั้นต้องมีนางพยาบาลพาไปส่งด้วย แถมนางพยาบาลก็นอบน้อมมาก ค่ะ ขา ตลอด..... เว่อร์มากๆ.......... (ซึ่งถึกๆอย่างเราไม่ชินมากๆเลยค่ะ) พอเราไปอีกชั้นนึง คุณหมอก็จับเราขึ้นเตียง (อะจึ้ย!)....... แล้วคุณหมอก็จับเราล็อกขาไว้สองข้างเพราะกลัวว่าเราจะดิ้น...... จำได้ว่า ตอนนั้นเราใจตุ๊มๆต่ำๆมากๆเลย คิดไปต่างๆนาๆ..... ชั้นจะเป็นอะไรไหมน้า..... ต้องตัดชิ้นเนื้อไหมน้า...... จะเจ็บไหมน้า...... แล้วชั้นจะเป็นมะเร็งไหมน้า...... ตอนส่องกล้องคุณหมอก็จะคุยกับนางพยาบาลแบบตลกๆ คงกะให้เราหายเครียด.... แต่ตอนนั้น เอาตลกคาแฟ่มาทั้งคณะ เราก็ไม่ขำล่ะค่ะ แอร์ก็เย็น ห้องก็กว้าง เตียงก็ไม่นุ่ม...... หมอก็ถามว่าเจ็บหรอ..... เราไม่รู้หรอกนะคะ ว่าเจ็บรึเปล่า จำไม่ได้จริงๆ จำได้แต่ว่ามันเหนื่อย..... กลัว...... ล้า........ แล้วก็สั่น(เพราะหนาวด้วย กลัวด้วย)........ หมอส่องกล้องซักพักนึง แล้วก็บอกเราว่า ไม่ต้องตัดชิ้นเนื้อนะ เพราะข้างในยังดูเป็นปกติดีอยู่...... เราดีใจมาก....... แล้วหมอบอกว่า ให้เรามาหาหมอใหม่อีกครั้งใน 6 เดือนข้างหน้า เพราะถ้าเราแข็งแรงดี เชื้อ HPV อาจจะหายไปเองก็ได้........ ก่อนกลับบ้าน คุณหมอบอกว่าไม่ต้องคิดมากนะ ทำตัวให้เป็นปกติ ใช้ชีวิตปกติ แล้วก็มาตรวจตามปกติ....... เรากลับถึงบ้าน พ่อเรารู้ข่าวก็เข้ามาถามอาการ เราก็บอกว่าโอเคค่ะพ่อ......... น้องเราก็บอกว่า ถึกๆอย่างเราน่าจะไม่เป็นอะไรแน่ๆ......... แม่เราก็เข้ามาลูบหัว บอกว่าดีแล้วลูก....... แล้วเราก็เข้านอน....... ถ้าจะถามว่า การตรวจเชื้อ HPV นั้นเจ็บไหม........... ไม่เจ็บค่ะ..... เหมือนการตรวจภายในทั่วๆไป ชิวๆมากๆเลยะ............. การตรวจครั้งที่สอง ที่หมอส่องกล้องในน้องสาวเรานั้นเจ็บไหม........ อืม...... กล้องที่หมอส่องเข้าไปนั้น เราคิดว่าน่าจะเล็กมากๆเลยนะคะ......... ตามที่บอกนะคะ ว่าจำไม่ได้ว่าเจ็บรึเปล่า แต่ถ้าเพื่อนๆต้องไปหาหมอเพื่อส่องกล้อง แนะนำให้พาเพื่อนไปด้วยดีกว่าค่ะ...... มันรู้สึกเหมือนหมดแรงนะคะ และวันต่อไปก็รู้สึกเหนื่อยๆทั้งวันเลยค่ะ ท้ายนี้ เราอยากบอกเพื่อนๆว่า ผู้หญิงทุกคนที่เคยมีอะไรๆแล้ว ควรตรวจมะเร็งปากมดลูกปีละครั้งนะคะ ตอนตรวจไม่เจ็บหรอกค่ะ และก็ไม่น่าอายด้วย..... เราซึ่งไม่คิดว่าตัวเองจะมีเชื้อนี้อยู่ในร่างกาย จู่ๆยังมีมาเซอร์ไพร์เลยค่ะ....... เพราะฉนั้น เพื่อนหญิงทุกคน ถ้าเป็นไปได้ ไปตรวจเถอะค่ะ...... และถ้าเพื่อนๆเกิดตรวจเจอเชื้อ HPV ก็อย่าตกใจไปนะคะ ทุกคนที่มีเชื้อนี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นมะเร็งปากมดลูกนะคะ.......... เชื้อนี้อาจจะอยู่ในร่างกายเราแบบสงบสุขก็ได้ค่ะ แต่เพื่อนๆควรไปตรวจ pap smear เป็นประจำตามที่คุณหมอแนะนำนะคะ......... *************** แก้คำผิดค่ะ......... แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 15:05:33 จากคุณ : jingjingleaw เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 14:53:01

ความคิดเห็นที่ 2   จริงๆแล้วเราอายนะคะ ไม่กล้าเข้ามาตั้งกระทู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกค่ะ เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับการตรวจภายในนั้น มันเหมือนเป็นเรื่องที่ส่วนตัวมากๆ ผู้หญิ๊ง ผู้หญิง...... ไม่ควรเอามาเปิดเผยให้คนอื่นฟัง......... แต่ตอนที่เรารู้ว่าเรามีเชื้อนี้อยู่นั้น ยอมรับว่าเรากลัวมากเลยค่ะ ดีที่คุณหมอและนางพยาบาลทั้งหลายช่วยกันอธิบายให้เราเข้าใจ..... เราเลยอยากให้เพื่อนๆเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้นค่ะ......... จากคุณ : jingjingleaw เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 15:00:54

ความคิดเห็นที่ 3   จากคุณ : pinkmax เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 16:17:26

ความคิดเห็นที่ 4 สู้ๆ ค่ะ ตรวจบ่อยๆ นะคะ คนที่ติดเชื้อ HPV มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก แต่ก่อนจะเป็นมะเร็งปากมดลูก ต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงของ cell ที่บุปากมดลูกก่อนค่ะ ของคุณแค่เพิ่งพบเชื้อ หนทางอีกยาวไกลค่าา ปกติถ้าเจอเซลล์ผิดปกติในระยะเริ่ม ตัดออกก็หายค่ะ จากคุณ : พิณณ์อวี เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 16:18:57

ความคิดเห็นที่ 5 มายกนิ้วให้กับจขกท.คนเก่ง.. แถมยังใ้ห้ข้อมูลและให้กำลังใจสาว ๆ ทั้งหลายอีกด้วย แต่ว่า.. เราก็ยังไม่กล้าตรวจอยู่ดี.. นึกแล้วเสียวอ่ะ... จากคุณ : keypis เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 17:01:03

ความคิดเห็นที่ 6 โอ้ว ให้กิฟมิได้ แต่โหวตให้แล้วนะคะ ขอบคุณที่มาแชร์กันค่ะ ^^ จากคุณ : JingXi เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 17:20:02

ความคิดเห็นที่ 7 ถูกต้อง ครับ แม้ว่า มะเร็งปากมดลูก เกือบร้อยเปอเซนต์ จะมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ Human papillomavirus (HPV) แต่ HPV นั้นมีหลาย สายพันธุ์มาก ไม่ใช่ทุกสายพันธุ์ที่ ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก และระยะเวลาหลังจากติดเชื้อ จนพัฒนาไปเป็นมะเร็งนั้นใช้เวลา ค่อนข้างยาวนาน ในระหว่างนั้น พบว่า มีจำนวนมาก ที่เดียว ที่ร่างกายของเราสามารถที่จะ clear เชื้อ ออกไปจากร่างกายได้ การตรวจ ภายในอย่างสม่ำเสมอ ตามคำแนะนำของแพทย์ จะเป็นการป้องก้ัน การเกิดมะเร็งได้ อย่างดีเลยครับ จากคุณ : Dung Fong Bat Bai เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 19:21:57

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อมูลดีดี อยากให้กิ๊ฟแต่ให้ไม่ได้อ่ะ จากคุณ : บ่ายสามสี่สิบห้า เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 19:54:46

ความคิดเห็นที่ 9 เข้ามาอ่านแล้วนึกถึงพี่สาวเลยค่ะ มีใบส่งมาจากโรงพยาบาลค่ะ ให้ไปตรวจอีกครั้งที่โรงพยาบาล คุณพี่ไม่รู้ตาลายมาจากไหน เห็น HPV เป็น HIV ซะงั้น อ่านจบไม่พูดอะไรเลย ได้แต่นั่งน้ำตาคลอ  ไอ้เราก็งงซิ.....ตกใจด้วย รีบหยิบกระดาษมาอ่าน แล้วถามพี่ว่า HPV นี่คืออะไรหรอ โรคร้ายแรงมั้ย พี่สาวหยุดนิดนึง แล้วหันมาดึงไปอ่านใหม่......เห้อ จากคุณ : มี่ (AmeiNa G) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 20:55:03

ความคิดเห็นที่ 10   ขอบคุณเพื่อนๆสำหรับกิ๊ฟ(ทางใจ) และแรงโหวตนะคะ...... ถ้ากระทู้นี้ได้ติดโหวตก็ดีค่ะ เพราะเราอยากให้เพื่อนๆผู้หญิงเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อ HPV มากขึ้นนะคะ เดี๋ยวไว้เราว่าง........ เราจะมาต่อเรื่องที่เราไปตรวจมะเร็งปากมดลูกที่อเมริกานะคะ...... ตรวจที่นี่ ต่างจากตรวจที่ไทยมากมายเลยค่ะ......... จากคุณ : jingjingleaw เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 01:38:02

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูลดี กะจะไปตรวจบ้างเหมือนกัน จากคุณ : ดูดูให้ดี มีมีให้ดู เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 03:42:15

ความคิดเห็นที่ 12   ่ของแถม ความรู้เกี่ยวกับ HPV และ มะเร็งปากมดลูก http://www.chulacancer.net/newpage/information/cervix_cancer07.html จากคุณ : wisut (wisutiyano) เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 07:59:56

ความคิดเห็นที่ 13 โหวตค่ะ โหวต จากคุณ : huavoon เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 10:41:09

ความคิดเห็นที่ 14 โหวตค่ะ และก็อยากให้ผู้ปญิงทุกๆ คนได้เข้ามาอ่านด้วย :)) จากคุณ : Bow Street เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 16:23:38

ความคิดเห็นที่ 15   ขอบคุณคุณ จขกท.มากนะคะ กำลังจะไปตรวจประจำปีพอดีเลยค่ะ ปีนี้แอบเกเร เลยดิวตรวจมา 2 เดือนแล้วเนี่ยยยยยย แหะๆๆ ทำใจอยู่ค่ะ ไม่ชอบไปตรวจเลย T.T ปล.ความเห็นที่ 9 คะ อ่านแล้ว ขำมากกกกกกกกกก ค่ะ 555+ ฮามากๆ :) จากคุณ : LucKy_RiN เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 16:49:49

ความคิดเห็นที่ 16 อยากไปตรวจเหมือนกันคะ บอกชื่อ รพ.ให้เราหน่อยได้มั้ยคะ จากคุณ : ~*~* IanGee *~*~ เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 18:04:19

ความคิดเห็นที่ 17 ขอชื่อโรงพยาบาล ด้วยคนค่ะ อยากตรวจเหมือนกัน แต่ไม่แน่ใจในคุณภาพและบริการของโรงพยาบาล อยากได้ที่ดีดี แล้วบอกต่อ จะได้มั่นใจในระดับนึงอะค่ะ ขอบคุณนะค่ะ จากคุณ : GoodAhey เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 19:31:26

ความคิดเห็นที่ 18 สงสัยว่าแม่จะเป็นโรคนี้จัง แม่ไปตรวจแล้วก็มีหมอนัดอ่ะค่ะ แต่แม่ไม่บอกรายละเอียดอะไรเลย อ่านดูใบที่ไปตรวจก็ไม่รู้เรื่อง...แต่มันไม่ร้ายแรงใช่ไหมคะ จากคุณ : refreshy เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 21:41:12

ความคิดเห็นที่ 19 ซึ่งฝ่ายชายจะเป็นคนนำโรค และฝ่ายหญิงจะเป็นคนเป็นโรคค่ะ ************** จะเป็นชายนำไปติดหญิง หรือหญิงนำมาติดชายก็ได้ครับ การที่ติดเชื้อนี้ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมะเร็งเสมอไป ส่วนใหญ่ร่างกายจะสามารถกำจัดเชื้อได้ ส่วนน้อยที่เป็นการติดเชื้อเรื้อรังถึงจะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็ง ซึ่งกว่าจะกลายเป็นมะเร็งก็ใช้เวลาประมาณ 5-20 ปี ซึ่งถ้าหากคุณผู้หญิงไปตรวจเช็คมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอทุก 1-3 ปี ก็จะสามารถตรวจพบรอยโรคก่อนเป็นมะเร็งได้ ซึ่งกรณีนี้ถ้าตัดออกหมดก็ถือว่าหายครับ จากคุณ : Pecten Pubis เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 22:19:51

ความคิดเห็นที่ 20   เป็นอีกคนหนึ่งที่(เคย)มีสามีเพียงคนเดียวและเป็นHPVค่ะ ตอนไปตรวจเจอตอนแรกก็อึ้งๆงงๆสมองไม่รับข้อมูลค่ะ ตอนนั้นเลิกกับสามีนานมากแล้วและไม่มีใครอีก นอกจากเชื่อจะมีหลายสายพันธ์แล้วระยะของโรคก็มีหลายระยะเช่นกันค่ะ ดิฉันเจอตอนเป็นระยะสองต้องรักษาด้วยการทำLEEP ทำLEEPเจ๊บใหม? ไม่เจ็บค่ะใช้แบบห่วงไฟฟ้า ทำประมาณครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ พักดูอาการหนึ่งชั่วโมงก็กลับบ้านใด้ แนะนำคุณผู้หญิงทุกท่านไปตรวจภายในเป็นระยะๆถึงแม้นจะมีคู่นอนแค่คนเดียวค่ะ ดิฉันไม่ค่อยใด้ตรวจเพราะะไม่กังวล ไม่คิดว่าจะมีโอกาสรับเชื้อ(ก็เคยมีคู่นอนคนเดียวนี่น่า) ปล่อยให้เป็นอยู่นานโดยไม่ทราบ ดีที่ตรวจเจอเร็ว ถ้าปล่อยใว้นานกว่านั้นไม่กล้าคิดเหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น มากน้อยแค่ใหน คิดย้อนหลังแล้วกลัวมากค่ะ Prevention is the best cure นะคะ จากคุณ : ~ทับทิม เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 23:47:09 A:68.81.58.244 X: TicketID:239570

ความคิดเห็นที่ 21 ว่าจะไปตรวจอยู่เหมือนกันค่ะ ทำใจอยู่นานละ  ไม่กล้าซักที อ่านกระทู้นี้แล้วได้กำลังใจเลย ขอบคุณนะคะ จากคุณ : งูเขียวค่ะ เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 23:52:24

ความคิดเห็นที่ 22 มาขอเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังนะคะ เป็นอุทาหรณ์ค่ะ ดิฉันมีคุณพ่อที่สมัยเป็นหนุ่ม ท่านชอบเที่ยวมาก  เมื่อเที่ยวแล้วก็เป็นกามโรค สมัยโบราณรักษากันไปตามมีตามเกิด แต่ท่านนำกามโรคนี้มาติดคุณแม่ ด้วย  จนกระทั่งต่อมา คุณแม่เป็นมะเร็งที่ปากมดลูก มาทำการรักษาด้วยการฉายรังสี (เมื่อ 35 ปีที่แล้ว) แล้วท่านก็เสียชีวิตไป ส่วนคุณพ่อ แต่งงานใหม่  และผลที่เกิดขึ้นคือ ภรรยาใหม่ของคุณพ่อป่วยด้วยโรคมดลูกอักเสบ จนกระทั่งต้องตัดมดลูกทิ้งไป ดิฉันคิดว่า นี่คือนิยามที่บอกว่า ผู้ชายเป็นคนนำเชื้อโรคมาให้ผู้หญิง จริงไหมคะ เพราะฉะนั้นคุณผู้หญิงต้องคิดให้ดีก่อนที่จะแต่งงาน ต้องให้ฝ่ายชายตรวจร่างกายด้วยนะคะ เพราะไม่ทราบว่าฝ่ายชายจะเป็นพาหะที่ทำให้ฝ่ายหญิงต้องเป็นอันตรายโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า ฝากไว้เป็นข้อคิดค่ะ จากคุณ : addsiripun เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 00:36:07

ความคิดเห็นที่ 23   สวัสดีค่ะเพื่อนๆ กลับมาแล้วค่ะ....... เรื่องชื่อโรงพยาบาล.... ขอไม่เปิดเผยตรงนี้ดีกว่านะคะ(ไม่ปลอดภัยต่ออมยิ้มค่ะ) แต่เราว่าน่าจะตรวจมะเร็งปากมดลูกได้ทุกโรงพยาบาลนะคะ แนะนำว่าให้เลือกที่ๆราคาพอรับได้ดีกว่าค่ะ (แต่ถ้าเป็นเรา เราเลือกโรงพยาบาลเอกชนค่ะ) คุณ refreshy....... โรคนี้จะว่าร้ายแรงก็ร้ายแรง จะว่าไม่ก็ไม่ค่ะ แล้วแต่ว่าจะตรวจเจอตอนไหน ถ้าตรวจเจอตั้งแต่แรกก็จะมีโอกาสหายสูงค่ะ...... และก็ตามที่คุณ addsiripun บอกไว้นะคะ คือถ้าผู้หญิงเราจะแต่งงานกับคนที่เคยแต่งงานแล้ว.... ถ้าภรรยาเก่าเขามีประวัติว่าเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก คุณผู้หญิงก็เตรียมถุงยางได้เลยค่ะ..... เพราะเขาเป็นพาหะนำเชื้อแน่ๆค่ะ คุณ~ทับทิมค่ะ..... ถ้าไม่เป็นการรบกวน คุณทับทิมช่วยอธิบายถึงการทำ LEEP เพิ่มเติมได้ไหมค่ะ ก่อนทำต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ทำแล้วหายเลยไหม ต้องกินยารึเปล่า....... และเชื้อ HPV หายไปจากร่างกายเลยถาวรเลยหรือมันจะมีสิทธิ์กลับมาใหม่ค่ะ จากคุณ : jingjingleaw เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 06:34:54

ความคิดเห็นที่ 24   พูดถึงมะเร็งปากมดลูกแล้ว ก็ขอพูดถึงวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกนิดนึงนะคะ........ ก่อนที่เราจะรู้ผล HPV...... นางพยาบาลก็คุยกับเราเรื่องวัคซีนป้องกัน HPV...... เอ๊ะ! มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ด้วยหรอเนี่ย ทำไมชั้นไม่รู้มาก่อนเลยนะนี่ ............... แต่ถึงรู้เราก็ฉีดไม่ได้อยู่ดี เพราะเราได้รับเชื้อมาแล้ว วัคซีนเอาไว้ป้องกัน ถ้าเป็นแล้วก็ไม่รู้จะฉีดไปทำไมเนอะ......... แต่ถ้าเพื่อนๆคนไหนที่ยังบริสุทธิ์อยู่ ควรจะไปฉีดนะคะ กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ...... เราขออนุญาตก๊อปข้อความจากบล็อกของเพื่อนคนนึงมาโพสเลยแล้วกันค่ะ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=babeberry&date=09-02-2009&group=8&gblog=5 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก -วัคซีนเป็นวัคซีนป้องกัน แต่ไม่ใช่วัคซีนสำหรับรักษาในกรณีที่เกิดรอยโรคจากการติดเชื้อไวรัส HPV แล้ว -วัคซีนนี้ไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัส HPV ชนิดที่ไม่ตรงกับวัคซีนได้ ซึ่งความผิดปกติดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้จากเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่ไม่ได้อยู่ในวัคซีน และไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น HIV หรือหนองในได้ -ขณะนี้ยังไม่ทราบระยะเวลาที่วัคซีนจะมีผล แต่จากข้อมูลพบว่า 5 ปีหลังฉีดภูมคุ้มกันยังคงสูง ระยะเวลาที่วัคซีนคุ้มครองได้ยังต้องติดตามกันต่อไป -เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรให้วัคซีนตั้งแต่ก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก แต่ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แล้วก็ยังคง -การฉีดวัคซีน HPV ไม่สามารถใช้ทดแทนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ ผู้ที่ได้รับวัคซีน HPV แล้ว ยังคงต้องมีการตรวจแปปสเมียร์ประจำทุกปี หรือตามแพทย์นัด สรุปคร่าวๆก็คือ การรับวัคซีนสามารถคุ้มกันได้ประมาณ 5 ปี และจะมีประสิทธิภาพสูงสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ แต่ถ้าเคยมีแล้ว และหากติดเชื้อHPV ก็ไม่สามารถรักษาเชื้อที่ติดได้ แต่จะเป็นการป้องกันเชื้อใหม่ที่จะได้รับหลังการฉีด จากคุณ : jingjingleaw เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 06:38:59

ความคิดเห็นที่ 25   ชนิดของวัคซีน HPV ในประเทศไทย มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV 2 ชนิด คือ Gardasil และ Cervarix แต่ช้าก่อนค่ะ...มีตัวไหนบ้างที่ผ่าน FDA อเมริกาแล้ว วัคซีนเซอร์วาริก (Cervarix) เป็น product ของบริษัท GlaxoSmithKline เป็นวัคซีนที่ป้องกันได้ 2 สายพันธุ์ คือ 16 และ 18ซึ่งเป็นต้นเหตุส่วนใหญ่ของโรคมะเร็งปากมดลูก ระยะเวลาการรับวัคซีน 0, 1, 6 เดือน แต่ๆๆๆ ตัวนี้ยัง ไม่ได้รับการรับรองจาก FDA อเมริกานะคะ FDA (Food and Drug Association) เหมือน อย (องค์การ อาหาร และ ยา) บ้านเรา (ขอชี้แจงหน่อยว่า ยาบางตัวถึงแม้ผ่าน US FDA ก็ตาม แต่กว่าจะผ่าน อย บ้านเรา ก็ใช้เวลานานพอสมควรเหมือนกันค่ะ แต่อย่างยาตัวนี้ US FDA ยังไม่ได้นะคะ แต่เค้าก็นำมาฉีดใน รพ) จากการที่ศึกษาผ่านข้อมูลบนเนต ถ้ามีข้อผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะคะ FDA ต้องการข้อมูล ทั้งด้านประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง ของวัคซีนตัวนี้ให้มากกว่านี้ คาดว่าจะได้รับการรับรองในปลายปี 2009 ค่ะ ซึ่งช่วงนี้ Cervarix ได้ผ่านการทดสอบมาแล้วกว่า 67 ประเทศ ในยุโรป ออสเตรเลีย เม็กซิโก เอเชีย ไทย มากไปกว่านั้นรัฐยาลอังกฤษก็สนับสนุนให้ใช้ผลิตภัณฑ์กับสาวแรกรุ่นเมืองผู้ดีด้วยค่ะ ข้อดี คือ ราคาถูก และ ป้องกันสายพันธ์อันตรายหลักคือ 16, 18 จากคุณ : jingjingleaw เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 06:40:12

ความคิดเห็นที่ 26   วัคซีนการ์ดาซิล (Gardasil) เป็นของบริษัท Merck & Co., Inc เป็นวัคซีนป้องกันรวม 4 สายพันธุ์ ไม่ใช่แค่ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกทั่วโลก ประมาณร้อยละ 70 แต่ยังสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6, 11 อันเป็นต้นเหตุของหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศได้ด้วยค่ะ (ตามภาพต้นกระทู้) ระยะเวลาการรับวัคซีน 0, 2, 6 เดือน รพ เค้าจะบอก ตัวนี้เหมาะกับผู้ใหญ่ แต่ที่เราศึกษาเค้าก็ฉีดในเด็ก หรือว่าเป็นเพราะเรื่องราคา การวิจัย เก็บข้อมูลหรืออะไรก็แล้วแต่เรามิอาจทราบ จากที่ผ่านการรับรองของ US FDA เห็นมั้ย ฉีดได้ตั้งแต่เด็กจะได้ป้องกันไปเลยทีเดียว Date: June 8, 2006 Indication: Vaccination in females 9 to 26 years of age for prevention of the following diseases caused by Human Papillomavirus (HPV) Types 6, 11, 16, and 18 ข้อดี คือ ป้องกันได้ 4 สายพันธุ์ และ ผ่าน US FDA แล้ว จากคุณ : jingjingleaw เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 06:41:20

ความคิดเห็นที่ 27   สรุปก็คือ เบ็บแนะนำให้ทุกคนที่อยากได้รับภูมิคุ้มกันเชื้อ HPV ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกไปฉีดวัคซีนป้องกันกันนะคะ 1 ชุด --> 3 เข็ม --> กระตุ้นทุก 5 ปี -สาวๆที่ยังจิ้นอยู่ จะมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง (10-26 ปี) ส่วนตัวแนะนำ Gardasil เพราะครอบคลุมได้มากกว่าอีกตัว -สาวๆที่ xxx แล้ว รับได้เช่นกัน แต่ก็จะป้องกันเชื้อใหม่ ไม่ใช่เชื้อเดิม -หนุ่มๆ ก็รับได้นะคะ แต่ต้องเป็นตัว Gardasil ป้องกันหูดหงอนไก่ ซึ่งอาจนำเชื้อสู่ผู้ร่วม xxx ได้ และก่อนฉีดยา ตรวจดูกล่องผลิตภัณฑ์ด้วยว่า หมดอายุแล้วหรือยัง!! ไม่งั้นฉุนแน่นอน ********************************** โรคหูดหงอนไก่ จากคุณ : jingjingleaw เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 06:43:24

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ เป็นประโยชน์สำหรับผู้หญิงอย่างยิ่งค่ะ เป็นเรื่องใกล้คัวผู้หญิงทุก ๆ คนเลยค่ะ ไว้จะหาโอกาสไปตรวจบ้างค่ะ จากคุณ : ##ขออภัยป้ายหน้าไม่จอด## เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 01:46:25

ความคิดเห็นที่ 29 กระทู้มีสาระมากๆค่ะ คุณ jingjingleaw ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์จริงๆ จากคุณ : แอ๊บสวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 10:40:36

ความคิดเห็นที่ 30   การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกปัจจุบันมีหลายวิธีค่ะ เช่น   1. ตรวจเซลล์แบบ  conventional PAP smear  หรือ  Thin prep Pap smear  ซึ่งใช้วิธี  liquid prep กล่าวคือ  แบบเดิมคือแบบ conventional PAP smear  ใช้วิธีเอาไม้พายป้ายเซลล์จากปากมดลูก ป้ายลงบนสไลด์  แช่น้ำยาให้เซลล์ไม่แห้งไม่หลุด  แล้วเอาไปย้อมส่องกล้องตรวจ แบบ  thin prep  ตามชื่อเลย  คือ  ใช้แปรงหรือไม้พายเก็บเซลล์ที่ขูดได้ทั้งหมดใส่ลงในขวดที่มีน้ำยาอยู่  แล้วนำน้ำยานั้นไปเข้าเครื่องทั้งหมด  เพื่อทำกระบวนการให้นำไปป้ายบนสไลด์พิเศษที่มีความสามารถในการทำให้เซลล์เรียงตัวด้วยความหนาเพียงชั้นเดียวไม่ทับซ้อนกันโดยวิธีทางประจุไฟฟ้านั่นเอง   วิธีนี้ดีตรงที่  น้ำยาที่ใช้  สามารถสลายเซลล์เม็ดเลือดแดง  มูก  ตกขาว  ให้เหลือแต่เซลล์เยื่อบุผิวและเม็ดเลือดขาว  ทำให้ไม่รกตาคนส่องกล้อง รวมทั้งเซลล์ไม่บิดเบี้ยว ราคาแบบแรกในโรงพยาบาลรัฐ(รวมค่าตรวจภายในแล้ว ) 200 บาท   แบบที่สอง(รวมค่าตรวจภายในแล้ว) 600-1000 บาท 2.อาจทำร่วมกับการส่องกล้อง  colposcope  และป้ายน้ำยา  lugol หรือน้ำส้มสายชูเพื่อดูบริเวณผิดปกติคือไม่ติดสีน้ำยา 3.อาจทำร่วมกับการตรวจไวรัส  HPV  ซึ่ง มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่  1000-3000  บาทแล้วแต่สถานพยาบาลค่ะ สถานพยาบาลรัฐที่มีการตวรวจครบทั้งสามวิธีนี้  ได้แก่  สถาบันมะเร็งแห่งชาติ  ศูนย์มะเร็งในภูมิภาคต่างๆ ส่วนเอกชน  ใหญ่ๆจะมีหมดนะคะ  เช่นพญาไท  เกษมราษฎร์  กรุงเทพ จากคุณ : หมอค่ะ (RETINAlady) เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 17:34:29

ความคิดเห็นที่ 31   กราบขอบคุณอย่างสูงค่ะ จากคุณ : survive_me เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 20:15:23

ความคิดเห็นที่ 32 ฉีดมาแล้ว ค่า วัคซีน gradasil คิดว่าคุ้มค่ามากๆสำหรับการฉีดHPV vaccine นี่นะคะ ถึงจะกันได้ สี่สายพันธ์ แต่กอ้ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ จากคุณ : schwarz_aqua เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 00:14:27

ความคิดเห็นที่ 33 การหมักหมมของขี้เปียกและการที่ไม่ทำความสะอาดให้ดี อาจทำให้เป็นแหล่งที่อยู่ของเชื้อโรคมากมาย และที่สำคัญคือ HPV ไวรัสครับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในเพศหญิงและมะเร็งองคชาติใน เพศชาย ฉะนั้นจึงพบว่าผู้ชายที่ขลิบปลายอวัยวะเพศแล้วจะมีอัตราการ เกิดโรคนี้ต่ำมาก ๆ เนื่องจากดูแลสุขอนามัยได้ดีขึ้นและข้อดีนี้ก็ยังเผื่อแผ่ไปถึงสุขภาพของ ผู้หญิงด้วย และปัจจุบันทางการแพทย์ยังพบว่าการขลิบยังทำให้โอกาสติดเชื้อ HIV ที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ลดลงมากกว่าคนที่ไม่ได้ขลิบถึง 60 เปอร์เซนต์นะครับ เรื่องจำเป็นหรือไม่นี่อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนครับ คนที่ไม่เคยมีปัญหา ก็จะมองว่าไม่จำเป็น หรือไม่สำคัญ ส่วนคนที่เคยประสบกับปัญหา หรือมีคนใกล้ตัวมีปัญหา ก็คิดว่าทำน่าจะดีกว่าครับ การขลิบก็คือหัตถการการแพทย์อย่างนึง ซึ่งประโยชน์ของมัน ก็คือเพื่อการดูแลทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น ทำให้ดูแลสุขอนามัยได้ดีขึ้น อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กัน คือผู้ชายทุกคนจะมีหนังหุ้มบริเวณปลายของอวัยวะเพศ ซึ่งบางคนที่โชคดีหน่อย หนังไม่ยาวมาก ดังนั้นเวลาโตขึ้นหนังก็จะร่นไปด้านล่างได้ แต่ก็มีผู้ชายอีกจำนวนมากเช่นกัน ที่หนังหุ้มปลายยังยาวอยู่ ทำให้มันคลุมบริเวณหัวของตัวอวัยวะ ตรงนี้แหละครับที่ทำให้เกิดปัญหาได้ เพราะเวลาเราเข้าห้องน้ำแต่ละครั้ง หลังทำธุระเสร็จก็จะมีคราบหรือหยดของฉี่มาค้างไว้ และยิ่งประกอบกับเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ทั้งเหงื่อ ทั้งขี้ไคลมาหมัก ๆ คลุกเคล้า ๆรวมกันจนเข้าที่ ตรงนี้แหละครับที่ทำให้เกิดคราบและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ครับ ซึ่งคนที่ขลิบจะช่วยเรื่องนี้ได้เยอะครับ เจ็บหรือไม่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ เด็กๆหลายคนก็แค่ฉีดยาชาก็ไหวครับ  ไกลหัวใจ เมืองไทยเมืองร้อน ใส่เสื้อแขนยาวทำอะไรก็ลำบาก จะล้างมือ จะหยิบของก็ไม่สะดวก จะถกแขนเสื้อไปข้อศอก ซักพักแขนเสื้อก็ตกลงมาอีก และพอแขนเสื้อเปียกน้ำ มันก็ชื้น เหนอะหนะครับ  ดังนั้นหาเสื้อแขนสั้นมาใส่ดีกว่า จะทำอะไรก็ง่ายขึ้นครับ ลองเข้าไปอ่านข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องขี้เปียกก่อนครับ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thaicirc20&date=01-05-2007&group=4&gblog=5 ส่วนใครมีข้อแนะนำไงก็ฝากไว้ได้นะครับ ปล.อาจมีภาพไม่เหมาะสมกับเยาวชนบ้าง แต่เจตนาเพื่อการศึกษานะครับ เรื่องเพศศึกษาหรือสุขอนามัยของอวัยวะส่วนสำคัญเมืองไทยเราไม่ค่อยมีคนพูดหรือสอน ปล่อยให้ไปหาความรู้กันเองแบบผิด ๆ แอบถามกันแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ คนตอบก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง ตอนสอนครูก็สอนไปอายไป พยายามข้าม ๆ ให้จบ ๆ ผมเลยอยากจะทำเวบเกี่ยวกับเรื่องการดูแลอวัยวะส่วนสำคัญของผู้ชายครับ ไปดูแล้วช่วยกันเผยแพร่หน่อยนะครับ เพราะทุกวันนี้ผมอยู่รพ. มีคนไข้มากมายที่มาปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในพันทิพเองก็มีคำถามแบบนี้มาทุกวัน ทั้งที่จริง ๆ เป็นเรื่องที่ควรจะมีการสอนและปลูกฝังให้กับเยาวชนของพวกเราครับ จากคุณ : สาลิกาโบยบิน เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 20:43:50

ความคิดเห็นที่ 34   ขอโทษค่ะ ไม่ใด้เข้าเน็ตหลายวัน การทำ LEEP ไม่ยุ่งยากและไม่น่ากลัวค่ะ ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล ไม่มีเลือดใหล ขั้นตอนการทำที่จำใด้คร่าวๆประมาณนี้ค่ะ เมื่อตรวจเจอเชื้อและประเมินการรักษาคุณหมอก็นัดวันทำ LEEP ก่อนการทำ คุณหมอไม่ใด้ให้เตรียมตัวพิเศษใดๆเลยค่ะทานข้าวทานน้ำตามปกติ ไปถึงโรงพยาบาล เข้าห้องผ่าตัดเล็ก คุณหมอให้ยาชา ตอนนั้นมีปัญหานิดๆเพราะร่างกายรับยาชาไม่ใด้ หัวใจสั่นชีพจรลด ความดันลดจะเป็นลมหายใจไม่ออกและหนาวมาก รีบบอกคุณหมอ คุณหมอลดการเร่งยาชาลง ให้กระเป๋าน้ำร้อนมากอดและรอซักพักจน ชีพจรและความดันเริ่มกลับมาปกติ หายใจใด้ปกติ หัวห่วงไฟฟ้าที่ใช้มีขนาดต่างกันไปแล้วแต่หมอว่าจะใช้ขนาดใหนเพื่อให้เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องตัด ตอนตัดใด้กลิ่นเหม็นไหม้เลยอันนั้นกลัวสุดๆ คุณหมอก็ทำงานไปอธิบายไปว่าทำอะไร ขั้นตอนใหน ตัดเสร็จคุณหมอใช้หัวไฟฟ้าจี้เพื่อหยุดเลือดมีเสียงเครื่องทำงานแต่ไม่น่ากลัวค่ะ ประมาณ๒๐นาทีก็เสร็จและย้ายไปห้องพักรอดูอาการ หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงก็กลับบ้านใด้ ทับทิมทำเองทั้งหมดทั้งเปลี่ยนผ้าก่อนและหลังการทำ เดินไปมาระหว่างห้องผ่าตัดกับห้องรออาการไปกลับ-เองทำเสร็จไปเดินช๊อปต่อโดยที่ไม่มีอาการใดๆค่ะ หลังการทำ ห้ามมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างที่แผลยังไม่หายระยะเวลาลืมไปแล้วค่ะเพราะไม่มีแฟนเลยไม่ใด้ใส่ใจจำ หลังจากแผลหายสนิทคุณหมอนัดทำแพ๊ฟฯเพื่อดูว่าเนื้อเยื่อที่ไม่ปกติใด้ถูดตัดออกไปหมดหรือไม่ นัดตรวจซ้ำอีกภายในสามเดือน หกเดือนและหนึ่งปี ทับทิมไม่ใด้กลับไปกับคุณหมอคนเดิมตรวจครบตามที่คุณหมอนัดเพราะต้องกลับมาทำงานแต่ไปทำแพ๊ฟฯทุกๆปีและผลออกมาปกติค่ะ ตอนนี้ผ่านมาสี่ปีแล้วค่ะ ทับทิมเข้าใจว่าหลังจากการรักษาเนื้อเยื่อผิดปกติใด้ถูกตัดออกไปหมดอาการก็จะหายไป แต่ถ้าร่างกายใด้รับเชื้ออีกก็จะเป็นอีกใด้แต่ไม่คอนเฟริ์มนะคะนานมาแล้วคุณหมออธิบายอะไรก็ลืมไปหมดค่ะ คงต้องรบกวนคุณหมอมาให้ความรู้ตรงนี้เพิ่มเติมค่ะ การรักเดียวใจเดียวไม่ใด้ช่วยให้ผู้หญิงปลอดโรคเลยคุณผู้ชายมีส่วนช่วยคนรักโดยการไม่ส่ำส่อนและป้องกัน ผู้หญิงหลายๆคนโดยฆ่าทั้งเป็นมากมาทั้งๆที่เธอไม่เคยปฎิบัติตัวไม่เหมาะสมเลย ฝากใว้เป็นข้อเตือนใจคุณผู้ชายทุกท่านค่ะ คิดถึงคนข้างๆคุณสักนิดนะคะ จากคุณ : ~ทับทิม เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 03:49:16 A:68.81.58.244 X: TicketID:239570

ความคิดเห็นที่ 35   ขอบคุณมากๆเลยค่ะคุณ~ทับทิม...... เป็นประโยชน์มากมายเลยค่ะ จากคุณ : jingjingleaw เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 52 16:28:12