ความคิดเห็นที่ 1 เพื่อที่จะให้เข้าใจ(หรือยิ่งจะไม่เข้าใจนะ) คงต้องอธิบายเรื่องธรมชาติของโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบีแบบเรื้อรัง Chronic hepatitis B infection ไวรัสตับอักเสบชนิดบี เมื่อมีการติดเชื้อ ไวรัสจะฝังยีนไวรัสเข้าสู่ดีเอ็นเอของตับ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อแล้วสามารถสร้างภูมิคุ้มกันกำจัดเชื้อไวัสออกได้จะหายขาด อย่างไรก็ตามผู้ป่วยเหล่านี้ถ้าภูมิคุ้นกันลดลงอย่างรุนแรงเช่นผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัดแรงๆอาจมีการกลับมาเป็นซ้ำได้แต่น้อยมากๆๆๆๆ ส่วนผู้ป่วยอีกกลุ่มหนึ่งจะเข้าสู่ระยะเรื้อรังดังนี้ 1 Immune tolerance เกิดจากเชื้อไวรัสมีจำนวนมากและร่างกายมองไม่เห็น(จริงๆคือมองเห็นแต่มองแล้วเข้าใจว่าไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม) ระยะนี้ ตับจะไม่ค่อยอักเสบ ถ้าตรวจเลือดจะพบเชื้อไวรัสจำนวนมากๆ ตรวจแอนติเจน S และ E จะให้ผลเป็นบวก 2 HBeAg +ve CHB ต่อมาบางคนร่างกายเกิดมองเห็นไวรัส (มีการสร้างภูมิคุ้มกัน) ระยะนี้ จึงทำให้เกิดการอักเสบของตับอย่างเรื้อรัง ถ้าตรวจเลือดจะพบเชื้อไวรัสจำนวนมากๆ ตรวจแอนติเจน S และ E จะให้ผลเป็นบวก 3 HBeAg - ve CHB ในบางคนเมื่อร่างกายมองเห็นและพยายามกำจัดไวรัส แต่ยังมีการอักเสบของตับอยู่ ระยะนี้ไวรัสจะมีปริมาณน้อยลง ตรวจแอนติเจน S จะให้ผลเป็นบวก แต่ E จะเป็นลบ 4 Inactive carrier ในบางคนเมื่อร่างกายมองเห็นและพยายามกำจัดไวรัส จนทำให้ไวรัสสงบลง อาจเรียกได้ว่าเป็นระยะพาหะเนื่องจากมีเชื้อแต่ไม่มีอาการ ระยะนี้ไวรัสจะมีปริมาณน้อยลงมากจนบางครั้งก็ตรวจไม่เจอ ตรวจแอนติเจน S จะให้ผลเป็นบวก แต่ E จะเป็นลบ ถ้าตรวจตับจะไม่พบการอักเสบ 5 Recovery บางคนอาจโชคดี (แต่น้อยมากๆ) คือตัวโรคสงบลงมากๆ ระยะนี้จะตรวจไม่พบไวรัสในเลือด ไม่พบแอนติเจน S และ E แล้ว ****แต่ พบว่าถ้าไปตรวจเนื้อตับยังสามารถพบ ดีเอนเอของไวรัสตับอักเสบชนิดมีอยู่ครับ ดังนั้นในกรณีที่ จขกท ถาม คงต้องดูว่า ผู้ป่วยได้ตรวจด้วยวิธีใด แล้วมามองตามระยะทั้ง 5 ครับ ป.ล. - การตรวจหาเชื้อไวรัสในกระแสเลือดจะใช้ใิธี Quantitative PCR ซึ่งมีข้อกำจัดบ้างกรณีที่เชื้อน้อยมากๆเช่นเหลือ 20 ตัวการตรวจก็จะบอกว่าตรวจไม่พบครับ -การตรวจแอนติเจน ใช้วิธีทาง Immuno ครับเช่น ELIZA ซึ่งแอนติเจนที่ว่าก็คือโปรตีนของไวรัสซึ่งจะพบแต่ในไวรัสมีความเฉพาะเจาะจง S antigen จะบ่งถึงว่ามีเชื้อไวรัสในเลือด(สมัยก่อนที่จะมี PCR) E antigen จะบ่งถึงว่าไวรัสกำลังอยู่ในช่วงแบ่งตัวอย่างมากดังนั้นมักพบปริมาณไวรัสมากและมีโอกาสติดต่อง่าย อ้อ ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะที่ 4 -5 ถ้าภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง (โดยเฉพาะเมื่อได้ยากดภูมิหรือเคมีบำบัด) อาจทำให้เกิดการ Reactivation ซึ่งส่งผลให้ตำนวนไวรัสกลับมาเพิ่มขึ้นและย้อนไปสู้ระยะ ที่ 1 - 3  ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 52 18:11:57 จากคุณ : oncodog เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 52 18:10:16

ความคิดเห็นที่ 2   ถ้าดื่มน้ำแก้วเดียวกับคนที่มีเชื้อจะติดมั้ยคะ คือตอน ปี 1 รับน้องในห้องเชียร์ เพื่อนเยอะมากๆ ไม่รู้เลยว่าใครเป็นรึเปล่า แต่เคยฉีดวัคซีนแล้ว จากคุณ : >>>Lady Engineer #45 KKU<<< เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 52 18:20:36

ความคิดเห็นที่ 3 ไวรัสบี และ ซี ไม่ติดต่อทางการกินครับ ติดต่อทางเลือด และ เพศสัมพันธ์ ไวรัสเอ ติดต่อทางการกินครับ ยิ่งถ้าเคยฉีดวัคซีนแล้ว ก็ไม่ต้องห่วงเลยครับ ปลอดภัยชัวร์ จากคุณ : นักเทคนิคการแพทย์ เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 52 19:12:52

ความคิดเห็นที่ 4   ขอบคุณมากค่ะ นี้แสดงว่าเข้าใจผิดมาโดยตลอดเลย - - แก้ไขเมื่อ 21 ธ.ค. 52 19:38:56 จากคุณ : >>>Lady Engineer #45 KKU<<< เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 52 19:38:35

ความคิดเห็นที่ 5 มันก็แปลกตอนผมเป็นทหารอยู่แต่ในป่าเพราะฐานตั้งอยู่ในป่าเขา ตื่นนอนขึ้นมาผมตาเหลืองตัวเหลืองก็ขอลาลงมาหาหมอที่ตัวจังหวัด ตรวจเลือดหมอบอกว่าเป็นไวรัสตับอักเสษB แต่ก็ไม่ได้ให้ยาอะไรมา แต่บอกว่าให้กินหวานๆ ผมก็กลับขึ้นมาบนฐาน ก็รู้สึกเพลียมากๆอยู่2วัน และผมก็หาของหวานกินที่หาได้ก็คือ นมข้นหวานที่ไปชื้อจากร้านค้าของกะเหรี่ยง วันละกระป๋องกินเปล่าแบบไม่ต้องชงและก็ออกกำลังกายมากขึ้น ปกติไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเพราะมันจะออกในตัว แต่หันมาออกวิ่งขึ้นลงเขาแบบหนัก ต่อมามันก็รู้สึกดีขึ้นและปกติ หลังจากนั้นผมก็ไม่มีอาการอะไรอีกเลย ผมบริจาคเลือด 9 ครั้ง ก็ไมเห็นเขาตีกลับว่าผมเป็นอะไร และผมก็มีภรรยาและลูกก็ปกติ ก็คงแสดงว่าผมคงหายไปแล้ว ก็แปลกเหมือนกันครับ ออกกำลังกาย+กินหวานๆ จากคุณ : soonchai เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 52 04:43:25