ความคิดเห็นที่ 1 เรื่องนี้ไม่ชำนาญครับ แต่ยากินเมืองไทย(องค์การเภสัช) ราคาถูกกว่ามากครับ (ประมาณ 20 บาท )ส่วนของนอกถ้าจำไม่ผิดจะไม่แพงขนาดนี้นะครับแต่จำไม่ได้จริงๆว่าเม็ดละเท่าไร (น่าจะราวๆ 150 บาท) ส่วนยาฉีดเคยได้ยินมาเหมือนกันครับว่าประมาณรถคันนึง 500,000-700,000 แต่เข้าใจถูกแล้วครับว่าจะรักษาไม่ใช่ต้องมีเงินอย่างเดียวแต่ต้องพร้อมด้วยครับ จากคุณ : oncodog เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 52 19:36:35

ความคิดเห็นที่ 2   ฉีด แล้ว แทบเห็น นรก เลย ต้องทำใจ แต่ ครบ การรักษา ก็ โอเค น่ะครับ ถ้า จะ ฉีด ต้องเตรียมตัวและใจให้พร้อม ขอเป็นกำลังใจให้ครับ จากคุณ : เอาใจช่วยครับ เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 52 21:03:11 A:220.220.112.175 X: TicketID:123316

ความคิดเห็นที่ 3   เคยฉีดค่ะ ทั้งหมด 24 เข็ม ควบคู่กับกินยาด้วย ระหว่างที่ทำการรักษาก้อไม่เห็น จะเลวร้ายตรงไหนเลยนี่คะ ก้อ ok ดีอยู่ มันอยู่ที่ใจของเราด้วยว่าอยากหายหรือเปล่า และที่สำคัญที่สุดก้อคือกำลังใจจากคนรอบข้างด้วย เรารักษาเมื่อปี 2006 อาการข้างเคียงก้อมี น้ำหนักลดห้วบๆ ผมล่วง แต่มันจะขึ้นมาใหม่หลังจากหยุดยาแล้ว และรู้สึกว่าหนากว่าเดิมอิกด้วย จากคุณ : คนที่ผ่านการรักษามาแล้ว เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 52 02:13:40 A:99.142.48.42 X: TicketID:187421

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่เคยกินยา ไม่เคยฉีดยา ก็อยู่กับมัน มาได้ตั้ง 20 กว่าปีแล้ว รักษาสุขภาพ ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ แค่นั้นแหละ จากคุณ : HI Golfer เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 52 11:44:44

ความคิดเห็นที่ 5 ผมก้เป็นอยากรักษาให้มันหายๆไปเลย ไม่ได้เครียดเรื่องสุขภาพครับแต่เครียดเรื่องหางาน เคยโดนปฏิเสธงานเพราะเป็นตับบีมาแล้วจะหางานสายที่เรียนมาก็ หายากเพราะหลายที่ไม่รับตอนนี้จิตตกสุดๆ จากคุณ : tragodius เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 52 12:07:11

ความคิดเห็นที่ 6   ขอบคุณนะครับ คุณ เอาใจช่วยครับ, คุณ คนที่ผ่านการรักษามาแล้ว ที่มาช่วยแชร์ประสบการณ์ ผมแปลกใจตรงที่ ฉีดแค่ 24 เข็มเองเหรอครับ โห ดีจังเลย ก็น่าจะประมาณ 6 เดือน แสดงว่าร่างกายสนองกับตัวยาดี และอีกอย่าง ตอนรักษา นอกจาก น้ำหนักลดห้วบๆ ผมร่วงแล้ว อย่างอื่นก็โอเคใช่ไหมครับ เห็นบางคนบอกว่ามีไข้ต่ำๆ และไม่มีเรี่ยวแรงอะไรประมาณนี้ครับ แล้วตอนฉีด เจ็บเหมือนตอนฉีดยาปกติหรือเปล่าครับ หรือว่าเจ็บมากๆ แล้วของ คุณ เอาใจช่วยครับ ที่บอกว่า ฉีด แล้ว แทบเห็น นรก - มันอย่างไงเหรอครับ ฟังแล้วน่ากลัว ************************************************************* สำหรับคุณ HI Golfer มันขึ้นอยู่กับกรณีต่างหากหละครับ ว่า คุณหมอจะพิจารณาว่า คุณต้องรักษาหรือไม่ คุณ อาผม กับพี่ผม ก็เป็น แต่ไม่ต้องทำการรักษา แค่รักษาสุขภาพ งดเหล้า พวกถั่ว เครื่องใน ออกกำลังกาย เพราะว่ามีปริมาณไวรัสไม่มาก แต่ในกรณีผม มันต่างกัน ไปตรวจหาปริมาณเชื้อ มันมีมากจนมีความเสี่ยงสูง คุณหมอจึงอยากให้ผมรักษาครับ Sometime in your case cannot your for other cases! จากคุณ : เบียคูยะ เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 52 12:40:16 A:83.110.197.4 X:195.229.241.172 TicketID:147596

ความคิดเห็นที่ 7 บ้านเราไวรัสตับอักเสบ B เรียกว่าเป็นโรคทางพันธุกรรมค่ะ พี่น้องพ่อมีกัน 9 คน เป็น ชาย 5 คน หญิง 4 คน ตรวจพบเชื้อในผู้ชาย 5 คน หญิง 2 คน (ที่เหลือมีภูมิคุ้มกันค่ะ) ปัจจุบันพ่อเรารับยามาทานค่ะ ตอนแรกป้า (เป็นพยาบาลค่ะ) บอกว่าให้ทานสัก 2-3 ปี แล้วจะหาย แต่พอตรวจมันก็ไม่หายนะค่ะ แค่เชื้อจากสิบล้าน ลดลงจนเหลือน้อย แต่ตอนนี้ก็ยังต้องรับยารักษามาเรื่อยๆ (เพราะกลัวเชื้อจะเพิ่มขึ้นค่ะ) จนจะ 4 ปี แล้วค่ะ ค่ายาเดือนละ 10,000 บาท (ยานอกค่ะ) ส่วนพี่น้องคนอื่นก็อยู่ในข่ายเดียวกันค่ะ ยังรับยากันเรื่อยๆ จนปัจจุบัน ป้าบอกว่าถ้าให้ชัวร์ต้องไปทำ CT Scan ควบคู่เพื่อหาเชื้อไปด้วย ซึ่งลุงเราไปทำมาค่ะและพบว่ามีอาการผิดปกติที่ปอดแม้เชื้อจะลดลง (ลุงค่อนข้างรักษาตัวเองมากๆๆ) ซึ่งเค้าบอกว่าในช่วงคนอายุประมาณ 55 ปี แม้จะทานยาก็ควรทำ CT Scan เพื่อหาสิ่งผิดปกติด้วย ส่วนพ่อเราแทบจะไม่รักษาตัวเองเท่าไหร่เลยค่ะ ทานยาทุกวัน แต่ก็ยังทานเหล้า (แต่น้อยลงกว่าเดิม) และสูบบุหรี่เหมือนเดิม (เราก็เป็นห่วงนะค่ะ พูดแล้วแต่ก็ห้ามไม่ได้อ่ะค่ะ) CT Scan ก็ยังไม่ได้ไปทำ **แต่บ้านเราที่รับยา ทุกคนมีอายุ 50 ปีขึ้นกันทุกคนและมีลูกกันหมดแล้วค่ะ** เลยไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบอะไรกับการมีลูกไหม อย่างที่ จขกท. อยากรู้อ่ะค่ะ และก็ไม่เห็นผลข้างเคียงเท่าไหร่ ทุกคนยังแข็งแรง อ้วนท้วน สมบูรณ์ เป็นปกติกันทุกคนนะค่ะ แค่อยากแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง เผื่อจะมีประโยชน์อะไรบ้าง และยินดีค่ะ ถ้าอยากจะคุยกันเรื่องนี้ เพราะจะได้แชร์กัน หลังไมค์ได้นะค่ะ แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 52 17:14:39 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 52 17:09:40 แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 52 17:05:03 จากคุณ : MaysitO เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 52 16:54:42

ความคิดเห็นที่ 8 เราก็เป็น แบบเรื้อรัง ยังไม่ได้รักษาหรือทำอะไรเลย ทนอยู่กับมันไปเรื่อยๆ ทุนน้อยอ่า ทำไงได้ จากคุณ : tikhot เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 52 17:22:20

ความคิดเห็นที่ 9 ผมฉีดยามาครบคอร์สแล้วครับ 1 ปี สัปดาห์ละ 1 เข็ม ราคาเข็มละ 14000 บาท ช่วงก่อนฉีดค่าการอักเสบสูงมาก ๆ พอฉีดจำนวเชื่อลดลงจนปกติ ค่าการอักสบก็ลดลงจนอยู่ในเกณท์ปกติ ระหว่างการฉีด ไม่มีผลข้างเคียงอะไรนะครับ หรือผมไม่รู้สึกอะไรหรือป่าว ว่ามีผลข้างเคียง พอครบคอร์สคุณหมอจะนัดมาดูผลอีก 1 ปีให้หลัง แบ่งเป็น 6 เดือนครั้ง ปรากฏว่า เชื่อยังมีอยู่ และเพิ่มขึ้นจากช่วงระหว่างฉีดยา คุณหมอให้เลือกครับว่าจะหยุดรักษา แล้วรอยาที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ (ณ ตอนที่ฉีดยาตัวนี้ คุณหมอบอกว่าดีที่สุดที่ตอนนี้มีครับ) หรือจะกินยาไปเรื่อย ๆ ยาก็มีให้เลือกครับ ขององค์การเภสัช ยาถูกแต่คุณภาพก็สู้ยาที่นำเข้าไมได้ ตอนนี้ผมเลือกที่จะกินยาครับ กินยาบาลาครูส ขนาด 0.5 มิลลิกรัม ทุกวัน ซื้อขนาด 1 มิลลิกรัมมาแบ่งครึ่ง 1 กล่องมี 30 เม็ด กล่องละ 10600 บาทครับ แต่ผมไม่รู้นะว่ามีผลค้างเคียงที่จะทำให้มีลูกไมได้ เพิ่งรู้จริง ๆ เลยนะเนียะ เพราะถามหมอแล้ว คุณหมอบอกว่า มีลูกได้สบาย (เพราะผมเพิ่งจะแต่งงาน และอยากมีลูกมาก) อย่างนี้ต้องกลับไปถามใหม่ล่ะ.... จากคุณ : tukkatum เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 52 20:13:29

ความคิดเห็นที่ 10 โรคนี้ไม่รวยคงหมดสิทธิ์รักษา จากคุณ : อิฐมอญ เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 52 20:58:18

ความคิดเห็นที่ 11 บ้านเราก็ไม่รวยนะค่ะ พออยู่พอกิน แต่ทุกคนอยากให้พ่อรักษาค่ะ จริงๆ พ่อเราควรไปทำ CT Scan ด้วย แต่ก็คิดหนักค่ะ เพราะต้องใช้เงินอีกมาก ก็รักษาเท่าที่ทำกันได้ค่ะ จากคุณ : MaysitO เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 52 00:06:48

ความคิดเห็นที่ 12   ขอบคุณทุกคนที่ช่วย share ประสบการณ์นะครับ ผมจะขอเพิ่มเติมนะครับ ครอบครัวผม น่าจะเป็นจากกรรมพันธ์ เพราะว่าคุณปู่ กับ คุณอาอีกคน เป็นมะเร็งตับ เสียชีวิต สำหรับ case พี่ผม กับ อาผมอีกคนนั้น ก็รู้ว่าเป็น ก็ทำการรักษา (เป็นเรื้อรัง ) ถามว่าเจงๆรักษาไหมก็ไม่ได้รักษาอะไรนะคับ แค่ไปตามที่หมอนัดทุก หกเดือน หรืออะไรก็ว่าไป เพราะว่าทำการเจาะเลือดแล้ว พบว่ามีเชื้อในปริมาณไม่เยอะ (Viral Load Test) แต่จะไปตรวจดูค่า Function ของตับ (Liver Function Test) และก็ทำการอัลตราซาวว่าพบอะไรผิดปกติหรือเปล่า ก็ไม่ได้ให้ยามาทานนะครับ แค่ให้ดูแลเรื่องการกิน เช่น ไม่กินของมัน, ถั่ว, พริกป่น, เครื่องใน, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ etc. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เท่านี้ครับ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 52 02:13:59 A:86.99.69.90 X:86.96.226.86 TicketID:147596

ความคิดเห็นที่ 13   แต่ในกรณีผมต่างกัน ซึ่งผมทราบว่าเป็น (โดยไม่รู้ตัวมาก่อน) แต่อย่างที่บอกผมต้องเดินทางไป ตปท (ประมาณ ปีนึง) หมอก็บอกไม่เป็นไร ดูจากร่างกายแล้วปกติ ไม่ปวดท้อง ไม่มีตัวเหลือง ตาเหลืองอะไร แกก็เลยไม่ตรวจละเอียด (เพราะไม่ทันด้วย ใกล้เดินทาง) แต่พอกลับมา ก็ไปหาคุณหมอ ๆ เลยส่งให้แพทย์เฉพาะทางต่อ คราวนี้ตรวจละเอียดเลยครับ เจาะเลือดตรวจใหม่หมด อัลตราซาวด์ ทำ viral load ผลออกมาอย่างที่บอกตามหัวข้อกระทู้ครับ คุณหมอบอกต้องรักษาเป็นการด่วน ไม่ฉีดยาก็ต้องกินยา (หมอให้ Option มาสอง Options เจงๆครับ ไม่มี 3nd option ) ที่คุณหมอให้มาแค่สองทางเลือกเพราะว่า 1. ค่าViral Load ผมสูงมาก เกินสิบล้าน 2. ค่า ALT กับ AST ถ้าจำไม่ผิด (ค่าการทำงานของตับ) สูงกว่าปกติ 2-3 เท่า อ๋อ ลืมบอก ผมรักษาโรงพยาบาลรัฐนะครับ ไม่ใช่เอกชน แต่เป็นคลีนิคพิเศษ พี่ผมกะอาผม ไปโรงพยาบาลเดียวกัน(รัฐเหมือนกัน) แต่ผมอีกโรงพยาบาล สำหรับเรื่องยากิน กับ ยาฉีด ราคาได้พูดแล้วในตอนต้นครับ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 52 02:16:31 A:86.99.69.90 X:86.96.227.86 TicketID:147596

ความคิดเห็นที่ 14   แต่......จากที่ผมสอบถามผู้ช่วยวิจัย ที่ทำงานกับคุณหมอทางด้านนี้โดยเฉพาะ เกี่ยวกับเรื่องยากิน กับ ยาฉีด (คนนี้พอทราบว่าผม มีเชื้อสูงขนาดนี้ ก็บอกเหมือนกันว่าต้องฉีดยา หรือ กินยา สถานเดียวครับ) เรื่องยาฉีดนั้น ในโลกนี้มีให้เลือกแค่ไม่กี่บริษัท (a few) แต่บอกว่า กรณี ฉีดยา ระหว่างฉีดยาไม่สามารถมีลูกได้ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ในกรณียากินนั้น มีให้เลือกหลายบริษัท แต่ก็ไม่มาก แต่ต้องกินตลอดชีวิตเหมือนกัน ราคาที่คุณหมอผมให้ ก็บอกว่าตกวันละ 200 กว่าบาท (รพ รัฐนะครับ) อาจมีต้องกินหลายเม็ดในหนึ่งวัน หรือ ยังไง ผมไม่แน่ใจ เพราะยังไม่ได้กินครับ แต่กรณียา ทางผู้เชียวชาญบอกว่า ตอนนี้มีแบบชนิดที่กินแล้วมีลูกได้ กับมีลูกไม่ได้ด้วย คือในช่วงแรกๆ ยาที่ผลิตออกมา จะมีผลทำให้ไม่สามารถมีลูกได้ แต่ตัวยาใหม่ ผลิตออกมา จะสามารถมีลูกได้ครับ ทาง คุณ tukkatum คงได้ยาตัวใหม่นะครับ เลยสามารถมีลูกได้ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 52 02:20:40 A:86.99.69.90 X:86.96.227.86 TicketID:147596

ความคิดเห็นที่ 15   ผม search เจอเวปนึง บอกเกี่ยวกับเรื่องยานะครับ ยารักษาโรคไวรัสบี ยาที่ใช้ในการรักษาพอจะแบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ ยากระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกาย และยาที่ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสบี ผลการรักษาโดยเฉลี่ยแล้วมีโอกาสหายประมาณ 30% แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อีก 70% ที่เหลือถ้ายังไม่หายจะไม่ให้การรักษา เพราะเราสามารถให้ยาเพื่อยับยั้งไวรัสต่อเนื่องไปได้เป็นเวลานาน เพื่อลดการเกิดการทำลายตับในระยะยาว ยาทั้ง 2 กลุ่มนี้ได้แก่ 1. ยาที่ช่วยกระตุ้นภูมิร่างกายเพื่อทำลายไวรัส ได้แก่ ยากลุ่มอินเตอร์เฟียรอน มีฤทธิ์ทั้งกระตุ้นภูมิต้านทานและยับยั้งไวรัส ในอดีตเป็นยาชนิดฉีดอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ปัจจุบันมีการพัฒนาเป็นยาที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ขึ้น เรียก เพ็คอินเตอร์เฟียรอน มี 2 ชนิดคืออัลฟาทูเอ (Peg-Interferon Alpha 2a) และอัลฟ่าทูบี (Peg-Interferon Alpha 2b) ออกฤทธิ์ได้นานประมาณ 1 อาทิตย์ ฉีดอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง เป็นเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี แล้วแต่ระยะของโรค ข้อดีของยาคือไม่เกิดการดื้อยาของเชื้อ แต่ยามีภาวะแทรกซ้อนพอสมควร ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ยานี้ไม่สามารถให้ได้ในคนที่มีตับแข็งระยะท้าย(Decompensate) ที่เริ่มมีอาการบวม เหลือง การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ หรือในรายที่เกล็ดเลือดต่ำมาก 2. ยาต้านไวรัสบี ขณะนี้มีหลายชนิด ทุกชนิดใช้วิธีการทานวันละครั้งเป็นระยะเวลานานอย่างน้อย 1-2 ปีขึ้นไป ภาวะแทรกซ้อนจากยาก็น้อยมาก ระยะนี้ถือว่าเป็นยุคที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงในการรักษาไวรัสบี ยาตัวแรกที่ออกมาคือ ลามิวูดีน (Lamivudine) ขณะนี้ใช้รักษาไวรัสบีมาเกิน 8 ปี มีฤทธิ์ยับยั้งทั้งไวรัสบีและเชื้อเอดส์ เกิดเชื้อดื้อยาได้พอควร ประมาณ 15% ต่อปี ตัวที่ 2 คืออเดโฟเวีย (Adefovir) ขณะนี้ใช้กันมาประมาณ 6 ปี เชื้อดื้อยาค่อนข้างน้อย พบ 18% ที่ 4 ปี ใช้รักษาเชื้อที่ดื้อต่อยาตัวแรกได้ ยาชนิดที่สามคือ เอ็นทิคาเวีย (Entecavir) ยาตัวนี้มีฤทธิ์ในการยับยั้งไวรัสบีได้สูง ในผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาชนิดนี้เป็นยาตัวแรกและไม่เคยได้รับลามิวูดีนมาก่อน ขณะนี้ใช้กันมาประมาณ 3-4 ปี) ถ้าใช้ในผู้ที่ดื้อต่อยาลามิวูดีก็จะพบเชื้อดื้อยาได้เร็วขึ้น ยาตัวที่สี่ที่จะเข้ามาคือ เทวบิวูดีน (Telbivudine) ยาตัวนี้มีข้อมูลการใช้มาประมาณ 3 ปี มีฤทธิ์สูงในการยับยั้งไวรัสบีเกือบเท่ากับยาเอ็นทิคาเวีย พบเชื้อดื้อยาในเปอร์เซ็นต์ไม่สูงตั้งแต่ปีแรก ยาที่จะเข้ามาเป็นตัวเลือกในการรักษาไวรัสบีในอนาคตอันใกล้คือ เทโนโฟเวีย (Tenofovir) ซึ่งออกฤทธิ์ได้แรก เกิดเชื้อดื้อยาน้อย และดื้อคนละแบบกับยากลุ่มแรกๆ ใช้รักษาเชื้อเอดส์ได้ ยาอื่นได้แก่ เอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine) มีฤทธิ์ทั้งต่อไวรัสบีและเอดส์ คงออกมาใช้ร่วมกับเทโนโฟเวียในอนาคต การเลือกยาต้านไวรัสที่กล่าวมาทั้งหมดจะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ระยะของโรค จำนวนไวรัส ชนิดของไวรัสเป็นแบบเชื้อปกติหรือเชื้อดื้อยา ราคา และโอกาสการเกิดเชื้อดื้อยาของยาแต่ละชนิด แนวโน้มของการรักษาในอนาคตอันใกล้คือ การให้ยาอย่างน้อย 2 ชนิดร่วมกันเพื่อลดโอกาสการดื้อยา ส่วนยาชนิดใดจะให้ร่วมกับยาชนิดใด ต้องอยู่ในดุลยพินิจและผลการศึกษาที่จะตามมาในอนาคต เครดิต http://www.4life-network.com/index.php?mo=3&art=272947 อันนี้ search เจอเจงๆนะครับไม่ได้โฆษณาให้เขานะ 555+ จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 52 02:34:04 A:86.99.69.90 X:86.96.226.86 TicketID:147596

ความคิดเห็นที่ 16   เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมก็อยากจะบอกในสิ่งที่ผมรู้ให้มากที่สุดนะครับ และอยากให้คนอื่นช่วยแชร์ประสบการณ์ด้วยเหมือนกัน เพราะคนไทยเป็นโรคนี้เยอะเหมือนกัน และก็ หลายคนก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นด้วย สำหรับคนที่เป็นแล้วจะไปหาหมอนะครับ ให้ไปที่แผนกอายุรกรรมทางเดินอาหารครับ ถ้าเราไป โรงพยาบาลรัฐ คลีนิคปกติจะไม่สามารถเลือกหมอได้ครับ แต่ถ้าไปคลีนิคพิเศษแล้ว เราสามารถเลือกหมอได้ครับ และก็เป็นอาจารย์หมอด้วย แต่.................... (มีแต่อีกแระ) แพทพย์ผู้เชียวชาญทางด้านนี้ 3 โรงพยาบาลใหญ่นะครับ โรงพยาบาล ศิริราช อ. ทวีศักดิ์ แต่อาจารย์ไม่รับคนไข้แล้วครับ เพราะหนึ่ง อายุมากด้วย สอง ท่านก็ไม่สบายด้วยครับ อาผมเล่าว่า บางทีตรวจๆอยู่ แกก็ปวดท้อง (คุณอาผมตรวจรักษากับอาจารย์หมอคนนี้) โรงพยาบาลจุฬา อ.ปิยะวัฒน์ แต่คิวยาวมาก ถ้าคนไข้ใหม่ต้องรอพบครั้งแรกอย่างน้อย สาม-สี่เดือน โรงพยาบาลรามา อ.ชุติมา หรืออ.อาภัสณี แต่อาจารย์สองท่านนี้ไม่สามารถนัดได้ทางโทรศัทพ์ครับผม และก็พยาบาลบอกว่าเป็นเคสที่ส่งตัวมา และต้องมีใบสรุปทางการแพทย์จึงรับ (ส่วนใหญ่ก็แพทย์จากแผนกอื่นในโรงพยาบาลส่งไป) แต่พยาบาลก็ยังแง้มอีกว่าต้องเสี่ยงเดินเข้าไปตรวจเอง (ถามพยาบาลว่า อาจารย์เข้าตรวจวันไหน) ถ้าคิวเต็มก็อดนะครับ ที่ผมรู้เพราะว่า ผมโทรไปหมดแล้วครับ เหอๆๆๆ แต่ตอนโทรหานัด ถ้าไม่ได้เลยซักอาจารย์หมอ ก็บอกพยาบาลไปว่าเป็นนี้ๆให้พยาบาลหาอาจารย์หมอท่านอื่นก็ได้ครับ เกี่ยวกับด้านตับโดยเฉพาะ ก็น่าจะโอหมือนกัน (แต่ว่าหมอเกี่ยวกับด้านตับ ค่อนข้างน้อยมาก) จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 52 02:52:27 A:86.99.69.90 X:86.96.227.91 TicketID:147596

ความคิดเห็นที่ 17   ผม search หาข่าว คุณตั๊ก มยุราได้แล้วครับ 'เจ๊ตั๊ก' เอาชนะโรคร้าย หาย 'ไวรัสตับอักเสบซี' ตั๊ก-มยุรา ยิ้มร่าหายป่วยจากไวรัสตับอักเสบซี เผยฉีดยาเข็มสุดท้ายเมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่ผ่านมา ฟุ้งพอหายป่วยก็รีบเข้ายิมออกกำลังกายจนน้ำหนัก 47 กก. หลังจากต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคไวรัสตับอักเสบซีมานานหลายปี เพิ่งได้รับข่าวดีจาก ตั๊ก-มยุรา เศวตศิลา ว่าอาการป่วยได้หายขาดแล้ว "ตอนนี้พี่หายป่วยจากโรคไวรัสตับอักเสบซีแล้ว แต่คนไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ คือพี่ฉีดยาเข็มสุดท้ายเมื่อ ธ.ค.ปีที่แล้ว พี่โชคดีนะ เพราะคนเป็นโรคนี้ 5 ใน 10 คนเท่านั้นที่จะหาย แต่ช่วงที่พี่แย่ๆไม่ใช่เพราะโรค แต่เพราะพี่ต้องทรมานกับยา มันทำให้เราแห้งไปหมด ผมก็ร่วง ตอนนี้มันกลับมาเหมือนเดิมแล้ว ตอนนั้นน้ำหนักก็ลด แขนขาแทบไม่มีแรง เสื้อ กางเกง ใส่ไม่ได้เลย แต่คนไม่รู้ว่าพี่ผอมหรอก เพราะเวลาออกกล้องทำรายการชิงร้อยฯ มันก็จะพอดี ตอนนั้นทำงานยอมรับว่าเหนื่อยมาก แทบจะไม่ไหว แต่เราก็ไม่เคยท้อ แต่อาการทุกอย่างหายเป็นปกติแล้ว แต่ คนนอกไม่รู้ แต่พี่พอหายปุ๊บก็เริ่มเข้ายิมเลย ออกกำลังกายเลย ตอนนี้น้ำหนัก 47 แล้ว". credit : Thairath.co.th จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 52 03:00:34 A:86.99.69.90 X:86.96.228.92 TicketID:147596

ความคิดเห็นที่ 18   แต่ผมอยากทราบจากคนที่เคยฉีดแล้ว ว่ามันมีผล Effect มากไหม เห็นบางคนก็เป็น บางคนก็ไม่เป็นไรเลย กลัวครับว่าฉีดแล้วมีผลต่อร่างกาย ช่วงนี้ผมอยู่ระหว่างรอผลแลบอยู่ครับ ผลออกมาว่าร่างกายพร้อม ก็คงเริ่มฉีดยาแล้วหละครับผม จากคุณ : จขกท เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 52 03:09:33 A:86.99.69.90 X:86.96.228.92 TicketID:147596

ความคิดเห็นที่ 19 อ๋อ เดี๋ยวไว้มาเล่าต่อว่า มีวิธียังไงช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับคนที่จะฉีดยานะครับ วันนี้ง่วงนอนแล้ว ไง คุยกันหลังไมล์ได้นะครับผม แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 52 03:21:05 จากคุณ : จขกท (นายภูครับ) เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 52 03:19:08

ความคิดเห็นที่ 20 เรารักษาตั้งแต่ต้นๆปี 52 ฉีดแล้ว 38 เข็ม แรกฉีดไม่เป็นอะไรเลย พอมาเข็มหลังๆ  เหนื่อยมาก ผมร่วงเยอะ ผอมลงประมาณ 10กว่าโล ทานอาหารไม่ได้เลย  อาเจียนตลอด แต่ผลการตรวจครั้งล่าสุดดีใจมากๆค่ะ ตรวจไม่พบไวรัสแล้ว (ก่อนฉีดพบไวรัสประมาณ 200 ล้านcopies) หมอให้กินยาต่อไปเรื่อยๆก่อน  แล้วตรวจดูอีกที เป็นกำลังใจให้ จขกท.นะคะ  ถึงจะมีโอกาสหายน้อย แต่ถ้าใจสู้   ก็มีโอกาสหายค่ะ จากคุณ : lovefat (lovefat) เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 52 11:45:53

ความคิดเห็นที่ 21   ผมเป็นตับอักเสบบีแบบเรื้อรังมากว่า 20ปี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรักษาด้วยการฉีดยาผ่านมาแล้ว 14เข็ม ก่อนการรักษาไดัอ่านหนังสือ จับเข่าคุยกันเรื่อง ไวรัสตับอักเสบบี ภัยเงียบที่ป้องกันและรักษาได้ ขายตามร้านหนังสือในหมวดสุขภาพ อ่านจนเข้าใจขบวนการของโรค ซึ่งตัวเองเข้าใจมาตลอดว่า ตรวจการทำงานของตับและอัลตราซาวด์ทุก 6เดือนก็พอ แต่ความเป็นจริง แม้ไม่มีอาการใดๆ ไวรัสได้มีการแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนอยู่ตลอดเวลาในกรณีของผม ซึ่งต้องระบุการตรวจเลือดเพื่อหาจำนวนไวรัสในเลือดจึงทราบ ระยะของโรค ผมได้มีโอกาสเข้ารักษาที่คลีนิคพิเศษนอกเวลา รพ.จุฬาฯ กับอาจารย์หมอปิยะวัฒน์ ท่านใจดีมาก เนื่องจากราคายาฉีดค่อนข้างแพง ท่านแนะนำให้ซื้อยาเอง ผมติดต่อกับตัวแทนขายยาสามารถได้ส่วนลดคือ ยา เพกาซิส 1เข็ม ราคา 10,150 บาท 10 เข็มแถม 2 เข็ม ซึ่งเฉลี่ยจะตกประมาณเข็มละ 8,500 บาท หากท่านใดซื้อได้แพงกว่าผม ผมยินดีแนะนำให้ติดต่อตัวแทนขายยาโดยตรง หากท่านใดสามารถซื้อได้ถูกกว่านี้ กรุณาบอกด้วยครับ จากคุณ : พงษ์ เขียนเมื่อ : 23 ธ.ค. 52 22:35:03 A:110.164.84.71 X: TicketID:246866

ความคิดเห็นที่ 22   Exactly!! อย่างที่คุณ พงษ์บอกเลยครับ เรื่องราคายา สำหรับตัวยานั้น หากเราใช้ยาจากโรงพยาบาลตลอด มันก็จะเสียราคาเท่าเดิมตลอด บวกชาร์ตเพิ่ม ซึ่งหากว่าต้องการลดค่าใช้จ่าย ก็คุยกับคุณหมอว่า สำหรับยาเป็นคนขอซื้อเอง และเอามาให้โรงพยาบาลเป็นคนฉีดให้ ซึ่งก็ต้องรู้จักตัวแทนขายยา หรือ บริษัทขายยา ซึ่งแน่นอน ปกติหมอเขาก็อนุญาต เพราะรู้ว่าค่ายามันแพงมากๆ และอีกอย่าง ก็ได้ส่วนลดจากบริษัทยาอยู่แล้ว ตามที่คุณพงษ์บอก แถมเขายังบริการเราดีอีกต่างหาก เพราะว่าเราจ่ายเขาเป็นแสนๆ หากใครพอมีทรัพย์ และ อยากรักษาให้หาย (แล้วแต่ดวง) ก็ทำอย่างที่คุณพงษ์ว่าครับผม จากคุณ : เบียคูยะ เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 52 00:42:49 A:86.99.69.90 X:86.96.229.89 TicketID:147596

ความคิดเห็นที่ 23 เอ่ออ... ผมก็เคยตรวจพบนะ ไวรัสปริมาณมาก ๆ เนี้ย ตาเหลือง ตัวเหลือง ดีซ่านก็เคยเป็น แต่อาศัยหลักการที่ว่า ส่งเสริม และรักษาร่างกายให้แข็งแรง เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา สู้กับไวรัสเลยจะดีกว่า ตาม คห.15 ผมก็ศึกษามาหมดแล้ว (หลังจากที่ หมอยื่นข้อเสนอให้เหมือนกัน) ผลมันยัง 50-50 ก็ไม่เอาดีกว่า แล้วแต่จะพิจารณาครับ มันเป็นเรื่องที่คุณต้องตัดสินใจเอง รับความเสี่ยงเองอยู่แล้ว จากคุณ : HI Golfer เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 52 09:51:33

ความคิดเห็นที่ 24 แล้วกรณ๊คนที่เป็นพาหะไวรัสตับฯละค่ะ มีวิธีรักษาหรือดูแลตัวเองยังไงค่ะ จากคุณ : โกโก้หวานกับน้ำตาลก้อนเดียว เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 52 12:29:56

ความคิดเห็นที่ 25 ไวรัสซี ยาฉีดจะมีผลข้างเคียงคือฉีดไปแล้วคนใข้จะซีด สุดๆครับ จากคุณ : Peace brother เขียนเมื่อ : 24 ธ.ค. 52 13:44:55

ความคิดเห็นที่ 26   เห็นใจจริงๆครับ ผมพอมีประสบการณ์ mail ผมครับ schaiyadit@Gmail.com จากคุณ : สมหมาย เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 19:40:51 A:118.172.168.46 X: TicketID:248041

ความคิดเห็นที่ 27 ถึงคุณพงษ์ คือกำลังจะเริ่มทำการรักษา ไม่ทราบว่าคุณพงษ์ พอให้เบอร์ตัวแทนซื้อ ยา เพกาซิส ให้หน่อยได้ไหมคะ หลังไมล์ก็ได้คะ จากคุณ : นิว (S_new) เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 53 11:32:54