ความคิดเห็นที่ 1 เพื่อให้ผู้อ่านหายข้องใจ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบัน เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ จะมาไขข้อข้องใจให้ทุกคนได้รับทราบ นพ.กฤษดา อธิบายว่า เรื่องอุจจาระตกค้าง หรือ อึค้างเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ทุกคน เราอาจตรวจสัญญาณ   อึค้างในลำไส้ใหญ่ได้เองง่าย ๆ โดยการนอน หงายแล้วเอามือคลำท้องด้านซ้ายล่าง เลยสะดือไปทางซ้ายหน่อย แล้วเอานิ้วทั้ง 5 ลองกดดูจนลึกเต็มที่เลื่อนไปมา ถ้ามีอึค้างอยู่จะคลำได้เป็นลำคล้ายแท่งยาว ๆ อยู่ตามรูปลักษณ์ของ  ลำไส้ โดยลำไส้ใหญ่นี้จะยิ่งคลำได้ชัดในคนที่ผอม สำหรับคนเจ้าเนื้ออาจต้องใช้เทคนิคนอนแล้วแขม่วพุงช่วยแล้วค่อยคลำจะชัดขึ้น ที่จริงเรื่องการอึที่ดูเหมือนเป็นกิจวัตรธรรมดาไม่มีอะไรนั้น มันต้องมีการฝึกเข้าส้วมกันบ้างให้ติดเป็นนิสัย จากคุณ : armearn เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 15:11:29

ความคิดเห็นที่ 2 กลุ่มคนที่มักมีปัญหาเรื่องอึค้าง ได้แก่   1.เด็กเล็กที่ให้กินนมแล้วนอนเลย ไม่พาอุ้มพาดบ่าลูบหลัง หรือไม่พาขยับตัวกลิ้งไปมาสักนิดหน่อยให้ไส้ได้บีบตัวบ้าง และในเด็กที่อึแข็งมาก อึนี่อาจแข็งถึงกับบาดรูก้นได้เป็นแผล แล้วครั้งต่อไปเด็กจะไม่อยากอึออกมาเพราะกลัวเจ็บ แผลแยก เลยยิ่งกลั้น  พอยิ่งกลั้นอึก็ยิ่งแข็งค้างไปเรื่อย 2.คนที่ผ่าตัดบ่อย จะมีพังผืดไปรัดลำไส้ข้างในนุงนังทำให้บีบตัวไม่ดีอาจมีอึค้างอยู่ตามซอกโน้นซอกนี้ในลำไส้ จนบางท่าน กลายเป็นลำไส้อุดตันไปได้ก็มี 3.ผู้สูงอายุและคนไข้นอนโรงพยาบาล ที่ไม่ค่อยได้ขยับตัวลุกเดิน 4.คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแถมกลั้นอึบ่อย โดยเฉพาะท่านที่ทำงานออฟฟิศต้องนั่งแปะอยู่กับที่นานหรืองานเข้าบ่อยต้องขอผลัดเข้าห้องน้ำไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ดีครับ 5.ท่านที่มีลำไส้ยาว คือยิ่งยาวก็ยิ่งเป็นไซโลเก็บอึไว้ได้นานขึ้น บางท่านจะสังเกตว่าผักก็กินเยอะแต่อึแค่สัปดาห์ละหนเท่านั้น จากคุณ : armearn เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 15:12:05

ความคิดเห็นที่ 3 สำหรับเทคนิค “อึให้ดี ไม่มีตกค้าง” มีดังนี้ 1.อย่าอั้นอึตอนเช้า เพราะถ้าเลยเช้าไปแล้ว กว่าร่างกายจะส่งสัญญาณให้ปวดอีกอาจจะนานจนผิดเวลา 2.อึให้ตรงกับเวลาเดิม เหมือนเป็นการช่วย “โปรแกรม ลำไส้” ให้คอยบีบไล่อึออกมาสม่ำเสมอก็จะไม่ค้างครับ 3.รอจังหวะขณะอึ ถ้าขณะนั่งห้องน้ำถ่ายหนัก อยู่ ถ้าไม่ปวดอย่าเบ่งครับ ให้ลองจับสังเกตว่ามันจะ    “ปวดเป็นช่วง ๆ” แล้วก็คลายไปแล้วประเดี๋ยวก็ปวดบีบขึ้นมาอีก นั่นเป็นเพราะลำไส้คนบีบตัวเป็น ลูกคลื่นเหมือนงูเลื้อย ถ้ามันเลื้อยมาถึงตรงอึพอดีมันจึงปวดขึ้นมา ถ้าเบ่งตอนไม่ปวดจะเหมือนเป็นการ  “แกล้งลำไส้” ให้เกิดแรงดันขึ้นมาโดยใช่เหตุเกิดโป่งพองขึ้นมาได้ “ริดสีดวงทวาร” เป็นของแถม 4.นวดลำไส้ ถ้าในเด็กให้นวดรอบสะดือ ในผู้ใหญ่ให้นวดตรงท้องด้านล่างซ้ายเลยสะดือไป นวดเบา ๆ ไปมาแล้วทิ้งไว้สักพักจะรู้สึกปวดถ่ายขึ้นมา 5.เอามือกดท้องด้านซ้ายล่างขณะถ่าย หรือจะลุกขึ้นนั่งยองเอาหน้าขาเป็นตัวกดไล่อึออกมา เพราะที่จริงแล้วการอึที่ดีตามธรรมชาติของคนคือ   “นั่งยอง” เพราะจะได้มีแรงกดจากหน้าขาด้วย การที่ฝรั่งเอาส้วมแบบนั่งมาให้เราใช้เป็นการผิดธรรมชาติมนุษย์ที่จะไม่มีแรงเบ่งอึมากในท่านั่งห้อยขาทำให้คนเอเชียกลายเป็นทั้งริดสีดวงและท้องผูกมากเหมือนฝรั่งด้วย 6.ลุกขึ้นเดินไปมา จะทำให้ไส้บีบตัวดี สักพักไส้จะบีบรีดเอา “อึท้ายขบวน” ที่เหลือออกมาแล้วเราจะรู้สึกปวดเบ่งอีกที จากคุณ : armearn เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 15:13:11

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ว่าใครก็ตามถ้าความถี่ในการอึน้อยกว่า  3  ครั้งต่อสัปดาห์ถือว่า “ท้องผูก” นอกจากออกกำลังกายแล้วอาจใช้อาหารล้างลำไส้ช่วยได้ คือ 1. น้ำมะขามเปียกก้นครัว   2.ลูกพรุนแห้งรับประทานทั้งผล เพราะจะได้กากด้วย ไม่ต้องแยกกินแต่น้ำ ยกเว้นถ้าเป็นเด็ก   3.แอปเปิ้ลเขียว กินทั้งผลหรือปั่นทั้งกากก็ได้ 4.ถั่วดำ จัดเป็นอาหารล้างพิษได้ด้วย 5.สับปะรดและมะละกอที่มีน้ำย่อยช่วยกัดกากคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ถูกย่อยไม่หมดและจะมีสภาพติดเป็นอุจจาระยางเหนียวสีดำคล้ายกับ  “จาระบี”   6.ให้เลี่ยงการ  ดื่มน้ำเย็นในตอนเช้า โดยให้ดื่มน้ำปกติหรือน้ำอุ่นตอนเช้าขณะตื่นมาท้องว่างจะช่วยให้ไส้บีบรัดตัวได้ ชวนให้ปวดอึขึ้นมาได้ดีทีเดียว. จากคุณ : armearn เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 15:13:50

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณค่ะ สำหรับข้อมูลดีๆ เรื่องอึ๊ๆ แต่ตอนเช้าตื่นขึ้นมาอึ๊ไม่ทันจริงๆ ขอเป็นช่วงสายกว่านั้น อ่ะน่ะ อิอิ จากคุณ : ip~ (Glot^Gofe) เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 15:50:53

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณมากคร๊า จากคุณ : ถึงอ้วนก็รัก เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 16:04:52

ความคิดเห็นที่ 7   ขอบคุณมากนะคะ ได้รู้เพิ่มเติม กับสิ่งที่เราละเลยเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน ขออนุญาตเอาไปบอกต่อนะคะ จากคุณ : ฟ้างาม เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 16:08:11 A:58.97.2.98 X: TicketID:252428

ความคิดเห็นที่ 8 รักแม่ตุ่ม.. คิคิ ขอบคุณมากค่ะ แต่ลูกสาวไม่มีปัญหาเรื่องขับถ่ายเลยค่ะแม่ จะกินอะไรผิดแผกสำแดงขนาดไหนก็ยังปกติไม่ท้องเสีย และก็ไม่เคยท้องผูกด้วยค่ะ เสียอย่างเดียวถ้าไม่มีฝักฉีดชำระ ลูกสาวอึไม่ออกอ่ะ จากคุณ : BZY2NITE เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 16:15:48

ความคิดเห็นที่ 9 เป็นกระทู้อึๆ ที่มีประโยชน์จริงๆ ขอบคุณมากมายครับ จากคุณ : ทองพญา เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 17:43:41

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณมาก ๆ เลยค่า จากคุณ : fantastic GiRL เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 19:40:05

ความคิดเห็นที่ 11 มีประโยชน์ดีครับ ฟังดูไม่น่าเกลียดเลย ใช้คำดีมาก ขอบคุณมากๆ จากคุณ : eyepiece เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 20:35:24

ความคิดเห็นที่ 12 มาอ่าน จากคุณ : PICCANINNY'S DAD เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 21:20:53

ความคิดเห็นที่ 13 นึกถึง คำพูด แบบกล่าวถึงเรื่องง่าย ๆ  ทั่วไปว่า เรื่อง ขี้ ขี้ จากคุณ : ป้อมฯ เขียนเมื่อ : 5 ก.พ. 53 21:32:37

ความคิดเห็นที่ 14 "อุจจาระตกค้างจะไป *ทับเส้นเลือดต่าง ๆ ในกระเพาะ* และ *กดทับกระดูกหลัง* ทำให้เกิดอาการมากมาย" . . . มันเกิดขึ้นใด้อย่างไรครับ . . . . . . จากคุณ : no preservation เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 53 00:43:44

ความคิดเห็นที่ 15   แหล่มเลยยย ขอบคุณนะค้า จากคุณ : s (sweeties_kk) เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 53 01:48:14

ความคิดเห็นที่ 16 สมควรแก่การเก็บเข้า junk mail เป็นอย่างยิ่ง 1. ลำไส้จะบีบ ให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน - อยากทราบหลักการ ที่มา และเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ของกลไกนี้ 2. อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่าง ๆ ในกระเพาะและกดทับกระดูกหลัง - จะมั่วก็ควรให้แต่พองาม นี่มันมั่วมากอุจจาระใครมันจะย้อนไปเกาะได้ถึงกระเพาะฟะ ยิ่งกระดูกสันหลัง หากเกิดจากการกดทับของอุจจาระจริง แสดงว่าคนๆนั้นอาจไม่ได้ถ่ายเลยมาเป็นเดือนๆ 3. ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และอื่น ๆ - ตำราเล่มไหนครับ หรือนั่งเทียนเขียนเอาเอง ส่วนที่เหลือก็ไร้สาระพอๆกัน ไม่มีความจริงทางวิทยาศาสตร์เท่าไรนัก จากคุณ : Marquez เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 53 04:24:33

ความคิดเห็นที่ 17 โดยส่วนตัวไม่ค่อยเชื่อว่ามันจะค้างได้แบบที่บอก ส่วนเรื่องการฝึกการขับถ่าย ลองทำดูก็คงไม่เสียหายครับ จากคุณ : ตาบี้ เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 53 10:16:19

ความคิดเห็นที่ 18 ก็ไม่เสียหายครับ อารมณ์ประมาณเคล็ดลับคุณแม่บ้าน ไม่หลอกขายอะไร ผมว่าก็โอเค จากคุณ : natefang เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 53 11:52:27

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณค่ะ นำความรู้ใกล้ตัว แต่ไม่เคยรู้ตัว มาให้ทราบกัน ช่วงเวลา ตี 5- 7 โมง สำหรับบางคนเป็นเวลา เดินทางเลยนะคะ คงลำบาก หน่อย ดูและสุขภาพกันเยอะๆ นะคะ จากคุณ : gracepower เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 53 12:43:45

ความคิดเห็นที่ 20 ก็แค่มีเพื่อนและคุณหมอออกมาบอกให้ฟังไม่ได้บอกให้ใครชื่อ ไม่เห็นต้องพูดว่ากันขนาดนั้นเลย เพิ่งเข้าใจที่คนส่วนใหญ่รู้อะไรมาแล้วไม่เอามาบอกกล่าวก็เพราะกลัวคนแบบ คห.16 แล   คห. 18 นี่เอง แล้วก็ขอโทษค่ะดิฉันไม่ได้เป็นแม่บ้าน มีหน้าที่การงานที่ดีพอสมควร จากคุณ : armearn เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 53 08:52:39

ความคิดเห็นที่ 21 ผมว่า คห.16 ควรไปปรึกษาแพทย์เรื่องสายตานะครับ เค้าบอกอยู่แล้วว่า 1.ได้รับเมล์จากเพื่อนเอามาเป็นความรู้กันค่ะ... 2. เพื่อให้ผู้อ่านหายข้องใจ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบัน เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ จะมาไขข้อข้องใจให้ทุกคนได้รับทราบ เค้าได้รับข้อมูลมาเค้าก็เอามาบอกกัน ถ้าอยากโต้แย้งก็ควรไปบอก นพ.กฤษดา ไม่ใช่มาโทษคนที่เอามาลง ถ้ามีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ก็เอามาแบ่งปันซิครับ จะมามัวอมเรื่องขี้ๆ ไว้ทำไมคนเดียว เข้าตำรา ป.ตรี...เชื่ออาจารย์ ป.โท...เชื่อตำรา ป.เอก...ไม่เชื่อใครเลย... จากคุณ : จ่าหมาน เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 53 09:09:15

ความคิดเห็นที่ 22   ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล อย่างน้อยก็เป็นข้อสันนิษฐานในเบื้องต้นได้ คนที่มาแย้งควรมีข้อแนะนำมาบอกด้วย ไม่ใช่แค่บอกว่าไร้สาระเพียงอย่างเดียว ขอประนามคนมือไม่พายว่าไม่รู้จริงหรอก ท้าอมขี้มาพ่นหน้าผมยังได้เลย จากคุณ : เป๊ก คลองเตย เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 53 09:23:04 A:110.164.106.52 X: TicketID:214681

ความคิดเห็นที่ 23 เข้ามารอ คห.16 คุณ Marquez เข้ามาชี้แจงเรื่อง ขี้ ขี้ อยู่คร่า ^^ จากคุณ : ยัย..ฉอเล๊าะ เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 53 09:25:31

ความคิดเห็นที่ 24 ^ ^ ^ ป้าฉอฮะ คงไม่กล้ามาหรอก ไม่งั้นก็อาจไปหาข้อมูลจนหัวฟูแล้ว เบื่อพวกอีโก้แรง พวกอวดรู้ ทำเป็นรู้เยอะแต่ไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์ จากคุณ : จ่าหมาน เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 53 15:17:18

ความคิดเห็นที่ 26 คุณคคห. 21 ผมว่าคุณน่ะแหละครับที่ควรจะไปตรวจสายตามากกว่า ผมกลับไปอ่านที่ผมเขียนไว้หลายรอบ ยังไม่พบจุดไหนที่ผมจะ "โทษคนที่เอามาลง" แต่อย่างใด ถ้ามีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ก็เอามาแบ่งปันซิครับ จะมามัวอมเรื่องขี้ๆ ไว้ทำไมคนเดียว - อยากให้ชี้แจงเรื่องอะไรก็ถามมาสิครับ ?? จากคุณ : Marquez เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 53 04:26:23

ความคิดเห็นที่ 27 ^ ^ ^ นี่ไงฮะ ...ตำราเล่มไหนครับ หรือนั่งเทียนเขียนเอาเอง... บอกหน่อยว่าหมายถึงใครล่ะ ถ้าหมายถึง นพ.กฤษดา ศิรามพุช คงไม่น่าจะใช่ เพราะเค้าให้สัมภาษณ์ เค้าไม่ได้เขียนตำรา.. ถึงกับต้องอ่านหลายรอบเพื่อหาข้อโต้แย้งเลยหรือไง ผมอ่านรอบเดียวเองฮะ.. คงจะไม่ถามแล้วฮะ..ขอบคุณนะที่อยากตอบ จากคุณ : จ่าหมาน เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 53 09:16:31

ความคิดเห็นที่ 28 เอาเวลาที่จะหาเรื่องคนอื่น ไป อี้ ให้ตรงเวลาดีกว่า ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อสิคะ แหม ถ้อยคำที่ถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ เหมือนจะยิ้มเยาะจน อี้ จะไหลย้อนกลับเลยนะ จากคุณ : BZY2NITE เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 53 09:34:10

ความคิดเห็นที่ 29   พี่ตุ่ม...มีเจตนาหวังดีเท่านั้นนะคะ ที่ลงกระทู้นี้ขึ้นมา อย่าเอาวิชาการ หรืออะไรๆที่เป็นแบบความคิดเห็นที่ 16 มาทำให้กระทู้ดีๆแบบนี้ เป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันเลยค่ะ หากคุณมีเจตนาดี มีข้อมูลดีๆ ก็เอามาแชร์กัน ไม่ใช่มาต่อว่าคนที่มีเจตนาดีๆแบบนี้ค่ะ จากคุณ : กลับบ้านเถอะที่รัก เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 53 09:41:20

ความคิดเห็นที่ 30 อึให้ตรงเวลาเป็นเรื่องที่ดีนะคะ ทำไปก็ไม่เห็นจะมีโทษตรงไหน เราว่าช่วยเรื่องอื่นๆได้ด้วย เช่น กลิ่นปาก ขอบคุณ จขกท นะคะ จากคุณ : Are you OK? เขียนเมื่อ : 8 ก.พ. 53 14:21:50