Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โรค "แพนิค"  

เพิ่งเริ่มรักษาวันนี้เป็นวันแรกโดยการรับประทานยา จิตแพทย์ท่านบอกว่าคนเป็นโรคนี้กันเยอะแต่ก็รักษาให้หายได้โดยใช้เวลาไม่นาน ค่าใช้จ่าย+ค่ายา 810 บาท เท่านั้น แล้วจะมีชีวิตปกติสุขนะครับ

โรคแพนิค ( Panic Disorder)
นพ.สเปญ อุ่นอนงค์
http://www.infomental.com/

โรคแพนิคเป็นโรคชนิดหนึ่งที่มีคนเป็นกันมากและเป็นกันมานานแล้วแต่ประชาชนทั่วไปมักไม่ค่อยรู้จักและยังไม่มีชื่อโรคอย่างเป็นทางการในภาษาไทย  บางคนอาจเรียกโรคนี้ว่า “หัวใจอ่อน” หรือ ” ประสาทลงหัวใจ” แต่จริงๆแล้วโรคนี้ไม่มีปัญหาอะไรที่หัวใจและ ไม่มีอันตราย เวลามีอาการผู้ป่วย จะรู้สึกใจสั่นหัวใจเต้นแรง อึดอัด แน่นหน้าอก หายใจไม่ทันหรือหายไม่เต็มอิ่ม ขาสั่น มือสั่น มือเย็น บางคนจะมีอาการวิงเวียนหรือมึนศีรษะ ท้องไส้ปั่นป่วน  ขณะมีอาการผู้ป่วยมักจะรู้สึกกลัวด้วย  โดยที่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะกลัวว่าตัวเองกำลังจะตาย  กลัวเป็นโรคหัวใจ  บางคนกลัวว่าตนกำลังจะเสียสติหรือเป็นบ้า  อาการต่างๆมักเกิดขึ้นทันทีและค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนเต็มที่ในเวลาประมาณ 10 นาที คงอยู่สักระยะหนึ่ง แล้วค่อยๆทุเลาลง อาการมักจะหายหรือเกือบหายในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง  หลังจากอาการแพนิคหายผู้ป่วยมักจะเพลีย  และในช่วงที่ไม่มีอาการผู้ป่วยมักจะกังวลกลัวว่าจะเป็นอีก

อาการแพนิคจะเกิดที่ไหนเมื่อไรก็ได้และคาดเดาได้ยากแต่ผู้ป่วยมักพยายามสังเกตุและเชื่อมโยงหาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการเพื่อที่ตนจะได้หลีกเลี่ยงและรู้สึกว่าสามารถควบคุมมันได้บ้าง  เช่นผู้ป่วยบางราย ไปเกิดอาการขณะขับรถก็จะไม่กล้าขับรถ  บางรายเกิดอาการขณะกำลังเดินข้ามสะพานลอยก็จะไม่กล้าขึ้นสะพานลอย  ผู้ป่วยบางรายไม่กล้าไปไหนคนเดียวหรือไม่กล้าอยู่คนเดียวเพราะกลัวว่าถ้าเกิดอาการขึ้นมาอีกจะไม่มีใครช่วย  ในบางรายอาจมีเหตุกระตุ้นจริงๆบางอย่างได้ เช่น การออกกำลังหนักๆ หรือเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำโคล่า ในกรณีแบบนี้ควรหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆเหล่านี้

ขณะเกิดอาการผู้ป่วยมักกลัวและรีบไปโรงพยาบาลซึ่งแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินมักตรวจไม่พบความผิดปกติและมักได้รับการสรุปว่าเป็นอาการเครียดหรือคิดมาก  ซึ่งผู้ป่วยก็มักยอมรับไม่ได้และปฏิเสธว่าไม่ได้เครียด  เมื่อเกิดอาการอีกในครั้งต่อมาผู้ป่วยก็จะไปโรงพยาบาลอื่นและมักได้คำตอบแบบเดียวกัน  ผู้ป่วยหลายๆ รายไปปรึกษาแพทย์เพื่อเช็คสุขภาพโดยเฉพาะหัวใจซึ่งก็มักได้รับการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดและไม่พบความผิดปกติอะไรที่สามารถอธิบายอาการดังกล่าวได้ซึ่งก็ยิ่งทำให้ผู้ป่วยกังวลมากขึ้นไปอีก  อาการต่างๆที่เกิดขึ้นเรียกว่า อาการแพนิค (panic attack)  ซึ่งแปลว่า “ตื่นตระหนก” เราจะสังเกตุได้ว่าอาการต่างๆจะคล้ายกับอาการของคนที่กำลังตื่นตระหนก  ในโรคแพนิคผู้ป่วยจะเกิดอาการแพนิคนี้ขึ้นมาเอง โดยไม่มีเหตุกระตุ้น และ คาดเดาไม่ถูก ว่าเมื่อไรจะเป็นเมื่อไรจะไม่เป็น  การไม่รู้ว่าตนกำลังเป็นอะไรจะยิ่งเพิ่มความตื่นตระหนกให้รุนแรงขึ้น  อาการแพนิค ไม่มีอันตราย อาการนี้ทำให้เกิดความไม่สบายเท่านั้นแต่ ไม่มีอันตราย  สังเกตุได้จากการที่ผู้ป่วยมักจะ มีอาการมานาน  บางคนเป็นมาหลายปี เกิดอาการแพนิคมาเป็นร้อยครั้ง แต่ก็ไม่เห็นเป็นอะไรสักที  บางคนเป็นทีไรต้องรีบไปโรงพยาบาล “แทบไม่ทัน” แต่ไม่ว่ารถจะติดอย่างไรก็ไป “ทัน” ทุกครั้งเพราะอาการ แพนิค ไม่มีอันตราย

ในปัจจุบันเราพอจะทราบว่าผู้ป่วยโรคแพนิคมีปัญหาในการทำงานของสมองส่วนที่ทำให้เกิดอาการ “ตื่นตระหนก” โดยเป็น ความผิดปกติของสารสื่อนำประสาท บางอย่าง  เราจึงสามารถรักษาโรคนี้ได้ด้วยยา  ยาที่ใช้รักษาโรคนี้จะมี 2 กลุ่มคือ

1. ยาป้องกัน เป็นยาที่ออกฤทธิ์ช้า  ปรับยาครั้งหนึ่งต้องรอ 2-3 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผลคืออาการแพนิคจะห่างลง  และเมื่อเป็นขึ้นมาอาการก็จะเบาลงด้วย  เมื่อยาออกฤทธิ์เต็มที่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพนิคเกิดขึ้นเลย  ยากลุ่มนี้จะเป็นยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าบางตัว เช่น เล็กซาโปร (lexapro)  โปรแซก (prozac)  โซลอฟ (zoloft)  ยากลุ่มนี้ไม่ทำให้เกิดการติดยาและสามารถหยุดยาได้เมื่อโรคหาย  ในการรักษาด้วยยาเราจะจ่ายทั้งยาป้องกันและยาแก้  เพราะในช่วงแรกๆยาป้องกันยังออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยจะยังมีอาการจึงยังต้องใช้ยาแก้อยู่  เมื่อยาป้องกันเริ่มออกฤทธิ์ผู้ป่วยจะกินยาแก้น้อยลงเอง  แพทย์จะค่อยๆเพิ่มยาป้องกันจนผู้ป่วย “หายสนิท” คือไม่มีอาการเลย แล้วให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อไปเป็นเวลา 8-12 เดือน หลังจากนั้นจะให้ผู้ป่วยค่อยๆหยุดยา  ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถหยุดยาได้โดยไม่มีอาการกลับมาอีก  แต่ก็มีบางรายที่มีอาการอีกเมื่อลดยาลง  ในกรณีแบบนี้เราจะเพิ่มยากลับขึ้นไปใหม่แล้วค่อยๆลดยาลงช้าๆ

2. ยาแก้ เป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็ว  ใช้เฉพาะเมื่อเกิดอาการขึ้นมา  เป็นทีกินที  กินแล้วหายเร็ว ได้แก่ยาที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามของยา “กล่อมประสาท” หรือยา “คลายกังวล” เช่น แวเลี่ยม (valium)  แซแนก (xanax)  อะติแวน (ativan)  ยาประเภทนี้มีความปลอดภัยสูง  (แปลว่าไม่มีพิษ ไม่ทำลายตับ ไม่ทำลายไต) แต่ถ้ารับประทาน ติดต่อกันนานๆ (2-3 สัปดาห์ขึ้นไป) จะเกิดการติดยาและเลิกยากและเมื่อหยุดยากระทันหันจะเกิดอาการขาดยา  ซึ่งจะมีอาการเหมือนอาการแพนิค  ทำให้แยกแยะไม่ได้ว่าหายหรือยัง ดังนั้นแพทย์จะเน้นกับผู้ป่วยว่าให้กินเฉพาะเมื่อมีอาการเท่านั้น  ยังไม่เป็นห้ามกิน  รอให้เริ่มมีอาการแล้วค่อยกินก็ทันเพราะมันออกฤทธิ์เร็ว

ที่มา: http://blog.trekkingthai.com/hanalai/2006/08/20/trekking-panic/

จากคุณ : ปิ่นโต
เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 53 07:00:40




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com