ความคิดเห็นที่ 1 เรื่องพวกนี้อยู่ที่ใจ ต้องดับทุกข์ในใจเราให้ได้ก่อน.....ฟังดูเหมือนง่ายน๊ะ แต่ไม่ง่ายหร่อก ตราบใดที่คนเรายังมีความรู้สึก มี รัก โลภ โกรธ หลง ยากที่จะวางใจให้เฉย ต้องหัดมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา รอบตัวเราให้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก่อนจะหัดมองอย่างนั้นได้ คุณต้องหัดฝึกจิตของคุณให้เกิดสมาธิก่อน สมาธิทำให้เกิดปัญญา และเมื่อคุณมีปัญญาคุณจะคิด วิเคราะห์สิ่งที่กำลังทำให้คุณโกรธ เกลียดนั้นได้ นั่นคือคุณหาเหตุได้แ้ล้ว และเมื่อหาเหตุได้แล้ว คุณคงต้องค่อยๆ หัดอภัยกับเหตุที่เกิดกับคุณ ทำเองทำยากค่ะ........... ไปวัด นั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนา แต่ถ้าคุณไม่ใช่พุทธ ให้อธิษฐานเยอะๆ ให้อภัยกับสิ่งต่างๆ ให้ความรักกับสิ่งรอบข้างให้มากๆ ดูยาวไปหน่อยน๊ะค๊ะ แต่ไม่รู้จะอธิบายให้มันสั้นได้ยังงัยอ่ะค่ะ แต่งัยก้อขอให้ใจเย็นๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น วางเฉย ให้มากๆ น๊ะค๊ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ จากคุณ : ช้อนชา เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 20:51:49

ความคิดเห็นที่ 2 ซ้ำค่ะ แก้ไขเมื่อ 06 เม.ย. 53 20:52:50 จากคุณ : ช้อนชา เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 20:52:18

ความคิดเห็นที่ 3   จริงๆแล้วพยายามที่จะวางเฉยค่ะ แต่มันอดคิดไม่ได้จริงๆคะ ยิ่งคิดยิ่งแค้น อยู่ดีๆก็ถูกคนด่า ซ้ำแล้วซ้ำเหล่า.. ครั้นจะด่ากลับไป ก็ไม่จบไม่สิ้นน เฮ้อออ อยากจะระบาย ขอบคุณมากนะ คุณช้อนช้า สำหรับคำแนะนำ แล้วจะนำไปปฏิบัตินะคะ ถึงจะยากอยู่ก็เถอะ ^^ จากคุณ : กระจกสะท้อนตัวเอง เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 20:58:33 A:110.164.220.44 X: TicketID:174345

ความคิดเห็นที่ 4 .. ขอแนะนำให้เริ่มศึกษาหลักธรรมค่ะ เริ่มจากหลักง่าย ๆ แต่เป็นหัวใจสำคัญของพุทธศาสนาก่อนเลย นั่นคือ อริยสัจจ์สี่ค่ะ เมื่อคุณศึกษาตรงนี้แล้ว คุณจะพบว่าความโกรธและความเกลียด ที่คุฯกำลังประสบนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่สำคัญประการหนึ่ง ที่พระพุทธองค์ ตรัสสอนไว้เลยค่ะ แต่ท่านไม่ได้ทรงตรัสสอนไว้เพียงเท่านี้ หากแต่ยังทรงสอนถึงนิโรธและมรรค รวมทั้งการทำงานของจิตใจของคนเราไว้อย่างละเอียด ค่อย ๆ เริ่มศึกษาไปนะคะ จะเข้าใจตนเอง ผู้อื่น รวมถึงความเป็นไปของโลกและสรรพสิ่งมากขึ้น ได้อย่างน้อย ทีละน้อย ๆ ในที่สุดค่ะ .. จากคุณ : Between the cradle - the grave (ipiup) เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 21:06:18

ความคิดเห็นที่ 5 พยายามอยู่เหมือนกันครับ คือ พอมีความรู้สึกแบบนั้น จะพยายามระงับและคิดถึงเรื่องอื่นที่ดีๆ แทน เพราะ เรามานั่งโกรธ เกลียด คนอื่นเราก็ทุกข์ของเราเอง ซึ่งคนที่เราเกลียดเขาคงไม่ได้มารับรู้สึกอะไรกับความเกลียดของเรา อาจใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ขณะที่เรามานั่งอยู่บนกองไฟแห่งความโกรธเกลียด ปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมดีกว่าครับ อาจจะช้าหน่อยไม่ทันใจ แต่ขอให้เชื่อคนทำไม่ได้ต้องได้รับผลแน่นอน จากคุณ : หมาป่าดำ เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 21:25:58

ความคิดเห็นที่ 6 เหตุสมควรโกรธไม่มีในโลก - พระอาจารย์มิตซูโอะ ไฟเสมอด้วยความโกรธไม่มี พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบ ความโกรธ ว่าเหมือนไฟ เช่น ไฟไหม้ป่า เผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ความโกรธ มีพลัง มีอำนาจทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ยิ่งกว่าไฟไหม้ป่าเสียอีก มีแต่โทษ ไม่มีคุณแม้แต่นิดเดียว จะเห็นได้ว่าคนโบราณมีการอบรมสั่งสอนลูกหลานให้กลัว และระมัดระวังไฟ เพราะอันตรายมาก โดยเฉพาะ ไฟไหม้บ้าน ไฟไหม้ป่า ล้วนแต่เผาทำลาย พรึบเดียว ชั่วข้ามคืน ทำลายทั้งทรัพย์สมบัติจนหมดตัว และยังอาจ ทำลายชีวิตผู้คน บางครั้งเป็นพันๆ หมื่นๆ คนทีเดียว แต่ความโกรธ อันตรายยิ่งกว่าไฟ ไฟเสมอด้วยโกรธไม่มี เพราะความโกรธจะทำลายแม้แต่น้ำใจของเรา คนที่เรารักสุดหัวใจก็ดี คนที่รักเราก็ดี ชื่อเสียง คุณงามความดีที่สะสมไว้ตั้งแต่อเนกชาติ ถูกทำลายย่อยยับได้ด้วยความโกรธ ความโกรธ โมโห ครั้งเดียว สามารถทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง น่ากลัวยิ่งกว่าไฟไหม้ !!!!! ความโกรธนี้ฆ่าผู้มีพระคุณมาหลายต่อหลายคนแล้ว ฆ่าคนที่เรารัก คนที่รักเรา คู่รักที่ต่างรักใคร่ ชอบพอกัน บางครั้งในที่สุด ความโกรธก็ทำให้ เลิกร้างกัน ทำให้ชีวิตครอบครัวต้องแตกแยก จนถึงทำให้ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูกก็มี ผู้ใหญ่ในระดับประเทศโกรธกัน จนเป็นเหตุให้กลายเป็นสงคราม ฆ่ากันตาย เป็นพันๆ หมื่นๆ แสนๆ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว .....  ..... พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่เราเห็นกันด้วยตา นับแต่มด ยุง กบ เขียด แมว สุนัข วัว ควาย มนุษย์ อย่างน้อยชาติหนึ่งเคยเป็น พ่อแม่พี่น้องกันในวัฏสงสารที่ยืดยาว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเคยรักกันเกลียดกันมาอย่างนี้ จนทุกวันนี้ และต่อไปอีกหลายภพหลายชาติ ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรประมาท ทำใจให้สงบน้อมเข้ามาสู่ตน พิจารณาดูว่า มีใครบ้างที่เราอาฆาตพยาบาท ถ้ามีรีบให้อภัย อโหสิกรรมเสียแต่บัดนี้ อย่างน้อย ก็ชาตินี้ ก่อนตาย จะได้ไม่ต้องเป็นคู่เวรคู่กรรมกันอีกต่อไป อย่าคิดว่า เราต่างคนต่างอยู่ไม่เป็นไร แม้จะอยู่คนละจังหวัด คนละประเทศก็ตาม ก็จะมีโอกาสพบกันในชาติหน้า และมีโอกาสมากด้วย ถ้าหากมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ดูใจของตน ก็เห็นชัด คิดถึงใครก็ดี คิดแค้นใจอาฆาตพยาบาทใครก็ตาม นั่นแหละ ! ระวังให้ดี ต่อไปจะเกิดมาพบกัน และทำความเดือดร้อนให้แก่กัน นับภพนับชาติไม่ถ้วน ฉะนั้น ไม่ให้คิดมีเวรแก่กัน จงให้อภัย และอโหสิกรรมแก่กัน ไม่ให้คิดอาฆาตพยาบาท ไม่ให้คิดเบียดเบียนกัน มีแต่ปรารถนาดีต่อกัน พยายามทำแต่กรรมดี ให้ทาน เอื้อเฟื้อกัน มีปิยวาจา พูดดี พูดไพเราะ ทำประโยชน์ ช่วยเหลือสังคม วางตนเหมาะสม เสมอต้นเสมอปลาย การประพฤติปฏิบัติต่อกันอย่างนี้ จะทำให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในปัจจุบัน และเป็นการสร้างกรรมที่ดีต่อกัน อนาคตถ้าเกิดมาพบกันอีก ก็จะเป็น พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูงที่ดีต่อกัน เกื้อกูลสนับสนุนซึ่งกันและกัน ไฟไหม้บ้าน – ดับไฟก่อน เมื่อเรากระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ จะโกรธ อยากโกรธ หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ จนกว่าใจจะสงบสบาย เมื่อเราไม่พอใจ ไม่ต้องคิด อย่าคิดไปตามอารมณ์ คิดว่า ทำไมเขาทำอย่างนี้ เขาไม่น่าทำเช่นนี้ .....  ..... พิจารณาดู..... สมมติเมื่อเรากำลังกลับเข้าบ้าน มองเห็นควัน มีไฟลุกขึ้น ไฟกำลังไหม้บ้านของเรา ถึงแม้เรามองเห็นว่า มีใครวิ่งหนีไปก็ตาม เราไม่ต้องคิดสงสัยว่า เขาเป็นผู้ร้ายหรือเปล่า สิ่งที่ต้องทำก่อนทุกอย่างคือ วิ่งเข้าไปหาทางดับไฟ ให้เร็วที่สุด หาน้ำ หาเครื่องดับไฟ ผ้าห่ม ฯลฯ ทำดีที่สุดเพื่อที่จะดับไฟให้สำเร็จ เมื่อดับไฟแล้ว จึงค่อยคิดหาสาเหตุว่า ทำไมจึงเกิดไฟไหม้ เช่น เป็นอุบัติเหตุ หรือมีใครลอบวางเพลิง มีใครประสงค์ร้ายคิดทำลายทรัพย์สมบัติของเราหรือไม่ เมื่อเกิดอารมณ์ ไม่พอใจ ไม่ต้องคิดหาเหตุว่าใครผิด ใครถูก ระงับความร้อนใจของตัวเองให้ได้เสียก่อน หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เมื่อใจสงบแล้ว จึงค่อยคิดด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุผล จากคุณ : the_architect เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 21:26:24

ความคิดเห็นที่ 7 เราสามารถเจริญสติน้อมเข้าไปสัมผัสกับความเบิกบานใจ สุขใจที่มีอยู่ได้ หน้าที่ของเราคือ ต้องสร้างกำลังใจ เจริญสติ สมาธิ ปัญญา รู้จักกุศโลบายที่จะน้อมเข้าไปสู่ธรรมชาติ ของจิตประภัสสร โดยมีวิธีปฏิบัติ ในการเจริญเมตตาภาวนา ดังนี้ .....  ..... วิธีปฏิบัติ วิธีที่ 1 น้อมเข้ามาที่ลมหายใจ ข้าศึกต่อความสุข คือ ความคิดผิด ความคิดไม่ดีของตนเอง ไม่ใช่การที่เขากระทำดีหรือไม่ดีต่อเรา ไม่ว่าเขาจะไม่ดี ขนาดไหน ถ้าใจเราดีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลย ศัตรูร้ายกาจที่แท้จริงคือ ใจไม่ดี ความคิดไม่ดีของตนนั่นเอง ผู้เจริญเมตตาภาวนา ควรระวังรักษาใจ ระวังความคิดผิดให้มากที่สุด อะไรไม่ดี อย่าคิดเลย สุขภาพไม่ดี อากาศไม่ดี รัฐบาลไม่ดี ถึงแม้ใครทำอะไรผิดจริงๆ ผิดมากขนาดไหน ก็ไม่ต้องคิดว่า “ใคร” หรือ “อะไร” ไม่ดี เริ่มต้นปรับท่านั่งให้สบายๆ หยุดคิด ทำใจสบายๆ หายใจสบายๆ บางครั้งจิตใจไม่เบิกบาน มีความรู้สึกไม่ดี เศร้าๆ ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ทำความรู้สึกคล้ายกับว่า หนีจากความรู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ น้อมเข้าไปอยู่กับลมหายใจ เอาลมหายใจเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก ตั้งสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวทั่วถึงลมหายใจ ปรับลมหายใจสบายๆ หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย น้อมเข้าไปอยู่กับลมหายใจ ละลายความรู้สึกเข้าไปในลมหายใจ จนรู้สึกกลมกลืน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลมหายใจ มีความรู้สึกตัวทั่วถึง ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก พร้อมกับระลึกถึงปีติสุข ทุกครั้งที่ หายใจเข้า หายใจออก จิตใจของเราจะเบิกบาน สงบ สบายใจ มีปีติสุข เท่ากับว่า หายใจเข้า หายใจออกคือ สุขใจ สบายใจ หายใจเข้าสบายๆ มีปีติสุข สบายใจ สุขใจ หายใจออกสบายๆ มีปีติสุข สบายใจ สุขใจ หายใจเข้าสบายๆ มีปีติสุข สบายใจ สุขใจ หายใจออกสบายๆ มีปีติสุข สบายใจ สุขใจ วิธีที่ 2 ดึงปีติสุขในใจออกมา เริ่มต้น ปรับท่านั่งสบายๆ หยุดคิด ทำใจสงบ ปรับลมหายใจสบายๆ น้อมเข้าไป ตั้งสติที่กลางกระดูกสันหลัง ระดับหัวใจ สมมติว่าศูนย์กลางของจิตใจ อยู่ที่นั่น เป็นจิตประภัสสร บริสุทธิ์ ผ่องใสโดยธรรมชาติ ความเบิกบานใจ ปีติสุข อยู่ที่นั่น ทำความรู้สึกว่าจุดนั้นเป็นจุดร้อนๆ ความรู้สึกร้อนๆ และปีติสุข ลักษณะเหมือนไอน้ำ ระเหยออกมาจากที่นั่น หายใจเข้า ดึงเอาปีติสุขออกมา คล้ายกับว่า ใช้นิ้วค่อยๆ ดึงออกมาเรื่อยๆ หายใจออก ตั้งสติอยู่ข้างใน ความรู้สึกที่ดี ดันออกมาข้างหน้าต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ อุปมาเหมือนกับว่ามีหมอนใบหนึ่งมีรูเล็กๆ อยู่ตรงกลาง เราเอานิ้วจับอยู่ที่ปุยนุ่นแล้วค่อยๆ ดึงออกมาเรื่อยๆ สมมติให้กลางกระดูกสันหลัง เป็นจุดศูนย์กลางของจิตประภัสสร เป็นจุดสัมผัสกับพุทธภาวะ คือภาวะแห่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า และอริยสาวกทั้งหลาย เป็นเมตตา กรุณา ปีติสุข ที่มีอยู่ในจักรวาล ไหลออกมาผ่านจุดศูนย์กลางจิตของเรา อุปมาเหมือนท่อที่มีสายน้ำไหลแยกออกมาจากทางน้ำใหญ่ เมื่อเราฝึกจนชำนาญแล้ว จะรู้สึกว่าการหายใจคือปีติสุข ความรู้สึกไม่สบายใจ ทุกข์ใจ สัมผัสกับเราแต่เพียงส่วนหน้า เราน้อมเข้าไป ตั้งสติอยู่ที่จุดกลางกระดูกสันหลัง เมื่อความรู้สึกที่ดี ปีติสุข ไหลออกมาแล้ว ความรู้สึกที่ไม่ดี ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในใจเราจะมีแต่ปีติสุข เป็นความรู้สึกที่ดี สบายใจ สุขใจ วิธีที่ 3 ชำระออกซึ่งความไม่สบายใจ ทำความเห็นให้ถูกต้องว่า ความไม่สบายใจ ทุกข์ใจนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เมื่อเห็นอะไร ได้ยินอะไร รู้อะไร ที่ไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ เราจะเกิดความรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบ เป็นทุกข์ ก็เป็นเรื่องธรรมดา หรือเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ความรู้สึกนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยใหม่ๆ ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าความรู้สึกทุกข์ ไม่สบายใจติดค้าง อยู่ในหัวใจนานๆ ก็จะเป็นความผิดปกติ เป็นกิเลส มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ทำให้จิตใจเศร้าหมอง หากเทียบกับแอ๊ปเปิ้ล ความรู้สึกไม่ชอบใจ ทุกข์ใจ เปรียบเหมือน ขี้ฝุ่น ขี้ดิน ติดบนเปลือกแอ๊ปเปิ้ล ความรู้สึกไม่ชอบใจ ทุกข์ใจ ที่ติดในหัวใจนานๆ เป็นตำหนิ เหมือนแอ๊ปเปิ้ลที่เริ่มเน่าแล้ว ต้องรีบจัดการ ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเน่าหมดทั้งลูก ผู้เจริญเมตตา ภาวนา ให้มีนิสัย ที่รักสะอาดอยู่เป็นประจำ เมื่อเกิดความรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบ ให้หยุดคิด หยุดคิดว่าอะไรไม่ดี หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ความรู้สึกไม่ดีก็จะหายไป ถ้าไม่หาย ตั้งใจมากขึ้นหน่อย แทนที่จะคิดว่าใครหรืออะไรไม่ดี นึกในใจว่า ดีๆ ๆ ตั้งใจกำหนดลมหายใจยาวๆ สมมติลมหายใจเป็นมีด ส่วนที่เน่าคือ ความรู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ เศร้าหมองใจ เอาลมหายใจเข้า หายใจออก เป็นมีด ตัดความรู้สึกไม่สบายใจ ทุกข์ใจ ทิ้งไป เหมือนตัดส่วนที่เน่าของแอ๊ปเปิ้ล ตั้งใจ มีสติกำหนดรู้ที่ลมหายใจเข้า หายใจออก ไม่นานความรู้สึกก็จะเบา สงบ สบายใจ มีลมหายใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความสุขใจ สบายใจ วิธีที่ 4 ปล่อยวางความโกรธให้เร็วขึ้น เมื่อเรามีนิสัย ขี้โกรธ ขี้โมโห เห็นอะไร ได้ยินอะไร กระทบอารมณ์ คงจะห้ามความโกรธไม่ได้ ก็ไม่ต้องห้าม ให้โกรธตามเคยนั่นแหละ แต่พยายามปล่อยวางให้เร็วขึ้น ไม่ผูกใจเจ็บ ให้อภัย ให้อโหสิกรรมเร็วขึ้น เช่นเรารู้อยู่ว่าปกติโกรธขนาดนี้ จะไม่สบายใจอยู่ 3 วัน พยายามปล่อยวางภายใน 2 วัน จากนั้น ลดให้เหลือ 1 วัน ครึ่งวัน 3 ชั่วโมง จนเหลือ ครึ่งชั่วโมง เป็นต้น การต่อสู้กับอารมณ์โกรธ ให้เอาหัวใจนักกีฬามาสู้ อย่าเอาจริงเอาจังกับเหตุการณ์จนเกินไป โอปนยิโก น้อมเข้ามาดูใจ ดูอารมณ์ เอาสติปัญญา ต่อสู้กับอารมณ์ตัวเอง ให้มีความพอใจ ความสุขในการแก้ปัญหา แก้อารมณ์ของตน เมื่อเราเห็นความก้าวหน้าในการต่อสู้กับอารมณ์แล้ว ลึกๆ ภายในใจก็จะมีความพอใจ ในท่ามกลางความโกรธได้เหมือนกัน พิจารณาธรรมชาติของอารมณ์โกรธ ตามสติกำลังของตัวเองก่อน เมื่อเข้าใจดีแล้ว ปล่อยวางความรู้สึกโกรธ ตั้งสติที่ท้อง หายใจออกยาวๆ สบายๆ หายใจเข้าตามปกติ เน้นที่หายใจออกยาว สบายๆ ทำเช่นนี้จะช่วยผ่อนคลาย กายเย็น ใจเย็น อารมณ์สบายๆ มีความสบายใจ หายใจออกยาวๆ สบายๆ จากคุณ : the_architect เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 21:27:19

ความคิดเห็นที่ 8   ขอบคุณ คุณ Between the cradle - the grave (ipiup) ,คุณหมาป่าดำ, คุณ the_architect ค่ะ บางที การที่เราอยู่เฉยๆไม่ตอบโต้ มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมต้องยอมให้มันด่าฝ่ายเดียวด้วย คิดเพ้อเจ้อไปอีกว่า เรามันไม่ดีขนาดนั้นเลยหรอ ^^ ขอบคุณมากๆนะคะ จะพยายามทำให้ได้ค่ะ จากคุณ : กระจกสะท้อนตัวเอง เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 21:42:01 A:58.147.41.19 X: TicketID:174345

ความคิดเห็นที่ 9 ^ ^ ^ การไม่โต้ตอบ ไม่ได้หมายถึงเราไม่ดี หรือไม่ได้เรื่องนะครับ ชีวิตคนเรามันต้องเจอกันบ้างแหละ คนมาด่าทอ มาจิกกัดเสียดสี ไม่รู้สิครับ ส่่วนตัวผมไม่คิดว่าถ้ามันจำเป็นต้องพูดอธิบายอะไร อยากจะพูดอะไร อยากจะคิดอะไร มันไม่ได้เดือดร้อนเรานักหรอก ถ้าเราไม่อนุญาตให้ความรู้สึกหรือคำพูดเหล่านั้นมามีอิทธิพลกับตัวเอง เพราะหลายครั้งที่ผมล้ม ที่ผมพลาด มันก็ดันเกิดจากการเอาสิ่งต่าง ๆ ภายนอกเข้ามาใส่เองทั้งสิ้น ไฟต่อไฟ มันก็ได้ไฟ ถ้าไม่ใช้น้ำเข้าลูบ มันก็ไม่จบไม่สิ้นสักทีนั่นล่ะครับ จากคุณ : บ้าเกม เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 21:51:48

ความคิดเห็นที่ 10   ที่ผ่านมาดิฉันไม่เคยตอบโต้ และมักจะอยู่เฉยๆเสมอ แต่ว่าเหมือนอีกฝ่ายพยายามจิกกัด และยังไปพูดถึงดิฉันให้กับคนอื่นฟัง แล้วดันกลายเป็นว่าดิฉันถูกคนอื่นมองในแง่ลบไปเลยค่ะ จริงแล้วดิฉันทราบค่ะว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเก็บมาคิด แต่สุดท้ายก็นั่งทุกข์อยู่ดี^^ พอเจอหน้า ในใจดิฉันรู้สึกไม่อยากคุย ไม่อยากเห็นหน้า(ในใจนะคะ) แต่อีกฝ่ายต่อหน้าดิฉันก็พูดดี พอเข้าสู่โลกอินเตอร์เน็ต.... จิกเจ็บมาก^^ ขอบคุณ คุณบ้าเกมส์มากค่ะ ^^ จากคุณ : กระจกสะท้อนตัวเอง เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:09:59 A:110.164.220.44 X: TicketID:174345

ความคิดเห็นที่ 11 ผมก็ไคยทำได้เลยนะ ระงับ ความโกรธ ความเกลียด เนี่ย และคิดว่าแทบทุกคนก็ทำไม่ได้กันทั้งนั้น ที่สำคัญที่สุดคงขึ้นอยู่กับว่า เราจะกลับมาเป็นตัวของเราเองได้เมื่อไหร่แค่นั้น เมื่อรู้สึก ก็คงต้องแสดงความรู้สึกออกไป  ถ้าเป็นความรู้สึกบวก  ก็คงแสดงได้นานหน่อย แต่ถ้าเป็นความรู้สึกลบ  เราควรต้องกลับมาเป็นตัวเองให้เร็วที่สุดครับ จากคุณ : จอมใจจักรพรรดิ์ เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:22:05

ความคิดเห็นที่ 12   จากประสบการณ์ส่วนตัว เรามองว่าต้องปล่อยให้ตัวเองโกรธโดยไม่ต้องฝืน รับรู้ได้ถึงความโกรธนั้น แล้วระบายความโกรธออกมาอย่างสร้างสรรค์ นั่นคือในทางที่ไม่ทำร้ายผู้อื่นและตัวเอง ในปริมาณและขอบเขตที่เหมาะสม อาจจะเป็นการเขียนบันทึก หรือระบาย ปรับทุกข์ให้คนที่เราไว้ใจได้ฟัง เมื่อรู้สึกดีขึ้น ก็พยายามอย่ากลับไปคิดถึงมันอีก หรือกลับไปหาสิ่งเร้า ตลอดจนสถานการณ์เดิมๆที่จะสร้างความโกรธ หากว่าสามารถเลี่ยงได้ อยากให้เจ้าของกระทู้นึกถึงคนที่รักเจ้าของกระทู้ คนที่สร้างความรู้สึกดีๆให้ เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยวใจว่าคนที่เขาดีกับเรา ไม่เคยทำให้เราโกรธก็มีมากมาย ดังนั้นแทนที่จะคิดถึงคนที่ทำให้เราโกรธ เจ็บปวด คนที่ทำไม่ดีกับเรา เราสู้หันความสนใจมายังคนที่ดีกับเรา และสถานการณ์ที่เป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ คนที่ทำให้เจ้าของกระทู้โกรธแค้น คนที่ทำร้ายเจ้าของกระทู้อย่างไร้เหตุผลนั้น ทั้งชีวิตอาจจะเจอเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น และอาจไม่ใช่คนที่สำคัญอะไรเลย แล้วทำไมเราจึงให้ความหมายและคุณค่ากับการกระทำของเขาเสียจนเป็นทุกข์ จนทำให้ลืมมองถึงสิ่งดีและความสุขอื่นๆที่อยู่รอบตัวเราเสียล่ะคะ การที่จะเอาชนะคนที่ทำให้เราโกรธได้จริงๆ ไม่ใช่การโต้ตอบหรือแก้แค้น แต่เป็นการทำให้เขารู้ว่าคำพูดและการกระทำของเขานั้นไม่อาจทำร้ายเราได้ ยิ่งเราไม่สนใจ แสดงให้่เขาเห็นว่าเขาไม่มีค่าพอที่จะทำให้เราโกรธ เราก็ยิ่งเป็นอิสระจากการกระทำและคำพูดของเขามากขึ้นเท่านั้น ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้สบายใจและปล่อยวางได้โดยเร็วนะคะ จากคุณ : * เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:25:54 A:92.12.82.183 X: TicketID:152752

ความคิดเห็นที่ 13   ให้ความเห็นไปแล้ว เพิ่งเห็นที่เจ้าของกระทู้มาเขียนเพิ่มเติมใน #10 อยากจะบอกว่าเราก็เจอแบบเดียวกันค่ะ และเราโกรธมากๆอยู่เป็นปี จนผ่านไปได้สักพัก เราเริ่มรู้สึกว่าเราจะมาเสียเวลากับคนพรรณนี้ทำไม คนที่ทำตัวแบบนั้น มีพฤติกรรมแบบนั้น ไม่มีค่าอะไรสำหรับเราเลย สู้เอาเวลาไปสนใจอย่างอื่นที่ทำให้เรามีความสุขยังจะดีเสียกว่า.. เรารู้นะคะว่ามันเป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ทำยาก เราเองก็ใช้เวลานานเหมือนกัน แต่ยิ่งเจ้าของกระทู้ปล่อยวางได้เร็ว ให้ความสำคัญกับมันน้อยลงเท่าไร เจ้าของกระทู้จะก็จะสบายใจมากขึ้นเท่านั้น ไม่เสียสุขภาพจิตด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นอดทนอีกนิดนะคะ เพื่อนๆที่นี่หลายคนเป็นกำลังใจให้ค่ะ :) จากคุณ : * เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:35:30 A:92.12.82.183 X: TicketID:152752

ความคิดเห็นที่ 14   ขอบคุณ คุณ จอมใจจักรพรรดิ์ และคุณ * มากค่ัะ ^^ ทุกคำแนะนำทำให้ดิฉันคิดอะไรได้เยอะเลยค่ะ แต่คงต้องฝึกอีกเยอะค่ะ ^^ จากคุณ : กระจกสะท้อนตัวเอง เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:37:48 A:110.164.220.44 X: TicketID:174345

ความคิดเห็นที่ 15   พูดง่าย แต่ทำจริง ๆ มันยากถึงยากมาก แต่ก็ใช่ว่าเราจะทำไม่ได้ เรามีสิ่งที่พิเศษกว่าคือการทีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่แตกต่างคือมีสติและปัญญา เราเคยอดทนกับคนใกล้ตัวจนแทบตายกันไปข้างหนึ่ง โดนด่าต่อหน้า โดนด่าลับหลัง ล่าสุดโดนรื้อค้นห้องนอนอีก ทำกรรมฐานทุกวัน แต่ก็ยังเกือบเอาไม่อยู่ เมื่อวันหนึ่งเราทนไม่ไหว จะขับรถชนคนที่ยืนขวางที่จอดรถของเรา แค่เพียงวินาทีเดียวที่เราหยุดมันไว้ พอลงจากรถได้ เราดูถูกตัวเองมากมายที่เกือบจะทำอะไรโง่ ๆ เกือบจะหลงกลหลุมพรางที่คนอื่นวางไว้ แต่เค้าก็ยังไม่หยุดหรอกค่ะ ยังมีจอดรถกินพื้นที่ให้เราเข้าไม่ได้อีก 555 เราก็เลยจอดรถขวางประตูหน้าบ้าน ไม่ให้เค้าออกซะเลย ( ขำ ๆ น่ะค่ะ ) ที่จริงก็ไม่อยากจะยุ่งกับเค้าหรอก มันเสียเวลาใช้ชีวิตของเรา แต่บางครั้งเราก็คิดว่า คนบางคนก็ต้องโดนซะบ้าง สู้ ๆ ค่ะ จากคุณ : ไหมจ๊ะ เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:41:03

ความคิดเห็นที่ 16   ประสบอยู่เช่นกันค่ะ แต่ก็คิดว่า เราห้ามเค้าไม่ได้ เราห้ามตัวเองดีกว่า แต่มนุษย์นะคะ รัก โลภ โกรธ หลง ยังคงมีอยู่ ก็ทำให้เราได้เครียด เมื่อสิ่งนั้นวิ่งเข้ามาในความคิด ตอนนี้ก็สวดมนต์เกือบทุกคืน ก็ดีขึ้นนะคะ หลับสนิทขึ้น แล้วหยุดสงกรานต์นี้ก็จะเข้าวัดไปตั้งสติ...แต่เมื่อได้เจอ ได้ยินสิ่งที่เค้าพูดก็อดที่จะไม่สวนกลับ ไม่ได้เช่นกันค่ะ แต่คนละวิธี...เรายึดไว้ว่า เราจะไม่ทำให้ตัวเองต่ำลง จากคุณ : คนไทย พศ นี้ (คนไทย พศ นี้) เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:56:45

ความคิดเห็นที่ 17 คุณฐิตินาถ บอกไว้ว่า ถ้าเค้าไม่มีเจตนา ทำให้เราโกรธ เราก็ไม่ควรวโกรธอยู่แล้ว แต่ยิ่งถ้าเค้ามีเจตนาให้โกรธ เรายิ่งไม่ควรโกรธให้สมใจเค้าใหญ่เลยนะคะ อาจจะทำยากนะคะ แต่ถ้าทำได้เมื่อไหร่ เท่ากับคุณชนะใจตัวเองค่ะ ชนะอะไรก็ไม่เท่าชนะใจตัวเองค่ะ สู้ๆค่ะ จริงๆ คุณ จขกท ก็เก่งแล้วนะคะ ที่รู้ตัวว่ากำลังโกรธอยู่ แล้วยิ่งดีใหญ่ ที่อยากระงับความโกรธ มาทางที่ถูกแล้วนะคะ เหลืออีกนิด ทำให้ได้ค่ะ จากคุณ : San Makyos เขียนเมื่อ : วันจักรี 53 22:58:37

ความคิดเห็นที่ 18 เราคิดว่า ทุกคนต่างก็เป็นเพื่อน ล้วนเกิดแก่เจ็บตาย ว่ายเวียนอยู่ในวัฏฏสงสารทั้งนั้น เค้าก็คนเหมือนเรา เค้าแย่ได้...เหมือนที่เราก็แย่ได้ แต่เราจะไปแย่อย่างเค้าทำไมกันเนอะ เงียบไม่ตอบโต้ แล้วเก็บมาเป็นไฟสุมตัวเองก็ไม่ดีนะคะ เงียบแล้ว ก็รู้จักวางค่ะ จากคุณ : ยิ้มเดียว เขียนเมื่อ : วันอนามัยโลก 53 00:40:07

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าจิตใจของเราเอาแต่แบกรับความโกรธ หรือ ความเกลียดชังเอาไว้ตลอดเวลา นั่นก็เท่ากับว่าเรากำลังฆ่าตัวตายทางอ้อมนะคะ....สู้เอาเวลาไปทุ่มเทให้กับคนดีๆที่รักเราดีกว่าค่ะ... จากคุณ : shewant เขียนเมื่อ : วันอนามัยโลก 53 01:09:55

ความคิดเห็นที่ 20 ยิ่งโกรธ ยิ่งเกลียด ยิ่งเข้าทางเขา จำไว้เราไม่เล่นตามเกมของใคร เราไม่ได้เป็นเหยื่อใครทั้งสิ้น และระวังที่สุด ที่จะตกเป็นเหยื่อของความคิดร้ายๆของตัวเองนั่นแหละ ค่อยๆปล่อย ค่อยๆวางนะคะ คนบางคนไม่น่ามีผลกับชีวิตเราขนาดนั้นค่ะ รู้ว่ามันทำยาก แต่ทำได้จิ๊ดนึง ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วค่ะ อย่าได้แคร์ จากคุณ : แดงเร็กเก้บาร์ เขียนเมื่อ : วันอนามัยโลก 53 04:24:43

ความคิดเห็นที่ 21 เป็นเราคิดแต่ว่า... ถ้าโกรธ เกลียดใคร.. เราจะมองคนๆ นั้นเป็นคนไร้ค่าไร้ราคา... และของที่ไร้ค่าไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งสิ่้นในสายตา เราจะไม่เก็บเอามาใส่ใจค่ะ พอมองเขาเป็นก้อนกรวดก้อนหนึ่ง จะพูดจะทำอะไรก้อนกรวดมันพูดไม่ได้ ก็ไม่รับฟัง ไม่เอามาใส่ใจค่ะ.... เป็นกำลังใจให้นะคะ จากคุณ : thangthai_ladypink เขียนเมื่อ : วันอนามัยโลก 53 06:23:47

ความคิดเห็นที่ 22   ความเห็น พี่แดงเร็กเก้บาร์ ถูกต้องค่ะ แต่มันทำยากนะพี่ 555 อย่าไปเล่นตามเกมส์ค่ะ...เดี๋ยวก็เหนื่อยและหยุดไปเอง คนเริ่มเกมส์ ถ้าไม่มีคนเล่นตาม มันก็จะแป้ก..เซ็ง สุดท้าย...เลิกดีกว่า อยู่ที่ใจค่ะ จากคุณ : ++SMILE LOGIN++ เขียนเมื่อ : วันอนามัยโลก 53 09:24:58

ความคิดเห็นที่ 23 ตาม ปสก.เลยน่ะครับ วิธีดู ตรงๆ แบบกำปั้นทุบดิน วิธีบริหาร จัดการ ความโกรธ น่าจะตรงประเด็นกว่า คือ อันดับแรก  ต้องมี " สติ " สำคัญที่สุด  รู้ตัวว่าเราโกรธอยู่  ตามดูความโกรธของตัวเอง ไม่ต้องไปบังคับ กำจัดมัน แค่ดูเฉยๆเหมือนดูหนัง (วิธีฟังได้ที่ ปฏิบัติฟังได้ที่ พระอ.ปราโมทย์  ศรีราชา จ.ชลบุรี) พอเรามีสติตามทันปุ๊ป ความโกรธก็ไม่ลุกลามใหญ่โต เราดูมันเพลินๆ ดูอาการดิ้นรน เผาผลาญของจิต ดูอาการทางกาย ดูแบบ สนุกๆ เหมือนดูหนังเลย อันดับสอง  "ให้อภัย" คิดเสียว่า เขาก็มีความผิดพลาด มีความไม่ดีเป็นธรรมดา  เหมือนเรา   อันดับสาม  " เปลี่ยนความเครียด  ให้เป็นพลัง "  คนทั่วๆไป ไม่รู้ว่า  ความจริง ความโกรธ ความตื่นเต้น เป็นอาการทางธรรมชาติ ร่างกายจะหลั่งสาร บางอย่าง (ถ้าจำไม่ผิด อดรีนาลีน)   วิธีขจัดสารออกไป คือ ออกกำลังกาย ใช้แรงงาน ยกของ ล้างรถ ปลูกต้นไม้ ถ้ายังไม่กำจัดไป สารนี้จะตกค้าง ทำให้เป็นพิษแก่ร่างกาย พอออกกำลังกาย  นานพอประมาณ 30 นาที  ร่างกายจะหลั่งสารอีกตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้สบายตัว สบายใจ โดยอัตโนมัติ (ถ้าจำไม่ผิด คือ เอนโดรฟีน  สารแห่งความสุข)  พอเรามีความสุขแล้ว ขณะนั้นเราจะไปโกรธคนอื่นก็คงยาก อันดับสี่  " แผ่เมตตา "  คือ เราต้องมีความสุขก่อนน่ะ  ถึงจะแผ่เมตตาได้  ไม่ใช่กัดฟันแผ่เมตตา  ฮึ่ม...จงเป็นสุขเถิด ฮึ่ม...กรอด (อันนี้ไม่ใช่ มันเป็นการแผ่รังสี อำมหิตมากกว่า ) ทุกอย่างต้องฝึกฝน  ไปเรื่อยๆครับ เมื่อก่อนผมก็มีคนที่ไม่ชอบหน้ามากๆ เข้าขั้นเกลียดเลยก็ว่าได้  แต่เป็นคนใกล้ชิดเสียด้วย ทะเลาะกันประจำ ใช้วิธีการนี้ทำไปเรื่อยๆ  อยู่หลายปี จนเดี๋ยวนี้ ไม่เกลียดเลย แต่มีโกรธนิดๆเวลาบ่นๆ   และท่าทีที่มีต่อกันก็ดีขึ้นด้วย  เข้าใจกันมากขึ้น  เกรงใจกันมากขึ้น จากคุณ : เจมส์แบน คังคังโป้ย เขียนเมื่อ : วันอนามัยโลก 53 10:13:11

ความคิดเห็นที่ 24 ต้องมีสติ ปัญหาในโลกนี้ป้องกันได้ด้วยมีสติ ไปฝึกสติซะ จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : วันอนามัยโลก 53 10:15:26

ความคิดเห็นที่ 25 เป็นเหมือนกันค่ะ กำลังเผชิญอยู่เลย สดๆ ร้อนๆ วูบหนึ่งของความรู้สึก ก็คิดว่า เราไม่ได้อยู่ในฐานะ ที่จะต้องโดนแบบนี้ ฝ่ายนั้นเป็นใคร  ได้คืบจะเอาศอก ยิ่งไม่ต่อกร ยิ่งได้ใจ แต่ก็เหอะนะ..  เคยอ่านเจอข้อคิดหนึ่งจากหนังสือ เขาบอกว่า "อย่าล้างมือด้วยน้ำสกปรก" หลายๆ ครั้ง ก็พยายามจะถอนตัวออกมา ไม่ถลำลงไปเมาหมัดให้มันเละตุ้มเป๊ะไปกว่าเดิม สิ่งที่เขาทำ บอกคุณค่าเขา ไม่ใช่คุณค่าเรา ผ่านมันไปให้นะคะ เราก็จะทำเหมือนกัน จากคุณ : ส้มสีส้ม เขียนเมื่อ : วันอนามัยโลก 53 12:29:27

ความคิดเห็นที่ 26 ใช้ความสงบ สยบมารค่ะ!!! รู้ว่ามันทำยากค่ะ การระงับความโกรธ ความเกลียดเนี่ยย =_=" แต่ถ้าเรามีสติ รู้เท่าทันอารมณ์ของเรา ว่าเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ ณ ตอนนั้น ก็ขอให้รีบปรับอารมณ์กลับมาให้เป็นปกติ ผ่องใสเหมือนเดิมเถอะค่ะ ไม่ใช่ว่าเราไม่โกรธนะคะ ที่มีคนมาด่า มาว่าเรา...แต่พอรู้ทันอารมณ์ว่า การโกรธ เป็นสิ่งที่โง่เขลา เป็นการทำร้ายตัวเราเอง เราก็จะไม่อยากโกรธ ไม่อยากเกลียด แล้วมันจะส่งผลดีต่อ EQ ของเราด้วยนะคะ สังเกตุมั้ยคะว่า คนที่ชอบมาด่าคุณบ่อยๆ เพราะอะไร แล้วเค้าเป็นแบบนี้กับทุกคนหรือไม่ ถ้าเค้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ บางทีไม่ต้องมองว่า ใครถูก ใครผิด หรอกค่ะ...ปัญหามันเกิดจากคนๆนั้นมากกว่า คนที่โกรธง่าย โมโหง่าย ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เป็นเพราะว่าเค้ามี EQ ต่ำค่ะ คือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี แล้วคนที่อารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิด โมโหง่าย น่าดูซะที่ไหนล่ะคะ....ไม่เชื่อลองมองหน้าคนที่ด่าคุณประจำซิคะ ไม่น่าดูเลยใช่มั้ยล่ะ ^ ^! เพราะฉะนั้น อย่าไปมีอารมณ์แบบเดียวกันกับคนนั้นเลยค่ะ...เครียดไป เดี๋ยวหน้าแก่เร็ว   teen กามาก่อนวัยอันควร ใครจะรับผิดชอบค๊า...>.<! ความโกรธ เกลียด เคียดแค้น ไม่ส่งผลดีต่อใครค่ะ...ปล่อยๆเค้าไปเถอะค่ะ ถ้าคุณสงบอารมณ์ได้ นิ่งได้ ไม่นานเค้าก็เลิกยุ่งกะคุณไปเอง เพราะเวลาเรานิ่งๆเนี่ย น่าเกรงขามกว่า แล้วก็ทำให้ภาพลักษณ์เราดูดีไปด้วย (ถ้าเกิดเป็นที่ทำงาน คุณจะได้คะแนนไปเต็มๆเลยค่ะ) ^^ จากคุณ : Absolute Pink เขียนเมื่อ : วันอนามัยโลก 53 15:10:48

ความคิดเห็นที่ 27 สั้น ๆ ตามหลักศาสนาพุทธนะคะ "ระงับความโกรธ ด้วยการไม่โกรธ"  แค่นี้เองค่ะ ลองทำดูนะคะ -*- จากคุณ : ลีลิน~* (LeeLin Actually~*) เขียนเมื่อ : วันอนามัยโลก 53 18:04:27

ความคิดเห็นที่ 28   ฝึกการให้อภัย เอาใจเขามาใส่ใจเรา คนทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง ยอมคนอื่นบ้าง ที่เราโกรธ เราเกลียดเขา เพราะเขาเข้ามากระทบเรา แล้วเราไม่ยอม ก็ยอมบ้าง ปล่อยวางบ้าง แล้วจะดีขึ้นเองครับ จากคุณ : Re-Tread เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 53 10:31:44

ความคิดเห็นที่ 29   ยายเราสอนว่า "อาม่าไม่แคร์ใคร ใครทำดี ก็ได้ดี ใครทำไม่ดีก็ได้ความไม่ดี" ขอให้เชื่อว่าเวรกรรมมีจริง และเลือกเชื่อว่า เราอาจเคยทำไม่ดีกับใครมาก่อน เลยต้องมาเจอแบบนี้ เป็นการชดใช้ ถือว่าใช้หนี้ไป ถ้าคุณเลือกเชื่อว่า คุณไม่เคยทำกับใครมา คุณจะทุกข์นาน จากคุณ : หวังดี เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 53 15:21:26 A:125.26.180.52 X: TicketID:139926

ความคิดเห็นที่ 30 มีรุ่นน้องแนะนำให้แผ่เมตตาค่ะ จะได้หมดเวรหมดกรรมต่อกัน การที่เค้าคิดโกรธเกลียดใคร แม้จะเป็นแค่ความคิด มันก็เป็นกรรมค่ะ มโนกรรม... ปล เราก็กำลังพยายามอยู่ค่ะ จากคุณ : snoopiez เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 53 10:27:26