 |
++ KAEW ไดอารี่ ++ 9 ปีกับHIV, 3 ปีกับยาต้าน และภูมิคุ้มกัน 151 ตัว
|
|
สวัสดีจ้า
หายเงียบไปนานอีกเช่นเคย ก็ไม่ได้ป่วย ไม่ได้ตายอ่ะจ้า ยังอยู่ดีมีสุข ที่หายๆไป ไม่ค่อยเขียนไดอารี่ สาเหตุหลักๆน่าจะเป็น ยาคลายเครียดของคุณหมอที่ศรีธัญญาได้ผลดีมาก ชีวิตก็เลยสบายๆ ชิลด์ๆ ไม่ทุกข์ไม่เศร้า ไม่เหงา สบายดีด้วยตัวของตัวเอง ก็เลยไม่พึ่งพาคอมพิวเตอร์ และ อินเตอร์เนท เท่าไหร่ มีความสุขกับการนอนอ่านหนังสือ ไปเล่นโยคะ ไปออกกำลังกาย ไปหาอะไรอร่อยๆกินกับคุณอา ไปวัดไหว้พระ
จริงๆมีเรื่องราวมากมายในชีวิตที่อยากเขียนนะคะ แต่บางทีมันขี้เกียจเปิดคอมพ์ก็เลยไม่ได้มาเขียน เอาเรื่องแรกก่อน ก็เรื่องการไปหาคุณหมอที่ศรีธัญญา นับถึงเดือนนี้ก็ 5 เดือนแล้วจ้า ไปหาคุณหมอรับยาคลายเครียด และ ยาต้านการซึมเศร้า คุณหมอที่ศรีธัญญาน่ารักมากๆ ชอบชวนคุยเรื่องโน้นนี่นั่น เราโชคดีที่ได้คุณหมอช่างพูดทั้งที่ศรีธัญญา และ โรงพยาบาลประกันสังคม ก็เลยได้คุยกับหมอยาวๆๆๆ ทุกครั้ง
มีเรื่องจะสารภาพหล่ะ ว่าอีกสาเหตุ ที่เราพาตัวเองไปหาหมอเพราะอะไร อายเนอะ แต่เรื่องมันผ่านไปเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วก็เลยมาเล่าให้ฟัง เรื่องมันมีอยู่ว่า น้องสาวจะแต่งงานค่ะ เรื่องแค่นี้อ่ะ ไปศรีธัญญาเลย
ประเด็นคือ เราเป็นลูกที่คุณพ่อคุณแม่เขา "ฝาก" ให้คุณย่า คุณอาเลี้ยงตั้งแต่เพิ่งเกิด แล้วพ่อแม่เราไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่บัดนั้น น้องสาวก็เกิดที่โน่น เราแค่นี้คงพอเดาได้ว่า ชีวิตเราเกิดปัญหาประการใด ดังนั้นเราจึงไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่ผู้ติดเชื้ออยากมีลูก เพียงเพื่อให้ตัวเองดูเหมือนคนปกติ แล้วบอกว่า มีลูกแล้วเดี๋ยวเอาไปให้ปู่ย่าตายายพี่ป้าน้าอาเลี้ยงก็ได้
มันก็ได้อ่ะนะ เขาก็รักหล่ะ หลานเขา แต่ถ้าถามย้อนไปว่า ไม่พร้อม และ คิดว่าเลี้ยงไม่ได้ แล้วจะมีทำไมเหรอ มันลำบากนะที่โตมาโดยโดนเพื่อนล้อว่าไม่มีพ่อ ไม่มีแม่
เราก็เติบโตมาอย่างดีค่ะ คุณย่า คุณอาเลี้ยงดูอย่างดีมาก รักสุดๆๆ แต่ด้วยความรักที่ล้นเหลือ ก็เลยมีกรอบ ระเบียบให้เราอยู่มากมาย โดยเฉพาะการคบเพื่อนผู้ชาย ที่บ้านหวงสุดๆค่ะ เราดื้อจะมีแฟนนี่ตอนเรียนจบปริญญาตรีแล้วนะ แต่ที่บ้านก็ไม่เห็นด้วยเหมือนเดิม ก็แอบๆๆคบกันอ่ะคะ แล้วผลที่ได้ก็อย่างที่ทุกคนรู้ เราติดเชื้อ HIV จากแฟน แฟนคนแรก และ คนเดียวที่เรามีนั่นหล่ะ แล้วแฟนก็ตายไปภายใน 3 เดือนแรกที่รู้พร้อมๆกันว่ามี HIV
ชีวิตเราก็เลยลุ่มๆดอนๆ โหดมันฮา อยู่คนเดียวกับ HIV มา 9 ปีเต็มๆแล้ว ชีวิตเหมือนตกจากสวรรค์ไปอยู่นรกอ่ะ ความหวัง ความฝันทุกอย่างมันพังไปหมด เรียนจบปริญญาโท ยังไม่มีงานทำเลย
ก็อดทนสู้จนอยู่มาได้อย่างดีพอควร ได้ทำงานมูลนิธิช่วยเหลือเด็กติดเชื้อเอดส์ ได้มีหนังสือเอดส์ไดอารี่ 6 เล่มแล้ว (เล่ม 7 กำลังจะออก) มีเว็บแก้วไดอารี่ ไว้ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อรายใหม่ๆ เป็นวิทยากรบรรยายเรื่องเอดส์ตามโรงเรียน ชีวิตก็ไปได้ดีในระดับหนึ่งนะ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรมากระทบให้น้อยใจเสียใจ
และแล้ว เมื่อกลางเดือนพฤศจิกาที่ผ่านมา ก็มีเรื่องจ้า เรื่องน้องสาวจะแต่งงานนี่หล่ะ แม่เราดีใจมากมายจนแทบจะประกาศให้โลกทั้งโลกรับรู้ โทรทางไกลมาถี่มาก ฝากให้คุณอาซื้อโน่นนี่นั่นเพื่องานแต่งงาน คุณอาก็พลอยตื่นเต้นดีใจไปด้วย เพราะน้องจะเป็นหลานคนแรกที่แต่งงาน
ส่วนเราอ่ะเหรอ ร้องไห้มันทุกวัน แต่แอบร้องในห้องน้ำ ห้องนอน ร้องตอนขับรถ มันน้อยใจอ่ะ น้องมีทุกอย่างที่เราไม่มี น้องคบผู้ชายมานับไม่ถ้วนโดยไม่เคยโดนดุ มีแต่ชื่นชมยินดี เพราะแฟนน้องรวยทุกคน ส่วนเราก็อยู่ด้านตรงข้ามอ่ะคะ ไม่มีโอกาสคบใคร พอแอบคบ แฟนก็แสนจะจน แถมเอา HIV มาให้อีก
ร้องไห้น้อยใจจนรู้สึกทนตัวเองไม่ไหว บวกกับมีเรื่องให้เสียใจมากๆ เรื่องการรับโทรศัพท์ ให้คำปรึกษาเพื่อนๆผู้ติดเชื้อ ปกติมันก็เครียดอยู่แล้วนะในการต้องฟังคนร้องไห้ทุกวัน ฟังความทุกข์คนอื่นทุกวัน แต่ก็อยากช่วย ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง แต่มีสายนึงที่รับแล้ว เสียใจสุดๆ คือ ตอนคุยกับเราก็คุยดี คุยกันนาน รู้เรื่องกันดี แต่พอวางสาย ดันเอาเราไปโพสด่า
พอเพื่อนลิงค์มาให้อ่าน นี่ร้องไห้ขนาดใหญ่ เสียใจมากๆ อุตส่าห์ตั้งใจช่วย ทำไมถึงทำกับเราอย่างนี้ แล้วสังคมในเนทก็รู้ๆกันอยู่ คนที่เข้ามาอ่านก็ไม่รู้เรื่องกับเขาหรอก แต่ขอผสมโรงด่าด้วยเลย เสียใจมากๆๆๆๆ ก็เลยตัดสินใจพาตัวเองไปศรีธัญญาด้วยประการฉะนี้แล
คุณหมอแนะนำให้ปล่อยวาง ในเรื่องของการช่วยคนอื่น ส่วนเรื่องน้อง คุณหมอปลอบใจว่า อย่าโกรธตัวเองเลย มันไม่ใช่ความอิจฉา อย่างที่เราโกรธตัวเอง มันเป็นแค่ปมในใจมันถูกกระทบอย่างรุนแรง เพราะเราจะโหยหาความรักความอบอุ่นจากครอบครัวมาก เพราะพ่อแม่ก็ไม่เคยเลี้ยงดู พออยากจะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ก็ได้ AIDS มาแทน เวลาเห็นน้องแต่งงาน อารมณ์น้อยใจอย่างรุนแรงเลยกำเริบ
ก็เริ่มกินยาคลายเครียด คลายเศร้าตั้งแต่ต้นเดือนธันวา เพื่อเตรียมความพร้อมให้การไปงานแต่งน้องที่อเมริกา เดือนเมษา โครงการเดิมคือเรากะคุณอาจะไปกันทั้งหมด (ทั้งๆที่เราไม่อยากไปเลย) ดังนั้นก็เลยไปเตรียมความพร้อมที่ศรีธัญญา ก่อน
ขนาดมียาช่วยแล้วนะ ตอนเห็นคุณอาตื่นเต้นในการจัดหาชุดไทย และสารพัดสิ่งอย่างสำหรับให้น้องแต่ง มันก็แอบๆร้องไห้นะ แล้วของชำร่วยคุณอาก็ทุ่มทุนอย่างแรง คุณอาซื้อโถเบญจรงค์ 100 กว่าอันไปให้น้องแจก เห็นเจ้าโถนี่ แล้วอยากได้สักอัน เพราะขนาดกำลังเหมาะในการเอาไว้เก็บอัฐิเรา
ประมาณสักกุมภา จริงๆต้องไปขอวีซ่า แต่มีโอกาสได้เปิดใจคุณกับคุณอา ว่า ไม่อยากไปเลย ไม่อยากเจอญาติๆ ขี้เกียจตอบคำถามว่า ทำไมไม่แต่งงาน ทำงานที่ไหน ขี้เกียจแอบกินยา แล้วกว่าสภาพจิตจะไม่ปกติถ้าต้องไปอยู่กับพ่อแม่ คุณอาก็น่ารักสุดๆๆ รู้สึกดีขึ้นมาก เพราะรู้เลยว่า คุณอารักเรามากกว่า (อิอิ) พอคุณอารู้ว่าไม่อยากไป คุณอาก็บอกว่างั้นไม่ต้องไป แล้วคุณอาอยู่เป็นเพื่อนคนนึง ส่งคุณอาอีกคนไปเป็นตัวแทนร่วมงาน
เมื่อต้นเดือนเมษา ระหว่างที่น้องเราคงเข้าคอร์สเจ้าสาว เตรียมตัวแต่งงาน เราก็เข้าคอร์สการเตรียมตัวตายอย่างมีสติ ไปอบรมอยู่ 3 วัน กับพระอาจาร์ยไพศาล วิสาโล เป็นหลักสูตรที่ดีมากๆๆ ได้กลยุทธ์การเตรียมตัวตายมาอีกเยอะ นี่น้องเราเขาก็แต่งงานไปเตรียมร้อยแล้วค่ะ เราก็อาการดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวอาจจะมีอาการกำเริบเล็กน้อย ตอนคุณอากลับมา แล้วต้องมาดูรูปงานแต่งน้องอีก
สำหรับเรื่องสุขภาพอื่นๆ เมื่อเดือนก่อน ครบ 9 ปีที่รู้ผลว่ามี HIV ในตัว และครบ 3 ปี ที่เริ่มยาต้าน HIV (เราเลือกกินยาต้าน ในวันที่ครบ 6 ปี ของการรู้ว่ามีเชื้อH ตอนนั้นภูมิคุ้มกันมี 9 ตัว) เราจะให้ของขวัญวันครบรอบกับเจ้าH โดยการไปตรวจภูมิคุ้มกัน และ ตรวจสุขภาพที่คลีนิคนิรนาม ผลที่ออกก็ .... ภูมิคุ้มกันตก จ้า
เมื่อเดือนธันวาคม ตรวจภูมิคุ้มกัน ฟรี ตามสิทธิประกันสังคม ที่โรงพยาบาล มีภูมิคุ้มกัน 220 ตัว คิดเป็น 11.9% แต่ตรวจครั้งล่าสุดนี่ ตกมาเหลือ 151 ตัว คิดเป็น 9 %
และที่ได้แถมตัวแดงเถือกมาก็คือ (ตัวแดง คือ ค่าที่ผิดปกติ ไม่ต่ำก็สูงกว่าเกณฑ์ปกติ) เลือดจาง อันนี้จางมาโดยตลอด ไม่ปกติกับคนอื่นเขาสักที ทั้งๆที่กินวิตามินบำรุงเลือดทุกวัน
ที่ได้มาเพิ่ม คือ ค่าตับ ค่าไต ค่ะ กินยามาแค่ 3 ปีเอง ค่าตับ ค่าไต สูงกว่าเกณฑ์ปกติซะแล้ว แอบคิดในใจว่า ถ้าได้โรคตับ โรคไต หรือ มะเร็งมาอีก ก็พอแล้ว ยอมแพ้ มันเยอะเกินไปแล้ว
แต่ก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรมากนะคะ กับภูมิคุ้มกันที่ลดลง เพราะเรามีภูมิน้อยมาจนชิน เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไร แล้วตอนนี้ก็ยังแข็งแรงดี บึกบึนถึกควายทุย เหมือนเดิม
ตอนนี้เริ่มอ้วนอีกแล้วด้วย เกือบจะเหมือนก่อนกินยาต้านแล้วอ่ะ ตั้งแต่มี HIV มา เราผอมอยู่ช่วงเดียวคือตอนเริ่มยาต้าน เพราะแพ้ยาแทบตาย ตอนนี้น้ำหนักขึ้นเร็วกว่าหลินปิงอีกอ่ะ กางเกงกลายเป็นขาเดฟทุกตัว คือ เดิมมันเป็นกางเกงขาตรง แต่อ้วนจนขาใหญ่คับกางเกง มันเลยกลายเป็นกางเกงขาเดฟไป
เรื่องความอวบอ้วน นี่ถ้าเป็นผู้หญิงปกติ คงทุกข์ร้อนมากมาย แต่ถ้าเป็นผู้ติดเชื้อH แล้วยิ่งคนที่กินยาต้านแล้วนี่ การยังอวบอ้วน มีขาอวบๆ มีก้นใหญ่ๆ นี่ถือว่าสวยมาก โชคดีสุดๆ เพราะหลายคนกินยาแล้วแขนขาลีบ ก้นฟีบ แก้มตอบ
ตอนนี้ก็พยายามคุมอาหาร คุมน้ำหนักอ่ะคะ มันออกจะดูสมบูรณ์เกินไปสักนิดนึง วันนี้เล่าให้ฟังแค่นี้ก่อน สัญญาว่าจะพยายามกลับมาเขียนไดอารี่ให้สม่ำเสมอเหมือนเดิม เพราะคุณหมอบอกว่า การเขียนเป็นการบำบัดความเศร้า ความเครียดอย่างหนึ่งค่ะ
จากคุณ |
:
++MooKaew++
|
เขียนเมื่อ |
:
27 เม.ย. 53 19:26:22
|
|
|
|  |