 |
ขอแชร์บ้าง >> กับคลินิกลดน้ำหนัก รพ. รามาฯ
|
|
เริ่มจากที่ลูกกำลังจะขวบครึ่งแล้ว แม่ยังนน.เกินอยู่หลายสิบโลเลย (ขนาดให้นมลูกมาเป็นปีนะนี่ ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย) บวกกับเริ่มมีอาการปวดเข่าแปล๊บๆ จึงตัดสินใจไปพบคุณหมอที่คลินิกลดน้ำหนักของรพ. รามาฯ ซึ่งเป็นคลินิกนอกเวลาค่ะ ก่อนหน้าที่จะมาหาหมอ เราก็เดิน วิ่งสายพานอยู่นะคะ นน.ไม่ลดเลยค่ะ แต่รู้สึกว่าร่างกายดีขึ้น จากตอนแรกที่เดินขึ้นบันไดหน่อยก็หอบแทบแย่แล้ว
เลยตัดสินใจไปพบหมอค่ะ ซึ่งเรารู้จากเพื่อนของคุณแม่และลูกชายของเค้าซึ่งอ้วนมานาน ตอนนี้ลดไปแล้วและไม่กลับมาอ้วนอีกค่ะ ของเราเพิ่มเริ่มนะคะ ยังไม่ผอมดี ไว้สำเร็จแล้วจะมาอัพเดทอีกทีค่ะ ซึ่งตั้งใจว่าจะทำให้ได้ จะได้อยู่กับลูกไปนานๆ
ถึงจะเป็นคลินิกนอกเวลาแต่ก็รอนานค่ะ นัด 16.30 กว่าจะได้พบหมอก็ 18.30 (สำหรับคนไข้ใหม่)
โดยคลินิกจะรวมคนไข้ใหม่ให้เข้าพบหมอพร้อมๆกันค่ะ ประมาณ 4-5 คน ซึ่งระหว่างรอ พยาบาลจะมาถ่ายรูปเราเก็บไว้ด้วย (แบบ before-after มั้งคะ)
ขั้นแรกหมอถามเรื่องโรคที่เป็นอยู่ว่ามีมั้ย เช่น ความดัน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ปวดหลัง นอนกรน เจ็บตามข้อ เป็นต้น ซึ่งก่อนหน้าที่เราจะเข้ามาพบหมอเราไปเจาะเลือด กับตรวจปัสสาวะมาหมดแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ (แต่ภูมิไวรัสบีต่ำ เลยได้ฉีดวัคซีนมาเข็มนึง) แต่เพื่อนร่วมรุ่น(ลดความอ้วน) ที่เข้ามาด้วยกัน ส่วนใหญ่ค่อนข้างมีอายุแล้ว ก็มีบ้างค่ะที่เป็นความดันสูง ปวดข้อเข่า คลอเรสเตอรอลสูง
บางท่านนี่เข้าฟิสเนตทุกวัน วันละ 2 ชม. เห็นว่าจ้าง PT เล่นโยคะด้วย แต่นน.ไม่ลด (ท่านนี้่ไม่ได้ตั้งใจมาเข้าคลินิกลดฯเองนะคะ แต่หมออีกท่านพบว่าเป็นโรคกรดไหลย้อนเลยส่งมาลดนน.ค่ะ เราก็เพิ่งทราบว่ามีผลเกี่ยวกันด้่วย..)
เราสูง 155 นน. 83.3 (อายุ 27) หมอบอกว่าอ้วนระดับ 3 แล้ว - -" แย่เลย.. (คนที่ไม่อ้วนมาก ประมาณระดับ 1 ก็มารักษานะคะ แต่หมอก็ยังบอกเลยว่าไม่ได้อ้วนขนาดต้องเข้าคอร์ส แต่เค้าก็อยากจะลดเพื่อลดความความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอื่นๆน่ะค่ะ) เป้าหมายแรกคือ 72 โลค่ะ คือให้ลดลงไป ระดับ 2 ให้ได้ก่อน
ของเราหมอให้ตรวจตับ Liver Function Test เำพิ่มด้วยค่ะ คือไขมันในเลือดไม่ผิดปกติ แต่อาจจะไปสะสมที่ตับเยอะได้ ดังนั้นคนที่เขาไปรักษาควรจะไปตรวจให้ครบก่อนค่ะ จะได้พร้อมรับการรักษาได้เลยค่ะ
หลังหมอสอบถามทุกคนเสร็จ หมอก็บอกเลยว่า ให้เข้าใจไว้เลยว่าเรากำลังป่วย ถ้าลดได้ โรคทั้งหลายที่หมอถามมามันจะหายไปเอง ดังนั้นสิ่งที่หมอจะให้ทำต่อไปนี้ มันก็เหมือนการกินยา ที่เราต้องทำซ้ำๆ เดิมๆ ทุกวัน เพื่อให้หายจากโรค
พวกเราจึงเข้าสูตรของคุณหมอ ดังนี้
หมอนัดรอบแรก คืออีก 2 อาทิตย์ค่ะ ระหว่างนี้ที่ต้องทำคือ
อาหารเช้า - เป็นอาหารซองลดนน.ของคุณหมอที่ได้ทำวิจัยมาค่่ะ ชงดื่ม 1 ซอง มีรสวนิลากับช็อกโกแลต ราคาซองละ 65 บาท (รสชาติเหมือนนมรสอ่อนๆค่ะ พอทานได้ไม่ถึงกับต้องบีบจมูกค่ะ)
อาหารกลางวัน - เนื้อหมูส่วนสันใน แต่เราว่าสันนอกก็พอได้นะคะ แค่อย่าให้ติดมันเท่านั้น, อกไก่-ปีกไก่-น่องไก่ แบบไม่มีหนัง, ปลา
ใ้ห้ขนาดเท่ากับ 1 ฝ่ามือของตนเอง จะเอามาผัด(งดน้ำมันหอย ใช้แต่ซีอิ๊วค่ะ) ต้ม ย่าง ตุ๋น ทอด(ต้องกระทะเทฟลอนนะคะ) ได้หมด
ให้ทานกับสลัด ซึ่งน้ำสลัดได้แค่ 1 ช้อนโต๊ะนะคะ หรือจะทานกับน้ำพริกก็ได้ (น้ำพริกไม่จำกัดค่ะ) ส้มตำ ห้ามใส่ถั่วลิสง แต่ถ้าใครทำได้ให้เอา น้ำตาลเทียม ไปให้แม่ค้าตำแทนได้เลยค่ะ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ก็บอกแม่ค้าหวานนิ๊ดดดเดียว (ส่วนเรามักปู-ปลาร้า มันไม่ได้ออกหวานอยู่แล้วอ่ะ)
อาหารเย็น - เต้าหู้หลอด 2 หลอด ทานกับผัก ปรุงเป็นเมนูสุกี้, ต้มยำ หรือทานกับน้ำพริกค่ะ แต่ถ้านอนดึก ก็แบ่งเต้าหู้หลอดเป็น 2 มื้อค่ะ หลอดละ 1 มื้อ
และคุณหมอจะให้วิตามินมาเพิ่มด้วยค่ะ โดสเล็กๆ เช่น บีรวม, ซี และแคลเซียม บวกกับไฟเบอร์รสส้มซองเล็กๆ ไว้ทานก่อนอาหารเช้า-เย็นค่ะ ซึ่งตรงนี้ช่วย(ให้หนักท้อง)ได้มากเลยค่ะ
เงื่อนไขคือ..
- กินก่อนหิว ประมาณครึ่งชั่วโมง - เลิกกินอาหาร 2 มื้อ ต้อง 3 มื้อขึ้นไปเท่านั้น - ดื่มน้ำให้มากกว่า 2 ลิตร ต่อ วัน (ชา กาแฟ ไม่ใส่นม ไม่ใส่ครีม ไม่ใส่น้ำตาลดื่มได้ไม่จำกัดค่ะ และ Pepsi Max, Coke Zero ดื่มได้ไม่จำกัดเช่นกัน) - กินผักให้ได้ครึ่งกิโลเป็นอย่างน้อยต่อวัน ระหว่างวันจะทานตอนไหนก็ได้ค่ะ - ห้ามกินผลไม้ เด็ดขาด!! (หมอบอกว่าถ้าไม่แน่ใจว่าอันไหนเป็นผลไม้รึเปล่าให้ถามเด็ก 8 ขวบดู อิอิ..) - ห้ามทานเนื้อวัว - งดแป้งและน้ำตาล - แต่ถ้าหิวมากๆ ไม่ไหวจริงๆ หมอให้ทานอาหารซองของหมอได้อีก 1 ซองค่ะ
และอะไรที่หมอไม่ได้พูดก็คือ ห้ามกิน!! ค๊า
ซึ่งหมอบอกว่า 3 วันแรก ถ้าผ่านไปได้ ความหิว(โหย)จะลดลงค่ะ ของเรานี่ทรมาณมากเพราะ 3 วันแรกไม่ได้ทานวิตามินกับไฟเบอร์ของหมอด้วยรึเปล่าก็ไม่ทราบ (ที่ไม่ได้ทานเพราะว่ากว่าจะตรวจเสร็จก็ค่ำมากแล้ว ลูกรออยู่เลยรีบกลับไม่ได้รอเอายาค่ะ ซึ่งต้องรอนานมากกก) เลยแทบแย่เลยค่ะ ไม่มีแรงเลย รู้สึกว่าน้ำย่อยออกมาตลอด ทานอาหารไม่ถึง 2 ชม.ก็หิวอีกแล้ว มึนหัวอีกต่างหาก
พอวันที่ 4 เริ่มปรับตัวได้จริงๆค่ะ รู้สึกดีขึ้น เลยเดินสายพานหลังอาหารเย็นแป๊บนึงด้วย ก่อนเดินชั่งนน.ดู ลดเหลือ 81 โลค่ะ จริงๆหมอบอกว่าให้ลดอาทิตย์ละ 1 โลค่ะ (ส่วนอีกท่านที่อ้วนระดับ 1 หมอให้ลดอาทิตย์ละครึ่งกิโลค่ะ) ลดเกินนี่กลัวเหี่ยวเหมือนกันนะคะ แต่ไว้มีแรงกว่านี้จะเข้ายิมกระชับค่ะ
ตารางอาหารของเราลงตัวที่
อาหารเช้า 9.00 อาหารเที่ยง 12.00 อาหารบ่าย 15.00 อาหารเย็น 17.30 (ตอนแรกหมอเซตให้ 16.00 กับ 20.00 ค่ะ) และเราก็ไม่ได้ทานอาหารซองเพิ่มค่ะ หิวก็ดื่มน้ำเอา แล้วก็เราชงชาเขียวดื่มหลังอาหารทุกมื้อด้วยค่ะ
อีกอย่างนึงคือ ต้องคุยกับคนในครอบครัว หรือคนรอบข้างให้เข้าใจสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ด้วยนะคะ เรื่องมื้ออาหาร หรือประเภทอาหาร อ้างตามที่หมอบอกนี่แหละค่ะ ไม่งั้นมีวีน วี๊ด เครียดแน่ๆ
ยกตัวอย่างที่เจอนะคะ จะทานไรที จะมีแต่คนมาแย้ง หรือแนะนำนู่นนี่ จน(เราที่กำลังหิว หงุดหงิดที่ต้องควบคุมใจตัวเอง และพยายามจะกะเอื๊อกของที่เราไม่อยากกินอยู่) จะทะเลาะกันเลยค่ะ เช่น อะไรกินเนื้อสัตว์ได้ด้วยเหรอ? แล้วมันจะลดมั้ยเนี่ย (เรา: อ้าวแล้วจะให้หนูกินแต่ผักทั้งวันหรือคะ เป็นลมพอดี - -" แค่ 1 ชิ้นต่อวันนี่ก็แทบแย่แล้วนะ ไม่มีข้าว ไม่มีไรเลยอ่ะ ผักกินแป๊บเดียวอิ่ม แป๊บเดียวก็หิวอีกแล้ว)
หรือว่า อะไร กินน้ำสลัดได้ด้วยเหรอ มันอ้วนจะตาย แล้วจะลดเหรอเนี่ย (เรา: แค่ 1 ช้อนโต๊ะเองนะคะ สลัุดตั้ง 2-3 ขีดแน่ะ แล้วหมอก็ให้ทานแบบไหนก็ได้ค่ะ จะแบบครีม แบบซอส ได้หมด)
คือเราว่าอธิบายขั้นตอน วิธีของหมอไปเลยค่ะ จะได้ไม่ต้องอธิบาย โต้แย้งกันหลายรอบในมื้ออาหาร แต่เราก็เข้าใจนะคะ่ว่าห่วงว่าเดี๋ยวจะไม่ลด
ส่วนเรื่องอาหาร เราต้องหาให้เจอค่ะ หาสิ่งที่จะช่วยเราให้รอดพ้นจากความเบื่อหน่าย ซ้ำๆ เดิมๆ จากอาหารในโปรแกรมให้ได้ เช่น กรณีของเรานะคะ
- เราไม่ชอบทานผัดสดเลยค่ะ แต่ก็ต้องหาวิธีที่จะทานให้ได้และมากๆด้วย เราก็ไปหาน้ำพริกที่รสชาติถูกปากเราค่ะ ไปซื้อมาตุนไว้เลย ถ้าหิวก็เอาทานกับผักสดค่ะ เหมือนกินผักสดแทนข้าวที่ไว้แก้ความเผ็ด รสจัดของน้ำพริกค่ะ (พวกหลนไม่เอานะคะ พอดีเราไม่ชอบอยู่แล้วเลยไม่มีปัญหาค่ะ ที่ทานก็มีน้ำพริกปลาดุกย่างค่ะ ให้แม่ค้าส้มตำทำให้ แซ่บดีน๊า รสเข้มข้น ทำให้ทานผักได้เยอะด้วยค่ะ)
- ผักต้ม เต้าหู้หลอด เราก็ไปหาน้ำจิ้มสุกี้ที่ชอบมาช่วยค่ะ หรือไม่ก็ซื้อเกาหลาแบบต่างๆมาใส่ผักเพิ่มลงไปค่ะ เอาลูกชิ้นหรือเนื้อให้คนอื่นทานไป หรือว่าจะเป็นแกงเลียง แกงส้ม แกงไตปลา ต้มย้ำ ต้มโคล้ง เอาเนื้อออกแล้วใส่ผักของเราลงไปเพิ่มเลยค่ะ ซดน้ำไปด้วยอื่มมากขึ้น ไม่เบื่อด้วยนะ โชคดีที่เราไม่ชอบแกงกะทิอยู่แล้ว เลยไม่มีปัญหาเรื่องนี้ค่ะ
- หมูสันใน ก็หาซอสมาหมักให้รสชาติต่างๆกันไปค่ะ ไม่ก็บางวันอาจจะไปซื้อเสต็กสำเร็จรูปมาบ้าง ตัดมันออก ก็ไม่เลวนะ หรือถ้าไปทานข้าวข้างนอกก็หาเมนูเสต๊กปลาแซลมอน ปลาซาบะ ย่างซีิ้อิ๊ว ย่างเกลือ เสต็กหมูเนื้อล้วน ไรงี้ก็ได้ค่ะ
แต่ว่า...
หมอไม่ได้พูดถึงเรื่องออกกำลังกายเลยค่ะ
อันนี้คิดเองนะคะ อาจจะเพราะเป็น 2 อาทิตย์แรก ถึงหมอให้ออกคงไม่มีแรงออกหรอกค่ะ มันหิวอ่ะ ไม่มีแรงพอจะไปออกกำลังแน่่ๆ หรือว่าจริงๆแล้ว ให้เอานน.ให้ลงก่อน แล้วขั้นตอนต่อไป ถึงจะเริ่มออกกำลังกายได้รึเปล่า
ตอนคุยกับหมอลืมถามเรื่องนี้ไปเลย (มัวแต่ถามว่ากินไรได้-ไม่ได้มั่ง - -" )เพราะหมอค่อนข้างจะรีบด้วย กะว่าเดี๋ยวคราวหน้าจะไปถามดูค่ะ
ยังไงจะมาอัพเดทให้ฟังเรื่อยๆนะคะ (ถ้ามีคนสนใจ แหะๆ)
แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 53 02:10:35
จากคุณ |
:
หนูพีช
|
เขียนเมื่อ |
:
28 เม.ย. 53 02:02:11
|
|
|
|  |