ความคิดเห็นที่ 63

ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ เสียพ่อเหมือนกัน ไปดูใจท่านไม่ทัน ได้แต่ก้มกราบเท้าท่านที่ห้องดับจิต "พ่อจ๋า กลับบ้านเรากันนะ"
พี่สาว พยายามบอกพ่อ ตอนที่อยู่ห้องไอซียู ว่ารอเราหน่อย อีกวันเดียวก็จะมาถึงแล้ว ก่อนขึ้นเครื่อง โทรถามพยาบาล เขาบอกว่า ความดันพ่อขึ้นมาแล้ว ทั้งที่หมอ เลิกdripยาทุกอย่าง
เกิดความหวังอย่างเต็มที่ว่า ไปถึงเราจะช่วยดูแลพ่อเอง จะทำแม้กระทั่งสมัครเป็นพยาบาลพิเศษ เพื่อขอให้ได้อยู่กับพ่อ 24 ชั่วโมง
แต่ การเดินทางมันช้าไปสองวัน ไปถึงสุวรรณภูมิ โทรไปโรงพยาบาลอีกที่ถึงอาการพ่อ พยาบาลเขาไม่ตอบ เข้าใจแล้ว
ใจแตก แต่ร้องให้ไม่ได้ ไม่อยากให้แม่ร้องตาม ได้แต่ทำกิจวัตรประจำวันให้ตามปกติ และเฝ้าบอกแม่ว่า พ่อไปดีแล้ว ไม่ทรมาน
เกือบสามปีแล้ว ยังรักคิดถึงพ่อ เหมือนเดิม มากกว่าเดิม คุยกับพ่อ ทุกครั้ง ก่อนและหลังไปทำงาน ไปทำบุญทุกวันพระ (ศีลใหญ่) แต่ความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลพ่อ ยังไม่จางหาย
ตอนนี้แม่อยู่กับพี่สาว ซึ่งดูแลแม่อย่างดี แต่ก็ไม่กล้าอีกแล้ว ถ้าแม่ต้องการ จะลาออกจากงานทันที ไม่ห่วงมันแล้ว
ตอนพ่อ ช้าไปหนึ่งวัน ตอนผู้ร่วมงานถามถึงอาการพ่อ ก็คุยข้างเตียงคนไข้ ดูแลคนไข้อยู่ ไม่นึกว่าเขาจะฟัง อยู่ๆ เขาถามว่า " Why are you here?" ตอบไม่ถูกเลย นึกในใจ ทำไมเราต้องสนใจที่ทำงาน มาทำงาน เพื่อขอลาหัวหน้า ทำไมไม่โทรบอก แล้วกลับเลย ทำไมต้องเกรงใจด้วย
จำคำปลอบใจของเพื่อนคนนึง ว่า อย่าเสียใจมากไปเลย ชั้นเองพ่อก็ตาย ตายตอนชั้นเพิ่งจบด้วยซ้ำ เออจริงด้วย เพียงแต่เราไม่ได้มองปัญหาเขาเท่าของเรา เท่านั้นเอง
พ่อเสียชีวิตด้วย ติดเชื้อในกระแสเลือด (septicemia) จำไว้นะคะ ถ้าใครที่รู้จัก ในครอบครัว รักษาด้วยยา สเตียรอย หรือยาผีบอก มันจะกดภูมิคุ้มกัน ระวังการมีไข้ โดยไม่แสดงอาการด้วย ( sub-temp) พลาดมาแล้ว พ่อสำลักน้ำบ่อยๆ มีอาการปอดบวม (pneumonia) โดยไม่มีใครคิด ไข้ก็ไม่มี เพลียลงๆ ในที่สุด หายใจไม่พอ เหนื่อยง่าย พอ เอกซเรย์ปอด เป็นปอดบวม ติดเชื้อเข้ากระแสเลือดไปแล้ว
อ่านเรื่องของคุณ แล้วร้องให้มากมาย เลย อยากเล่าเรื่องของเราใ ห้ฟังบ้าง
หมอ เขามีคนไข้เยอะ บางทีเปรียบเทียบ คนไข้เจ็บหน้าอก กับเหนื่อยๆเพลีย เขาต้องเลือกที่คิดว่าถึงแก่ชีวิตก่อน (first priority )อยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของญาติ ที่จะสังเกต และให้ข้อมูลหมอ เขาไม่ว่าหรอก ถ้าญาติจะสนใจ ถาม เราถามด้วยการให้เกียรติ ไม่ใช่เป็นการจิกถาม
อย่างที่ทำงาน ถ้าหมอเขา ลืมอะไร ยิ่งเป็นหมอใหม่ สั่งไม่ครอบคลุม เราก็จะถาม อยากได้อย่างนี้มั้ย เขาจะยอมรับ และเปลี่ยนทันที เขาสมาร์ท ที่จะเป็นหมอ เขาต้องสมาร์ทพอที่จะเรียนรู้ ให้เข้ากับผู้ร่วมงานด้านอื่นๆ นอกจากบางคนดื้อ เขาก็จะโดนว่าตรงๆจนเดินกลับไม่ถูกเลยล่ะ โดยเฉพาะ ที่เถียงกับ พยาบาลขาว หรือ ผิวสี ถ้าเขาฟ้องเรื่องนี้แล้วอ้างว่า เป็นเรื่องความปลอดภัยของคนไข้ ส่วนใหญ่ที่เจอ พวกดื้อ มีแค่1%
จากประสบการณ์ พี่สาวที่นั่งรถพยาบาลฉุกเฉินไปกับพ่อ พี่สาวเล่าว่ารถไม่ค่อยหลบให้ ทำให้คิดว่า คนเราไม่โดนกับตัวไม่รู้ ทำไมกฏหมายบ้านเรา ไม่ทำเหมือนที่นี่ ที่อเมริกา ถ้าได้ยินเสียงไซเรน รถทุกคันต้องหลบ ถ้าไม่ คุณได้ตั๋ว
น่าจะมีกฏหมายนี้ ที่บ้านเรานะ
นี่คิดว่า ถ้าต้องกลับไปอยู่บ้าน จะซื้อเครืองซ็อคหัวใจ(automated defibrillation) กลับไป ใช้ง่าย แค่ฝึกครั้งเดียวก็ได้แล้ว เพราะบ้านเรา ระบบ911 ยังไม่รวดเร็ว

พาออกทุ่ง ขอให้กระทู้นี้ เป็นกระทู้ระบายคิดถึงพ่อ บ้างนะ ขอบคุณค่ะ

จากคุณ : mmontp (mmontp)
เขียนเมื่อ : 8 พ.ค. 53 16:00:00