|
ความคิดเห็นที่ 17 |
ผมมีคนรักที่ "จำ" ผมไม่ได้ครับ
เธอเริ่มป่วยด้วยอาการไข้ต่ำๆ เป็นมาตลอดระยะเวลาร่วมๆปี เธอทำงานหนัก และเดินทางเยอะมาก
มีครั้งหนึ่งไปป่วยอยู่ที่ดุสิต ดูใบ เธอโทรกลับมาหาผมและเล่าอาการแบบเดิมๆ แต่ครั้งนี้ดูจะอ่อนเพลียมากขึ้นกว่าเดิมที่เคยเป็น
โชคดีที่โรงแรมมีแพทย์ประจำ และได้มาทำการรักษาฉีดยา เธอนอนพักอยู่สองวันเต็ม และกลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง
จากนั้นเธอยังเป็นๆหายๆมาตลอดครับ ผมเองคิดว่าเป็นเพราะอากาศเปลี่ยน ประกอบกับเธอเดินทางเยอะ เลยทำให้ร่างกายอ่อนแอ
จนกระทั่งเธอมาเกิดอาการไข้อีกครั้งเมื่อ 21 พค.52 และครั้งนี้เธอช็อคหมดสติ เพราะไข้ขึ้นสูงมาก ครอบครัวเธอพาเธอส่ง รพ.สมิติเวช..เธอโคม่าครับ เป็นการเข้า รพ.ด้วยอาการโคม่าหลังวันเกิดเธอเพียงวันเดียว
หมอบอกว่าอาการเธอหนักมาก และญาติพี่น้องคงต้องทำใจไว้ก่อน ตอนนั้นผมนอนร้องให้ทุกคืน เพราะสงสารในโชคชะตาของเธอ
เธอนอนไม่รู้เรื่องอยู่ในไอซียู 42 วัน โดยมีอยู่วันหนึ่งในระหว่างนั้นเธอหัวใจหยุดเต้น เราคิดว่าเราคงสูญเสียเธอไปแล้วแน่ๆในคราวนั้น แต่ด้วยบุญของเธอที่ยังมีอยู่ หมอได้ปั๊มหัวใจจนเธอกลับมาได้
เธอฟื้นขึ้นมาในวันที่ 42 ของเธอ และพูดได้เพียงแค่ประโยคสั้นๆเท่านั้น หมอบอกว่าเธอติดเชื้อในกระแสเลือด และมีอาการแทรกซ้อนคือ ปอดบวม, ไข้หวัดใหญ่
เรารักษาเธออยู่ร่วมๆ 5 เดือนกว่าๆ เป็น 5 เดือนที่ผ่านความทุกข์มาด้วยกัน แต่ผมโชคดีที่มีครอบครัวเธอ และเพื่อนๆเธอยืนเคียงข้าง
หลังจากที่เธออาการดีขึ้น เราก็เริ่มทำกายภาพบำบัด เธอต้องเริ่มหัดเดินใหม่อีกครั้ง กินอาหารอ่อนๆ และเจาะเลือดดูผลทุกๆวัน เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อนั้นกลับมาทำร้ายอีกครั้ง
ในตอนที่หมอรักษาเธอ หมอได้ให้ยาเธอหลายขนาน ซึ่งหมอได้ทำอย่างระมัดระวังเป็นอย่างดีครับ
เมื่อเธอหายกลับมาอยู่บ้านแล้ว ผมตัดสินใจยื่นเรื่องลาออกจากงาน และวางแผนจะแต่งงานกับเธอในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก่อนที่จะไปใช้ชีวิตที่เมืองชายทะเลเล็กๆซักแห่งด้วยกัน
โดยคิดกันไว้ว่าชีวิตที่เหลือจากนี้ไป เราจะ "ใช้" มันในทุกๆวันเหมือนกับเป็นวันสุดท้ายของเรา เราอยากแค่อยู่กันนิ่งๆ อ่านหนังสือ จิบกาแฟ เดินเล่น ดูหนัง ไปตลาด ไปเดินเล่นริมทะเลด้วยกันในทุกๆวัน
แต่ยังไม่ทันที่จะได้แต่งงาน เธอกลับมีอาการข้างเคียง จากยาที่เธอได้รับตอนอยู่ในไอซียูครับ
เธอเริ่ม "นิ่ง" ลงแบบไม่รู้สาเหตุ ท้ายที่สุดก็ไม่พูดอะไรอีกเลย และที่เจ็บปวดที่สุดคือเธอจำอะไรไม่ได้ครับ
เราพาเธอกลับไปรักษาอีกครั้ง คราวนี้เป็นการรักษาอาการทางสมอง และแม้จะถึงขั้นกระตุ้นด้วยไฟฟ้าก็ตาม แต่เธอก็ไม่ได้มีอาการที่ดีขึ้นบ้างเลยแม้แต่น้อย
เธอไม่ชอบผู้คนเยอะๆ เพราะจะตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา เธอยอมให้คุณแม่เข้าใกล้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น และจำผม..ผู้ซึ่งเป็นคนที่เธอตั้งใจจะร่วมชีวิตด้วยกันไม่ได้
มันเหมือนหนัง หรือนิยายครับ...
ผมเองอ่านหนังสือมาก็มาก ดูหนังมาก็เยอะพอสมควร คิดแต่ว่ามันมีแต่เพียงในหนัง ในหนังสือ ไม่นึกว่ามันจะมีจริงๆ และไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
หลังๆผมร้องให้น้อยลง เพราะปรับตัวกับความทุกข์นั้นได้ และมีกำลังใจทั้งจากครอบครัวเธอ เพื่อนของเธอ และเพื่อนๆของผมในห้อง Bp
ทั้งเธอและผมเล่นในห้องนั้นครับ เพื่อนๆใน Bp พอรู้ข่าวก็หยิบยื่นกำลังใจให้ผมมากมาย
คอรบครัวของเธอก็ดีมาก เพราะพวกเขาบอกกับผมว่า หากผมจะถอยหลังและกลับไปใช้ชีวิตของตนเอง พวกเขาก็ยินดีโดยที่จะไม่โกรธอะไรผมเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาเข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้มัน "หนัก" สำหรับคนๆหนึ่งที่จะแบก
แต่ผมปฏิเสธ และยืนยันว่าจะใช้ชีวิตกับเธอเท่านั้น
ปัจจุบันเราเปลี่ยนหมอ และเปลี่ยนบรรยากาศให้เธอครับ เราส่งเธอไปรักษาที่ฮ่องกงโดยที่คุณแม่เธอตามไปอยู่ด้วย คุณแม่เธอให้ความกรุณาเราด้วยการรับผิดชอบค่ารักษาทั้งหมด
ผมเองไม่ได้มีโอกาสตามไปดูแล เพราะอยากเก็บเงินออมเอาไว้ เพื่อที่จะได้ไม่ลำบากในการใช้ชีวิตต่อไปกับเธอในวันหน้า เพราะเราทั้งคู่คงไม่ทำงานอะไรกันเป็นเรื่องเป็นราวอีกแล้ว
เธอเริ่มดีขึ้นตามสมควรครับ เพราะได้รับการรักษาจากทั้งหมอสมัยใหม่ และได้รับการดูแลทางจิตจากนักบวชจีนที่นั่น
เพียงแต่เธอยังไม่ยอมพูดอะไร และไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้นอกจากคุณแม่เท่านั้น
หมอได้ทำการทดสอบเธอล่าสุด และได้ผลเป็นที่น่าพอใจสำหรับเราครับ
หมอเอากาแฟมาให้เธอเลือกดื่ม ไปซื้อมาจากสตาร์บั๊คนั่นแหละ ซื้อมา 2 แบบ ทั้งแบบใส่นมและไม่ใส่นม คนรักของผมไม่ทานกาแฟใส่นมเพราะมันทำให้เธอท้องเสีย
พอหมอเอามาให้ดื่ม เธอปัดอันที่ใส่นมออกไป และเลือกหยิบอันที่เป็นกาแฟดำ
เราทดลองในเรื่องของอาหารอีกหลายๆอย่าง เพราะเธอมีอาหารที่กิน และไม่กินมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งรายละเอียดพวกนี้เรารู้ดีแน่ๆว่าหากเอาของที่เธอไม่ทานมาให้ อย่างไรเสียเธอก็จะไม่ยอมกินโดยเด็ดขาดครับ
ซึ่งเธอก็ทำแบบนั้นกับอาหารที่เธอไม่กิน (ตอนที่ยังไม่ป่วย) เธอเอามือปัดออก แต่พอเป็นอาหารที่เธอกินอยู่ปกติเธอจะยอมกิน
ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหมาเห่า เธอจะมองหาต้นเสียงนั้นทันที เพราะเธอมีหมา St. bernard ที่เธอรักมากอยู่ตัวหนึ่ง
ทุกครั้งที่ได้นั่งดูทะเลที่นั่น เธอจะสงบและนิ่งอย่างมีความสุข
มีอยู่วันหนึ่งหมอเห็นเธอนั่งทำมือยุกยิก เหมือนกำลังเขียนอะไรลงบนชุดที่เธอใส่อยู่ หมอเลยเอาดินสอและกระดาษยื่นให้เธอ ปรากฏว่าเธอวาดรูปทะเลและดวงอาทิตย์ครับ
พอผมรู้เรื่องนี้หลังจากที่คุณแม่เธอส่งข่าวมาบอก ผมร้องให้ด้วยความดีใจ เพราะผมมั่นใจว่ารูปที่เธอวาดนั้น คือรูปเมืองชายทะเลเล็กๆซักแห่ง ที่เราอยากไปใช้ชีวิตด้วยกัน
ไม่ว่าจะยื่นกระดาษให้กี่แผ่น เธอก็วาดซ้ำๆรูปเดิมๆแบบนั้นครับ
คุณหมอได้เอารูปทุกคนที่เธอรัก มาทำเป็น slide เพื่อให้เธอดูทุกๆวัน ในช่วงแรกๆเธอก็ดูไปแบบนิ่งๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
แต่หลังๆพอดุ slide เธอจะมีอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนคนที่กำลัง "คิดตาม" รูปที่เห็นว่าเธอน่าจะเคยรู้จักคนเหล่านั้น พอเธอพยายามคิดตามากๆเข้าเธอจะมีอาการปวดหัวและร้องให้ออกมาครับ
หมอเลยขอลดขั้นตอนนี้ลงไม่ให้มากจนเกินไป เพราะกลัวระบบสมองของเธอจะทำงานหนัก จนกลายเป็นว่ามีนอาจ format ใหม่อีกครั้ง
แต่แค่นี้ผมก็ดีใจมากแล้วครับ จากที่คิดว่าจะเสียเธอไปแล้ว ผมได้เธอคืนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่เธอโชคไม่ดีที่มีอาการทางสมองแทรกเข้ามา
ผมยังคงรอวันที่เธอหาย เพื่อที่จะได้ไปใช้ชีวิตตามความฝันของเรา เพราะไม่ว่าจะอย่างไร...ไม่ว่าจะนานแค่ไหน แต่ความฝันของเรามันไม่เคยตายไปจากใจ
ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไร..ผมรักเธอครับ
จากคุณ |
:
ตุ้ม แม็คคาร์ทนี่ย์ (Toom McCartney)
|
เขียนเมื่อ |
:
11 พ.ค. 53 21:13:34
|
|
|
|
|