Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ฝันอยากเข้าวงการบันเทิง ... ผมควรใช้เวลานี้เสี่ยงดวงไหมครับ ก่อนจะสายไป ?  

ผมโพสถามในห้องอื่นๆ เรื่องเกี่ยวกับผมบางมาก่อนหน้านี้แล้ว ไหนๆก็ไหนๆ ผมเลยมาโพสถามในห้องนี้ด้วยเลยแล้วกันนะครับ

ก่อนอื่นผมยืนยันก่อนนะครับ ว่ารักในอาชีพนี้จากใจจริงครับ และ พร้อมจะทำในอาชีพนี้อย่างสุดความสามารถ ไม่คิดจะทำเล่นๆเหมือนคนอื่นทั่วๆไปแน่นอน (อย่างน้อยผมเชื่อว่า ผมมีความตั้งใจที่จะทำในอาชีพนี้มากกว่าเด็กคนอื่นทั่วๆไปอย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าวัดจากตรงไหนเหมือนกัน แสดงให้เห็นไม่ได้ แต่ยืนยันว่า มากล้นแน่นอนครับ ในตอนนี้)

แต่ทีนี้แม้ผมจะแก่เกินแกงไปหน่อยที่จะพยายามดิ้นรนเข้าสู่วงการมายา (ดิ้นรนเข้าตอนอายุ 20 ) คงสงสัยว่า ทำไมผมถึงไม่ดิ้นรนเข้าสู่วงการตั้งแต่อายุน้อยๆกว่านี้ใช่ไหมครับ ? เพราะผมมีเหตุผลครับ ...

อย่างแรกเลยคือ ผมอยากเข้าวงการมากๆๆๆๆๆๆ ตั้งแต่ยังเด็ก (ถ้าจำความได้ตั้งแต่ ป.5) แต่ด้วยทางครอบครัวอยู่ต่างจังหวัด แล้วก็ชนบทมากกกกก ห่างไกลจาก กรุงเทพฯ ประมาณพันกิโลได้ แล้วสมัยนั้นสื่อต่างๆก็ยังไม่เท่านี้ด้วย ความหวังที่จะเข้าวงการริบหรี่เต็มทน

สมัยนั้นไปผมไปเกาะเวทีตามงานวัด ยืนดูเค้าร้องเพลงอยู่บนเวที ใจเราก็อยากไปอยู่บนนั้นใจจะขาด เห็นเด็กคนอื่นร้องเพลงโชว์บนเวที ผมก็อยากขึ้นไปอยู่บนนั้นบ้าง แต่เคราะห์ร้าย ครอบครัวผม ไม่ชอบอาชีพแบบนี้มากๆๆๆๆๆๆๆ เพราะด้วยครอบครัวผมมีอาชีพรับราชการ เค้าไม่เห็นด้วยกับการที่ผมจะไปเอาดีทางด้านนี้ ตอนนั้นเวลาไปงานวัดทีไร กลับมาบ้านก็ได้แต่ไปเล่นหน้าเล่นตาอยู่หน้ากระจกในส้วม ไปร้องเพลงในส้วม (ไม่ให้พ่อกับแม่เห็น เพราะเดี๋ยวโดนด่า) พอเค้าสองคนออกไป ผมถึงจะเปิดวิทยุให้ดังงงง ที่สุด แล้วก็ร้องเพลงไป เต้นไป 555

ครั้นพอมีงานโรงเรียน ผมก็มักจะโดนอาจารย์เรียกให้ไปทำกิจกรรมต่างๆ ผมก็จะแอบไปทำทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการแสดง เชียร์ลีดเดอร์ ถือพานไหว้ครู ถือป้ายโรงเรียน ฯลฯ เรียกว่าอะไรที่เป็นกิจกรรมด้านเอนเตอร์เทน ผมจะทำหมด เพราะส่วนตัวชอบมากๆๆๆๆๆๆ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องแอบทำ ไม่งั้นโดนพ่อกับแม่ด่า

เคยมีครั้งนึง ตอน ป.ห้า ผมแอบได้บทตัวเอกของการแสดงโรงเรียน ตกเย็นมาผมแอบไปซ้อมทุกวัน แล้วมีความสุขกับการซ้อมมากกกก ได้ท่องบท ได้อินไปกับมัน เรียกว่า แฮปปี้ที่สุด แต่แล้วความแตก เพราะพ่อผมมาเห็นผมซ้อมการแสดงพอดี ด้วยการที่พ่อผมแอนตี้ด้านนี้มาก ผมก็โดนตีกระหน่ำเลยครับ (อาจารย์ถึงขั้นต้องเข้ามาห้าม) หลังจากนั้นมา พ่อผมเค้าก็ออกกฎเลยว่า ห้ามทำกิจกรรมใดๆทั้งนั้น คือ เค้าไม่ชอบจริงๆนั่นแหละ เพราะส่วนตัวเค้าอยากให้เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือ เรียนๆๆๆๆ อย่างเดียว

ดังนั้น พอขึ้น มัธยมต้น ผมก็ตั้งใจเรียนอย่างเดียวสามปีรวด ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมใดๆทั้งสิ้น เรียกว่า เป็นเด็กเรียนเต็มตัว

พอขึ้น มัธยมปลาย ผมก็เลือกเรียนสายวิทย์ ทำให้ไม่มีเวลาว่างพอจะไปรับกิจกรรมใดๆได้เลย (แต่ก็มีแอบไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ตอนม.ห้า แต่ก็โดนที่บ้านจับได้อีก ทีนี้เค้าสั่งห้ามกลับบ้านเกิน หกโมงเย็น ผมก็เลยอดทุกอย่าง ทั้งๆที่ในตอนนั้นเรียกว่า เป็นจุดพีคของรูปร่างหน้าตาผมแล้วล่ะ เคยไปออดิชั่นเวทีหนึ่งมา พอเค้าเรียกไปขึ้นเวทีจริงๆ ผมอยากไปใจจะขาด อยากขึ้นไปอยู่บนนั้นมากกกกกก ด้วยความที่ต้องมีผู้ปกครองยินยอม ผมจำใจต้องบอกทางบ้าน แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เค้าบอกว่า ถ้าไปจะไม่คุยด้วยเลย แล้วก็ไม่ต้องเข้าบ้านอีก ตอนนั้นในใจผมอยากหนีออกจากบ้านใจจะขาด อยากไปตามทางของเรา อยากไปทำในสิ่งที่เราอยากจะทำจริงๆ แต่ผมก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน เงินก็ไม่มีด้วย ก็เลยจำใจต้องตัดสินใจ เลือกทางที่ครอบครัวสนับสนุน)

พอเข้า มหาวิทยาลัยได้ ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว โดยผมก็ตกลงกับครอบครัวว่า หลังจากเรียนจบ ผมขอทำสิ่งที่ผมอยากจะทำ (ซึ่งนั่นก็คือ เข้าวงการบันเทิงให้ได้ ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าอายุงานมันสั้น ถ้าจะเข้าก็ควรเข้าตั้งแต่ 15 -16 แต่ก็ทำไงได้ล่ะครับ ครอบครัวผมแอนตี้จริงๆ) แล้วตอนเข้ามหาลัย ผมตั้งใจเรียนอย่างเดียว เพราะเรียนหนักมากกก ไม่ได้ดูแลตัวเองด้วย พอมาส่องกระจกอีกที จากที่หน้าใส ก็ร่วงโรยตามวัย ผมที่เคยแลดูดกดำ ก็เริ่มส่อแววบาง หัวเถิกจากพันธุกรรม รูปร่างที่เคยเพรียวบาง ก็ดูล่ำขึ้นกว่าเดิม

ถ้าจะให้เล่าเดี๋ยวยาวกว่านี้อีกครับ .... เอาเป็นว่า ตอนนี้ผมจบ ป.ตรี เรียบร้อยแล้วล่ะครับ ผมก็พอมีสิทธิมีปากมีเสียงกับทางบ้านได้ พอเรียนจบตอน ก.พ. ปุ๊บ ผมบอกทางบ้านว่า ผมขอเข้า กทม ผมจะไปตามหาฝัน (เหมือนไปตายเอาดาบหน้าน่ะแหละ) ใจผมชอบของผมจริงๆ แต่ด้วยความถดถอยของสภาพร่างกาย (ถ้าเทียบกับตอน ม.ปลาย ถือว่า ความใสถดถอยลงไปเยอะ โดยเฉพาะเส้นผม ที่หายไปเยอะมากกกก อาจจะเพราะความเครียดกับ พันธุกรรมด้วย)

ก่อนเข้า กทม ผมไปเช่าพวก ดีวีดี เกี่ยวกับตามล่าหาความฝันนี่ล่ะครับ เช่าหนังมาดูหลายเรื่องมากกกกก (เรื่องที่หวังไว้มากๆคือ how to be แต่กลับทำให้ผมผิดหวังเสียนี่กระไร แต่ดันมีหนังเรื่องนึงที่ไม่คาดหวังว่าจะปลุกใจผมได้ขนาดนี้ เป็นหนังเรื่อง post grad ส่วนตัวชอบมากๆครับ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเป็นหนังญี่ปุ่น ผมอ่านไม่ออกว่าชื่อเรื่องอะไร แต่เป็นเรื่องที่เป็นเด็กวัยรุ่นมาใช้ชีวิตในโตเกียว ตามหาฝันเช่นกัน เงินก็ไม่มีเหมือนผมนี่ล่ะ ก็อาศัยรับจ็อบไปเรื่อยๆ ดิ้นรนในโตเกียว แต่จนแล้วจนรอดก็มีอันต้องกลับบ้านนอกไป ซึ่งผมไม่อยากให้ชีวิตผมเป็นเช่นนี้เลย -_-")

พอมากทม อย่างแรกที่ผมคิดไว้เลย ก็แน่นอน หนีไม่พ้นว่าจะเข้าวงการ ผมก็ไปถ่ายรูปส่งไปตาม บริษัทต่างๆ (เริ่มจากหาทางเวปไซต์ เนื่องจากผมยังไม่ชินกับเส้นทางในกทม แล้วก็ส่งเมล์ หรือไม่ก็ไปรษณีย์ไป รอการตอบรับกับทางบริษัทนั้นๆ)

พอได้รับโทรศัพท์ปุ๊บ ผมก็ได้เรียกตัวไปออดิชั่นที่นึง (ซึ่งบทที่ผมส่งไปเป็นบทตัวประกอบ แต่เค้าโทรกลับมาบอกว่าหน้าตาผมน่าจะเล่นได้หลายบุคลิก ไม่ทราบว่าสนใจทางด้านบทดีๆกว่านี้ไหม) แต่พอไปออดิชั่นจริงๆ ตอนถ่ายรูปเก็บไว้ ตอนโดนแสงแฟลชเยอะๆน่ะครับ มันจะเห็นความบางของเส้นผมชัดเจนเลยล่ะ อีกทั้ง วัยอย่างผม เค้าอยากให้ทำทรงที่เป็นแฟชั่นมากกว่านี้ จะมีบุคลิกที่ชัดเจนกว่า (เค้าว่านะ) สุดท้ายก็คือ ผมไม่ได้งานนั้นไป (เค้าไม่โทรมาเรียก)

ทีนี้ผมก็ไม่ย่อท้อครับ ทุกเย็นหลังจากเลิกงานประจำที่ทำอยู่ (ต้องหาเงินเลี้ยงปากท้องครับ เพราะที่บ้านไม่สนับสนุนด้านนี้อยู่แล้ว) ผมก็เดินเตร็ดเตร่ตามที่ต่างๆเพื่อดูประกาศว่า มีเวทีไหนเปิดรับบ้าง หรือไม่ก็ดูทีวีอยู่ที่ห้อง มีประกาศรับอะไรบ้าง ก็จะไปทันที ผมไม่ยอมให้เวลาผมเหลือน้อยไปกว่านี้อีกแล้ว

ถ้าให้พูดตรงนี้ ผมบอกตรงๆว่า ผมไม่มีประสบการณ์ทำงานที่เป็นวงการบันเทิงอย่างจริงจัง แต่ผมเชื่อว่า ผมมีความสามารถด้านการพูด การแสดง มากที่สุด ถ้าพวก ดีเจ วีเจ พิธีกร นักแสดง นี่ผมเชื่อมั่นว่าผมทำได้ดีแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่อย่างด้านดนตรี ด้านการเต้น ผมไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย เพราะที่บ้านเค้าไม่สนับสนุนจริงๆ เคยแอบเล่นกีต้าร์ก็ห้ามเล่น ร้องเพลงต่อหน้าก็โดนว่า (ต้องอาศัยร้องในส้วมคนเดียว ห้าห้า)

ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ผมมีความตั้งใจจริง แล้วผมสามารถทุ่มเทให้กับการฝึกฝนอย่างจริงจังได้ เพราะ ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ทั้งหมด ผมสาบานเลยว่า ผมเต็มที่กับความฝันอย่างแรงกล้า แล้วผมจะใช้เวลาทั้งหมดเนี่ยล่ะ ทุ่มให้กับมัน ไล่ตามมันไปจนสุดแรง เอามันจะเหนื่อย เอามันจนกว่าจะถึงที่สุด ถ้าไม่ถึงที่สุดผมไม่ยอมแพ้

ผมกล้ายืนยันว่า ผมเกิดมาเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ แต่ผมมีข้อจำกัดตรงที่ผมฝึกฝนในวัยเด็กไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่า ถ้าคนเราตั้งใจจริง มันต้องทำได้ซิ มันต้องทำได้ และผมจะทำให้ดู !!!


ปล. ยาวหน่อยนะครับ

ปล2 . ขอบคุณทุกคนมากๆครับที่มาตอบให้ มีคำแนะนำอย่างอื่นเพิ่มเติมได้ครับ


ปล.3 เมล์ผม music_is_everthing@hotmail.co.th

ถ้าใครมีฝันเหมือนกัน หรือ ติดต่อพูดคุยกัน เมล์มาคุยกันได้เลยครับ


ปล.4 ฟังดูเหมือนเพ้อเจ้อ ไร้สาระ (ที่บ้านเคยด่าไว้ว่า ไร้สาระ) แต่ทำไมไม่รู้เหมือนกันน่ะครับ มันเหมือนมีความสุขนะ ถ้าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ มันเหมือนกับว่าเราใช้เวลาผ่านไปเร็วมากๆกับสิ่งๆนั้น เรามีแรงอยากลุกมาทำทุกวัน แม้ผมจะรู้ว่าวงการมายา เบื้องหลังมันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมคิดหรอก แต่ทำไมไม่รู้เหมือนกันครับ ใจผมมันอยากทำตรงนี้เหลือเกิน อยากเป็นเหมือน พี่บี้ พี่ตูน ลุงเบิร์ด ลุงปัญญา ลุงไตรภพ ฯลฯ ผมอยากทำในสิ่งที่อยากทำอ่ะคับ แม้ใครจะว่าไร้สาระ ไม่ดูสารรูปตัวเองก็เถอะ (คือ ผมยอมรับนะครับ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แล้วผมก็ไม่ได้ดูแลตัวเองมาหลายปีเหมือนกัน ทุกอย่างมันก็ถดถอย แต่ผมไม่ยอมแพ้ครับ เกิดมาซักครั้งขอเหอะน่าาาา แม้ไม่หล่อเหมือนเก่า แต่อยากได้ฝันนั้นมาครองซักที ไม่งั้นนอนตายตาไม่หลับจริงๆครับ)

ปล.5 ขอความเห็นแบบตรงๆเลยนะครับ ตอบมาได้เลย ผมอยากฟังความเห็นตรงๆเลยครับ ไม่ต้องกั๊ก ไม่ต้องเห็นใจผม ตอบตรงๆได้เลยครับ ผมน้อมรับความเห็นทุกคน

จากคุณ : It is everything
เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 14:02:53 A:222.123.70.22 X: TicketID:272479




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com