Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กระทู้แนะนำการลดความอ้วน ไขมันส่วนเกินอย่างถูกวิธี  

หลังจากที่ตรึกตรองแล้วว่าจะโพสบทความนี้ดีหรือไม่ ด้วยเกรงว่าจะส่งผลกระทบกับเพื่อนๆบางคน(ไม่ต้องการสร้างศัตรู)

แล้ววันนี้ก็ตัดสินใจแล้วว่าควรจะโพส เพราะการลดความอ้วนมีมากมายหลายร้อยวิธี อยากจะให้เพื่อนๆอ่านแล้วคิด ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง...

การลดความอ้วนไม่ไช่เพียงแค่ว่า เราอ้วนเนื่องจากกินมาก ถ้าอยากผอมก็ต้องกินน้อยๆ มันเหมือนเป็นคำตอบของเด็กชั้นประถมในวิชาคณิตศาสตร์ แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นที่นิยมกันซะด้วย แต่ผลที่ตามมาล่ะ เป็นอย่างไร คิดถึงกันบ้างหรือเปล่า

มันก็จริง คนอ้วนทุกคน อยากผอมเร็วๆกันทั้งนั้น แต่ถ้าฉลาดคิดสักนิด ถึงผลที่ได้จากการเลือกลดอย่างถูกวิธี ก็จะทำให้คุณไม่ต้องพบกับคำว่าเสียเวลา และเสียใจ  ดังนั้นเราจึงควรเรียนรู้และทำความเข้าใจ กลไกในการทำงานของร่างกายก่อน ซึ่งมันสลับซับซ้อนมากกว่าที่เราคิดหลายร้อยเท่านัก...

วิธีการทานแคลอรี่ต่ำๆ ไม่ไช่ทฤษฎีใหม่ ไม่ไช่วิธีแปลก แต่ที่เราไม่ค่อยเห็นคนในคลับนี้ทำกัน ก็เพราะหลายๆคนที่เคยทำ ล้วนแล้วแต่โดนผลกระทบตามมากันเกือบทั้งนั้น  แต่หลังจากที่ลดน้ำหนักตัวลงได้ตามเป้า แทบจะไม่มีใครเลยที่ผอมได้อย่างถาวร หรือไม่พบกับปัญหาตามมา หลายคนไหวทัน ก็หันมาเริ่มต้นใหม่ ด้วยการทานแบบปรกติ น้ำหนักอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ฝึกเวท และทำคาร์ดิโอเพื่อเผาผลาญแคลอรี่นั้น(แล้วทำไมไม่ทำซะตั้งแต่ทีแรก ปล่อยให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปอย่างน่าเสียดาย) หลายคนถอดใจ ปล่อยเลยตามเลย เนื่องจากไม่ชอบการออกกำลังกาย...

ส่วนใหญ่ที่ลดๆกันแล้วเด้งกลับ มักจะไม่พ้นการลดแบบหักดิบ โดยลดปริมาณอาหารแบบครึ่งหนึ่งของที่เคยทาน, ทานต่ำกว่าค่าBMR มากถึง1000แคลอรี่, ทานแค่วันละ 2มื้อ, ทานโปรตีนเยอะๆไม่ทานข้าว, และอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ลดได้เร็วทั้งสิ้น แต่เพื่อนๆได้เรียนรู้กันก่อนปฏิบัติหรือเปล่าว่า น้ำหนักที่ลดลงนั้นเกิดขึ้นจากอะไร ไขมันลดลงหรือว่ากล้ามเนื้อขับน้ำออก แล้วผลที่จะตามมาล่ะ คิดถึงกันบ้างหรือเปล่า เช่นลดเร็วผิวหนังปรับตัวหดไม่ทัน, สุขภาพเสื่อมโทรม, ระบบการทำงานถูกปรับเปลี่ยน และอื่นๆอีกมากมาย ที่เราอาจคาดไม่ถึงเช่น การสูญเสียกล้ามเนื้อหัวใจ ...

ใครที่ลดได้เร็ว มักจะเป็นที่ชื่นชม เพราะมักจะ(แกล้ง)เข้าใจว่ามันคือวิธีที่ถูกต้อง แล้วก็ทำตามกันต่อๆไป...

หลังจากนั้น กลับมาอ้วนอีก อยากถามว่า จะมีสักกี่คน ที่กลับเข้ามาตั้งกระทู้ เปิดเผยกับเพื่อนๆว่าผลลัพภ์ที่ตามมาเป็นอย่างไร เท่าที่ยายหนูจำได้ เป็น10คนเลยทีเดียว ที่เริ่มต้นด้วยวิธีการผิดๆ และปัจจุบันเปลี่ยนมาฝึกเวท

หลังลดน้ำหนักได้ตามเป้าด้วยการทานแคลอรี่ต่ำกว่าค่าของBMR แล้วกลับมาทานตามปรกติเท่ากับค่าของBMR หรือมากกว่า300-500ประมาณแค่ข้าวราดแกงมื้อละจาน วันละ3มื้อ ยังทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ แถมกล้ามเนื้อยังลีบเล็ก ไขมันห้อยย้อย ถึงตอนนี้คงจะนึกถึงคำเตือน คำแนะนำกันล่ะ เพราะคุณจะต้องอยู่กับการลดความอ้วนไปตลอดชีวิต คือเด้งขึ้นเมื่อไรก็ต้องลดมันลงเมื่อนั้น คุณจะทำแบบนี้ไปจนตายเลยหรือ...

ตามหลักการ กลไกการทำงานของร่างกาย จะสามารถสลายไขมันได้ประมาณสัปดาห์ละ1ปอนด์ หรือไม่เกินครึ่งกิโล ซึ่งไขมันที่ลดลงไปนั้นมาจากการออกกำลังกาย ไม่ไช่มาจากการลดปริมาณอาหาร แล้วคนที่ลดปริมาณอาหารแล้วผอมลงสัปดาห์ละ 1กิโลหรือมากกว่านั้นล่ะ เกิดจากอะไร? ร่างกายขาดสารอาหารแล้วไปดึงเอาไขมันมาใช้อย่างนั้นหรือ? ถ้ามันง่ายขนาดนั้น คงไม่มีใครเปิดฟิตเนสซึ่งต้องลงทุนเป็นหลายสิบล้านหรอก...

รับเข้าให้น้อยกว่าเผาออก แต่ต้องเอาค่าของBMRเป็นพื้นฐาน คือต้องทานไม่ต่ำกว่าค่าของBMR เพราะค่าของBMR คือปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการ ถึงแม้ว่าวันนั้นๆเราจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม ร่างกายก็ยังต้องการพลังงานแคลอรี่ประมาณนี้เพื่อการทำงานของอวัยวะภายใน หรือใครต้องการลดเร็ว ก็ทานต่ำกว่าได้ไม่เกิน300(BMR-300)และไม่ควรทำนานติดต่อกันเกิน 8สัปดาห์

สำหรับคนที่อ้วนมากๆนั้น ถ้าใช้วิธีนี้ ซึ่งคือการหักดิบ ตัวอย่างเช่น น้ำหนัก130กิโล ค่าของBMRอยู่ที่ 2000 แล้วคุณหักดิบโดยลดปริมาณลงมาทานแค่ 1000 ท้องของคุณอาจจะอิ่มเนื่องมาจากการถ่วงด้วยอาหารที่ไม่มีแคลอรี่เช่นการทานบุก การชงไฟเบอร์ดื่ม การทานผัก ซึ่งทำให้ท้องอิ่มก็จริง แต่ร่างกายขาดสารอาหาร คุณคิดว่ามันคือวิธีที่ดีอย่างนั้นหรือ...

ถ้าคุณเข้มแข็งพอ เพื่อจะเอาชนะ  ร่างกายแสดงอาการเตือน แต่คุณยังมุมานะเพื่อเอาชนะ ดื้อดึงฝืนทำต่อไป แน่นอนจิตใจคุณชนะ แต่ร่างกายคุณจะทรุดโทรม สุดท้ายโรคกลัวอาหารก็จะตามมา

หรือถ้าคุณเข้มแข็งไม่พอ ปล่อยใจ ร่างกายถูกปลดปล่อยออกจากการถูกกดดัน ก็จะเป็นอิสระ เหมือนคุณปล่อยนักโทษ ที่ถูกอดอาหารมาเป็นเวลานานๆ ลองวาดภาพดูว่าอาการหิวโหยหาอาหารนั้นเป็นอย่างไร  วิธีนี้มันก็ไม่ต่างกันกับการใช้ยาลดความอ้วนเพื่อไม่ให้หิวนั่นเอง...

แล้ววิธีไหนที่ถูกต้องถาวร และดีต่อสุขภาพล่ะ?

คำตอบก็คือ ทานในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ สารอาหารครบถ้วน ไม่จำเป็นว่าจะต้อง100%เพราะไม่มีใครทำได้หรอก เพราะเราจะต้องทานแบบนี้ไปตลอดชีวิต แล้วลดไขมันส่วนเกินออก ด้วยการออกกำลังกาย เพราะเมื่อใดที่เราได้สัดส่วนเป็นที่น่าพอใจแล้ว เรายังสามารถทานได้ในปริมาณ ประมาณนี้ตลอดไป ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ออกกำลังกายเลยก็ตามน้ำหนักจะไม่มีเด้งขึ้นอย่างแน่นอน...

ลองเปรียบเทียบ 3วิธีนี้เล่นๆ

วิธีที่1 ทานต่ำกว่าค่าของ BMR น้ำหนักลดลงเร็วเดือนละ 4-5กิโลเป็นอย่างต่ำ บางคนทำคาร์ดิโอเข้าไปอีกลดได้เดือนละเกือบ 10กิโล แต่ร่างกายสูญเสียน้ำ มวลกล้ามเนื้อและไขมัน
 
วิธีที่2 ทานมากกว่าค่าของ BMR300-500 แล้วออกกำลังกายเพื่อรีดไขมันวันละ 60นาที หรือทำเช้า-เย็น วิธีนี้น้ำหนักอาจจะลดช้ากว่าวิธีแรกครึ่งหนึ่ง ร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อน้อย ไขมันลดได้มากกว่า และระบบการทำงานของร่างกายยังคงเป็นธรรมชาติ ไม่ถูกปรับเปลี่ยนเหมือนวิธีแรก แต่สัดส่วนและกล้ามเนื้อไม่ค่อยแน่น...

และวิธีสุดท้ายที่อยากจะแนะนำ เพราะมันคือวิธีที่ถูกต้องและดีที่สุดคือ เพิ่มการฝึกเวทแบบเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อเข้าไปในโปรแกรมลดความอ้วนด้วย

วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่อ้วนมากๆเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้ผิวหนังและกล้ามเนื้อกระชับ ผิวหนังจะค่อยๆปรับตัว ผอมแล้วไม่หย่อนคล้อย น้ำหนักอาจจะลดลงช้ามาก เพียงเดือนละ 1กิโล แต่สัดส่วนจะเล็กลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับการลดแบบวิธีแรก เพราะน้ำหนักที่หายไปนั้น มันคือไขมันล้วนๆ รูปร่างและสัดส่วนจะกระชับ เพียวบางลง ผอมแบบมีสุขภาพ ดีกว่าวิธีที่สอง ที่ทำคาร์ดิโอเพียงอย่างเดียว และถ้าทำมากเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อสลายได้อีก...

เมื่อคุณทราบอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องของคุณล่ะว่า จะเลือกวิธีใด ที่ยายหนูพล่ามมาซะยืดยาว ก็เพียงแค่ไม่อยากเห็นเพื่อนๆเริ่มต้นด้วยวิธีผิดๆ เราควรทำมันไปพร้อมๆกันกับการดูแลสุขภาพ ไม่ไช่ขอเพียงแต่ให้ลดน้ำหนักให้ได้ก่อน ถ้าคิดแบบนี้ คุณจะไม่มีวันหลุดพ้นไปจากเส้นทางของการลดความอ้วนได้เลย...


สมมุติ...
นายหนึ่ง น้ำหนักประมาณ 130กิโล ค่าของBMRอยู่ที่ประมาณ 2000 ทานวันละไม่เกิน1000+ออกกำลังกายเผาผลาญได้วันละ 400 ลดได้เดือนละ 5-6กิโล 6เดือน 30+กิโล
น้ำหนักลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 100กิโล ค่าของBMR ลดลงมาอยู่ที่1700 ยังคงทานเฉลี่ยอยู่ที่ 1000+ออกกำลังกาย น้ำหนักลดลงเดือนละ 3+กิโล 6เดือนประมาณ 20กิโล
น้ำหนักลดลงมาอยู่ที่ 80กิโล ค่าของBMR 1500 ทานเฉลี่ยอยู่ที่ 1000+ออกกำลังกาย น้ำหนักลดลงช้าแล้ว แต่ก็ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจจะเดือนละ 1-2กิโล 1ปี ลดได้ตามเป้าคือ 60กิโล
น้ำหนัก 60กิโล BMR 1200 ยังคงทานเฉลี่ยอยู่ที่ 1000+ออกกำลังกาย น้ำหนักในช่วงนี้ยังคงลดลงอาจจะต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 5กิโล เผื่อเอาไว้ตอนหยุดแล้วเด้งกลับ...
ถึงตอนนี้ น้ำหนักได้มาตรฐานคือ 55-60กิโล สัดส่วนเล็กลง จนใส่กางเกงไซส์ 12ได้...

หลักการนี้ ฟังดูแล้วดีมากๆ ง่ายๆ เหมือนการทำการบ้านบวกลบเลข แต่กลไกในการทำงานมันอาจจะไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะหลังจากที่ได้น้ำหนักตามที่ต้องการแล้ว สุขภาพโดยรวมจะเป็นอย่างไร ผิวหนังจะเป็นอย่างไร กล้ามเนื้อเหลือเท่าเก่าไหม ถ้ากล้ามเนื้อเหลือน้อย ระบบการเผาผลาญก็น้อยตามลงไปด้วย ถึงตอนนี้ค่าของBMR ตามเกณฑ์ของคนปรกติทั่วไป ก็จะนำมาใช้ไม่ได้ แล้วต่อจากนี้อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของคุณ...

ถ้าเพื่อนๆตอบว่า เราก็ต้องกลับมาฝึกเวท แล้วอาหารล่ะ ก็ต้องทานเพิ่มขึ้น น้ำหนักตอนนี้เด้งขึ้นแน่นอน เนื่องจากถูกกดไว้นาน แล้วจะต้องฝึกหนักและนานแค่ไหนเพื่อให้ได้กล้ามเนื้อเก่าที่สูญเสียไปนั้นกลับคืนมา...

อยากถามว่า ถ้าปั้นปลายของการลดความอ้วนด้วยวิธีข้างต้น จะต้องจบลงแบบนี้ เพื่อนๆจะเลือกลดด้วยวิธีนี้กันไหม...

ส่วนนายสองน้ำหนักเริ่มต้นเท่านายหนึ่ง ส่วนสูงเท่ากัน ลดปริมาณอาหารตามความเหมาะสม โดยต่ำกว่าที่เคยทานประมาณ10-15% ฝึกเวทเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ น้ำหนักลงลดมาอยู่ 80กิโล แต่ใส่กางเกงไซส์ 12(US)ได้เหมือนกัน...
เพื่อนๆคิดว่า สองคนนี้ เมื่อมองด้วยสายตาจากภายนอกแล้ว ใครจะดูดีกว่ากัน...

มาดูอนาคตของทั้งสองคน...
นายหนึ่ง สูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปแล้ว ค่าของBMR ก็ต่ำลง ดังนั้นปริมาณอาหารก็ต้องทานอยู่ที่1000-1200 เพราะถ้าทานเพิ่มเมื่อใด เด้งเมื่อนั้น
สุขภาพ แน่นอน กล้ามเนื้อสูญหาย ความแข็งแรงย่อมถดถอย จะเอาแรงที่ไหนมาพยุง หรือประคองตัวเองให้ยืนหรือเดินไกลๆได้ จะหิ้วจะถือของหนักๆก็ไม่ไหว แก่ตัวลงแทบไม่ต้องคิดเลยว่าจะเป็นอย่างไร...

ส่วนนายสอง ได้กล้ามเนื้อเพิ่มจากการฝึกเวท สุขภาพโดยรวมแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บย่อมเข้ามากล้ำกลายได้ยาก ทานอาหารได้มาก ถึงแม้ว่าจะมีงานเลี้ยงใหญ่ๆก็ตาม เพราะนายสองมีตัวช่วยเผาผลาญ นั่นคือกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นของเรานั่นเอง อนาคตก็ไม่ต้องง้อไม้เท้าคอยค้ำยันเหมือนนายหนึ่ง...

แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 53 02:51:17

จากคุณ : ยายหนูAK
เขียนเมื่อ : วันต่อต้านยาเสพติดโลก 53 02:49:45




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com