PANTIP.COM : L9457766 พรบ.คุ้มครองผู้เข้ารับบริการสธ. อ่านแล้วเป็นลม คุณหมอทุกท่านช่วยผมดูด้วยครับ{แตกประเด็นจาก L9437140} [คลินิกหมออาสา]

ความคิดเห็นที่ 3

ปัญหาแท้จริงส่วนหนึ่ง ทำไมถึงต้องมีการออกกฎหมายคุ้มครองผู้รับบริการทางการแพทย์????????
ในปัจจุบัน มีกฎหมาย กฎข้อบังคับ ระเบียบ หลายฉบับที่คุ้มครองผู้บริโภคและควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ทันตกรรมอยู่แล้ว หากผู้ใช้กฎหมาย ผู้มีหน้าที่ควบคุมการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ ได้ทำหน้าที่ควบคุมและคุ้มครองประชาชนผู้บริโภคทางการแพทย์อย่างตรงไปตรงมา ดังเช่นแต่ก่อน
และเมื่อก่อนปีพ.ศ. 2542 ปัญหาการฟ้องร้องแพทย์ จะไม่มีปัญหามากเช่นนี้ ประกอบกับสภาวะและระบบการแพทย์พาณิชย์ ในระบบการแพทย์เอกชนมีมากขึ้น การประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และการให้บริการทางการแพทย์ ได้ถูกพัฒนาไปในเชิงพาณิชย์มากขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด โดยมีสถานพยาบาลเอกชน และระบบการบริการด้านเอกชนเกิดขึ้นอย่างมากมาย กลายเป็นธุรกิจทางการแพทย์ไปโดยปริยาย และเนื่องจากการลงทุนด้านธุรกิจทางการแพทย์มีการลงทุนและมีการแข่งขันกันสูง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ การคิดค่าบริการ ค่าใช้จ่ายจึงสูงตามไปด้วย ในขณะที่ผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์มีจำนวนจำกัด ก็เกิดการหมุนเวียนระหว่างแพทย์ รัฐ มายังภาคเอกชน
เมื่อผู้รับบริการที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ก็เกิดความคาดหวังสูง เพราะตนเองจ่ายสูงย่อมได้รับการรักษาและการบริการที่สูงตามไปด้วย และเมื่อเกิดความผิดพลาดหรือผิดจากความคาดหวังของผู้ป่วยที่รับการรักษาจากสถานพยาบาลเอกชนที่ค่าใช้จ่ายสูง จึงเป็นเหตุหนึ่งที่เกิดการฟ้องร้องตามมาด้วย
ในระยะต่อมา เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย2540 ได้บัญญัติสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ หลังจาก ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ของ นพ.สงวน นิตยารัมพงศ์ และรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ปี 2545 ทำให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงการรับบริการสาธารณสุขมากขึ้น ประชาชนรับรู้ถึงสิทธิของผู้ป่วยจากคำประกาศสิทธิผู้ป่วย ปี 2540 มากขึ้น ทำให้มีเรื่องที่แพทย์ถูกตรวจสอบการประกอบวิชาชีพ ไปยังสภาวิชาชีพที่เรียกว่า “แพทยสภา” มากขึ้น
ก่อนปี 2544 องค์กรที่เรียกว่า “แพทยสภา” ที่มีหน้าที่ควบคุมการประกอบวิชาชีพแพทย์ รับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาความผิดด้ายจริยธรรมแพทย์ ไม่ค่อยได้รับความสนใจจาก แพทย์ด้วยกันเท่าใดนัก แพทย์มักจะสนใจ แพทยสมาคม มากกว่า เพราะ แพทยสมาคม เป็นองค์กรเอกชน 100% ที่ คุ้มครองสมาชิก และ เอื้อประโยชน์แก่สมาชิกตามกฎหมายจัดตั้งสมาคม
ดังนั้น เมื่อมีการเลือกตั้งกรรมการแพทยสภา มักจะมีแต่ แพทย์ที่เป็นข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข มาสมัครเป็นกรรมการแพทยสภาเสียเป็นส่วนมาก แพทย์เอกชนมีน้อย ผู้ที่เป็นนายกแพทยสภา สมัยก่อนก็มักจะเป็นข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข ความใส่ใจของแพทย์เอกชนต่อองค์กรวิชาชีพแพทยสภามีไม่มาก
แต่ต่อมาเนื่องจากวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจ และสังคม ที่เกิดแพทย์ทางพาณิชย์และธุรกิจทางการแพทย์มากขึ้น เริ่มมีการร้องเรียนมาทางแพทยสภามากขึ้น มีการลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์มากขึ้น เรื่องดังๆ ตั้งแต่การซื้อขายไต ของแพทย์โรงพยาบาลวชิรปราการ จนแพทย์ที่ถูกฟ้องร้องถูกแพทยสภา เพิกถอนใบอนุญาต หลังจากนั้น แพทยสภา อยู่ในสายตาทั้งประชาชนและในสายตาของสมาชิกแพทยสภาตลอดมา
แพทยสมาคม กับแพทยสภา แตกต่างกัน โดยกฎหมาย และอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย แพทยสมาคม เป็นองค์กรเอกชนโดยแท้ จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มีสมาชิกสมาคมที่ชำระค่าสมาชิกเป็นค่าใช้จ่ายสมาคม และกฎหมายให้สมาคม ปกป้องพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของสมาชิก แต่สมาคม ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ไม่มีอำนาจควบคุมการประกอบวิชาชีพ ไม่มีอำนาจออกกฎหมายได้เอง ซึ่ง แพทยสภา เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติ และเป็นหน่วยงานของรัฐตามกฎหมาย แต่ไม่ใช่ส่วนราชการ เป็นองค์กรอิสระที่ไม่อยู่ในกำกับของกระทรวงสาธารณสุข ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ที่สำคัญมีหน้าที่ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม และมีอำนาจควบคุมการประกอบวิชาชีพเวชกรรม มีอำนาจลงโทษ ตั้งแต่ ตักเตือน ภาคฑัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาต ไม่เกิน 2 ปี และมีอำนาจเพิกถอนใบอนุญาตแพทย์ ที่สำคัญมากๆๆๆคือมีอำนาจออกข้อบังคับ อันมีลักษณะเป็นการออกกฎหมายได้เอง
จากบทบาทดังกล่าวของแพทยสภา ที่มีอำนาจหน้าที่ทางกฎหมายต่อแพทย์ทั้งปวง เหนือกว่าแพทยสมาคม หลังปี 2543 จึงเป็นที่สนใจของ วงการแพทย์เอกชนเป็นอย่างมาก จนการรับสมัครเลือกตั้งกรรมการแพทยสภา ระยะหลัง มีแพทย์ที่เป็นแพทย์เอกชน ที่เป็นตัวแทนจากสมาคมโรงพยาบาลเอกชน แห่เข้ามาสมัครเป็นกรรมการแพทยสภา อย่างมากมาย ทำให้การเลือกตั้งกรรมการแพทยสภา ระยะหลังปี 2543 คึกคักเป็นอย่างมาก
พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 บัญญัติไว้ให้กรรมการแพทยสภามาจากการเลือกตั้งครึ่งหนึ่ง มาจากการแต่งตั้งครึ่งหนึ่ง ส่วนที่มาจากการเลือกตั้งก็มาจาก สมาชิกแพทยสภาที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส่วนผู้ที่เป็นผู้ลงคะแนนเลือกแพทย์เข้ามาเป็นกรรมการแพทยสภาประเภทเลือกตั้งก็คือ แพทย์ด้วยกันเองนั่นแหละ ทีนี้การหาเสียงเพื่อให้สมาชิกแพทยสภาที่เป็นแพทย์ลงคะแนนให้ ก็จะเน้นถึงว่า หากเข้ามาเป็นกรรมการแพทยสภาแล้วจะทำประโยชน์อะไรให้แก่สมาชิกบ้าง........ สมาชิกที่จะลงคะแนนเลือกแพทย์ที่จะเข้ามาเป็นกรรมการแพทย์สภาก็จะพิจารณาว่า จะเลือกคนที่จะเข้ามาทำประโยชน์แก่แพทย์ได้อย่างไร และคงไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งคนไหน ที่จะหาเสียงว่า จะเข้ามาเพื่อควบคุมการประกอบวิชาชีพแพทย์ คุ้มครองประชาชน.....ถ้าหาเสียงแบบนี้คงไม่มีใครลงคะแนนให้ ก็คงเข้าใจนะครับว่า การจะได้รับเลือกเข้ามา จะต้องหาเสียงเพื่อเข้ามาทำประโยชน์ให้ใคร??????? ละไว้ในฐานที่เข้าใจ....
การวางแผนก้าวเข้ามามีบทบาทของกลุ่มแพทย์เอกชนหลายกลุ่ม ต่อแพทยสภา ต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน อย่างหนึ่ง คือ ปกป้องคุ้มครองสมาชิกที่เป็นแพทย์ และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายรวมไปถึงการออกกฎหมายที่เอื้ออำนวยต่อการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ ดังเช่น การแก้ไขข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม การออกข้อเท็จจริงทางการแพทย์มาประกบกับ คำประกาศสิทธิผู้ป่วย เป็นต้น
บทบาทของสภาวิชาชีพที่มีหน้าที่ ควบคุมการประกอบวิชาชีพและคุ้มครองผู้บริโภคทางการแพทย์เริ่มเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าที่ที่สำคัญคือหน้าที่ในการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ของแพทยสภา ที่จะต้องพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนวินัย จริยธรรมแพทย์ ที่ผลของการร้องเรียน ถูกคณะอนุกรรมการจริยธรรม และคณะกรรมการแพทยสภา วินิจฉัยว่า “ไม่มีมูล” เป็นจำนวนมากหลายคดี เท่ากับเป็นการ”ตัดตอน” การลงโทษแพทย์ ตั้งแต่การพิจารณาเรื่องร้องเรียนในชั้นแรก
เป็นไปได้ไหม ที่มีการวางแผนให้มีการ ปกป้องแพทย์ด้วยกัน โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย??????
คงต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงต่อไป ผมคงไม่วินิจฉัยในที่นี้ ขอท่านพิจารณาตามข้อเท็จจริง พฤติการณ์ เอาเองครับ
เมื่อเรื่องร้องเรียนถูกยื่นมาที่เลขาธิการแพทยสภา เลขาธิการแพทยสภามีหน้าที่ส่งเรื่องให้อนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งตามอำนาจหน้าที่ทางกฎหมายแล้ว คณะอนุกรรมการจริยธรรม จะทำหน้าที่ไต่สวนมูลฟ้องเบื้องต้น ว่า เรื่องที่ร้องเรียนมานี้ อยู่ในสิทธิการกล่าวหา กล่าวโทษหรือไม่ ภาษาชาวบ้านเขาว่า อยู่ในอายุความหรือไม่ เรื่องที่ร้องเรียนมานี้ เป็นเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพของแพทย์หรือไม่ คือบางครั้งเรื่องที่ร้องเรียนมา เป็นการร้องเรียนตัวแพทย์ก็จริง แต่เป็นความผิดที่ไม่เกี่ยวกับวิชาชีพแพทย์ เช่นแพทย์ขับรถเฉี่ยวชนกับผู้ร้องเรียน อันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แพทยสภาจะรับพิจารณาได้ เพราะแพทยสภาจะรับพิจารณาเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพแพทย์และความประพฤติของแพทย์เท่านั้น โดยคณะอนุกรรมการจริยธรรมจะทำการแสวงหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นดังกล่าว โดยไม่มีหน้าที่สืบสวน สอบสวนในเรื่องลึกลงไปถึงขนาดว่า การประกอบวิชาชีพตามที่ร้องเรียน ได้มาตรฐานแล้วหรือไม่
เมื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นได้แล้ว ก็จะพิจารณาทำความเห็นไปยังคณะกรรมการแพทยสภา ให้ความเห็นว่า เรื่องที่ร้องเรียนมานี้ มีมูลหรือไม่มีมูลแก่การสอบสวนต่อไป ถ้ากรรมการแพทยสภาเห็นว่ามีมูลแห่งความผิด ก็จะส่งเรื่องไปให้คณะอนุกรรมการสอบสวนดำเนินการสอบสวน สืบสวนในเชิงลึก มีการเรียกพยานหลักฐานต่างๆทั้งสองฝ่าย มีการแจ้งข้อกล่าวหา แจ้งข้อกล่าวโทษ ให้ฝ่ายที่ถูกร้องเรียนได้แก้ข้อกล่าวหา ให้ฝ่ายที่ร้องเรียนได้มีโอกาสโต้แย้ง การแก้ข้อกล่าวหา พร้อมมีโอกาสนำพยานหลักฐานเข้าแสดงต่อคณะอนุกรรมการสอบสวน เพื่อทำความจริงให้ปรากฎต่อไป
ปัญหาหลายๆประการ อาจเกิดขึ้นตั้งแต่ส่งเรื่องไปให้คณะอนุกรรมการจริยธรรมหรือไม่??????????
เพราะเท่าที่ผ่านมา แทนที่คณะอนุกรรมการจริยธรรมบางคณะ จะพิจารณาแสวงหาข้อเท็จจริงเบื้องต้น แต่ได้ดำเนินการไปพิจารณาเรื่องมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยพิจารณาจากบันทึกการรักษา คำให้การของผู้ถูกร้องเรียน คำร้องเรียน และทำความเห็นว่าเป็นคดีไม่มีมูล ให้ยกข้อกล่าวหา เสียในชั้นนี้เลย โดยที่ยังไม่มีการสอบสวน สืบสวน ไต่สวนพยานหลักฐาน พยานบุคคล ในเชิงลึก ไม่มีการเปิดโอกาสให้ผู้ร้องเรียนได้ชี้แจงแสดงพยานหลักฐาน ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ร้องเรียนโต้แย้งข้อเท็จจริง ทั้งอนุกรรมการจริยธรรม ไม่มีหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาหรือแจ้งข้อกล่าวโทษต่อผู้ร้องเรียน กระบวนการพิจารณาความผิด ยังไม่ใช่หน้าที่อนุกรรมการจริยธรรมด้วยซ้ำ และหากคณะกรรมการแพทยสภาก็มีความเห็นว่าเป็นคดีไม่มีมูล เรื่องจึงยุติเพียงชั้นนี้ ไม่ถูกส่งเรื่องไปยังคณะอนุกรรมการสอบสวน เรื่องร้องเรียนจึงถูกตัดตอนและยุติลงในชั้นนี้ ประชาชนหลายคนกังขาในบทบาทของแพทยสภาและคณะอนุกรรมการจริยธรรมฯ ว่าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการจริยธรรม มีหน้าที่ไต่สวนมูลฟ้องหรือหน้าที่พิจารณาเรื่องมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์????
แน่นอนว่า ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 และข้อบังคับแพทยสภาฯ ให้อำนาจกระทำได้
แต่แพทยสภาได้ใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อใคร???????????????????????????????????????????
ประชาชนหลายคน มีความผิดหวังในการใช้อำนาจและการทำหน้าที่ บทบาทการคุ้มครอง ควบคุมการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทยสภา ที่รู้สึกว่า จริงใจที่จะคุ้มครองประโยชน์ด้านการรับบริการของผู้ป่วยต่ออย่างจริงจังหรือไม่???? ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีเรื่องร้องเรียน หรือมีกรณี แพทย์อาจถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด หรือเกิดความเสียหายแก่ผู้รับบริการ แพทยสภาจะออกหน้า แก้ตัว แก้ต่าง ชี้แจง แทนแพทย์เสมอมา เปรียบเสมือนทำให้คิดไป ว่าแพทยสภา กำลังปกป้องคุ้มครอง แพทย์ด้วยกัน มากกว่าคุ้มครองประชาชน ตามเจตนารมณ์ของการให้มีแพทยสภาหรือไม่??????
เมื่อกฎหมายที่มีอยู่ องค์กรควบคุมการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ที่มีอยู่ ไม่ได้ใช้อำนาจตามกฎหมายปกป้องคุ้มครองผู้รับบริการทางการแพทย์ ไม่ได้ปกป้องคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์เท่าที่ควร ประชาชนจึงจำเป็นต้องเรียกร้องให้องค์กรอื่น หรือเรียกร้องให้รัฐ ออกกฎหมายคุ้มครองผู้รับบริการทางการแพทย์แทนองค์กรทางการแพทย์ที่มีอยู่เดิม เพราะเหตุที่กฎหมายที่มีอยู่เดิม หน่วยงานที่มีอยู่เดิม ไม่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลในการรักษามาตรฐานการให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนอย่างแท้จริง
แก้ไขเมื่อ 11 ก.ค. 53 13:16:50

จากคุณ : กอบพงษ์

เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 53 11:28:31