ลองเล่าดูแล้วกัน
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเครียดนะ ไม่รู้ว่าคำว่าเครียดกับการใช้ความคิดเยอะๆมันเหมือนกันหรือเปล่าแต่ไอ้ที่จะพูดถึงนี้มันที่สุดในชีวิตแล้ว
เมื่อ3ปีที่แล้วตอนนั้นผมทำโปรเจคของตัวเองชิ้นนึง เป็นงานใหญ่โตมากๆ เรียกได้ว่าระดับเซ้าอีสเอเซียเลย ร่วมงานกับพี่ๆมีชื่อเสียงระดับประเทศ 2 คนบอกนามสกุลไปอ๋อทั้งเมือง ระหว่างกำลังทำงานหน้าตั้งอยู่ตอนนี้ พ่อไม่ค่อยสบายแม่พาไปหาหมอ ปรากฎพ่อผมเป็นมะเร็งตับขั้นสุดท้าย ได้ยินแล้วรู้สึกแย่มากๆ ที่บ้านถึงจะไม่ได้ร่ำรวยขนาดมีหมอประจำบ้าน แต่ก็มีที่ปรึกษาด้านสุขภาพไปหาไปตรวจสุขภาพทุกเดือนครั้งนึงแพงเท่าไหร่ไม่เคยบ่น แต่ทำไมหมอตรวจไม่เจอก่อนหน้านี้ทั้งๆที่พึ่งเช็คไปได้แค่ 6-7 เดือน รู้สึกเสียใจปนกับโกรธอยู่พักนึง เริ่มรู้สึกแล้วว่าต้องมีสติ
ผมทำแต่งานของตัวเองไม่เคยทำงานของที่บ้านเลย ด้วยความเป็นลูกชายคนโตเลยคิดๆว่าจะเอายังไง ตอนนั้นคิดว่าจะให้คุณอาน้องชายพ่อ ช่วงนั้นรับตำแหน่งนักการเมืองท้องถิ่นอยู่ต่างจังหวัด เลยคิดว่าจะให้มาช่วยงานพ่อหน่อย คิดได้วันนั้นก็โทรไปหาอาเลย เล่าเรื่องให้ฟังเค้าก็ตกลงๆ จะมาช่วย แต่หลังจากนั้นไม่นาน อาผมชิงตายไปก่อนพ่อเสียอีก อาเสียหลังจากรู้ว่าพ่อป่วยได้ 7 วันมั้ง อาก็เสียด้วยโรคประจำตัว ผมช่วงนั้นคุยกับแม่กับน้องไม่รู้เอาไง ทำไมมันมะรุมมะตุ้มแบบนี้ ไม่กล้าบอกพ่อ กลัวอาการยิ่งทรุดหนักเลยเงียบๆไว้ ปิดพ่อได้ 3 เดือนถึงกล้าเล่าให้ฟัง พร้อมบอกให้เค้ารู้ด้วยว่าเค้าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย ทำใจนะพ่อ พ่อผมไม่ตกใจไม่อะไรเลย เค้าว่าเค้าคุ้มแล้วชาตินี้มาจาก 0 สร้างไรให้ลูกเต้าเยอะแยะ ตายไปมันก็เรื่องแสนปกติธรรมดา เห็นพ่อไม่เครียดไม่กลัว ผมกับครอบครัวก็สบายใจขึ้นเยอะ
ตอนนั้นก็ตั้งใจทำงานไป งานตัวเองระดับโลกตอนนั้นปัญหาเยอะมาก แถมแยกสมองทำงานของตัวเองด้วยของที่บ้านด้วย อะไรๆที่คิดว่าดีตอนนั้นปัญหาเยอะมาก คนรวยที่เราคิดว่าเราหุ้นกันแล้วจะทำให้งานของเราแข็งแกร่ง มันตรงข้ามสิ้นเชิง ทั้งๆที่เค้าด้วยซ้ำที่ชวนเราทำงาน พอทำจริงๆคาดหวังเรื่องการหาเงิน กลายเป็นเราหาซะส่วนใหญ่ คอนเน็คชั่นเราทั้งนั้น เงิน 10 บาทเราหาไปซะ 7 บาท เป็นงี้แล้วผมไม่รู้จะหุ้นอยู่ด้วยทำไมเลยตกลงเลิกร่วมงานกัน ผมทำงานของผมต่อเอง ตกลงรันงานต่อ จัดงานแถลงข่าวกิจกรรมใหญ่โตที่สยามพารากอน
เหมือนอะไรก็ดีๆๆๆ อาการพ่อดีขึ้นเรื่อยๆ จนหมอตกใจ รอขั้นตอนการเปลี่ยนตับ แต่แล้วก็เหมือนฟ้าผ่า พ่อติดเชื้อให้กระแสเลือด จนเข้าไอซียู สุดท้ายพ่อเสีย วาระสุดท้ายไม่มีใครกล้าอยู่กับพ่อเลยนอกจากผมนั่งอยู่คนเดียว จนวาระสุดท้าย พูดแล้วมันซึ้งจริงๆ แต่ไม่ค่อยเสียใจ เพราะรู้สึกท่านจากไปอย่างยิ่งใหญ่ ตอนรู้พ่อเป็นมะเร็งตับกลัวอยู่อย่างเดียวคือกลัวพ่อจะทรมานเพราะอ่านหนังสือ คนเป็นโรคนี้แทบทุกคนทรมานมากๆก่อนจากไป แต่รู้สึกดีใจในความสูญเสียนะ ที่พ่อหลับแล้วไปเลย
ซึ้งได้ไม่นานผมต้องใช้สมองต่อแล้วหล่ะนะว่าจะเอาไงกับชีวิตดี พ่อเสียสวด 7 วัน แล้วเก้บศพไว้ 100 วันก่อนเผา แต่งานแถลงข่าวงานผมจะจัดหลังจากงานศพพ่อไป 3 วัน ผมเป้นตัวยืนทั้งหมดของงาน เพื่อนหุ้นส่วนถามว่าตกลงมิงไหวป่าววะ เลื่อนไปก่อนก็ได้นะ ผมอึ๊ปๆๆๆ ฮึดๆๆๆ
The show must go on
งานมันต้องดำเนินต่อไป วันนั้นที่งานแถลงข่าวผ่านไปด้วยดี ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆในพันทิปหลายท่านที่ไปร่วมงานในวันนั้นด้วย หนังสือพิมพ์ นิตยสารลงเยอะแยะไปหมดเลย ในใจคิดเออ กุผ่านมาได้เว้ย โคดเก่งเลยต่อจากนี้ไปรอรับเงิน
แต่ความซวยไม่ได้จบลงแค่นั้น หลังจากผ่านไปได้สิบกว่าวัน จนถึงปีใหม่เกิดเรื่องน่าเศร้าคือพระพี่นางท่านเสียอีก ทำให้เกิดปัญหากับงานผมทันที เงินที่หามาได้ 10 บาท หายไปทันที 6 บาท เหลือ 4 บาท เพราะสปอนเซอร์หลายเจ้างดงานรื่นเริงทุกชนิด แถมสถานที่ราชการที่เราดิวเอาไว้ก็งดให้จัดงานที่เรากำลังจะทำ โปรเจคแทบพังทลายลองคิดสภาพดูสิ ผ่านมาแล้วดันเจอไรแบบนี้อีกจะเป็นไงกัน
แต่ไงๆมันต้องทำงาน เสียใจไปเซ็งไปได่ไรขึ้นมา ขอถามว่าเป็นคุณจะทำไง จัดไปขาดทุน ไม่จัดดีกว่า อธิบายให้เค้าเข้าใจ กับ ยังไงก็ต้องจัด เพราะคนถอนมีคนไม่ถอนมี คนไม่ถอนถ้าเราไม่จัดเราก็เสียลูกค้ายาว ผมเลือกจัดต่อ ปีนั้นบรรลัยไปหลายล้าน แต่งานมันก็ต้องไปต่อไป เท่านี้ยังไม่พอ การที่เสียหัวเรือใหญ่อย่างคุณพ่อผม ปัญหามันตามมาอีกใหญ่ๆเลย 2 อย่าง อย่างแรกคือกิจการที่พ่อดูแลอยู่ กำลังจะถูกเปลี่ยนมือไปอยู่ในฝ่ายตรงข้าม มันเป็นเรื่องธรรมดาในธุรกิจที่จะต้องชิงไหวชิงพริบเพื่อเงินกัน แต่ถ้าผมเสียตัวนี้ไปรายได้ที่บ้านลดไปกว่าครึ่ง
กับอีกเรื่องคือ สัญญาเช่าธุรกิจออกตัวที่เป็นรายได้หลักของที่บ้านกำลังจะหมดลง และมีข่าวว่าพอพ่อผมเสียแล้ว ธุรกิจตัวนี้อาจจะถูกลูกน้องซึ่งเป็นหุ้นส่วนเก่าของพ่อทำต่อแทน 2 เรื่องนี้ถ้าผมปล่อยให้หลุดนี่ถือว่าเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องแน่ๆ ตอนเค้าอยู่งานไม่เคยช่วย ทำแต่ข้างนอก พอเค้าตายไปยังไม่มีปัญญารักษาอีก มันใช้สมองเยอะมากเลยนะไม่รู้เอาไงต่อกับชีวิตดี
สุดท้ายทั้งหมดผมผ่านมาได้นะ ที่เละมีแต่งานตัวเอง แต่หลังจากยอมขาดทุนต่อๆมามันก็ดีขึ้น ส่วนงานที่บ้านโชติช่วงชัชวารหมดทุกอย่าง จริงๆฟังชั่นเรื่องทะเลาะกับคนรัก มีปัญหากับหุ้นหรือไรอีก 2-3 อย่างนะช่วงนั้น แต่หลักเลยก็อย่างที่เล่า
บางทีปัญหามันสอนเรานะว่าเราต้องทำยังไง คำพูดที่ดูดีว่าปัญหาย่อมมีทางออก เมื่อก่อนคิดแล้วเชื่อแบบนั้น พอเจอเรื่องนี้รู้เลยว่าคนพูดแบบนี้ สร้างฝันชัดๆ ปัญหาที่ไม่มีทางออกมีเยอะด้วย มันอยู่ที่เราจะทำใจปล่อยวาง ได้มากน้อยแค่ไหน แล้วจะมีสติแก้ไขปัญหายังไงให้ผ่านไปได้ให้ดีที่สุด ช่วงนั้นสำหรับเรื่องงานก็ดีใจที่ตัดสินใจเสียเงินดีกว่าเสียชื่อเสียง เงินทองไม่ตายหาใหม่ได้ ชื่อเสียงถ้าเสียแล้วยากจะเอากลับมา หมดตัวตอนนั้นขายรถคันโก้ไปหมุนจัดงาน แล้วก็หาซื้อใหม่ได้อยุ่ดี
คิดย้อนกลับไปขอบคุณพี่ๆน้องๆที่พันทิปหลายคนเลย ที่ให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
แท้งหลายเด้อ
แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 02:11:19
แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 01:28:34
แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 00:41:24
แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 00:13:27