ความคิดเห็นที่ 1 เข้ามาดู จากคุณ : befunwarn เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 53 23:21:42

ความคิดเห็นที่ 2 เงินเดือนราชการ ที่ระดับวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี รู้หรือไม่ครับ ข้าราชการเงินเดือนน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำอีก... หลายคนคงนึกว่าราชการจะมีอะไรพิเศษ ที่บอกปรับเงินเดือนราชการกันโครมๆ จริงๆ แล้วปรับยังไงก็ได้แค่ขี้ประติ๋วครับ ต่อให้ขึ้น 10% เพราะราชการนั้น หลายๆ คนเงินเดือนอยู่ที่หลักพัน แปลว่าขึ้น 10% ก็ได้แค่หลักร้อยครับ อย่าคิดว่าที่บอกปรับให้ถึงหมื่นสมัยก่อนน่ะ มันทำได้ เรื่องโกหกครับ [ตำแหน่งราชการ] ปัจจุบันตำแหน่งราชการของสำนักงานข้าราชการพลเรือน (กพ) นั้น ใช้การคุมกำเนิดแบบที่เรียกว่า Zero Growth หรือไม่มีการเพิ่มครับ เราพยายามปรับรูปแบบการจ้างงานเป็นลักษณะลูกจ้างมากขึ้น ในสายงานกระทรวงสาธารณสุขเอง การจ้างงานในแต่ละปีปัจจุบัน ตำแหน่งราชการน้อยมาก แย่งกันจะเป็นจะตาย อย่างหมอหรือเภสัชกร ถ้าได้บรรจุ เงินเดือน 8,400 โดยประมาณครับ รายได้อื่นๆ มีซะที่ไหนหละครับ โอทีนี่ก็ขอยากเย็น เงินมีน้อย คอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำงานประมวลผลสำหรับทั้งประเทศ บางเครื่องก็เก่า เก๊า เก่า แสนจะเก่า ใช้ windows 98 ยังมีเลยครับ สำหรับสายสาธารณสุขจะมีค่าเวรค่อนข้างชัดเจนและมากพอสมควร แต่สายอื่นๆ หรอครับ... ยากมากถึงมากที่สุด เวลาทำงาน ดังที่ว่ามาว่าโอทีไม่มี โอฟรีตลอด ราชการเราทำงานไม่เหมือนชาวบ้านหรอกครับ จริงที่คนทำงานเช้าชามเย็นชามมี แต่ส่วนหนึ่ง ที่เยอะมากๆ เราทำงานกันหนักกว่าที่คุณเห็นๆ บางคนทำงานตั้งแต่ 7 โมงถึง 3 ทุ่ม...ไม่มีโอที บางทีต้องอยู่เสาร์อาทิตย์...โอทีไม่กี่ตัง จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 53 23:27:12

ความคิดเห็นที่ 3 ด้วยความที่เงินเดือนของราชการเนี่ย น้อยกว่าเงินเดือนของเอกชนที่อยู่ในระดับเดียวกัน อย่างน้อยๆ ก็ 30% หละ เช่นวุฒิเดียวกัน ถ้าทำเอกชนอาจจะได้สัก 12,000 แต่ราชการให้ 8,000 จริงๆ แล้วอาจจะห่างมากกว่านั้นครับ เงินส่วนต่าง 4,000 ก็เท่ากับปีละ 48,000 ทำงานให้รัฐ 25 ปี ถ้าเงินเดือนไม่ขึ้นเลยก็เท่ากับเงินหายไป 1,200,000 (อ่านว่า หนึ่งล้านสองแสนบาท) มีคนบอกผมใน tweet ว่า มีคนว่าไว้ว่า ข้าราชการค่าตัว 8,000,000 แปลว่าตลอดชีวิตข้าราชการ มีเงินเดือนแค่นี้แหละครับ คำถามต่อมาคือ แล้วรัฐจะชดเชยตรงนี้อย่างไร จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 53 23:32:16

ความคิดเห็นที่ 4 เงินเดือน 8,000,000 บาท เพียงพอไหมที่จะดึงคนเก่งๆ คนหนึ่งเข้ามาทำงานในระบบรัฐ ผมยกตัวอย่างเงินเดือนของเด็กจบปริญญาตรี เริ่มทำงานตอนอายุ 21 ปี ถ้าคนคนนี้ทำงานในหน่วยงานเอกชน เงินเดือนเริ่มต้นที่ 10,000 บาท เงินเดือนขึ้น 3.5% ทุกปี จนเกษียณอายุ 60 ปี หรือทำงาน 40 ปี จะมีรายได้ทั้งชีวิตอยู่ที่ 10,146,033.33 บาท แต่ถ้าไปทำงานราชการ เงินเดือนเริ่มต้นประมาณ 7,000 บาท รายได้ทั้งชีวิต อยู่ที่ 7,102,223.33 บาท ต่างกันเกือบ 3,000,000 บาท แล้วถามว่าเอกชนที่ไหนขึ้นให้ปีละ 3.5% หละครับ ไหนจะมีโบนัสมีอะไรอีก รัฐไม่มีหรอกครับ ดังนั้นรัฐจึงต้องหาทางจูงใจให้คนทำงาน โดยการชดเชยส่วนต่างตรงนั้น การชดเชยที่รัฐทำให้ มี 2 ประเด็นหลักๆ ก็คือ 1. สวัสดิการ ซึ่งเป็นประเด็นที่เราจะพูดถึงต่อไป 2. ความมั่นคง ในระบบรัฐจะป็นที่รู้กันวว่า เราจะไม่เลิกจ้างแน่ๆ ถ้าไม่ผิดวินัยร้ายแรง จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 53 23:44:30

ความคิดเห็นที่ 5 หากใครจำลำดับชั้นความต้องการ ของมาสโลว์ (Maslow's hierarchy of needs) ได้ ก็จะเข้าใจครับ ส่วนนี้ผมอ้างอิงจากกระทู้เก่าของคุณ กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/03/X9024602/X9024602.html 1. ความต้องการทางด้านร่างกาย ( Physiological needs ) 2. ความต้องการความปลอดภัย ( Safety needs ) 3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ ( Belongingness and love needs ) 4. ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง ( Esteem needs ) 5. ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ( Self-actualization needs ) อ่านเพิ่มเติมเองนะครับ แต่สิ่งที่ต้องการกล่าวก็คือ ข้าราชการ ที่ต้องทำงานเพื่อคนอื่น (Public Service) และเงินเดือนที่น้อยนิดกะจิดริดนี้ เงินที่ได้ ไม่มีทางมากพอจะตอบสนองความต้องการในลำดับที่ 1 หรือปัจจัย 4 ได้เลยครับ หลายๆ คนทำงานเพื่อลำดับที่ 4 หรือ 5 แล้ว ซึ่งมันทำให้งานราชการเป็นไปไม่ได้ ปัจจัย 4 มีอะไรบ้างหละครับ? อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 53 23:53:19

ความคิดเห็นที่ 6 สวัสดีครับ คุณ befunwan :) ------------------------------------------------------------------------------------ หากเรามาดูถึงเรื่องทฤษฎีแรงจูงใจ ใครที่เรียนด้านจิตวิทยา บริหาร HR พวกนี้มา คงนึกออก แรงจูงใจ (motivation) ส่วนหนึ่ง ที่ปรกติเราใช้กันคือเรื่องของผลตอบแทน หรือ incentive โดยแบ่งได้เป็น 1. Financial incentive แรงจูงใจที่เป็นตัวเงิน และ 2. Non-financial incentive แรงจูงใจไม่ใช่ตัวเงิน ดังนั้น สำหรับคนอย่างข้าราชการที่แม้แต่ปัจจัย 4 ยังไม่มีปัญญาจะหาเองได้ แรงจูงใจที่ไม่ใช่ตัวเงิน จึงเป้นแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนเดียว แต่แรงจูงใจที่เป็นตัวเงินนั้น สำคัญมากกว่า เช่น เงินเดือน >> ขึ้นไม่ได้เท่าไหร่หรอก รายได้อื่นๆ เช่น OT >> ก็ยังจิ๊บๆ ไม่มีเท่าไหร่ บำเน็จบำนาญ >> เป็นส่วนหนึ่งที่ทุกคนคาดหวังว่าจะได้ สวัสดิการ >> อันนี้สำคัญและสำคัญมากๆ ด้วย โจทย์ตรงนี้ เรามองกันแค่ส่วนต่าง 3 ล้านบาทที่บอกไปก็พอนะครับ จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 00:03:26

ความคิดเห็นที่ 7 ว่ากันในส่วนของบำเน็จบำนาญก่อน ตรงนี้คงข้องใจกันมากมาย ปัจจุบัน ราชการไม่ได้บำเน็จบำนาญจริงๆ หรอกครับ เราได้จาก กบข. ซึ่งหักตังข้าราชการไว้ตั้งแต่ทำงานแล้วครับ ไม่ใช่ได้จากภาษีของท่านๆ อย่างที่เข้าใจไว้ ดังนั้นมาดูกันที่ส่วนของสวัสดิการเลยดีกว่า สวัสดิการในปัจจุบันนั้น แบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ เช่น ที่พัก ค่ารักษาพยาบาล สวัสดิการค่าเล่าเรียนบุตร ค่าเล่าเรียนบุตรไม่ต่างกับคนทั่วไปเท่าไหร่ครับ เพิ่งจะเริ่มเบิกระดับปริญญาตรีได้ ก็ตอนปี 47-48 นี่เอง ที่พักก็เหมือนที่อื่นแหละครับ ถ้าอยู่ไกลก็มีบ้านพักให้ ถ้าเอาเงินส่วนต่าง 3 ล้าน ที่เอกชนได้มากกว่าไปเช่าบ้าน หรือซื้อบ้าน ก็คงได้ส่วนนี้แล้วยังเหลือเงินด้วย ดังนั้นเหลือส่วนเดียว ที่เราต้องดูครับ คือส่วนของค่ารักษาพยาบาล สมมติว่าหักค่าเช่าบ้านแล้ว เหลือ 1 ล้าน 5 แสนบาท แล้วกันนะครับ จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 00:12:10

ความคิดเห็นที่ 8 หากคุณมีเงินเหลือ 1 ล้าน 5 แสนบาท คุณสามารถซื้อประกันสุขภาพปีละ 10,000 บาทได้ 150 ปี.... แต่ถ้าคุณเป็นราชการ เงินเดือนคุณน้อยกว่าเอกชน 1 ล้าน 5 แสนบาท คุณจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อประกันสุขภาพ? ดังนั้น รัฐจึงสนับสนุนตรงนี้ครับ เหมือนกับรัฐซื้อประกันให้นั่นเอง ถ้าคุณเอาบำเน็จ คุณก็หมดสิทธิ์รับสวัสดิการนี้ครับ ลูกก็ได้แค่อายุ 20 และได้แค่ 2 คน ที่หนักหน่อยก็คงพ่อแม่และคู่สมรส ถึงมีคนแซวว่า รัฐจ้าง 1 คน จ่าย 6 คน จริงๆ ก็แค่ค่ารักษาพยาบาลครับ แต่คนใช่ว่าจะใช้ค่ารักษาพยาบาล 1 ล้าน 5 แสนบาททุกคน จริงไหมครับ? ดังนั้น แนวคิดของรัฐก็คือ ประกันความเสี่ยงให้ โดยมีเงินกองกลาง 1 ก้อน สำหรับตรงนี้ ถ้าคุณไม่เป็นไร ก็ไม่ได้มาใช้เงินนี้ ถ้าเป็น ก็ใช้ไป คุ้นๆ ไหมครับ??? ประกันสังคมไงครับ เพียงแต่เงินกองกลางกองนี้ไม่ได้อยู่ในรูปแบบกองกลางจริงๆ แค่นั้นเอง ต่างกับประกันสังคม อ้อ แล้วเป็นประกันสังคมที่รัฐจ่ายให้ราชการครับ โดยหักเงินเดือนส่วนต่างไปจ่ายนั่นเอง เป็นไงครับ ประกันสังคมเราโดนกันปีละ 12,000 บาท แต่ราชการโดนไปปีละ 36,000 บาท...ไม่รวมเงินหัก กบข. และภาษี :) จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 00:20:10

ความคิดเห็นที่ 9 กระทู้ได้สาระมากๆ คนแก่แถวบ้านไม่รู้ทำไมอยากให้เข้าราชการกันนัก บอกสวัสดิการดี ไม่เห็นจะอยากได้เลยอ่ะ อีกอย่างแต่ก่อนรุ้สึกเฉยๆ แต่พอมีคนเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่เป็นข้าราชการ เงินเดือนไม่ถึงหมื่น กับเราเคยทำเอกชนหมื่น+ แต่ไม่มีป้ายข้าราชติด เหมือนข้าราชการ บอกเราเลือกทางผิด ดูต้อยต่ำ ไม่มีอนาคต เซงจริงๆ เกิดเถียงไป ก็ว่าเราไม่ดูหัวผู้ใหญ่ จากคุณ : สวยERROR เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 00:25:11

ความคิดเห็นที่ 10 สวัสดีครับ คุณสวยERROR :) -------------------------------------------------------------------------------------เกริ่นเสียยาว....มาก จนเกือบเรียกว่ามากเกินไป ดังนั้นตามที่กล่าวมาแล้ว เราจะเห็นว่า จริงๆ แล้วราชการไม่ได้สวัสดิการดีกว่าเท่าไหร่หรอกครับ เราแค่ "คิดไปเอง" คำถามต่อมา ทำไมข้าราชการได้ยาดี ก่อนอื่น เรามารู้จักคำสองคำครับ คือ 1. ชุดสิทธิประโยชน์ (Benefit Package) คือกลุ่มของความคุ้มครองในประเด็นต่างๆ เช่น ถ้าคุณเป็นโรค A คุณสามารถรักษาได้ด้วยเงื่อนไขต่อไปนี้ วิธีแบบนี้ ถ้าคุณเป็นโรค B คุณรักษาไม่ได้ เราเรียกว่า ชุดสิทธิประโยชน์พื้นฐาน (Basic Package) หรือ ชุดสิทธิประโยชน์หลัก (Core Package) ชุดสิทธิประโยชน์นี้ รวมไปถึงรูปแบบการรักษาด้วย เช่น ถ้าคุณจะดามเหล็ก คุณจะสามารถเบิกเหล็กได้แบบนี้ ถ้าคุณจะฟอกไต คุณจะใช้วิธีนี้ 2. บัญชียาหลักแห่งชาติ (National Drug Account) จะเป็นรายการยาสำหรับการใช้งาน โดยแบ่งเป็นหลายประเภท ได้แก่ บัญชี ก. ข. ค. ง. จ. โดยทั่วไป ยาที่เรามีใช้ในโรงพยาบาลรัฐ คือยาในบัญชียา ก. และ ข. และหลังจากนี้ผมจะเรียกแค่ว่า "บัญชี" นะครับ แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 53 00:58:46 จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 00:48:32

ความคิดเห็นที่ 11 ชุดสิทธิประโยชน์ แต่เดิมไม่ว่าจะเป็นราชการ ระบบ 30 บาท หรือ ประกันสังคม การรักษาโรคไม่ได้แตกต่างกันครับ ไม่ได้ต่างจริงๆ สิ่งที่ต่างคือ รูปแบบการรักษาต่างหาก เช่น ถ้าคนที่เป็น 30 บาท อาจจะได้ใช้การรักษาวิธีนี้ แต่ถ้าเป็นประกันสังคม จะได้ใช้วิธีรักษาอีกวิธีหนึ่ง ความแตกต่างตรงนี้อยู่ที่การกำหนดนโยบายครับ เรามีคนอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือเรียกว่าสิทธิ UC (Universal Coverage) ราว 46 ล้านคน ถือเป็นกลุ่มที่เยอะที่สุดของประชากรไทยครับ ในขณะที่กลุ่มประกันสังคม มีอยู่ 10 ล้านคนเศษ ที่เหลือคือกลุ่มข้าราชการและครอบครัว (CSMBS)และกลุ่มอื่นๆ คนชรา เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี การกำหนดนโยบายของสิทธิประเภทต่างๆ จึงไม่เหมือนกัน เช่น สิทธิ UC จะเบิกจ่ายยาได้ตามบัญชียาหลักแห่งชาติบัญชี ก./ข. หรืออาจจะเพิ่มยาแต่ละตัวในบางโรค ตามที่ระบุไว้ ในขณะที่ กลุ่มประกันสังคมจะเบิกจ่ายได้ตามข้อจำกัดของประกันสังคมเอง เนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบนั้นเป็นคนละหน่วยงาน การกำหนดชุดสิทธิประโยชน์ของระบบ UC คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ส่วนของประกันสังคม คือ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) แต่ทั้งสองส่วนนัั้น พยายามปรับมาให้ใกล้เคียงกันที่สุด รวมทั้งใกล้เคียงกับสิทธิราชการด้วย จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 01:26:52

ความคิดเห็นที่ 12 แล้วอะไรที่เป็นตัวกำหนดสิทธิและบัญชียา?? ในการกำหนดสิทธิประโยชน์และบัญชียา เราใช้หลักวิชาการ 2 อย่าง คือ 1. หลักการทางคลินิก ก็คือว่าด้วยเรื่องโรค ว่าโรคอะไรมีการรักษามาตรฐานเป็นอย่างไร มียาอะไรที่จำเป็น 2. หลักการทางเศรษฐศาสตร์ เราเรียก Health Economics หรือทางเภสัชกรรมจะเรียกว่า Pharmacoeconomic ซึ่งเป็นสิ่งที่บอกว่า หากเราเปลี่ยนแปลงการรักษาไปแล้ว จะเกิดความคุ้มทุนทางสุขภาพ หรือทางการรักษาหรือไม่ ตรงนี้ว่ากันยาวครับ ดังนั้น เมื่อพิจารณาความจำเป็นทางการแพทย์ + คุ้มทุนทางเศรษฐศาสตร์แล้ว หลายๆ อย่าง ก็ไม่มีประโยชน์ในการรวมเข้าไปในชุดสิทธิประโยชน์ครับ แม้แต่ในการเบิกจ่ายของราชการเองก็เช่นเดียวกัน หลายๆ อย่างก็ต้องจ่ายเองครับ ไม่ใช่ใช้ได้พร่ำเพรื่ออย่างแต่ก่อน ยกตัวอย่างครับ แต่ก่อนนั้น Calcium เม็ด เราเคยเบิกจ่ายในระบบราชการด้วยยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง ปัจจุบัน...ได้เม็ดละ 50 สตางค์เหมือนประกันสังคมครับ ในขณะที่ประกันสังคมนั้น ยังสามารถใช้ได้นะครับ ถ้ารพ. ที่ผู้ประกันตนเลือกไว้ ยอมให้ใช้น่ะนะครับ ^^" จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 01:39:16

ความคิดเห็นที่ 13 สิ่งที่ทำให้ต่างกันตรงนี้ก็คือ การเบิกจ่ายเงินของประกันสังคม และ UC จะทำการเบิกจ่ายโดยการอิงตามโรคครับ เช่นโรคนี้มีเงินให้เท่านี้ ถ้าเป็นแบบนี้เบิกได้เท่านี้ ทำให้การเบิกจ่ายนั้นปวดหัวกับโรงพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง โรงพยาบาลที่อยู่ในระบบรัฐ ก็มักจะได้อะไรไม่ต่างกันหรอกครับ แต่โรงพยาบาลที่เป็นเอกชน ที่คนชอบบ่นๆ ว่าทำไมยาห่วยๆ นั่นแหละ ตัวดี เพราะความเป็นเอกชน ในขณะที่ 1 โรค เราได้เงินเท่ากัน วิธีที่จะได้กำไรสูงสุดคือต้องบริหารต้นทุนให้ต่ำที่สุด ผมเคยเจอรพ. เอกชนที่ถึงขนาดที่ว่า ถ้าคนไข้ประกันสังคม หรือ 30 บาท จะให้ยา Ampicillin กิน แทนที่จะเริ่มอย่างน้อยเป็น amoxicillin ถามว่า ampicillin ไม่ดีหรือ?? เปล่าครับ ไม่ใช่ไม่ดี แต่ว่าปัจจุบันคนใช้น้อยลงมาก และยา Amoxicillin ได้รับการยอมรับมากกว่า สิ่งที่จะสื่อคือว่า สำนักงานประกันสังคม ไม่ได้กำหนดว่าต้องใช้ยาห่วยๆ ครับ แต่เป็นโรงพยาบาลแต่ละแห่งต่างหาก สุดท้าย กลับมาที่คำถามที่ว่า ราชการ ได้สิทธิการรักษาดีกว่าจริงหรือไม่? คำตอบคือ... จริงครับ ราชการมีโอกาสเข้าถึงยาได้มากกว่า และวิธีรักษาที่ดีกว่า สำหรับบางโรคเท่านั้น และยังคงเสียสิทธิสำหรับอีกหลายๆ โรค แต่ ส่วนขยายของคำตอบคือ เพื่อชดเชยรายได้ที่น้อยกว่าคนที่ทำงานเอกชนถึง 30% ครับ แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 53 02:21:02 จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 01:48:27

ความคิดเห็นที่ 14 กระทู้นี้อาจจะสาระ และวิชาการมากไปสักนิด เนื้อหาอาจจะตกๆ หล่นๆ ครับ ยังไงขออภัยด้วย หากมีคำถามหรือประเด็นไหนที่ยังติดใจ เชิญครับ หากเห็นว่ามีประโยชน์ รบกวน...โหวตหน่อยครับ แห่ะๆ จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 01:49:55

ความคิดเห็นที่ 15 ปล.กระทู้นี้กรุณาถกกันในภาพรวม อย่าเอาประสบการณ์การเห็นข้าราชการที่แย่ที่สุดในชีวิตครั้งเดียวมาเล่าเลยนะครับ จากคุณ : ดักคอไว้ เพื่อจะได้ไม่มีใครด่า (หมอแมว) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 01:58:00

ความคิดเห็นที่ 16 เข้ามาดู ^^ จากคุณ : papayatop เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 01:58:17

ความคิดเห็นที่ 17 ออกตัวไว้ 1 อย่าง เผื่อจะมีใครสงสัย ผมทำงานเป็นลูกจ้างในภาครัฐครับ ไม่ใช่ราชการ ไม่มีสิทธิใดๆ หรือส่วนได้ส่วนเสียครับ การรักษาพยาบาลตัวเองก็เป็นประกันสังคม :) จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 02:16:15

ความคิดเห็นที่ 18 กระทู้มีสาระดีค่ะ ได้รู้อะไรเกี่ยวกับข้าราขการเยอะเลย ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : ทุ่งข้าวเขียวขจี (MajestyLove) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 02:33:49

ความคิดเห็นที่ 19 บอกว่าข้าราชการสายสาธารณสุขได้เงินเดือนเยอะกว่าแผนกอื่น นั่นก็จริงครับ แต่ก็เพื่อดึงไม่ให้สมองไหลลาออกไปทำงานเอกชน ซึ่งถ้าบุคลากรลาออกไปเอกชนหมด ประชา่กรส่วนใหญ่ซึ่งมีฐานะยากจนเวลาป่วยไข้จะไปรักษาที่ไหน แต่ถึงกระนั้น ค่าตอบแทนที่ได้มากกว่า ก็ยังน้อยกว่าที่ รพ.เอกชนอยู่ดี เอาเฉพาะแพทย์ทั่วไป ถ้าทำงาน รพ.รัฐ ก็ได้ค่าตอบแทนน้อยกว่า รพ.เอกชนประมาณ 2 เท่า (รัฐจ่ายให้ 60,000-70,000 ต่อเดือน เอกชนจ่ายให้ 150,000-20,000 ต่อเดือน) แต่ถ้าแพทย์เฉพาะทาง ทำงาน รพ.รัฐ ได้ค่าตอบแทนน้อยกว่า รพ.เอกชนประมาณ 3-5 เท่า แล้วแต่สาขาที่จบมาครับ  (รัฐจ่ายให้ 70,000-90,000 ต่อเดือน เอกชนจ่ายให้ 200,000-400,000 บาทต่อเดือน) แต่ไม่ต้องห่วงครับ สำหรับคนที่คิดว่าข้าราชการได้มากกว่า เพราะตอนนี้ แนวโน้มจะลดสิทธิของข้าราชการลงเรื่อยๆ แล้วไปเพิ่มสิทธิของบัตรทองขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หมอบางคนเปลี่ยนสิทธิจากเบิกตรงไปเป็นบัตรทองแทนแล้ว อย่างเช่น วิตามิน บาง รพ.ถ้าใช้สิทธิข้าราชการ ต้องจ่ายเอง แต่ของบัตรทองฟรีครับ ... จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 06:30:22

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นด้วยอย่างยิ่ง ทีเงินเดือนน้อยๆ งานหนัก ไม่มีโอที ความรับผิดชอบมี ทำไม่ดีถูกด่า ทำดีเสมอตัว ถูกประเมินทุกปี เจ้านายไม่เห็น เพราะแรงงานมันซึมเข้าไปทุกเนื้องาน ไม่มีสัญญลักษณ์อะไรโดดเด่นว่า เป็นงาน (แต่ทำงานจริงๆ) **ไม่มีใครเห็น (T_T) แต่พอป่วย ได้สิทธิรักษาฟรี ก็มาถูกต่อว่าซะอีก จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 06:35:54

ความคิดเห็นที่ 21 แล้วโรคไหนที่สวัสดิการข้าราชการไม่คุ้มครองคะ  คือต้องจ่ายเงินค่ารักษาเอง  หรือจ่ายครึ่งหนึ่ง  อยากศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับสวัสดิการข้าราชการมากกว่านี้  ต้องไปอ่านที่ไหนคะ  ขอบคุณค่ะ จากคุณ : วับวิบพริบพราว เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 07:02:38

ความคิดเห็นที่ 22 โอ้ยยยยย โดนใจหลาย ๆ คนเงินเดือนน้อย ขึ้นที่ก็ไม่กี่ร้อย ผมเองก็ทำงานวันละ 10-12 ชม. (อาจมีพักบ้าง เข้ามาอ่านกระทู้บาง) แต่ผมก็มีความสุขนะที่ได้ทำงานราชการ และผมก็รักงานที่ผมทำด้วย แต่ไม่ชอบที่ ขรก.ที่บรรจุมานาน บ้างที่ก็ไม่ค่อยยอมรับความคิดเห็นของเด็ก ๆ และก็เล่นเส้นสาย พรรคพวก *-* จากคุณ : เหงาไม่พิเศษ เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 08:02:13

ความคิดเห็นที่ 23   ตรงใจมากเลยครับ ผมก็ข้าราชการ เห็นด้วยกับ จขกท. และ คห. 22 ผมขออนุญาต นำบทความของ จขกท. ไปเผยแพร่ใน facebook กับส่งอีเมล์ ต่อนะครับ จากคุณ : Menergizer เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 09:50:15

ความคิดเห็นที่ 24 มีคนใกล้ตัว เป็นข้าราชการ  3-4 คน ขอเล่าในมุมเรื่องสิทธิรักษา พยาบาลเท่าที่เห็นครับ ที่ว่าข้าราชการได้สิทธิรักษาฟรีนั้น ก็จริงครับ แต่ในทางปฏิบัติ มันไม่ค่อยเป็นอย่างนั้นนะสิ เราอยู่ต่างจังหวัด ในอำเภอเมือง ร.พ. ประจำจังหวัดนั้น มีคนไข้เยอะมากๆ หลายครั้ง ไปรพ.แต่เช้า แต่ได้ตรวจบ่าย หรือเย็น(ประเด็นนี้ไม่ได้ว่าร.พ.ครับ กลับเห็นใจมากกว่า) ทำให้ข้าราชการที่รู้จัก หลายคน เวลาเจ็บป่วยไม่มากนัก ไม่สามารถอดทนรอตรวจจากรพ.ประจำจังหวัดได้ เพราะถ้าไปรอ ก็ต้องลาป่วยทั้งวัน ก็เลยต้องไปคลินิก ซึ่งเบิกไม่ได้ ถ้าไปร.พ เอกชน ก็เบิกได้ครึ่งเดียว เพื่อนที่เป็นข้าราชการ เวลาลูกป่วย ก็ไม่เคยไปร.พ.ประจำจังหวัดเลย เพราะรอคิวไม่ไหว ก็ต้องไปคลินิก และจ่ายเองตลอด ทั้งที่เงินเดือน ที่รับจริงหลังหักโน่นหักนี่แล้วเหลือแค่ สามพันบาท ก็ต้องอดทนยอมรับกันไปครับ อยู่ในประเทศไทย จากคุณ : หนามแหลม เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 10:04:56

ความคิดเห็นที่ 25 ผมคนนึงครับที่ลาออกจากอาชีพรับราชการ มาทำงานเอกชน   ตอนทำงานราชการได้แค่ผ่อนคอนโดเล็ก ๆ ซึ่งคงต้องผ่อนมันไปจนแก่ ตอนนี้ลาออกมาได้ 6 ปี มีรถ 1 คัน แล้วกำลังผ่อนบ้านอีกหลัง เรียนจบได้ 1 ปีทำงานเอกชนเงินเดือนหมื่นนิด ๆ ปีต่อมาก็สอบทำงานราชการได้บรรจุทันที พ่อแม่ดีใจมาก แต่ทำได้ 3 ปี ลาออก อธิบายกันอยู่นาน กว่าที่พ่อแม่จะเข้าใจ สุดท้ายแม่บอกว่า "แล้วแต่ลูก เพราะลูกคือคนไปทำงาน" ผมไม่ชอบวัฒนธรรมองค์กร คนขยัน คนเก่ง เหนื่อยอยู่คนเดียว บางคนแกล้งโง่ แกล้งทำไม่เป็น เพื่อจะได้ไม่ต้องทำ ประเมินผลงานไม่ได้ช่วยให้อะไรในชีวิตดีขึ้น ด้วยเหตุผลว่า รอบที่แล้วได้ขั้นไปแล้ว รอบนี้ให้คนอื่นบ้าง เปลี่ยน ๆ กัน อีกเหตุผลที่ไม่ชอบระบบราชการคือ ต้องเรียกคนตำแหน่งสูง ๆ ว่าท่านอย่างนั้น ท่านอย่างนี้ เข้าใจครับเรื่องสัมมาคาระวะ และการให้เกียรติผู้อาวุโส แต่ไม่เห็นจะต้องอะไรมากมาย กับพ่อแม่ผมเอง ผมยังไม่นอบน้อมขนาดนั้น แล้วทำไมเราต้องไปทำกับคนอื่น เว้นเสียแต่กับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ผมเทิดทูน ขอทำงานในฐานะมนุษย์เงินเดือนเอกชนก่อนครับ  ว่าง ๆ มาบ่นใหม่ จากคุณ : i_am_np เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 10:08:43

ความคิดเห็นที่ 26 แม่เราทำงานมา 20 กว่าปี ปีที่แล้วได้โบนัส 3 พันกว่าบาท แม่พูดขำๆว่า ขิ้ข้าราชการ แต่ก็ยังตามจิกเราไม่เลิกให้ สอบให้ได้ ซึ่งเราไม่อยากจะเข้าเลยค่ะ ตอนเราไปสอบก็ยากมากๆ บางทีข้อสอบก็ง่ายเกินไป ง่ายจนน่ากลัว บรรจุก็ไม่รุจะไปลงพื้นที่ไหน เลื่อนตำแหน่งก็ต้องย้าย แม่เราย้ายบ่อยมาก จนแม่เราเบื่อ เราก็เบื่อ (แต่ไม่รู้ทำไม๊ทำไม ยังอยากให้เราเข้า คงเพราะอยากให้ เบิกได้ทั้งค่าเล่าเรียนและสวัสดิการลูกๆ ) ทุกวันนี้ยังระหองระแหงกับแม่ เพียงแค่พูดเรื่องงาน เฮ้อๆๆ แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 53 10:13:01 จากคุณ : pojako เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 10:11:36

ความคิดเห็นที่ 27 ผมว่าราชการแก้ผิดจุด การไม่เอาคนออก(ให้ความมั่นคง) ทำให้พวกที่เช้าชามเย็นชาม อยู่เป็นภาระของระบบ และบั่นทอนกำลังใจของคนทำงานหนัก การตั้งรายได้ต่ำ แล้วตั้งสวัสดิการสูง ทำให้ในหลายสายวิชาชีพ ราชการประสบความยากลำบากในการหาหรือรักษาบุคลากรเกรด A (จ้างถูกกว่า ทำงานหนักกว่าพวกอู้งานแต่ได้เท่ากัน) ลงท้าย ราชการจำเป็นต้องใช้บุคลากรมาก แต่ประสิทธิภาพต่ำ แจ็ค เวลซ์ บอกว่าการไม่เอาคนไร้ประสิทธิภาพออก ก็ถือว่าล้มเหลวในการบริหารบุคลากร มาร์ติน ฟาวเลอร์ บอกว่า Hire talent is cheaper รัฐก็ทำตรงข้าม โดยเอาปัจจัยที่จะรักษาคนเก่งออกเสีย(ไม่มีระบบอาวุโส โตได้โดยไม่มีเพดาน-คุณเก่งพอ คุณก็แก่พอ มีความแตกต่างของผลตอบแทนระหว่างมือชั้นเลิศ กับคนทั่วไป) ลองนึกดูว่า มีสิบคน เงินเดือนคนละหมื่น สมมติมีเช้าชามเย็นชามอยู่ 20% ถ้าเอาออก คนที่เหลือจะมีเงินเดือนเพิ่มอีก 20000/8 = 2500 บาท = 25% ขึ้นมาเฉยๆ ผลตอบแทนชนกับเอกชนได้ทันที และมีโอกาสแย่งตัวคนเก่งจากเอกชนบ้าง จากคุณ : house (panote_saechiew) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 10:13:17

ความคิดเห็นที่ 28 เป็นข้าราชการค่ะ อายุ 25 ปี บรรจุตอน 23 ก่อนบรรจุเพื่อนให้ไปทำงานที่ บ. นึง ได้เงินเดือน 30,000 บาท แต่เลือกที่จะมาบรรจุเข้ารับราชการ เงินเดือน 7940 บาท วันนี้รุ้สึกภาคภูมิใจ ถึงแม้จะเข้ามาในระบบที่วุ่นวายแบบนี้ มันรู้สึกเราได้ทำเพื่อคนอื่น (เป็นคุณครูค่ะ) ทุกๆ วัน ทำงานแต่เช้า กลับเย็น บางที 20.00 ก็ยังไม่กลับบ้านพักเลย เพราะไม่รู้จะทำอะไร ก็ทำงานไป รู้สึกมีความสุขที่ได้ปิดทองหลังพระ... เพราะความสุขคือตัวเราที่มองเห็น ไม่ใช่จากที่คนอื่นมองเห็นแล้วเราสุข แนนคิดว่าคนเรามีความต้องการไม่เหมือนกัน..  มันก็อยุ่ที่ความต้องการพื้นฐานของแต่ละคน  ขาดอะไรก็อยากได้อย่างนั้น  แนนก็ไม่ใช่คนรวยอะไร แต่เพราะคนเราต่างความคิด ชีวิตจึงต่าง มุมมองต่าง ก็แค่นั้น.... ทำงานอะไรก็ได้ค่ะ ที่ตัวเองมีความสุขดีกว่า อย่าทำเพราะคิดว่าทำอันนี้เพราะคนอื่นบอกว่าดี สบาย มั่นคง แต่ถ้าทำไปแล้วไม่มีความสุข มันจะดีได้ยังไง ทุกที่ก็มีปัญหาของมัน แต่มันก้อยู่ที่เราเรียนรุ้ที่จะแก้ปัญหาหรือเดินหนีปัญหา ถามว่าแนนมีความสามารถที่จะทำงานอย่างอื่นแล้วได้เงินมากกว่ามั้ย ก้แน่นอนค่ะ แต่คิดว่างานที่แนนทำอยู่ ต้องการแนนมากกว่า ถ้าแนนอยู่ตรงนี้คงทำประโยชน์ให้กับคนอื่นมากกว่า สุขใจ.. ที่เป็นผู้ให้ค่ะ จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 10:49:31

ความคิดเห็นที่ 29   เป็นข้าราชการค่ะ อายุ 27 ปีทำงานมาได้ 2 ปี เรียนจบปริญญาโทในประเทศ งานที่ทำไม่สอดคล้องกับสาขาที่เรียน เคยผ่านงานเอกชนมาแล้วในตำแหน่งที่ค่อนข้างโอเค มาสอบเป็นข้าราชการเพราะว่าคุณแม่คุณพ่อรับราชการทั้งสองท่าน ตอนสอบต้องผ่านการสอบภาค ก (ความรู้ทั่วไปสำหรับข้าราชการ) หลังจากนั้นก็สอบ ภาค ข (ความรู้เฉพาะตำแหน่ง) หลังจากนั้นก็สอบ ค (สอบสัมภาษณ์) หลังจากผ่านทั้งสามภาคก็จะได้ขึ้นบัญชีไว้ บัญชีมีอายุ 2 ปี เค้าจะเรียกไปเรื่อยๆๆ คนที่ได้ทีหลังๆๆทำใจได้เพราะเลือกไม่ถึงแน่นอน สอบได้ที่ 200 กว่าๆๆค่ะ เป็นรอบที่สองที่เค้าเรียกเงินเดือนเริ่มต้น อยู่ที่ 7900 กว่าๆๆจำเศษไม่ได้ มีค่าครองชีพอีก 1500 บาท สามเดือนแรกยังไม่ได้รับเงินเดือน รอตกเบิก ส่วนค่าครองขีพนั้นก็บางเดือนก็ได้บางเดือนก็ไม่ได้ รอตกเบิกเหมือนกัน มาถึงเรื่องสวัสดิการ 1. การรักษาในโรงพยาบาลของรัฐถึงจะเบิกได้ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าต้องเอาหมอนไปนอนรอ ห้องพิเศษเบิกได้ ในวงเงินจำกัดส่วนต่างต้องจ่ายเอง 2. เบิกค่าเช่าบ้าน ตอนนี้ยังเบิกไม่ได้ค่ะ เพราะบรรจุที่แรกในกทม ทำงานในกทม เบิกไม่ได้ 3. ค่าเล่าเรียนบุตร ยังเลิกไม่ได้เพราะยังไม่มีบุตร แต่ก็สามารถเบิกได้เฉพาะค่าเล่าเรียนซึ่งหมายถึงค่าหน่วยกิจเท่านั้น 4. กบข หักจากเงินเดือนเช่นเดียวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 5. โบนัสรอบล่าสุดได้มา 3000 บาท 6.จากขึ้นเงินเดือนขึ้นปีละ 2 ครั้งครั้งละ 100 กว่าๆๆแล้วแต่ผลการประเมิน ค่าอุปกรณ์สำนักงานหน่วยงานอื่นไม่ทราบนะคะแต่ที่หน่วยเราเงินเราเองซื้อเอง ดินสอ ยางลบ ปากกา แม็คเย็บกระดาษ  เดินทางไปงานราชการก็ใช้รถตัวเองไม่ได้เบิกค่าน้ำมันไม่มีงบตรงนี้ให้ เวลาทำงานอาจจะสบายกว่าตรงที่ ทำ 08.30 - 16.30 แต่ทุกเวลาของเราต้องพร้อมสำหรับการทำงานนะคะ ส่วนตัวคิดว่าบริษัทเอกชนบางทีสวัสดิการดีกว่าเยอะ ตอนแรกๆๆรับไม่ได้เลยค่ะ ทุกข์ใจมาก อยากลาออก เสียดายความรู้ มีแต่คนอายุมากกว่าเต็มไปหมด แต่ตอนนี้รักงานที่ทำค่ะ เพราะรู้สึกว่างานที่เราทำเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมากบางครั้งเหนื่อยมากท้อสุดๆๆ แต่คุณแม่บอกเสมอค่ะ ว่าเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั้นคือความภูมิใจสูงสุดของครอบครัว เหนื่อยแค่ไหนหนูก็จะสู้ค่ะ จากคุณ : when I met someone เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 10:57:09

ความคิดเห็นที่ 30 เอ..จะกลายเป็นกระทู้ " บ่น ระบบราชการ " ...  แต่ก็ขอแจมหน่อย .. หุ หุ สวัสดิการของข้าราชการ เป็น การชดเชย(แฝง)ให้กับข้าราชการที่มีเงินเดือนน้อยกว่าเอกชน .. ถ้าถามว่า " ดีกว่า " หรือไม่ ... ก็ต้องตอบว่า " ในอดีต และ ปัจจุบัน ..ดีกว่า ในบางส่วน .. แต่ ในอนาคต (อันใกล้) ไม่แตกต่างกันครับ  " ตอนนี้ สวัสดิการของข้าราชการ ถูกจำกัด ถูกลด โดยที่ข้าราชการส่วนใหญ่ ไม่รู้ ..   ยาหลายตัว เบิกไม่ได้ แต่ว่า บัตรทอง ฟรี  เช่น ยานวด วิตามิน เป็นต้น   ยานำเข้าต่างประเทศ หลายตัว เบิกไม่ได้ ถ้าอยากใช้ จำเป็นต้องใช้ ก็จ่ายเงินเอง   ต่อไป ถ้าระบบเบิกจ่ายผู้ป่วยนอกใช้ DRG .. รพ.รัฐ ก็จะเก็บเงินเท่าที่กำหนดไว้ ไม่ใช่ จ่ายเท่าไหร่ ก็เบิกกลับได้ครบ แบบปัจจุบัน เช่น ค่ายา ๘๐๐๐ บาท ตอนนี้เบิกได้ครบ แต่ต่อไปถ้าใช้ DRG อาจเบิกได้ ๓๐๐๐ บาท เป็นต้น ... สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ รพ.รัฐ ต้องประหยัด ใช้ยาที่ถูกกว่า ยาผลิตในประเทศ แล้วก็ใช้ยา และ วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ตามที่กำหนดไว้ .. ยกตัวอย่างปัญหาที่เห็นได้ชัดเจน เป็นข่าวขณะนี้ก็คือ ราคาขดลวดหัวใจ (สเต็นท์) แต่ยังมีอีกเยอะที่ กรมบัญชีกลาง สปสช. ฯลฯ "คิดแทน" แพทย์ผู้รักษา .. โดยไม่ได้คิดถึงหลักวิชาการ การทำวิจัย ฯลฯ คิดง่าย ๆ ว่า ราคาถูกกว่า แถมยังมาบอกอีกว่า ของถูกก็ใช้ได้เหมือนกัน ... ( แต่น่าแปลกที่ เวลาเจ็บป่วย นักการเมือง ผู้บริหารทั้งหลาย ไม่เคยเข้า รพ.รัฐ ไม่ใช้ยา ใช้อุปกรณ์ที่ตนเองเคยบอกว่า ใช้ได้เหมือนกัน กลับไปใช้บริการ รพ.เอกชน และ ยาอุปกรณ์นำเข้าต่างประเทศ ??? ) ไม่ใช่แค่ ข้าราชการ หรอกครับ ที่เป็นแบบนี้ .. สิทธิอื่น ๆ ก็เหมือนกัน เพียงแต่ ประชาชน ไม่ได้รับรู้เท่านั้นเองว่า สภาพจริง ๆ ของ ระบบสาธารณสุข บ้านเราเป็นอย่างไร .. ขาดแคลน ขนาดไหน .. แถมบางคน ยังอยากได้ คุณภาพมาตรฐานดี แบบประเทศที่ร่ำรวย ทั้งที่ตัวเองไม่ต้องเสียเงินอีกต่างหาก .. ประมาณว่า  ตัวเองไม่มีเงิน แล้วเรียกร้องให้คนอื่น ซื้อรถเก๋งให้ตัวเองนั่ง  .. เปลี่ยนเป็นขอ จักรยาน ก็พอแล้วมั๊ง แบ่ง ๆ กันไปใช้เท่าที่มี แค่นี้ ได้ก็ถือว่า ดีแล้ว .. อ้อ  อีกประเด็นที่อยากบอก .. การปรับระบบบริการ ของประชาชน แทนที่จะปรับให้ ดีขึ้น กลับปรับที่ดี ให้แย่ลงมาเท่าเทียมกัน .. เมื่อก่อน มีคนบอกว่า "สิทธิข้าราชการ ดีสุด .. ส่วนบัตรทอง แย่สุด .." .. แต่ตอนนี้ ก็เข้าใกล้ความเท่าเทียมกัน ที่หลายคนอยากได้ .. คือ " แย่ เท่าเทียมกัน " จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 11:01:53

ความคิดเห็นที่ 31 เห็นด้วยในหลาย ๆ เรื่องครับ เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนในส่วนต่างของรายได้ ผมเองเคยมาแล้วทำงานบริษัทเอกชน แล้วมาอยู๋เป้นโปรแกรมเมอร์ ราชภัฎที่ ตจว. หัวหน้าเรียน ป.โท อยู่จะเอางานผมไปส่งเฉยเลย ผมเลยลาออกซะเลย มาเป้นครูจ้างสอนอีก จะบอกว่าทั้งโปรแกรมเมอร์ และครูจ้างสอนของ วิทยาลัยเทคนิค เงินเดือนน้อยกว่าเเม่บ้านที่บริษัทอีก สิทธิเรื่องรักษาพยาบาลเห็นด้วยอย่างมากครับว่าไม่ค่อยได้ใช้ถ้าไม่เจ็บหนัก ถึงขั้นนอนที่ รพ. หรือต้องรักาด้วยเครื่องมือเฉพาะทางเพราะ รพ.รัฐทราบๆ กัน คนไข้เยอะขนาดไหน ของผมเองลูกป่วยก็เข้าคลีนิคครับยกเว้นต้องนอน รพ. เคยป่วยหนักตอนเช้าก็พาเข้า รพ.ฌอกชนเพระาคิดว่าถ้าพาไป รพ.รัฐก็ นอนดูอาการ แต่าไป รพ.เอกชนมีหมอเด็ก และหมอเฉพาะทางประจำอยู่ สามารถตรวจให้ได้เลยตอนเวลา 03.30 น. ไม่ได้ต่อว่า หมอ หรือ รพ. เพราะเข้าใจว่างานหนัก และเหนื่อยขนาดไหน ตอนนี้ลาออกมาทำราชการได้ 4 ปี กับอายุงานบริษัทเอกชนอีก 5 ปี เงินเดือนผมกับเพื่อนที่อยู๋เอกชนต่างกันเท่าตัวพอดีครับ ต่างกันประมาณเดือนละ 17000 - 20000 บาท ส่วนต่างนี้เวลาเอาไปยื่นกู้อะไรทั้งบ้านและรถ โอกาสใครจะดีกว่าคงทราบนะครับ ยังไม่รวมโบนัสที่ เอกชนเยอะพอประมาณ แต่ราชการหน่ะหรอ มีก็เหมือนไม่มี แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 53 11:08:04 จากคุณ : @Server ! maN@ เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 11:05:27

ความคิดเห็นที่ 32 แถม ...เรื่องสเต็นท์ ( ขดลวดขยายหลอดเลือดหัวใจ ) http://search.conduit.com/Results.aspx?q=%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C&ctid=CT461365&octid=CT461365&SearchSource=1 อ่านแค่ข่าวนี้ ก็จะเข้าใจได้ .. http://thairecent.com/Politic/2010/691360/ จี้กรมบัญชีกลางใช้ราคาสเต็นท์ใหม่ วันที่ 02/08/2553 08:32 (ผ่านมา 24 วัน 2 ชั่วโมง 10 นาที) เมื่อวันที่ 1 ส.ค. รศ.นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ นายกสมาคมแพทย์มัณทนากรหัวใจและหลอดเลือด กล่าวถึงกรณีที่ทางกรมบัญชีกลาง กำหนดราคากลางโครงลวดค้ำยันหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือสเต็นท์ ตามราคากลางที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประมูลได้ เช่น กรณีขดลวดเคลือบยาต้านการตีบซ้ำราคาไม่เกินชุดละ 23,400 บาท จากเดิมที่กำหนดไว้ 85,000 บาท กรณีสเต็นท์ธรรมดา ราคาไม่เกินชุดละ 5,400 บาท จากเดิม 35,000 บาท และสายสวนเพื่อการขยายหลอดเลือดโคโรนารี่ด้วยบอลลูน ราคาไม่เกินชุดละ 10,000 บาท จาก 20,000 บาท ว่า ตนได้ทำหนังสือถึงกรมบัญชีกลางและพาตัวแทนสมาคมฯเข้าพบอธิบดีกรมบัญชีกลาง เพื่อขอให้ทบทวนการเปลี่ยนแปลงอัตราการเบิกจ่ายของอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้ใน การขยายหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 2 ส.ค.นี้ออกไปอีก ซึ่งทางกรมบัญชีกลางก็รับปากว่าจะเลื่อนการบังคับใช้ออกไป “เราไม่เห็นด้วยกับกรมบัญชีกลาง เพราะอยู่ ๆ ก็ประกาศออกมาเลย เป็นการตัดสิทธิข้าราชการที่ควรจะได้อุปกรณ์ตามที่ควรได้ ทำให้ไม่เป็นธรรมกับข้าราชการ การกำหนดราคากลางดังกล่าวเป็นการตัดความรับผิดชอบให้แต่ละ รพ.ไปจัดหาสเต็นท์ตามราคากลางที่กำหนด ทำให้ รพ.บางแห่งที่ซื้อลอตใหญ่ไปแล้วในราคา ที่เขาประมูลได้ประมาณ 5-6 หมื่นบาทต่อ ชิ้น ถ้าไปเก็บราคาตามเพดานที่กรมบัญชีกลางกำหนด ทาง รพ.ก็ขาดทุน อีกทั้งปัจจุบันทาง บริษัทขายสเต็นท์ก็ไม่ได้ทำใบเสนอราคาขายมาตามที่กรมบัญชีกลางกำหนด ดังนั้นจะไปว่าบริษัทฮั้วกันขายก็ไม่ได้ เพราะเขาเคยขายราคา 5-6 หมื่นบาทมาก่อน” รศ.นพ.สรณ กล่าว นายกสมาคมแพทย์มัณทนากรหัวใจและหลอดเลือด กล่าวอีกว่า ถ้าบริษัทไม่ขายในราคาที่กำหนด ทาง รพ.ก็ไม่สามารถจัดซื้อได้ ซึ่งการจัดหาสเต็นท์ไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่อยู่ที่การตัดสินใจของแพทย์และคนไข้ โดยแพทย์จะอธิบายให้คนไข้ฟังถึงรายละเอียดอุปกรณ์ที่จะใช้ และแพทย์จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนไข้ อย่างสเต็นท์ที่ใช้กับคนไข้แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ชนิดโลหะ สารเคลือบก็ไม่เหมือนกัน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางความยาวก็ไม่เหมือนกัน การกำหนดราคากลางดังกล่าวเท่ากับปิดประตูที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนไข้ อย่างไรก็ตามหากมีข้าราชการต้องผ่าตัดเร่งด่วนในกรณีฉุกเฉินก็สามารถที่จะ ช่วยเหลือไปก่อนได้ แต่อนาคตหากบริษัทไม่ยอมเสนอราคาดังกล่าวก็จะทำให้เกิดปัญหากับข้าราชการได้ และอาจจะต้องใช้วิธีให้ข้าราชการจ่ายเงินแล้วไปเบิกกับทางกรมบัญชีกลางโดย ตรง ดังนั้นทางสมาคมฯพร้อมที่จะพูดคุยและร่วมหาทางออกกับกรมบัญชีกลาง เพราะถือว่าเป็นหน้าที่อยู่แล้วที่จะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด. ปล. เดี๋ยวจะหาว่า ผมมาเรียกร้องสิทธิข้าราชการ เพราะผมเป็น ข้าราชการ ...บอกไว้เลยว่า ผมและครอบครัว ใช้ " บัตรสุขภาพ " นะครับ .. จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 11:05:31

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณ คุณEpinephrine มาก ๆ โดนใจจริงๆ  ค่ะ  ตัวเราเองทำงาน ตั้งแต่ 7.30 - 17.30 แทบจะทุกวัน  บางวันถึง 18.00  (แต่ไม่บ่อยหรอกค่ะ)  ชุมชนมีงานก็ต้องเข้าไปช่วย  บางเทศกาล ทำงานถึง 00.00 ก็มี (ลอยกระทง  งานประจำจังหวัด  งานเทศกาล  ฯ)  บางทีเลิกงานแล้วยังต้องหอบงานไปทำที่บ้านอีก  แล้วมาโดนว่า เราได้สิทธิพิเศษ มันรู้สึกเสียใจน่ะค่ะ  ทั้งที่จริงแล้วก็เป็นอย่างที่ เจ้าของกระทู้ว่า  แต่เราก็รักงานที่เราทำ  ไม่เคยบ่นไม่เคยว่าที่ต้องทำงานเยอะ  เสาร์อาทิตย์ก็มีบ้าง  โอทีไม่มีหรอก  เป็นความสมัครใจที่เราจะทำมากกว่า  เราภูิมิใจ  เราไม่อยากให้ใครมาว่าข้าราชการเช้าชามเย็นชาม  เราจึงตั้งใจทำงานมาก  และการสอบเข้าก็ไม่ใช่ง่าย ๆ ด้วย  ไม่มีเส้นค่ะ  เข้ามาด้วยความสามารถตัวเอง (+ดวงด้วย) และยอมรับว่าที่อยากเป็นข้าราชการเพราะมันมั่นคง  แต่สวัสดิการปี ๆ หนึ่งแทบจะไม่ป่วยเลย  เคยบอกเมื่อ กท.ก่อน ทำงาน  5 ปี เบิกค่ารักษา ไม่ถึง หนึ่งพันเลย     แล้วข้าราชการทุกคนเค้าก็ไม่ได้สิทธิ์เบิกทุกอย่าง (ขออนุญาตพาดพิงถึงข้าราชการคนอื่น ๆ นะคะ  และขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วย) บางคนไม่มีพ่อแม่ (แล้ว) บางคนไม่มีสามี หรือ ภรรยา บางคนไม่มีลูก บางคนไม่มีทั้งพ่อแม่  สามี ภรรยา  ลูก อยากให้มองข้าราชการที่ประพฤติตัวดี ๆ บ้าง ที่เค้าทุ่มเททำงานให้ส่วนรวม ให้ประเทศชาติอย่างจริงจังน่ะค่ะ จากคุณ : เม็ดทรายใต้จันทรา เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 11:19:18

ความคิดเห็นที่ 34 กระทู้น่าอ่านครับ จากคุณ : Skyman (Analayo) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 11:22:51

ความคิดเห็นที่ 35 ในมู้นี้ ใครเป็นครูบ้าง ยกมือขึ้นนนนนนนนนนนนนนนนน จากคุณ : รักคนที่ชอบแมว เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 11:31:38

ความคิดเห็นที่ 36 ตามคห.27 จริงๆถ้าจะแก้โดยการเอาคนไร้ประสิทธิภาพออกนั้นดีแน่ๆครับ แต่ถ้าจะทำเช่นนั้น ราชการต้องรื้อและเปลี่ยนแปลงระบบๆหนึ่งให้ได้ก่อนครับ ระบบนั้นก็คือ "ระบบการประเมินบุคคล" ครับ ตอนนี้ระบบราชการยังไม่ดีพอที่จะประเมินได้ร้อยทั้งร้อยว่าใครเก่งจริงหรือใครไม่เก่ง โดยเฉพาะบางกระทรวงนั้น ระบบนี้แทบจะล่มเลยก็ว่าได้ -*- ซึ่งรับรองว่าคนเก่งๆโดนไล่ออกเพียบแน่ๆ -*- (แต่หลายๆกระทรวงก็ประเมินได้ดีครับ ^ ^) ... ระบบราชการ ถ้าจะเปลี่ยนแปลง จะรีบไม่ได้ เพราะมันต้องขุดคุ้ยอีกเย้อ~~ มาก -*- จากคุณ : TalkyWalky เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 11:33:37

ความคิดเห็นที่ 37 ผมว่ามันมีความแตกต่างกันเยอะในข้าราชการด้วยกันเองนะครับ บางคนทำงานหนักมากอย่างที่ว่าจริงๆ แต่บางคนทำงานแค่ครึ่งวันอ่ะ ตอนบ่ายไม่ต้องทำอะไรแล้วนั่งเล่นเฟซบุค รอบ่าย3ก็ควักตลับแป้งมาโบ๊ะหน้า กลับบ้านแล้ว แต่หลายคนก็ทำงานหนัก ไม่มีโอที มีแต่โอเลี้ยงปลอบใจก็มี เรื่องสวัสดิการด้านการรักษาสุขภาพ เจ็บเล็กน้อยไข้หวัุดไอเจ็บคอ ถ้าไม่ทำงาน รพ.น้อยคนจะไปใช้สิทธิ์ เพราะต้องเสียเวลาเป็นครึ่งค่อนวัน แต่ถ้าเป็นข้าราชการโดยเฉพาะข้าราชการที่ไม่ใช่พลเรือน ไปเบิกยาได้ บางทีเห็นแล้วเว่อร์ได้มากๆ ปวดหลังกล้ามเนื้ออักเสบ พี่แกได้โวลทาเรนเจล2หลอด อาคอกเซีย2แผง ตามด้วยพรีวาซิดอีก2แผง รวมค่ายาดีไม่ดีมากกว่าเงินเดือนพี่แกอีกอ่ะ ถึงบอกว่าไม่ต้องเทียบกับเอกชน แค่ราชการด้วยกันเอง อะไรๆมันก็ต่างกันแล้ว จากคุณ : apotheker เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 11:35:01

ความคิดเห็นที่ 38 เดี๋ยวนี้ ขรก เบิกอะไรๆได้น้อยกว่า 30 บาทอีก ขนาดที่พันข้อเท้าเคล็ดยังเบิกไม่ได้  ชุดทำแผลก้อม่ะได้ ทั้งๆๆที่มันก้อเป็นสิ่งจำเป็นนะ ต้องมาเสียเงินจ่าย ราคาก้อไม่แพงนะ  แต่เราว่ามันเซ็งอ่ะ จากคุณ : 777 (yinggooo) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 11:40:05

ความคิดเห็นที่ 39 ^ ^ ^ ^ เล่นเฟสบุค แล้วตั้งกระทู้พันทิปด้วยปะครับพี่โป ข้าราชการที่ไม่ใช่ข้าราชการพลเรือน.... รักษารพ. ค่ายสินะ... ตรงนั้นนอกเหนือหน้าที่ครับ เงินคนละกองกับข้าราชการพลเีรือน ผมเอื้อมไปแตะไม่ถึงจริงๆ จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 11:44:58

ความคิดเห็นที่ 40 สวัสดีค่ะคุณเภสัชกรกอล์ฟ  สบายดีนะคะ ตั้งกระทู้ได้ใจมากๆค่ะ  เอาไปเลยค่ะ give 3 คะแนน และจะ vote ให้ด้วย แน่นอนค่ะ การทำงานในระบบราชการนั้น  มีมายาวนานมากแล้วค่ะ  และดูเหมือนว่า ผู้อาวุโสทั้งหลายมีความประสงค์อย่างจะให้ลูกหลานรับราชการด้วย  เพราะ ดูดี เป็นเกีตรติเป็นศรีดิ์แก่วงตระกูล  มีแต่คนนับหน้าถือตา  ให้ความเคารพ แต่ประทานโทษสมัยนี้แตกต่างจากสมัยก่อนอย่างมากค่ะ  ข้าราชการก็แค่ คนทำงานให้แผ่นดิน หรือเป็น "ข้าของแผ่นดิน"  ไม่ได้เป็น "อภิสิทธ์ชน" เหมือนสมัยก่อนที่กล่าวอ้างกัน เงินเดือนก็น้อยนิดมากๆ  ใครไม่เชื่อสามารถเข้าไป ดูฐานเงินเดือนของข้าราชการได้เลยค่ะแบ่งตาม ซี หรือไม่ ก็ระบบแท่งเงินเดือน ในหนังสือพิมพ์ก็ เคยนำเสนอไป ในทีวีก็เคยออก คงไม่ยากที่จะหากัน  เคยคิดว่าฉันจะ สามารถตั้งตัวได้ไหมถ้าจะรับราชการ ประสบการณ์ตรงของตนเองค่ะ  สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี  ได้รับ การบรรจุเป็นข้าราชการเลย  ไม่ต้องสอบแข่งขันเนื่องจากเป็นวิชาชีพที่ คลาดแคลน  เพียงแค่มีการสอบสัมภาษณ์เท่านั้นเพื่อดูบุคคลิกลักษณะ และทัศนะคติต่างๆ ตอนเข้ามาได้ระดับซี 3 ขั้น 4 เพราะเรียนมา 5 ปี เงินเดือนประมาณ 7,000 บาทปลายๆ จำไม่ได้แน่ชัดเรื่องตัวเลข (555+ น้อยดีไหมค่ะ) คิดว่าจะอยู่ รอดในสังคมกรุงเทพไหมค่ะ ส่วนเพื่อนรุ่นเดียวกันยกขโยงไปทำงานภาค เอกชนค่ะ  เงินเดือนไม่ต้องพูดถึงค่ะ หลักหมื่น บางคน start 30,000 ก็มีค่ะ บางที่ได้ bonus 8 เดือนด้วยค่ะ ถามว่าน้อยเนื้อต่ำใจไหม ตอบก็มีค่ะ  อย่างมากด้วย แล้วทำไมต้องมารับราชการ ในเมื่อทราบอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ 1. ทำความประสงค์ของบุพการีค่ะ 2. ความมั่นคงในการทำงานในระยะยาว (ข้าราชการต่อให้มีการทะเลาะกันรุนแรง ก็ไม่สามารถไล่ออกได้ค่ะ นอกเสียจากว่าเป็นการผิดวินัยรุนแรง  ทุจริต) หลายคนอาจเหน็บแหนบ และอาจจะหาว่า  อ๋อ.....มิน่าล่ะถึงอยากรับ ราชการ  ทำอะไรก็ไม่โดนไล่ออกใช่ไหม  ยังงี้ "เช้าชาม  เย็นชาม" ก็ได้สิ ประทานโทษรอบสอง   เดี๋ยวนี้เขามีการประเมินผลงานเป็นรายบุคคลแล้วค่ะ โดยจะมีการตั้งคะแนมาตราฐานเอาไว้  ทุกคนต้องพัฒนาตนเองให้ก้าวผ่าน คะแนนไปให้ได้  ถ้าทำไม่ได้ก็ได้รับการตำหนิ และขั้นต่างๆก็ไม่ได้รับการ พิจารณาด้วย (ยากดีไหมค่ะ) นอกเหนือจากการพัฒนาในการทำงานแล้ว  การเข้างานก็ต้องตามระเบียบ ค่ะ  ที่ว่าจะเข้างานกี่โมงก็ได้  ไม่มีแล้วค่ะ  บางทีต้องทำงานล่วงเวลาแบบ ไม่มี ot ก็มี  แล้วแต่สถานการณ์  (ใครว่ารับราชการแล้วสบาย) และอีกอย่างนะคะ ข้าราชการทำงานเพื่อประชาชน การทำงานในระบบการ บริการในแต่ละวัน ก็ได้รับข้อร้องเรียนกันมาก  ประชาชนอยากได้นั้นได้นี่ บริการทุกระดับประทับใจแน่นอนค่ะ  ทุกคนได้รับเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ บุคคลากรในหน่วยงานมีจำกัด  เพราะตำแหน่งข้าราชการมีจำกัดนั่นเอง ที่มีการกล่าวอ้างว่า ข้าราชการชอบเอะอะกับประชาชนนั้น  ถ้าจะดูจริงๆมี น้อยนิดมากๆค่ะ  เพราะเราข้าราชการต้องถูกการประเมินในส่วนนี้เสมอค่ะ ในเรื่องของข้อร้องเรียนต่างๆ  ดังนั้น "ข้าราชการก็คือผู้ที่แบกรับความต้อง การของประชาชนนั้นเอง" 3. ความก้าวหน้าในการทำงาน   ข้อนี้มีค่ะ ไม่เถียง ถ้าเป็นบุคคลที่ขยัน รับรองว่าก้าวไปได้ไกลแน่นอนค่ะ 4. สวัสดิการต่างๆ  ดีค่ะ  มีจริง และเป็นสิ่งที่ดึงดูด  และเป็นจุดแข็งของ ระบบราชการที่เหนี่ยวนำให้หลายคนอยากเข้ามาทำกัน  แม้ว่าจะต้องสอบ แข่งขันกันเป็นหลายแสนคน แต่ต่ำแหน่งรับได้เพีงหลักหมื่นต้นๆเท่านั้น ก็ยัง พยายามกัน รับราชการ 1 คน แต่รัฐต้องแบกภาระรับผิดชอบครอบครัวข้าราชการด้วย กรุณาดูฐานเงินเดือนของข้าราชการค่ะ  ว่าทำไมรัฐต้องช่วยเหลือส่วนนี้ ซึ่งคุณเภสัชกรกอล์ฟก็ได้แจกแจงอย่างละเอียดมากไปแล้วค่ะ สำหรับเรื่องค่ารักษาพยาบาลนั้นก็ไม่เถียงค่ะ  ว่าได้ค่อนข้างดีมากๆ และมีหลายต่อหลายคนรู้สึกอิจฉากัน ใช่ไหมค่ะ   แต่จะบอกว่าตอนนี้หลายอย่างเปลี่ยนไปมากแล้วค่ะ  เราข้าราชการถูกจำกัด สิทธิ์ต่างๆมากกว่าแต่ก่อน  ยกตัวอย่าง  เช่นกลุ่มวิตามินและเกลือแร่ เราข้า ราชการไม่ได้รับฟรีอีกต่อไปต้อง  "เสียเงินเอง"  เวชภัณท์ทางการแพทย์ ต่างๆ เราก็ต้อง  "เสียเงินเอง"  แต่บัตรทองและประกันสังคมได้ฟรี (ยุติธรรมดีไหมหล่ะค่ะ) รัฐบาลเป็นผู้กำหนดระเบียบนี้ เพราะเห็นว่า "กรมบัญชีกลาง" รายงานตัวเลข ค่าใช้จ่ายต่อปีค่อนข้างสูง จึงทำให้มีระเบียบนี้ขึ้นมา  แต่เรียนตามตรงน่าจะ ตรวจสอบบุคคลที่น่าสงสัยเป็นรายบุคคลจึงจะดีค่ะ  ตามที่เป็นข่าวกัน สำหรับเรื่องยาที่เป็น local made กับ orinal นั้น ก็เถียงกันมาก แต่ต้องยอม รับว่าข้าราชการได้เปรียบตรงส่วนนี้จริง แต่คาดว่าในอีกไม่นานก็คงจะมี ระเบียบบางอย่างออกมาแน่นอน ในเรื่องการคำนึงถึง pharmacoeconomics ดังนั้นจะเห็นได้ว่าระเบียบต่างๆที่ข้าราชการเคยได้รับมากมายในสมัยก่อน จะค่อยๆถูกจำกัดลงเรื่อยๆ  (ก็ได้เพียงแต่หวังว่าจะพอมีอะไรดึงดูดและ เหนี่ยวนำให้อยู่ต่อไป)  เพราะเวลาเริ่มแก่ตัวไปก็หวังตรงนี้เหมือนกันค่ะ ส่วนเรื่องได้ค่าเล่าเรียนฟรีนั้น เอ......รัฐบาลเขาประกาศแล้วไม่ใช่หรือค่ะ ว่าคนไทยทุกคนเรียนฟรีจนถึงมัธยม 6 หรือว่าดิฉัยจะตกข่าว  แต่ที่ยังเก็บ ตังส์อะไรกันอยู่ มันเป็นค่าอย่างอื่นหรือเปล่าค่ะ  ไม่แน่ใจเพราะยังไม่มีบุตร ข้าราชการได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐไม่เกิน 2,000 บาทค่ะเท่าที่ทราบ สำหรับการเรียนในระดับ ป.ตรี ส่วนเรื่องอายุกำหนดไหม ไม่แน่ใจ 2,000 บาทเยอะดีไหมค่ะ สำหรับเรื่องการได้ไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น   โดยที่หน่วยงานนั้นส่งไป  และหลายแหล่งมีทุนการศึกษาให้ด้วย  ข้อนี้จริงค่ะ  นับว่าเป็นข้อดีมาก แต่ทุนต่างๆที่ได้รับมา  ใครจะได้ไปฟรีๆกันค่ะ   - ต้องแข่งขันกันเลือดตาแทบกระเด็นค่ะ - เรียนจบต้องกลับมาใช้ทุนคืน  โดยทำงานให้หน่วยงานนั้นๆตามระยะ เวลาที่กำหนด เวลาถูกส่งไปอบรมประจำปี  นอกสถานที่ได้ค่าอาหารกลางวัน   วันละ 60 บาท ค่าเดินทาง เช่นค่ารถ ค่ารถไฟ ค่าเครื่องบิน ค่าห้องพัก ก็ได้ตามอัตราเบิกตามระดับซี หรือแท่งเงินเดือนเท่านั้น   ถ้าเกินก็ต้อง "เสียเงินเอง" ข้าราชการไม่ได้อะไรฟรีทั้งหมดค่ะ  แต่ภาคเอกชนบางแห่ง support ส่วนนี้ ให้หมดค่ะ แล้วที่มีการกล่าวอ้างว่า เอาเงินหลวงไปประชุม ไปเที่ยวกันสุขสบายกิน อย่างราชา  ไม่มีอ่ะค่ะ  ไม่มีเลยสำหรับข้าราชการระดับผู้น้อยเช่นดิฉัน กลับมาต้องทำงานส่ง present ว่าไปฟังอะไรมา ได้อะไรมาบ้าง ไม่ได้ ไปเที่ยวเล่นเลย 5.บำเหน็จ บำนาญ ทุกคนก็หวังตรงนี้ค่ะ  มีรายได้ตอนแก่  เวลาไม่มีแรงทำ งานแล้ว  และก็ยังมีสวัสดิ์การดูแลสุขภาพอีกด้วย  นี่หล่ะมั้งที่เป็นแรงดึงดูด ได้พอสมควรค่ะ   ตอนนี้ก็แค่หวังไว้ว่า  รัฐบาลจะไม่จำกัดสิทธิ์อะไรต่างๆไปมากกว่านี้ เพราะ ถ้าขืนยังจำกัดมากไปกว่านี้ ก็คาดว่าหลายคนคงจะอยู่กันอย่างลำบากแน่ๆ ส่วนเรื่องหนี้สินของข้าราชการนั้น  ที่ชอบประโคมข่าวกันหนักก็จริงค่ะ ย้อนกลับไปดูฐานเงินเดือนค่ะ จะได้เข้าใจว่าทำไม สิทธิ์ขั้นพืนฐานควรจะมีค่ะ เช่นที่อยู่อาศัย รถยนต์ (คิดว่าจำเป็น เพื่อใช้งาน ไม่ได้อวดกัน)  ดังนั้นข้าราชทุกคนก็ต้องขนขวายพัฒนา สร้างฐานะของตน เองให้ดีขึ้นอยู่แล้ว  ใครที่มีทุนเดิมก็โชดดีไป แต่ถ้าไม่ก็ต้องพยายามกัน อย่างมาก  ดังนั้นหนี้สินจึงเกิดขึ้น   ทำไมมักจะได้ยินเสมอๆว่า ข้าราชการครูมีนี้สินมากก็ไม่ทราบ ตามข่าวต่างๆ แต่ดิฉันขอสนับสนุนให้มีหนี้ และทำงานใช้หนี้อย่างสุจริตนะคะ ถ้าหนี้นั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการสร้างความเป็น ปรึกแผ่นของครอบครัว และความมั่นคง ไม่ใช่หนี้ที่เกิดจาก อบายมุขทั้งหลาย อันนี้ไม่สนับสนุน และขอว่ากลับด้วย เห็นหลายคนบอกว่าข้าราชการสบาย ได้เงินเยอะ มีบ้านหลังใหญ่ รถขับโก้ ( จริงๆหรือค่ะ งงค่ะ ได้มาง่ายหรือค่ะ ถ้าทำแบบสุจริต)  ส่วนใหญ่มีทุนเดิม อยู่แล้วค่ะ  แต่ให้ข้อคิดไว้ว่า กว่าจะมีแบบนั้นได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทำงานเป็น เกลียว หัวเป็นน๊อตค่ะ  กว่าจะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น สุดท้ายขอให้ข้าราชการไทยทุกคน  ตั้งใจทำงานต่อไปค่ะ  ให้สมกับชื่อว่า "ข้าราชการ" อย่างแท้จริงค่ะ  และจะวิเศษมากค่ะถ้ารัฐบาลจะ ให้ความสำคัญกับข้าราชการทุกระดับ ทุกหน่วยงานด้วยค่ะ ขอขอบพระคุณค่ะ ปล. ไม่ได้อู้งานมาเขียนเล่นในพันทิปนะคะ  เดี๋ยวจะโดนหาว่าว่างมาก แต่พึ่งจะฝึกงานเสร็จแล้ว  ก็มีวันพักอยู่ 4 วันค่ะ กระทู้ที่แล้ว เหมือนดูแล้ว จะอิจฉา หรือ เหน็บแนม หรือ อะไรก็ไม่ทราบ แต่ที่เขียนมาก็เป็นข้อเท็จจริงของข้าราชคนหนึ่งเท่านั้นค่ะ ***แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 53 12:12:17 จากคุณ : athena_b เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 12:08:30

ความคิดเห็นที่ 41 ไม่ได้รับราชการ แต่คนใกล้ชิดและเพือนสนิทรับราชการ ขอเป็นอีกเสียงที่เห็นด้วยจริงๆ ที่ข้าราชการเงินเดือนน้อย.. มากกก เพือนสนิท ทุกวันนี้เงินเดือนเพิ่งจะเฉียดหมื่น ทั้งๆ ที่เพื่อนรุ่นเดียวกันไปที่หลายหมื่นแล้วสำหรับช่วงอายุอย่างเรา คนใกล้ตัวเรียนจบปริญญาตรี เป็นวิศวะกร เงินเดือนก็เพียงหมื่นนิดๆ เห็นออกไปทำงานแต่เช้าาา แถมบางทีวันหยุดก็ยังต้องรอสแตนบายอีก(เป็นความรับผิดชอบที่ปฏิเสธไม่ได้) เงินเดือนที่ได้ก็แค่หมื่นนิดๆ เคยคุยกะเค้าว่า นี่ถ้าไม่ได้เป็นวิศวะกร ไม่มีรายได้เสริมจากงานอื่น เงินเดือนแค่หมื่นนิดๆ นี่จะพอเลี้ยงเมี่ยมั้ยเนี่ย -*- อยากเป็นกำลังใจให้ข้าราชการไทยทุกคนค่ะ เราเชื่อว่ามีข้าราชการที่ทุ่มเทให้งานจริงๆ ไม่ใช่เช้าชามเย็นชามอยู่มากมายที่เราไม่เห็น อย่างเพือนสนิทก็คนนึง คนข้างตัวก็อีกคน ที่ทุ่มเทให้งานจริงอะไรจริง และที่สำคัญ ข้าราชการข้างกายเราทุกคน ล้วนภาคภูมิใจที่ได้ทำงานนี้  อีกทั้งยังยินดีและภูมิใจกะหน้าที่ของตน แม้จะมีเงินเดือนเพียงน้อยนิด ก็ตาม ตั้งใจและมุ่งมั่นทำงานต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้เสมอ เพราะพวกคุณเสียสละ ประเทศชาติถึงขับเคลื่อนไปได้ แม้พวกคุณจะได้เงินเดือนเพียงน้อย แต่พวกคุณมีคุณงามความดีที่ได้เสียสละเพื่อประชาชนอย่างเรามากมายค่ะ จากคุณ : dolphin_moo เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 13:34:15

ความคิดเห็นที่ 42 อยากเซฟกระทู้นี้ไปให้พ่ออ่าน เราโดนบังคับให้ทำงานเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย (เกือบจะคล้ายๆข้าราชการ) ทั้งที่ถ้าเราทำงานในสายงานที่เราจบมา  เงินเดือนกระฉูดกว่านี้ และเป็นนายของตัวเอง ตอนนี้นั่งเซ็งอยู่ว่าจะทำไงดีให้เค้าเข้าใจ จากคุณ : กาแฟบนดอย เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 14:19:07

ความคิดเห็นที่ 43 ยังไม่ได้อ่านความคิดเห็นด้านบนนะคะ แต่จะเล่าให้ฟัง ดิฉันเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล จบมหาวิทยาลัยท๊อปเท็นของอเมริกา เกียรตินิยม เงินเดือนกลับมา 9700 บาท+ค่าอะไรไม่รู้ 1500 บาท โดนหัก กบข.เดือนละ 300 บาท เป็นคนต่างจังหวัด ทำงานใจกลางกรุงเทพ เงินเดือนชักหน้าเกือบไม่ถึงหลัง แม่ต้องช่วยบ่อย ๆ ถ้าป่วยแล้วรัฐไม่ออกให้นี่คงต้องกินยาหมอตี๋ไปตลอด นี่ดีนะคะเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้ชายไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาแต่งเมีย เวลาเพื่อนๆ (ที่ทำงานเอกชน)นัดสังสรรค์ก็ไม่ค่อยได้ไป เพราะไปแต่ละครั้งก็ประมาณพันบาท ค่ารถ ค่าอาหาร ค่าจิปาถะ ถ้าไม่ติดใช้ทุนก็อยากจะลาออกไปทำอะไรๆสบายๆที่บ้าน น่าจะดีกว่า เงินที่ได้อาจจะไม่มากน้อยกว่านี้เท่าไหร่ แต่ค่าใช้จ่ายประจำวันถูกกว่าเยอะ แล้วถ้าถามว่าอยู่เมืองนอกไม่เก็บตังค์เหรอ ก็เก็บค่ะ แต่เงินเดือน นร.ทุนก็น้อยมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพขั้นต่ำ แถมยังต้องคอยรักษาเกรดให้สวย ไม่ค่อยมีเวลาทำงานหรอกค่ะ แล้วกลับมาก็ใช้เงินตั้งตัวไปซะมาก ซื้อชุดทำงาน มัดจำค่าหอ ฯลฯ แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 53 15:23:45 จากคุณ : - (bearjung) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 15:18:40

ความคิดเห็นที่ 44 มากันทั่ง กระทรวงกันเลยทีเดียว... ข้าราชการ ป.ตรี ตุลานี้ เพิ่มเป็น 8700 บาท เค้าว่าอั้น... 1.ไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้าน +ไป 2500 มั้ง เอาแบบถูกๆนะ 2.ค่าเทอมลูก +5000  -ถึงเท่าไหรดีล่ะ แล้วแต่ที่... 3.+ค่าตำแหน่ง+ค่าครองชีพ 4.สวัสดิการต่างๆ +เข้าไป แล้วลองรวมดู นี่ขนาดแค่เริ่มนะ....(ไม่นับที่ใต้โต๊ะใดๆ) เอกชนก็เงินเดือนไม่ต่างกันเท่าไหรหรอกครับ มีสูง มีต่ำเหมือนกันความมั่นคงก็ไม่มี แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆข้างบน ออกเองหมด ลองดูจะเหลือเท่าไหร ยกเว้นประกันสังคม นิดนึง(เพื่อนบอก ค่ายาพารา) แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 53 15:46:22 แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 53 15:43:48 จากคุณ : Van Persie เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 15:37:27

ความคิดเห็นที่ 45 ตอบคุณ Van Persie ครับ 8700 บาท สำหรับคนที่มีโอกาสได้เงินเดือน 30,000 บาทนี่... ไม่น่าแปลกนะครับ 1. ค่าเช่าบ้าน...เอาที่ไหนมาเอ่ย รู้หรือไม่ครับ ข้าราชการส่วนใหญ่ในประเทศไทย รับราชการใกล้บ้านครับ ไม่มีค่าเช่าบ้านอยู่แล้ว และบ้านพักไม่เคยพอกับความต้องการครับ 2. ไม่ได้มีลูกกันทุกคนนะครับ แล้วให้สิทธิแค่ 2 คน ที่สำคัญ...จนถึงมัธยม ใช้สิทธิเรียนฟรีเหมือนคนอื่นแหละครับ ถ้าคุณมีลูกคุณก็ได้ 3. ค่าตำแหน่ง ต้องซี 7 ขึ้นไปครับ ค่าครองชีพ ไม่ได้ครับ 4. สวัสดิการต่างๆ อย่างที่ผมอธิบายครับ ส่วนเรื่องใต้โต๊ะ คาดว่าคงเห็นจากข่าวมากกว่า ซึ่งแน่นอน ถ้าคุณนับรวมทั้งประเทศแล้ว คงมีแค่ 0.0001% ได้หละมังครับ ที่มีปัญหานี้ ลองเสียสละเวลาและเงินทองส่วนตัวมารับใช้ประชาชนครับ แล้วจะเข้าใจเพิ่มขึ้น จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 15:48:49

ความคิดเห็นที่ 46 แสดงว่าไม่ได้อ่านข้างบนเลย ผมบอกแล้วว่า ประกันสังคมหรือสิทธิราชการ การรักษาไม่ได้แตกต่างกัน ถ้าคุณเลือกรพ. รัฐเหมือนกันครับ แต่ที่ประกันสังคมคุณได้ยาแย่ๆ เพราะว่าคุณเลือกใช้รพ. เอกชนกันเอง ถ้าคุณเลือกรพ. รัฐ คุณจะไม่เจอปัญหานี้ ผมเป็นแค่ลูกจ้างภาครัฐครับ ก่อนหน้านี้จนถึงตอนนี้ประกันสังคมรพ. ตำรวจ ทั้งๆ ที่ตัวทำงานอยู่โรงพยาบาลเอกชน ตอนนี้ผมย้ายมาทำให้รัฐ ก็ยังใช้รพ. ตำรวจ ผมก็ไม่เห็นว่าจะแตกต่างอะไรกับโรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่สักเท่าไหร่ รพ. เก่าผมเกรด A นะครับ... จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 15:51:39

ความคิดเห็นที่ 47   ในสมัยหนุ่ม คนที่ทำงานราชการ ได้แต่หันไปมองเพื่อนรุ่นเดียวกัน แปบๆซื้อรถ แปบๆสร้างบ้าน.....กว่าเราจะได้อย่างนั้นบ้าง ก็เมื่อทำงานไปซัก 15 ปี+ จนกระทั่งเราเกษียณ ถ้าเพื่อนจะมาบอกว่า เมิงสบายจังเลย แก่แล้วยังได้กินเงินเดือนเปล่าๆ ดูกรูนี่ดิ แก่แล้วยังต้องทำงานหาเงินอยู่เลย.....ก็เลยตอบไปว่า ตอนหนุ่มๆ เมิงสบายกว่ากรู เงินเดือนเยอะกว่า มีโน้นนี่นั่น กรูเคยว่าไรป่าว....แล้วไมตอนนั้นเมิงไม่มาทำงานแบบกรูละ.... อีกนัยหนึ่ง สวัสดิการ คือการชดเชยค่าเสียโอกาสด้วยเช่นกัน จากคุณ : ชุดคุ้มครองครู เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 15:54:50 A:117.47.203.101 X: TicketID:154396

ความคิดเห็นที่ 48 "ข้าราชการ" รู้สึกว่าตัวเองโดนลดคุณค่าลง ก็ตั้งแต่มีรัฐบาลนึงเอาคำว่า "พนักงานของรัฐ" มาใช้แทนนี่แหละครับ ข้าราชการ คือ ข้า หรือคนรับใช้ของหลวง ของพระเจ้าแผ่นดิน พนักงานของรัฐ คือ พนักงานของรัฐบาล จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 15:59:28

ความคิดเห็นที่ 49 ผมเล่าเรื่องของผมบ้างดีกว่า ที่บ้านผมมีหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบระดับหนึ่ง จากปัญหาเศรษฐกิจสมัยก่อนนู้นนนนน ผมเองก็เลือกทำงานเอกชน เพื่อให้เพียงพอต่อปัญหาหนี้สินของครอบครัว จนกระทั่งปีที่แล้ว หากใครจำได้ ผมประสบอุบัติเหตุหนักมากเกือบเสียชีวิต นอนรพ. อยู่สองเดือน สิ่งที่ผมคิดระหว่างอยู่โรงพยาบาลโรงพยาบาลคือ ถ้าชีวิตนี้เกิดมาแล้ว เรียนมาทางสาขานี้แล้ว ไม่ได้ทำประโยชน์ตอบแทนให้ประชาชนและประเทศชาติ ผมเองคงเสียชาติเกิด ตอนสมัครงานที่นี่ ผมมาสัมภาษณ์ทั้งๆ ที่ยังเดินไม่ได้ปรกติ ต้องใช้ไม้ค้ำยันทั้งสองข้างอยู่เลย เมื่อได้รับการตอบรับ ผมตัดสินใจทิ้งเงินเดือนเกือบครึ่งหนึ่งที่เคยได้ เพื่อมาเป็นลูกจ้างรัฐ ที่ไม่มีความมั่นคงเลย ไม่ต่างกันกับเอกชน โชคดีที่ทางบ้านปลดหนี้สินได้จำนวนมากพอที่ทำให้ผมสามารถย้ายงานได้อย่างไม่ต้องคิดอะไรมากนัก จากเดิมที่ผมอยู่โรงพยาบาล ทำงานบริหาร วางแผนต่างๆ มีคนช่วยเหลือ อยากทำอะไรก็มีคนทำให้ ผู้บริหารให้เครดิต โรงพยาบาลช่วยส่งให้เรียนต่อป.โทบางส่วน ใช้เงินได้อย่างสบายมือ แม้ผมจะไม่ได้สิทธิแบบราชการใดๆ เลยก็ตาม และไม่มีทางได้บรรจุด้วย เพราะผมเป็นพนักงานสายวิชาการ ทำงานวิจัยอย่างเดียว แต่ผมก็ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาทำงานตรงนี้ ผมเชื่อว่าข้าราชการส่วนใหญ่ ทำงานได้ด้วยสาเหตุไม่กี่อย่างหรอกครับ หนึ่งในนั้นคือการได้รับใช้ประชาชน รับใช้แผ่นดินเกิด และตัวผมเอง ภูมิใจครับ โดยไมเคยสนใจสิทธิอะไรเลย... --------------------------------------------------------------------------------- แหม... พูดซะดูดี แต่ผมคิดแค่นี้จริงๆ จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 16:04:27

ความคิดเห็นที่ 50 มันเป็นความเชื่อของคนสมัยเก่าที่ชอบให้ลูกหลานรับราชการ   เพราะเค้าว่ากันว่าจะได้เป็นเจ้าคนนายคน   ซึ่งมันก็มีส่วนจริงค่ะ   แต่ต้องยอมรับให้ได้ด้วยว่า   จนชิกอ๋ายยยยย เราเรียนมา 5 ปี   จบมาด้วยเกียรตินิยม   หน้าตาไม่ได้ขี้เหร่   เรียกว่าพอมีทางเลือกในการหางานทำ    คุณแม่เราก็รับราชการอยู่แล้ว   คือไม่มีความจำเป็นต้องรับราชการเพื่อให้พ่อแม่ได้สิทธิรักษาพยาบาล     แต่คุณพ่อคุณแม่เราก็ยืนยันอยากให้รับราชการค่ะ   เราเริ่มเงินเดือนเดือนแรกด้วยจำนวน 7400 บาท    ตอนนั้นยังไม่มีให้ค่าครองชีพด้วย    เพื่อนๆทำเอกชนได้คนหลายหลายหมื่น   บ้างก็เกือบๆแสน     เราเศร้าใจมาก   ว่าทำไมเงินเดือนจึงได้ต่ำเตี้ยขนาดนี้    โบนัสก็ไม่มีกะเค้า   ทำงานทั้งปีเก็บเงินได้ไม่เท่าไหร่   ขนาดไม่ได้มีภาระอะไร   งานก็แยะ   เข้าไปปุ๊บต้องไปสางขรี้ที่คนอื่นเค้าทำไว้    บางวันต้องหอบงานกลับไปทำที่บ้าน    อยู่เวรก็บ่อย   ถ้าถามเรื่องสิทธิรักษาพยาบาล   ตั้งแต่ทำงานมา 6 ปี   แทบไม่เคยใช้สิทธิเบิก   เพราะอะไรรู้มั้ยคะ   เพราะทนรอตรวจที่ รพ.รัฐไม่ไหว    กว่าจะได้ตรวจเป็นวัน   เสียงานเสียการหมด    อาศัยพอมีความรู้อยู่บ้างก็หาหยูกยาซื้อกินเอง    อันไหนเกินความสามารถจึงค่อยไป รพ.    ยิ่งตอนแม่เราป่วยยิ่งซึ้งชีวิตข้าราชการค่ะ    จะไปตรวจที่ รพ.เอกชน ก็ไม่ไหว   แพงมากเบิกไม่ได้เพราะไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน    ถ้าเป็นกรณีฉุกเฉินจึงจะเบิกได้ครึ่งนึง    จำใจต้องทนรอรักษาที่ รพ.รัฐ    แม้จะยอมจ่ายค่าคลินิกนอกเวลาเอง   แต่ก็ยังรอคิวนานนนนนนมากกกกก     ค่าตรวจนั้นแม้ใน รพ.รัฐ   ก็ยังต้องจ่ายค่าส่วนเกินสิทธิเองประมาณครึ่งนึง   ซึ่งยังแพงอยู่ดีสำหรับเงินเดือนข้าราชการ (โหยยยยยย    แล้วจะเหลือเงินเดือนใช้ซักเท่าไหร่)     แต่อย่างน้อยก็ถูกกว่าเอกชนล่ะนะ    สุดท้ายตอนนี้คุณแม่เราต้องเจียดเงินเดือน (น้อยนิด) ไปซื้อประกันสุขภาพเองอยู่ดี................แล้วมันต่างจากคนทำงานเอกชนตรงไหน เหลียวมองไปที่ประชาชนคนทั่วไป    ถ้าทำงานเอกชนอย่างน้อยเงินเดือนคงมากกว่าข้าราชการซัก 30 %   เวลาป่วยก็ใช้ประกันสังคม    อย่างน้อยเลือก รพ.ได้เอง    เอกชนก็ยังได้    หรือไม่ก็ใช้บัตรทอง   ฟรีตลอดดดดดด    ไม่ต้องมานั่งกลุ้มว่าวันนี้ชั้นต้องจ่ายส่วนเกินสิทธิเท่าไหร่ เรื่องค่าเล่าเรียนบุตร   อันนี้เบิกได้   แต่ว่าตอนนี้คนทั่วไปก็เรียนฟรีแล้วไม่ใช่เหรอ นอกจากนี้  ข้าราชการยังได้รับของแถม   เป็นการมาขอให้ไปค้ำประกันนั่นนู่นนี่   ค้ำเงินกู้   ค้ำคนเข้าทำงาน   ค้ำประกันตัวออกจากคุก  ฯลฯ ......................เงินเดือนตรูก็น้อยอยู้แล้วยังหาเหามาใส่หัวตรูอีก สรุปแล้วจะรับราชการทำป๊ะอะไร...............................................................................................ขอบอกว่าข้าราชการสุจริตนั้นทำงานจนวันตายก็ไม่มีทางรวย    ใครไม่ได้รวยมาก่อน   รับราชการแล้วซื้อบ้านใหญ่โต   ซื้ัอรถหลายคัน   ส่งลูกเรียนเมืองนอกได้นั้น   สันนิษฐานไว้ก่อนได้เลยว่าคงได้เงินมาแบบไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่     คนที่เป็นข้าราชการนั้นอาจดูไม่ฉลาดที่ทนรับเงินเดือนน้อยๆ    แต่ต้องยอมรับว่าข้าราชการนั้นมีเกียรติ    ซึ่งอย่าได้อิจฉาเลย   เพราะเกียรตินั้นได้มาจ่ากการยอมเสียสละอะไรหลายๆอย่าง    ชีวิตข้าราชการคนนึงนั้น   ไม่มีเงินทองมากมาย   แล้วจะไม่ให้เค้ามีเกียรติไว้ภาคภูมิใจซักอย่างเลยหรือ อาจจะไม่ค่อยเกี่ยวกับหัวข้อกระทู้เท่าไหร่   แค่อยากบอกเฉยๆค่ะ จากคุณ : SWEET TOFFY เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 16:10:48

ความคิดเห็นที่ 51 หมอก้อนหินครับ แต่สำหรับผมผมรู้สึกไม่ต่างกันนะ จะข้าราชการ ข้าราษฎร ก็ไม่ต่างกัน เพราะสุดท้ายสิ่งที่เราทำ คือทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 16:11:37

ความคิดเห็นที่ 52 อ่านมาทั้ง 2 กระทู้ รู้สึกว่า Van Persie ไม่ได้สำเนียกข้อความที่หลายคนแสดงความคิดเห็น  คิดเอง ไปข้าง ๆ คู อยู่นั้นล่ะ  ค่าอะไรที่คุณว่าถ้ามันไม่มีเบิกจะ เอาไปบวกได้ยังไง 1.ไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้าน +ไป 2500 มั้ง เอาแบบถูกๆนะ ก็ถ้าไม่ได้เช่าบ้าน จะไปเบิกยังไง  ถ้าเลือกบรรจุกทม ก็เบิกไม่ได้ กลับภูมิลำเนาก็เบิกไม่ได้  แล้วถึงเบิกได้ 2500 ได้แค่ซุกหัวนอนล่ะมั่ง  บ้านผมให้เช่า ขนาดว่าผุ หลังคามีรู ยัง 3000 เลยนะ 2.ค่าเทอมลูก +5000  -ถึงเท่าไหรดีล่ะ แล้วแต่ที่... ไม่มีลูกก็ไม่ได้  ค่าเทอมนี้ดีหน่อย รัฐให้เรียนฟรี แต่ถ้าเป็นโรงเรียนอินเตอร์ก็ตัวใครตัวมัน 3.+ค่าตำแหน่ง+ค่าครองชีพ ครองชีพ สำหรับเงินเดือน ไม่เกิน 11000 บาท ยังไม่หัก กบข. ค่าตำแหน่ง โน่น ซี 8 ซี9 ทำงานอีก 30 ปี จะได้เป็นหรือเปล่า 4.สวัสดิการต่างๆ +เข้าไป สวัสดิการต่าง ๆ คงเป็นค่ารักษาพยาบาล ดีหน่อย เบิกตรง ไม่ต้องจ่ายเงินสด  ไม่เจ็บไม่ป่วย จะไปทำไมล่ะโรงพยาบาล   สรุปเดือนนี้ ผมได้ 8000 บาท (ได้มาจะ 6 เดือนล่ะ) เพราะค่าครองชีพยังไม่ตกเบิก ต้องจ่าย กบข  หุ้นสหกรณ์  แล้วก็ส่งหนี้ที่กู้มา   ไปหาหมอมาเสียตังค์ไป500 บาท ยังไม่ได้เบิก แต่ถ้าเบิกไม่ได้ ก็คงไม่ได้ได้ เงินเดือนจริง ๆนะ 10500 บาท โดยประมาณ อีกสัก 10 ปีล่ะ ถึงจะถึง 20000 บาท  ไอ้เรื่องใต้โต๊ะนะ  บอกตรง ๆ ไม่กล้า  กลัวกรรมมันตามทัน จากคุณ : 007 (panaratb) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 16:13:50

ความคิดเห็นที่ 53 อ่านมาทั้ง 2 กระทู้ รู้สึกว่า Van Persie ไม่ได้สำเนียกข้อความที่หลายคนแสดงความคิดเห็น  คิดเอง ไปข้าง ๆ คู อยู่นั้นล่ะ  ค่าอะไรที่คุณว่าถ้ามันไม่มีเบิกจะ เอาไปบวกได้ยังไง ----------------------------------- ผมหมายถึง อ่ะ ยกตัวอย่าง ผมทำงานเอกชน 10500 เท่าคุณนะ -ค่าเช่าบ้าน 3000 -ค่าประกันสังคม -กู้ซื้อรถ +บ้าน ดอกมันก็ต่างกันนะ เกิดป่วยนอกเหนือจากเจ้าบัตรนี้ล่ะทำไง หมอบอกค่ารักษา 1 ล้านอย่างงี่.. ให้ผมทำไง ราชการมีไหมป่วยนอกเหนือบัตรข้าราชการ แล้วจ่ายเอง เต็มๆ แล้วประเด็นผม มันก็แค่ เรื่องนี้นะครับ... จากคุณ : Van Persie เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 16:30:54

ความคิดเห็นที่ 54 เป็นข้าราชการค่ะ เป็นมานานจนลืมไปแล้วว่า ทำไมถึงเป็น (อาจจะรักษาไม่หาย...ฮา) เพิ่งเป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ ภาค ค. รับข้าราชการใหม่สายพัสดุ ธุรการ การเงิน โต๊ะเราสัมภาษณ์ไป 30 ราย (จาก 2,000 ราย !!!!ที่มาสอบในวันเดียวกัน) ถามเหตุผล  เหตุผลอันดับหนึ่ง คือความมั่นคง ไม่ไล่ออกกันง่าย ๆ   อันดับสองคือ เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ สำหรับตัวเอง พ่อแม่และลูก สายนี้ ไม่ใช่สายขาดแคลน  คนที่มาสัมภาษณ์มากันทั่วประเทศ เชียงราย ปัตตานี ตีรถกันมาทั้งคืนเพื่อมาสัมภาษณ์ 29 คนมีรายได้ต่ำขั้นต่ำราชการ (หนึ่งหมื่นบาท) 1 คนรายได้สูงกว่า แต่ยินดีทิ้งเพื่อความมั่นคง ถ้าจะว่า เงินเดือนราชการต่ำ ก็คงตำกว่าเอกชนในกรุงเทพฯเท่านั้น บวกสวัสดิการและบำเหน็จบำนาญ บวกกับเกียรติ ก็ยังเป็นอาชีพในฝัน ของพี่น้องคนไทย แต่ อนาจยิ่งนัก ไม่อยากบอก ก่อนวันสัมภาษณ์ ผู้ใหญ่ในกรมฯ ยัดรายชื่อใส่มือ ถ้าเจอคนตามชื่อนี้ ให้.... ได้แต่ภาวนา อย่ามาโต๊ะฉัน ฉันไม่อยากทำบาป โชคดีที่ไม่มีมา และได้ให้คะแนนไปจริงตามหลักเกณฑ์การพิจารณา และหวังว่าจะมีใครสักคนที่ได้เรียกเข้าทำงาน ตามผลสอบในครั้งนี้ แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 53 18:05:12 จากคุณ : แม่น้องหยง เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 16:33:38

ความคิดเห็นที่ 55 ราชการก็เบิกไม่ได้เยอะแยะอย่างที่บอกครับ ประกันสังคมก็เบิกได้เยอะแยะเช่นกัน ตอนประสบอุบัติเหตุถึงปัจจุบัน ผมใช้ค่ารักษาจากประกันสังคมไป น่าจะร่วมๆ 3 แสนบาท ผ่ากับหมอมือหนึ่งของรพ. ถ้าผมเป็นราชการหรอ....ไม่ต่างกันครับ ราชการมีกบข. ที่โดนหักเงินล่วงหน้า เอกชนมีประกันสังคม ได้บำนาญเหมือนกันครับ ไม่มีความต่าง ได้สิทธิรักษาพยาบาลเหมือนกัน ไม่มีความต่าง อ้อ แล้วผมบอกให้อย่างนึงครับคุณ Van ไม่มีอะไรที่นอกเหนือจากบัตรประกันสังคมคุณครับ... ยกเว้นรพ. ที่คุณเลือกประกันตน ไม่ยอมให้เอง จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 16:40:56

ความคิดเห็นที่ 56 ครับ 10500 บาท เท่ากัน   แต่อัตราเงินเดือนขึ้นมันเท่ากันหรือเปล่า รอบนี้ เงินเดือนผมขึ้น ไม่เกิน 200 บาท ไม่โบนัส (ไม่มีปีนี้ หรือปีไหน) ถ้ายังไง คุณไปสอบ กพ. ทิ้งไว้ก็ดี  เวลาเข้ารับสมัครก็ลองสอบดู จะได้เป็นข้าราชการเหมือนกัน จะได้เข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น เมื่อคุณคิดว่าสวัสดิการที่ข้าราชการได้รับ มันคุ้มค่าพอกับเงินเดือนที่คุณได้และจะได้เพิ่มในอนาคต ให้รีบหน่อยนะ ข้าราชการคนสมัครแยอะ แต่รับน้อย จากคุณ : 007 (panaratb) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 16:48:27

ความคิดเห็นที่ 57 อ้อ แล้วผมบอกให้อย่างนึงครับคุณ Van ไม่มีอะไรที่นอกเหนือจากบัตรประกันสังคมคุณครับ... -------------- ลองไปอ่านเงื่อนไขบัตร ผมว่ามันมีนะ จากคุณ : Van Persie เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 16:48:30

ความคิดเห็นที่ 58 เข้ามายืนยันอีกเสียงว่าสิทธิข้าราชการถูกริดรอนจริงๆ ขนาดอยู่ในวงการยังเริ่มปลง...... ยาของคุณพ่อถูกตัดออกทีละน้อย คนที่บ้านเอาทุนไปเรียนโท-เอก ใช้ทุนมาสิบปีกำลังจะหมดทุน เงินเดือนสองหมื่นนิดเดียว กำลังคิดว่าได้รับใช้มาพอหรือยัง ควรจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ดีมั๊ย.... ทุกวันนี้เบื่อคำว่าผู้ใหญ่สั่งมากกกกก  จะสั่งอะไรกันนักกันหนา เสาร์อาทิตย์ก็โทรมาสั่ง ..... จากคุณ : I Promise เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 17:03:53

ความคิดเห็นที่ 59 ไม่ต้องลองหรอกครับ เงื่อนไขที่มี ก็ไ่ม่ได้ต่างกับราชการครับ จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 17:17:40

ความคิดเห็นที่ 60 ที่ไหนเบิกค่าเทอมลูกได้ตั้ง 5000 บาท ดิฉันจ่ายค่าเทอมลูก 17500 บาท เบิกได้ 1950 บาท ดีใจจะตาย จากคุณ : redclick เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 17:46:44

ความคิดเห็นที่ 61 เข้ามารายงานตัวว่าเป็นข้าราชการ  ทำงาน15ปี  เงินเดือนเริ่มต้น8010  เรียนสาขาที่ต้องเรียนุ6 ปี  ตอนนี้28000กว่าบาท  เสาร์อาทิตย์ทำงานฟรีทุกวัน  วันละไม่ตำกว่า3 ชม.  เน้นว่าต้องมาทำเสาร์อาทิตย์ฟรีทุกอาทิตย์  ไม่มีค่าแรง  มา15ปี  ไม่มาไม่ได้โดนด่า  แต่ ตอนนี้วิตามินรวม  ยาแก้ไอสมุนไพรก็เบิกให้แม่ไม่ได้  ตัดปัญหาซื้อเอง  เเต่ยาที่สิทธิ์ 30บาท  ใช้ได้ฟรีมีมากขึ้นทุกที  ปีหนึ่งนั้นก็เสียภาษีไม่น้อยเลย  ในขณะที่  30บาทเค้าส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียภาษี  งานทำดีก็เสมอตัว  ทำไม่ถูกใจจะฟ้องเข้าคุก  มันมีอีกเเยะ  เเต่ขี้เกียจพิมพ์แล้ว จากคุณ : pchanng เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 17:47:26

ความคิดเห็นที่ 62 สิ่งเดียวที่เราอิจฉาข้าราชการคือ การได้ซื้อปืน สนสก แต่เรื่องอื่นๆ เราว่าสิทธิ์ข้าราชการถูกลิดรอนมากเลยทีเดียว จากคุณ : พลูโต_มาดริด เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 17:58:48

ความคิดเห็นที่ 63   เข้ามาดูค่ะ จากคุณ : ถอด log in มาตอบ เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 18:14:22 A:124.122.227.73 X: TicketID:095111

ความคิดเห็นที่ 64 เออวุ้ย เขาอธิบายกันมาตั้งนาน สุดท้ายคนบางคนก็ไม่ยอมเข้าใจ สักแต่ว่าจะเรียกร้องสิทธิเพื่อตนเอง โดยไม่ได้ดูเลยว่าตนเองทำหน้าที่อะไรให้กับคนอื่นบ้าง สิทธิของข้าราชการ ไม่ได้ได้มาฟรีๆ แต่ต้องถูกหักจากเงินเดือนที่น้อยกว่าเอกชนมากมาย เรื่องค่าเช่าบ้าน ก็รู้ไว้อย่างนึงว่า ที่พักของข้าราชการมันเต็มตลอดปีตลอดชาติ ไม่เคยว่างให้ข้าราชการเข้าได้ง่ายๆนักหรอก จะอ้างค่าเทอม เอาเต็มที่เทอมละ 5 พัน ลูก 2 คน ปีนึง 2 เทอม ก็เป็นเทอมละ 2หมื่น หรือคิดก็ประมาณเดือนละ 2 พัน แต่ให้บอกอย่างหนึ่งนะครับ ถ้าผมเงินเดือนแค่ 10500 + มีภรรยาเงินเดือนน้อยพอๆกัน แล้วจะมีลูก ผมคงไม่กล้ามีหรอก ผมคงกล้วลูกผมอดตายมากกว่า กู้เงินซื้อรถซื้อบ้าน มันเรื่องส่วนตัวของคุณ ผมยังไม่มีรถยนต์ส่วนตัวด้วยซ้ำ บ้านที่ผมอยู่ ผมก็ไม่มี ต้องอาศัยเช่าหออยู่เหมือนกัน ทางราชการก็ไม่ได้ช่วยเหลือด้านที่พักให้ผม อยากมีบ้าน อยากมีรถ แต่ไม่พร้อมจ่าย เจือกมาโวยวายว่าเพราะตูไม่ได้เป็นข้าราชการ ถามจริงๆเหอะ ได้สำเหนียกถึงฐานะของตัวเองหรือเปล่าว่า "ตนเองอยู่ในฐานะระดับใหน" ถึงจะมาโวยวายอยากได้ที่พักดีๆที่เรียกว่า "บ้าน" อยากจะได้รถยนต์ส่วนตัว ทั้งๆที่ตัวเองมีเงินพอแค่นั่งรถเมล์ โวยวายไปยิ่งคิดได้แค่ว่า "จนแล้วไม่เจียม พอเงินไม่พอใช้ก็เลยมาเหวี่ยงใส่ข้าราชการ" ส่วนเรื่องป่วย ค่ารักษา 1 ล้าน มันจะมีซักกี่โรคเชียวที่ค่ารักษาเป็นล้าน? เอาเป็นแสนก็ได้ เอาเป็นว่า "หากจำเป็นจริงๆที่จะต้องรักษา หมอโรงพยาบาลรัฐไม่ได้สนใจเรื่องเงินค่ารักษาพยาบาล" หวังว่าคงจะชัดเจนนะ สิทธิ์ประกันสังคมก็คงช่วยจ่ายให้คุณได้บ้าง หรือหากคุณใช้บัตรทอง ก็คงช่วยจ่ายให้คุณได้บ้าง หรือต่อให้คุณเป็นข้าราชการ คุณก็ต้องจ่ายส่วนต่างอยู่ดี มาโวยวายโรคที่ค่ารักษาเป็นล้าน??? ทั้งๆที่คนเป็นโรคที่ต้องใช้เงินค่ารักษาเป็นล้านมันน้อยมากๆ (ยกเว้นแต่ว่าจะไปนอนห้อง Sweet Deluxe โรงพยาบาลอยู่สหรัฐอาหรับเอมิเรตอ่ะนะ รับรองว่าต่อให้เป็นแค่หวัดใหญ่ ค่ารักษาก็เป็นล้านแน่ๆ) เรียกร้องเอาอะไร สิทธิ? ถามกลับ คุณทำอะไร คุณถึงสมควรได้รับสิทธินั้น ตอบผมมาก่อนละกัน จากคุณ : Umiki เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 18:15:02

ความคิดเห็นที่ 65 โดยส่วนตัวไม่ได้เป็นข้าราชการค่ะ ไม่ได้ทำบริษัทเอกชน(แต่ก็เคยทำอยู่) ตอนนี้ทำธุรกิจส่วนตัวค่ะ ตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน๊อต พึ่งความสามารถของตัวเองทุกอย่างค่ะ รับรู้และเข้าใจและเห็นใจข้าราชการ "ดี-ดี"  ทุกๆท่าน ที่ยอมเสียสละในหลายๆสิ่ง เพื่อประชาชน(เพื่อประเทศ) โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในถิ่นทุรกันดาร เสียงอันตรายต่อชีวิต ขอน้อมรับคุณความดีทุกๆท่านจากใจค่ะ และสำหรับข้าราชการท่านใดที่คิดว่า....... "ช๊านนน...ทำดีที่สุดแล้ว..น๊า...." (แต่จริงๆยังดีไม่พอ อย่างที่รู้ๆกัน บางวัน แอบเล่นใต้โต๊ะ บางที แอบเล่นเส้นสาย บางช่วง แอบเล่นบัตรเบ่ง ในทุกๆวัน ทำงานแบบขอไปที เช้าชาม-เย็นสองชาม หวังผลประโยชน์เพื่อ ตัวเอง พวกพ้อง หวังกอบโกย รวยทางลัด บลาๆๆๆ 55+) รู้ตัวไว้สักนิดนะคะ "คุณคือจุดอ่อน..เชิญค่ะ" แล้วจากนั้น ข้าราชการ ดี-ดี  ทุกๆท่านก็จะได้รับเงินเดือน และผลประโยชน์ ชดเชยต่างๆได้มากกว่าปัจจุบันที่เคยได้ ให้คุ้มกับที่ทุกๆท่านยอมเสียสละความสุขสบายในชีวิตเพื่อคนอื่นๆค่ะ (จริงๆแล้วความคิดแบบนี้คงเป็นได้แค่ความคิด เพราะในความเป็นจริงคนที่เป็นจุดอ่อนกลับจะมีมากขึ้นๆ จนจะกลายเป็นจุดแข็งของระบบไปเสียแล้ว) T_T จากคุณ : นันนะซัง เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 18:17:21

ความคิดเห็นที่ 66 คุณ Van Persie ข้าราชการ ก็ต้องเสียค่าเช่าบ้านค่ะ ต้องกู้ซื้อรถ ซื้อบ้าน ดอกเบี้ยก็เท่ากับเรทธนาคารทั่วไป เพียงแต่มีเงินเดือนไปค้ำประกันวงเงินกู้เท่านั้น บัตร ปกส ใช้ได้เท่าเทียมบัตรข้าราชการ ถ้าคุณเลือกจดทะเบียน ปกส กับ ร.พ. รัฐ บาง รพ บอกว่า บัตร ปกส ได้ยามากกว่า บัตรข้าราชการอีก ส่วนค่ารักษาหนึ่งล้านที่ว่านั้น ถ้ามันเป็นส่วนที่เกินจากสิทธิราชการ (เช่น ค่าห้องพิเศษ ค่ายาพิเศษ ค่าคีโมเข็มละแสน) ข้าราชการก็ต้องจ่ายเหมือนกันค่ะ คำถามสุดท้าย ราชการมีไหมป่วยนอกเหนือบัตรข้าราชการ แล้วจ่ายเอง เต็มๆ ตอบให้แล้วนะ จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 18:29:12

ความคิดเห็นที่ 67 คุณข้างบ้านเราเป็นข้างราชการ แม่เป็นเบาหวานค่ายาเดือนเป็นหมื่น ตอนนี้ตัวเขาตาย แม่เขาต้องไปเปลี่ยนใช้สิทธิผู้สูงอายุ คุณภาพยาที่แม่เขา ได้ตอนนี้กับก่อนลูกเขาตายไม่เหมือนกันค่ะ ข้อดีที่สวัสดิการ ดีจริงๆ ค่ะ ค่าเช่าบ้านก็ช่วยจ่าย ค่าเทอมลูกส่วนหนี่งแต่ไม่ทั้งหมด  รักษาฟรีทั้งบ้านแต่โรงพยาบาลรัฐต้องไปนั่งเข้าคิวตั้งแต่ ตี 5 เงินเดีอนขี้นทุกปี ทำงานแบบเรี่อย ๆ ก็ไม่มีคนไล่ออก แต่เงินน้อย ต้องเลียเก่ง จากคุณ : มนชิจัง เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 18:31:22

ความคิดเห็นที่ 68 ถ้าคุณเคยเห็นใบเสร็จรับเงินของ ร.พ. มันจะแยกเป็นสองช่องอย่างชัดเจน ค่ารักษาพยาบาลส่วนที่เบิกได้ และ ค่ารักษาพยาบาลส่วนที่เบิกไม่ได้ ส่วนไหนจะมากกว่ากัน ก็ขึ้นอยู่กับรายการใน บ/ช ยา และในระบบเบิกจ่าย จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 18:41:53

ความคิดเห็นที่ 69   ไม่อยากรับฟัง  ก็ไม่ต้องมาพูดกับคนอื่นครับ    คุณเกรียน จากคุณ : ผมเป็นไปตามกรรม เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 18:48:18

ความคิดเห็นที่ 70 ขอบคุณครับ วิเคราะห์ได้ดีครับ แต่ผมว่า ยังไงๆ ข้าราชการก็ได้เปรียบอยู่ดีครับ อย่างเช่น ในมหาวิทยาลัยที่ผมทำอยู่ มีที่พักให้ฟรี ถ้าสอนนอกเวลาก็ได้โอที ลูกเรียนก็เบิกได้ สังคมภายในก็ดีพร้อม ผมว่า บางสิ่งบางอย่างมันก็ต้องแลกกันนะครับ อาจจะเงินเดือนน้อยไปหน่อยตามระบบ แต่อย่าลืมว่า นั่นแค่เงินเดือน แต่บางคนที่เค้ามีความสามารถ ก็ยังมีตำแหน่งเสริมให้อีกนะครับ ค่าตำแหน่งก็มีให้ บ้านก็ไม่ต้องเช่า ความมั่นคงในชีวิตก็สูงกว่า มันก็ต้องแลกกันหละครับ ถ้าเอกชน จขกท. อย่าเพิ่งเปรียบไปจนถึงเกษียนเลยครับ ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่ถ้าข้าราชการอยู่กันจนถึงเกษียนเยอะไป  เอกชน อย่างดีก็ 50 ปี ก็ออกกันหมดแล้วหละ ยกเว้น คนเก่งๆมีความสามารถ อยู่องค์กรใหญ่ๆ ได้เป็นที่ปรึกษา เป็นคณะกรรมการ และอยากให้ลองเปรียบเทียบกับเอกชนที่ไม่ใหญ่ด้วย หน่วยงานเล็กๆ ค่าแรงต่ำๆ มีหัวหน้าที่เขี้ยว ไม่มีคุณธรรม กดขี่ทั้งคำพูดจา และเงินเดือน กดดันการทำงาน และอีกหลายๆอย่าง เอกชนยังมีเรื่องเลวร้ายอีกเยอะครับ อาจใช่นะครับ ว่าบางที่เงินเดือนดี แต่เค้าคงไม่ให้มานั่งสบายๆอยู่แน่ครับ ทำงานอย่างกะหุ่นยนต์กันเลยทีเดียวครับ ที่ผมพูดได้แบบนี้ เพราะผมเริ่มต้นจากการทำงานเอกชนมาก่อน รวมถึงแฟนด้วย ต่างคน ก็ต่างโดนหนักมาสารพัดรูปแบบ แต่ตอนนี้ผมทำงานให้หน่วยงานราชการ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมยังไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการนะ แต่แค่นี้ ผมก็รู้สึกได้แล้ว ว่า สังคมมันดีกว่าเอกชนเยอะ บางครั้ง เงินก็หาซื้อความสบายใจส่วนนี้ไม่ได้หรอกครับ เราทำงานอย่างสบายใจ อย่างมนุษย์ทั่วไปที่ควรได้รับ อย่าคิดไปเป็นหุ่นยนต์เลยครับ ผมแค่เสนออีกแนวคิดหนึ่งเท่านั้นนะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : indysoft เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 20:01:25

ความคิดเห็นที่ 71 เนอะ จากคุณ : ยายกินลำไยน้ำลายยายไหล เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 20:24:05

ความคิดเห็นที่ 72   เห็นด้วยกับเรื่องสวัสดิการของราชการ เราเองยอมรับสภาพมาตลอดไม่กล้าปริปากบ่นเพราะกลัวเจ้าของภาษีด่าจิกเอา ทำใจได้กับเงินเดือนน้อยนิด โชคดีที่ทางบ้านมีอันจะกินไม่ต้องส่งเสียใคร รักงานในหน้าที่และทุ่มเทกับมันมาตลอดหลายครั้งยอมควักเนื้อตัวเองจ่ายไปเพื่อให้งานลุล่วง ทำโอฟรีมาตั้งแต่เด็กยันแก่โดนเอาเปรียบดักแข้งดักขายังไงก็สู้ทน แต่ตอนนี้ลาออกมาแล้วเพราะรู้สึกเต็มกลืนกับวัฒนธรรมองค์กรเลวๆ เล่นพวกเล่นพ้อง คอรัปชั่นกันเป็นกระบวนการ บ้ายศศักดิ์บ้าอำนาจกันไม่เลิก ปฏิรูปราชการอย่างไร้สติบ้าบอคอแตกเพียงเพื่อสร้างผลงานให้ฝ่ายการเมือง ขยะแขงกับวิกฤติด้านคุณธรรมของผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงาน ลาออกมาแล้วสบายใจมากไม่ต้องฟังใครลำเลิกเรื่องสวัสดิการอีกต่อไป จากคุณ : ปลดแอกแล้วหลั่นล้า เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 20:25:04 A:90.224.230.189 X: TicketID:159141

ความคิดเห็นที่ 73 ยังต่ออีกนิดนะครับ ยังรวมถึงสิ่งนอกเหนือจากนี้อีกนะครับ สมมุติวันใด คุณเจ็บป่วยมา หากทำงานเอกชน ถ้าใครป่วยบ่อยๆ รับรองได้ว่า คุณต้องโดนเพ่งเล็งแน่นอน แต่ราชการหรอ จะมีใครไปสนใจหละครับ หากสนใจ ก็อาจจะสนใจเรื่องสุขภาพเป็นห่วงกันซะมากกว่า ก็ในเมื่อ ไม่มีใครมาไล่เราออก แต่เอกชน เราจะออกเมื่อไหร่ก็ได้ ความมั่นคงมันน้อย บริษัทรายได้ลดลง ก็มีแต่ลดจำนวนพนักงานออก หากลดมากๆ มีเจ๊งกันไปก็เยอะ หากเทียบกัน ผมว่า ส่วนใหญ่แล้ว ข้าราชการอายุยืนกว่าด้วยนะ นั่นเพราะสภาพจิตใจที่ดีกว่าครับ หากต้องการเงินที่เยอะขึ้น ก็สามารถหางานเสริมได้ครับ ยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยที่ผมทำอีกหละ อาจารย์ที่นี่ บางวันก็ไม่มีสอน บางวันมีสอนแค่บ่าย บางวันมีสอนแค่เช้า เวลาที่เหลือ เค้าก็รับงานมาทำได้ครับ รับงานนอกก็ได้ เช่น ไปสอนที่มหาวิทยาลัยอื่นๆ ในตำแหน่ง อ.พิเศษ หรืออาจารย์บางท่าน สอนคอมพิวเตอร์ ก็รับงานเขียนโปรแกรม ทำเว็บ ทำระบบได้อีก นี่ยังไม่รวมตำแหน่งภายในมหาวิทยาลัย ที่ยังได้เงินค่าตำแหน่ง ในการดูแลระบบภายในอีกนะ ถ้าเป็นเอกชน รับงานนอกแบบนี้ คงไม่ได้อยู่รอดแล้วหละครับ ปล. งานนอกที่รับ ไม่ได้ทำให้งานสอนที่เป็นงานประจำหลักเสียนะครับ บางครั้ง เราก็ต้องคิดในแง่บวกให้กับชีวิตนะครับ ชีวิตจะได้เป็นสุขกันครับ และรู้จักกับคำว่า พอเพียง จากคุณ : indysoft เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 20:27:18

ความคิดเห็นที่ 74   เข้ามาเก็บข้อมูลคะ จากคุณ : หมื่นเย่ง เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 20:30:17

ความคิดเห็นที่ 75   เห็นด้วยกับคุณ Indysoft ค่ะ บางอย่างเราก็ต้องยอมแลก และตอนนี้ก็พยายามสอบราชการอยู่ตลอด จากคุณ : หมื่นเย่ง เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 20:32:28

ความคิดเห็นที่ 76 ข้าiราชโกงกินใต้โต๊ะได้ด้วยนะเอ้อ พวกโตๆๆ เค้ารู้ดี ถามพวก อบต พวก ท้องถิ่นดูดิ   แล้วจะรู้ว่ามันน่าทำแค่ไหน งานราชการ ท้องถิ่นอ่า ป.ล. นี่คือความจริง คนที่รับไม่ได้ โปรดแหกตามองโลกความจริง แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 53 21:36:13 จากคุณ : popvana เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 21:28:00

ความคิดเห็นที่ 77 เพราะ เอาคนจน ๆ มาเป็นข้าราชการ เลยทำให้โอกาสแห่งการโกงกินเกิดง่าย จะเกี่ยวไหมครับ ปล. ถ้าอยากรวยอย่ามาทำงานราชการครับ ทำเพื่อบ้านเมือง ไม่ได้อะไรติดตัวไปมากนักหรอกครับ จากคุณ : กาแลนท์เขียวเมืองนนท์ เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 22:18:03

ความคิดเห็นที่ 78 ดังความเห็น 76 แฟนลูกน้องทำงาน อบต ป้ายจราจร มันให้สังเกตุ บางกว่าปกติ เพราะแฟนมันกิน ตามน้ำกันมา ตอนนี้แฟนมันกำลังไปดูงานเมืองนอก ตามน้ำอีกเหมือนกัน จากคุณ : Fastcat4100 (Fastcat4100) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 22:22:34

ความคิดเห็นที่ 79 พ่อเราเป็นข้าราชการไม่มีทางรวย เงินเดือนน้อยมาก ทำงานจนอายุ 55 ปี ได้เงินเดือนอยู่ที่ สองหมื่นห้าพันบาท  รวมค่าวิทยฐานะ อีก หนึ่งหมื่นห้าพันบาท รวมแล้วเดือนหนึ่งได้เงินเดือนประมา 4 หมื่นบาท สำหรับความที่ทำงานมา 30 ปี เงินเดือน  4 หมื่นบาท ถ้าทำงานเอกชน คงเงินเดือนเป็นแสนกว่าแล้ว ที่บ้านเราไม่มีเงินเก็บหรอกนะเงินเดือนพ่อกับแม่ก็หมุนใช้หมด เป็นข้าราชการทั้งคู่ แม่เงินเดือนเยอะว่าพ่อนิดหน่อย แต่พ่อแม่ส่งลูกเรียนจบปริญญาโทได้ทั้งสองคน แต่ตามมาด้วยหนี้นับล้าน เป็นข้าราชการครู มีสหกรณ์ออมทรัยพ์ให้กู้ พ่อม่เรากู้บาน สองคนรวมสามล้านกว่าบาท ส่งลูกเรียน ใช้จ่าย ซื้อรถ สร้างบ้าน บ้านเราก็เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ ไม่ได้ร่ำรวย แต่มีเกียรติ์ ซึ่งพ่อเราภูมิใจ พูดเรื่องการรักษาพยาบาล  พ่อเราเสียไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อต้นปี โรงพยาบาลรัฐนั้นก็ขึ้นชื่อว่ารอนาน แม้จะเบิกได้ แต่ต้องอยู่ในห้องรวม ไม่ได้อยู่ในห้องพิเศษ เนื่องจากคนไข้ล้นโรงพยาบาล ทำให้เรากับแม่ต้องตัดสินใจ พาพ่อมาที่โรงพยาบาลเอกชน แม้ค่าใช้จ่ายจะแสนแพง แต่ก็จำเป็น เราไม่ค่อยทราบหรอกว่า คนอื่นเค้าคิดยังไงเกี่ยวกับการเป็นข้าราชการ แต่วันที่พ่อเราจากไป วันที่เรานำชุดสุดท้ายมาให้พ่อได้สวมใส่ นั่นคือ "ชุดสีกากี" พ่อไปด้วยชุดนั้น บ้านเราเองก็ภูมิใจที่ได้ใส่ชุดนั้นให้พ่อเป็นชุดสุดท้าย วันงานศพพ่อ  ยิ่งทำให้เราได้ทราบว่า พ่อเราสร้างคุณงามความดีเอาไว้มากมายแค่ไหน พ่อเราเป็นมะเร็งและจากไปกระทันหัน ชาวบ้านแทบจะทั้งหมู่บ้าน นักเรียนทั้งรงเรียน รวมถึงเพื่อนครูและ ผอ.จากหลายโรงเรียน  เรียกว่าแทบทั้งจังหวัด มาร่วมงานศพพ่อ ทำให้เรารู้ว่า ชีวิตข้าราชการเงินเดือนน้อยนิดของพ่อ  มันยิ่งใหญ่มากแค่ไหน พ่อสร้างเกียรติ์และความภาคภูมิใจเอาไว้มากแค่ไหน สิ่งเดียวที่พ่อ ผู้เป็นข้าราชการเงินเดือนน้อยนิด ทิ้งเอาไว้ให้ลูกเมีย คือการชดใช้หนี้สินในส่วนของพ่อและแม่ร่วมกันจำนวนประมาณ 3 ล้านกว่าบาท เหลือเงินเอาไว้ให้คนสามคนที่พ่อรักที่สุดใยชีวิต คือ แม่ พี่ชาย และเรา ๆได้สุขสบายอีกร่วม สามล้านบาท จำนวนเงินฟังดูเยอะ แต่...................จะมีประโยชน์อะไร เมื่อเงินนั้น ได้จากข้าราชการที่ตายจากไป จากคุณ : 2แบ๊ว (boonnote) เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 22:36:58

ความคิดเห็นที่ 80 เกิดมาเป็นลูกข้าราชการลำบากมากกกกกกกกก เงินเดือนพ่อแม่ ก็น้อยนิด เห็นพ่อแม่ทำงานละเหนื่อยใจ เวลาส่งตัวไปราชการให้เบิกค่าที่พัก หลักร้อย ค่าน้ำมันรถยังไม่พอเลย ทำงานวันหยุดก็ไม่ได้ตัง แต่ด้วยหน้าที่ก็ต้องไป มีพวกงานเทปูน ตอกเสาเข็ม ก็ต้องไปอยู่ดูทั้งวัน ขับรถดูงานวันนึงเป็นร้อย ๆ กิโล ค่าน้ำมันก็ไม่มีให้ เงินเดือนก็ได้น้อยมากก สวัสดิการอะไรก็น้อยนิด ถ้าไม่มีเส้นสาย ไม่ได้หาหมอดี ๆ เร็ว ๆ หรอก จากคุณ : สะใจโรคจิต เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 23:23:40

ความคิดเห็นที่ 81 พ่อทำงานข้าราชการ เงินเดือนก็น้อยนะ  ตามมุมมองของผมถ้าเทียบกับ ความรับผิดชอบมากมาย ไหนจะภาษีสังคม บ้าบอคอแตก ต้องไปออกงานนุ้นงานนี้ ค่าเดินทาง ค่าแต่งตัวไปออกงานบลาๆๆ ไม่เคยได้เบิก (มันคือ OT อย่างหนึ่งที่ไม่ได้อะไรเลย) พ่อซื่อสัตย์มากไม่เคยโกง   ลูกอยากบอกพ่อว่า โกงนิดๆหน่อยนะ ทำไปเถอะเพราะสมควรได้ ทำงานหนักขนาดนี้ ทุ่มเทขนาดนี้ ได้เงินเดือนแค่นี้เนี่ยนะ  (อย่างพ่อทำงานขนาดนี้ ทุ่มทเขนาดนี้ ฉลาดซื่อสัตย์ควรจะได้ 100000+ ต่อเดือน ไม่ใช้ 50000บาท) ถุ้ยขอโทษประเทศไทย ชาตินี้คนฉลาดๆ คงจะมาทำข้าราชการหรอก ใช้งานอย่างกะทาสชัดๆ   อีกหน่อยไอ้ค่านิยมโง่ๆ เสื่อมๆว่าข้าราชการมีเกียรติ์ บลาๆ ก็หายไป ผมก็คนหนึ่งเรียนรัฐศาสตร์ แต่อย่าหวังว่า จะได้ยินคำว่าข้าราชการออกมาจากปาก เข้าใจขึ้นเยอะว่าทำไมข้าราชการถึงทำงานเช้าชามเย็นชาม คุณลองมาเป็นข้าราชการแล้วจะเข้าใจ   ขอเลื่อน ขั้นเงินเดือนขึ้นแค่ 500บาท ทำกันเลือดตาแทบกระเด็น บางคนเป็นปียังไม่ได้ ไหนจะเจอพวกเส้นใหญ่วิ่งเต้น ตัดหน้าต่ำแหน่งที่พ่อควรได้ จนเสียใจมาแล้วไม่รู้กี่รอบ ปล.จากลูกข้าราชการคนหนึ่ง โ ค ต ร เบื่อระบบราชการไทย จากคุณ : Anqueetas เขียนเมื่อ : 26 ส.ค. 53 23:31:37

ความคิดเห็นที่ 82 ผมกำลังรับราชการ พ่อ กับ แม่ ก็ ข้าราชการ เช่นกัน ยังไม่รวย และไม่เคยรวย  พ่อกับแม่ ไม่เคยโกง ไม่เคยใต้โต๊ะ คำที่พ่อเคยบอกและ ผมยังจำได้จนทุกวันนี้ คือ เพื่ออนาคตของเด็กไทย เปอร์เซ็นต์ที่ร้านคุณให้น่ะ ผมขอเป็นคอมพิวเตอร์ หรือ อะไรก็ได้ ที่จะช่วยพัฒนาเด็ก อนาคต ของประเทศ  นะครับ เป็นครู ทั้งบ้าน และไม่เคยรวย แต่ ไม่มีเก็บ เดือนชนเดือน จากคุณ : pexaj เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 00:17:57

ความคิดเห็นที่ 83 หัวอกข้าราชการไทย อยากรู้ต้องมาเป็น จากคุณ : tip pa rod เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 02:11:05

ความคิดเห็นที่ 84 ดีใจและภูมิใจที่สุดในชีวิตที่ได้เป็นข้าราชการของแผ่นดิน ชีวิตนี้พอแล้วค่ะ คนอื่นมอบโอกาสให้เรา เราก็ทำดีต่อไป ปิดทองหลังพระอย่างไรให้คนเห็น ก็ต้องปิดต่อไปเรื่อยๆ ในหลวงท่านเคยมีพระราชกระแสเช่นนี้เราก็น้อมรับไว้ใส่เกล้าค่ะ จากคุณ : รัตมา เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 08:08:50

ความคิดเห็นที่ 85 ความคิดเห็นที่ 64     เออวุ้ย เขาอธิบายกันมาตั้งนาน สุดท้ายคนบางคนก็ไม่ยอมเข้าใจ สักแต่ว่าจะเรียกร้องสิทธิเพื่อตนเอง โดยไม่ได้ดูเลยว่าตนเองทำหน้าที่อะไรให้กับคนอื่นบ้าง สิทธิของข้าราชการ ไม่ได้ได้มาฟรีๆ แต่ต้องถูกหักจากเงินเดือนที่น้อยกว่าเอกชนมากมาย เรื่องค่าเช่าบ้าน ก็รู้ไว้อย่างนึงว่า ที่พักของข้าราชการมันเต็มตลอดปีตลอดชาติ ไม่เคยว่างให้ข้าราชการเข้าได้ง่ายๆนักหรอก จะอ้างค่าเทอม เอาเต็มที่เทอมละ 5 พัน ลูก 2 คน ปีนึง 2 เทอม ก็เป็นเทอมละ 2หมื่น หรือคิดก็ประมาณเดือนละ 2 พัน แต่ให้บอกอย่างหนึ่งนะครับ ถ้าผมเงินเดือนแค่ 10500 + มีภรรยาเงินเดือนน้อยพอๆกัน แล้วจะมีลูก ผมคงไม่กล้ามีหรอก ผมคงกล้วลูกผมอดตายมากกว่า กู้เงินซื้อรถซื้อบ้าน มันเรื่องส่วนตัวของคุณ ผมยังไม่มีรถยนต์ส่วนตัวด้วยซ้ำ บ้านที่ผมอยู่ ผมก็ไม่มี ต้องอาศัยเช่าหออยู่เหมือนกัน ทางราชการก็ไม่ได้ช่วยเหลือด้านที่พักให้ผม อยากมีบ้าน อยากมีรถ แต่ไม่พร้อมจ่าย เจือกมาโวยวายว่าเพราะตูไม่ได้เป็นข้าราชการ ถามจริงๆเหอะ ได้สำเหนียกถึงฐานะของตัวเองหรือเปล่าว่า "ตนเองอยู่ในฐานะระดับใหน" ถึงจะมาโวยวายอยากได้ที่พักดีๆที่เรียกว่า "บ้าน" อยากจะได้รถยนต์ส่วนตัว ทั้งๆที่ตัวเองมีเงินพอแค่นั่งรถเมล์ โวยวายไปยิ่งคิดได้แค่ว่า "จนแล้วไม่เจียม พอเงินไม่พอใช้ก็เลยมาเหวี่ยงใส่ข้าราชการ" ส่วนเรื่องป่วย ค่ารักษา 1 ล้าน มันจะมีซักกี่โรคเชียวที่ค่ารักษาเป็นล้าน? เอาเป็นแสนก็ได้ เอาเป็นว่า "หากจำเป็นจริงๆที่จะต้องรักษา หมอโรงพยาบาลรัฐไม่ได้สนใจเรื่องเงินค่ารักษาพยาบาล" หวังว่าคงจะชัดเจนนะ สิทธิ์ประกันสังคมก็คงช่วยจ่ายให้คุณได้บ้าง หรือหากคุณใช้บัตรทอง ก็คงช่วยจ่ายให้คุณได้บ้าง หรือต่อให้คุณเป็นข้าราชการ คุณก็ต้องจ่ายส่วนต่างอยู่ดี มาโวยวายโรคที่ค่ารักษาเป็นล้าน??? ทั้งๆที่คนเป็นโรคที่ต้องใช้เงินค่ารักษาเป็นล้านมันน้อยมากๆ (ยกเว้นแต่ว่าจะไปนอนห้อง Sweet Deluxe โรงพยาบาลอยู่สหรัฐอาหรับเอมิเรตอ่ะนะ รับรองว่าต่อให้เป็นแค่หวัดใหญ่ ค่ารักษาก็เป็นล้านแน่ๆ) เรียกร้องเอาอะไร สิทธิ? ถามกลับ คุณทำอะไร คุณถึงสมควรได้รับสิทธินั้น ตอบผมมาก่อนละกัน จากคุณ : Umiki   ----------------------- คุณครับ อันนั้นผมแค่ยกตัวอย่างครับ ------------- อยากมีบ้าน อยากมีรถ แต่ไม่พร้อมจ่าย เจือกมาโวยวายว่าเพราะตูไม่ได้เป็นข้าราชการ ถามจริงๆเหอะ ได้สำเหนียกถึงฐานะของตัวเองหรือเปล่าว่า "ตนเองอยู่ในฐานะระดับใหน" ถึงจะมาโวยวายอยากได้ที่พักดีๆที่เรียกว่า "บ้าน" อยากจะได้รถยนต์ส่วนตัว ทั้งๆที่ตัวเองมีเงินพอแค่นั่งรถเมล์ โวยวายไปยิ่งคิดได้แค่ว่า "จนแล้วไม่เจียม พอเงินไม่พอใช้ก็เลยมาเหวี่ยงใส่ข้าราชการ" ------------------- ดูถูกกันจัง.... จากคุณ : Van Persie เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 09:04:23

ความคิดเห็นที่ 86 เหอะๆ ตอนผมทำงานอยู่ ข้าราชการแต่ละคนเหลือเงินเดือนกันคนละไม่เกิน 5000 บาท ที่เหลือโดนหักหนี้ค่าผ่อน บ้าน ผ่อนรถกันหมด ที่พูดถึงนี่ C6 C7 นะครับ จากคุณ : La Divinite เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 09:29:57

ความคิดเห็นที่ 87 สาวโสดที่ได้แต่ค่ารักษาเองนะ เอาไว้ใช้ยามแก่เต๋าไม่มีลูกหลายดูแล จากคุณ : FeelingGood เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 09:39:22

ความคิดเห็นที่ 88 ผมเข้าใจในความรู้สึกของหลายๆท่าน มันมีทั่งดีและไม่ดีนั้นแหละครับ แต่ต่างจังหวัดเนี่ย ราชการเงินเดือนดีกว่าเอกชนแน่นอนครับ... อย่างท่านข้างบนว่าไว้ -------------------------- วันนี้ไปกระทรวง โยธ....กับผมไหม (เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง) กว่าจะให้แต่ล่ะท่านเซ็นรับรองโครงการต่างๆเนี่ย ขวัญถุงอีก+พาไปเอนเตอร์เทนอีก ไม่ 6 หลัก ไม่ยอม พาไปอาบน้ำที่อ่างทองที พาขึ้นไปทำไม 2-3 คน ทั่งๆที่มีอยู่อันเดียว... (ฝากเตือนภรรยา ของท่านๆเหล่านี้ไว้ นะครับ) คนที่ทำดีอยู่แล้วก็ขอชื่นชมครับ.... จากคุณ : Van Persie เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 09:41:41

ความคิดเห็นที่ 89 คห.88 ภูมิใจมั้ยครับที่มีข้าราชการแบบนั้นนะ เรากำลังพูดถึงโครงสร้างโดยภาพรวมครับไม่ใช่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง จากคุณ : hippocampus (hippocampus) เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 09:59:09

ความคิดเห็นที่ 90 ขอแชร์ประสบการณ์ตรงนิดนึงนะคะ  ตัวเองเป็นพนักงานของรัฐ แต่สามีอยู่เอกชน เนื่องจากเพิ่งคลอดบุตร สวัสดิการของรัฐเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามจริง แต่ยาบางตัวก็เบิกไม่ได้ โชคดีที่สามีอยู่เอกชน เบิกประกันสังคมเหมาจ่ายค่าคลอดบุตรได้เป็นหมื่นเลย ถ้าทำราชการทั้งคู่คงต้องจ่ายเองอีกเยอะแยะเลยค่ะ เพราะค่าห้องพิเศษก็เบิกได้น้อยกว่า ค่ายาก็มีข้อจำกัด ไม่ได้เหมาจ่ายเหมือนประกันสังคม แล้วเบิกได้แค่คนใดคนหนึ่งเท่านั้น จากคุณ : rarin (rarin) เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 10:32:25

ความคิดเห็นที่ 91   เราก็เป็นข้าราชการค่ะ ทำงานมาอายุเรา 30 แล้ว เพื่อนเราที่ทำงานเอกชนเงินเดือนจะสามหมื่นแล้ว เรายังไม่ถึงหมื่นห้าพันบาทเลย โอทีไม่ต้องพูดไม่เคยมีนายเซ็นต์อนุมัติให้ ทำงานถึงห้าทุ่มก็เคย เลิกงานสี่โมงครึ่งไม่เคยได้กลับ กลับจริงๆ ก็หกโมงเย็นทุกครั้ง เสาร์ อาทิตย์ถ้าเรียกก็ต้องมา ปัจจุบันมีนโยบายลดค่าใช้จ่ายองค์กร ขอให้พนักงานที่ทำงานต่างจังหวัดไม่ห่างจาก กทม. นัก ไม่ขอค่าเบี้ยเลี้ยง สำหรับสวัสดิการรักษาพยาบาล ก็ต้องโรงพยาบาลรัฐถึงเบิกได้เต็ม ซึ่งรู้ๆ อยู่ว่าเป็นโรงพยาบาลที่คนเยอะมาก เป็นไข้หวัดไปรอตรวจตั้งแต่ยังไม่หกโมงเช้ากว่าจะตรวจเสร็จล่อเอาซะบ่าย คลีนิกนอกเวลาเบิกค่าหมอได้แค่สองร้อยบาทเกินกว่านั้นจ่ายเอง ที่ทำงานเรานะพนักงานพอได้งานใหม่ก็ออกกันเป็นแถว การขึ้นเงินเดือนก็ได้น้อย เราขึ้นที่สูงสุดไม่เคยถึงพันบาท สำหรับค่าที่พักอาศัยหลวงไม่เห็นได้ช่วยเลย เราเป็นคนต่างจังหวัดมาทำงานกรุงเทพฯ ก็ต้องเช่าเค้าอยู่ คนที่บอกว่าข้าราชการขึ้นเงินเอาๆ สวัสดิการก็เยอะ เราว่าเค้าไม่เข้าใจความจริงของคนใช้ชีวิตข้าราชการนะ แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 53 11:02:33 จากคุณ : วอแวน้อย (วอแวน้อย) เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 10:36:35

ความคิดเห็นที่ 92   #88 1.ไม่ว่าเค้าเสนอ หรือคุณเสนอ ผิดทั้งคู่ 2.เค้าเสนอ แล้วคุณไปสนองเอง....จะมาบ่นทำไม? 3.ที่ยกมา เกี่ยวกับเรื่องสวัสดิการตรงไหน? จากคุณ : ชุดคุ้มครองครู เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 10:39:51 A:117.47.208.213 X: TicketID:154396

ความคิดเห็นที่ 93 ใช้เวลาเรียนหมอ 6 ปี ใช้เวลาเรียนจนเป็นหมอเฉพาะทางอีก 3 ปี (บังเอิญไม่ต้องใช้ทุนก่อนเรียนต่อ 3 ปี - แต่ก็ต้องมาใช้ตอนเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้วนะ) ตอนนี้เพิ่งได้ขึ้นเงินเดือนจาก 10190 เป็น 13110 แม่ฟังแล้วน้ำตาแทบไหล ถึงจะมีเงินเวรอีก แต่ก็แลกมาด้วยการทำงานตอนกลางคืน เฮ่อ ... จากคุณ : Fragile Heart เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 10:55:38

ความคิดเห็นที่ 94 แต่แน่นอนว่า การเป็นข้าราชการ ก็ได้อะไรมากกว่าเงินเดือน(น้อยๆ) บางอย่างก็เงินก็ซื้อไม่ได้ สิ่งที่เงินซื้อได้ก็ให้ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้ ... อย่างเช่น ความรู้สึกปีติที่ได้เห็นรอยยิ้มของคนไข้ มันมีคุณค่ามากกว่าเงินมากนัก และไม่มีอะไรเหมือนเลยจริงๆ เชื่อว่าสิ่งนี้แหละที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้หมอร.พ.รัฐบาล ยังอยากทำงานต่อไป ^___^ จากคุณ : Fragile Heart เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 11:06:02

ความคิดเห็นที่ 95 เราเห็นน้องๆในที่ทำงานวิ่งไปสอบกพ.มันทุกครั้งที่มาเปิดการสอบ ก็ได้แต่สงสัยว่าเขาอยากไปทำงานราชการขนาดนั้นเลยเหรอ รับ 500 แย่งกันสอบเป็นหมื่นที่นั่ง แถมเสียเวลาเสียการเสียงานลางานไปสอบอีก น้องๆในที่ทำงานเรานี่สอบมา  3 ปีแล้วไม่เคยได้สักปี พอเราถามเธอว่ามันโอกาสได้ไหม ทำข้อสอบได้ไหม เขาบอกทำพอได้ค่ะพี่ แต่หนูรู้ว่าตัวเองสอบไม่ติดหรอก เราบอกอ่าวทำไมงั้นล่ะ น้องบอกงานแบบนี้มันมีเส้นสายพี่ หนูไปสอบสนุกๆแบบนั้นแหล่ะ คือเราเดาว่าน้องมันก็พูดไปงั้นแหล่ะว่าสนุก แต่ตัวเองก็อยากไปทำงานราชการจริงๆนั่นแหล่ะ จะว่าไปหน่วยงานเอกชนไม่ค่อยมีสวัสดิการอะไรหรอก ถ้าเทียบกับราชการแล้วถือว่าน้อยนะ แถมฐานเงินเดือนจะปรับขึ้นก็อยู่ที่ผู้บริหารอย่างเดียว สมมติข้าวของแพงขึ้น น้ำมันขึ้นราคา เอกชนก็ยังได้เงินเท่าเดิม ในขณะที่ข้าราชการยังได้ปรับเงินเพิ่มขึ้นบ้าง ต่อให้น้อยก็ยังได้ แบบนี้คนถึงมองว่างานข้าราชการมันดีล่ะมั้ง จากคุณ : เสียงจากบ้านนา เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 11:35:31

ความคิดเห็นที่ 96 ผมจะบอกให้ เอกชนเกษียณมีมากถึงมาก น้อยมากจะถูกไล่ออกหรือบังคับให้ออก เพราะไม่คุ้มครับ เนื่องจากมี test case ศาลแรงงานตัดสินมาหลายรายแล้ว ไล่ออกไม่ได้ถ้าไม่ได้ทำผิด ยกเว้นบริษัทเจ้ง บริษัทต้องเสียเงินชดเชยทั้งที่ช่วงนั้นเขาไม่ได้ทำงาน และต้องรับกลับมาทำงานใหม่อีก และต้องเสียค่าทนาย ค่าศาล เอกชนถ้าเป็นบริษัทมาตรฐาน มั่นคงเหมือนข้าราชการครับ แต่เงินเดือนมากกว่า 2-3 เท่า ถ้าเข้าใจผิดว่า เอกชน 50 ก็ออกกันไปแล้ว เปลี่ยนความคิดใหม่ครับ ยกเว้นว่ามีโปรแกรม early retire ให้เงินเดือนฟรี 12-20 เดือนครับ บางคนก็สมัครลาออกเอาเงินชดเชย แต่ส่วนน้อยครับ เท่าที่ดูจากบริษัทใหญ่ที่ผมทำอยู่ ปล ผมอายุ 58 แล้ว กำลังรอเมื่อไรจะมี early retire package แต่ระยะหลังไม่มีแล้ว ถ้าออกก่อน ไม่ได้อะไร ครั้งล่าสุดที่มีก็ 3 ปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นยัง enjoy working 555 จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 11:49:37

ความคิดเห็นที่ 97 นำมาฝาก .. บทความที่เกี่ยวข้องจากในบล๊อกผม .. สรุปอภิปราย “มาตรฐานการกำหนดค่าใช้จ่ายและสิทธิประโยชน์ ใน สวัสดิการการ ของ ข้าราชการ” http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-02-2010&group=7&gblog=52 คลังตั้งทีมรื้อค่ารักษา ข้าราชการ 7 หมื่นล. ... คลังหน้ามืด! ค่ารักษาขรก. พุ่ง1.5แสนล. http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=08-12-2009&group=7&gblog=43 “ความจริง” ที่เกี่ยวกับระบบการบริการด้านสุขภาพของประเทศไทย .. พญ. เชิดชู http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=24-11-2009&group=7&gblog=39 อึ้ง! วิจัยเผยคนไทยใช้ยาเกินจำเป็น 500ล.ต่อปี .... ( จริง ๆ น่าจะมากกว่านั้นเยอะ ) http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-05-2009&group=7&gblog=27 เสนอเลือกเบิกจ่ายยาให้ข้าราชการบางกลุ่ม ??? .... ข้าราชการ ก็เตรียมตัวไว้บ้าง http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=18-05-2009&group=7&gblog=26 หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หลักการดีแต่ต้องรีบ“ปฏิรูปวิธีดำเนินการ” ... พญ. เชิดชู http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=14-04-2009&group=7&gblog=23 ปล. ข้าราชการ ก็มีข้อดีครับ .. แต่บางที มันก็มีข้อจำกัด มีความจำเป็น มีปัญหาบางอย่าง ผมเลยต้องออกจากราชการ (หลังจากรับราชการมา ๑๕ ปี) ตอนลาออก ได้เงินบำเหน็จมา สองแสนกว่าบาท มีเงินสดเหลือเก็บประมาณ ๕ แสน ผ่อนรถโตโยต้า ๑๓๐๐ ซีซีหมดพอดี อีก ๑ คัน .. จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 11:54:09

ความคิดเห็นที่ 98 การอยู่ในระบบที่ล้มเหลว มันก็ไม่ต่างอะไรกับ ขอทาน น่าเศร้า ที่ผมมอง ราชการเป็นแบบนั้น ประชาชนผู้ใช้บริการก็ไม่ได้ happy อะไรมากมายกับระบบ การบริการ หรือ บริหาร ของข้าราชการ ไม่ อยากจะโยงออกไปไกล แค่อยากจะบอกว่า ความเชื่อ และ ภาพ ลวงตา มันใช้ไม่ได้กับ ความหิว ของคน ไม่ช้าไม่นาน ระบบนี้จะ พังทะลาย วันนี้ที่ยังอยู่ได้ เพราะยังสมประโยชนืกับ กลุ่มคนบางกลุ่ม ที่ใช้ระบบความเชื่อ ความศัพธา + เงินถาษี อุดมันไว้  ระบบราชการ ทุกวันนี้ถูกออกแบบให้ทำงานได้ดีที่สุด ตอน ระบบมันล้มเหลว นั้นหละ จากคุณ : pk_ray เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 11:59:25

ความคิดเห็นที่ 99 ข้าราชการเงินเดือนน้อย การมีสวัสดิการที่ดี ที่เหมาะสม เป็นเรื่องที่สมควร แต่ไอ้ที่เค้าตั้งข้อรังเกียจกันนั้นก็คือ ไอ้พวกเบิกยาไปขาย เบิกเงินค่านวดแผนไทย เบิกสไตล์โกง ๆ เบิกไร้สาระ เบิกเกินจำเป็นจนงบมันบาน อย่างนี้ต่างหากค่ะ จากคุณ : papa mama love u เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 13:36:40

ความคิดเห็นที่ 100 คนที่บอกว่าเป็นข้าราชการมีรายได้มากเพราะมีช่องทางโกงหรือรับใต้โต๊ะได้เยอะแยะนั้น   แสดงว่ามองการทำงานเป็นช่องทางเพื่อการโกงอย่างแท้จริง   คนที่มีทัศนคติอย่างนี้คงไม่เป็นที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือเอกชนค่ะ   และมันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับสิทธิต่างๆที่ข้าราชการได้รับตรงไหน    หรือที่คุณรู้สึกว่าเป็นข้าราชการดีกว่า   เพราะคุณอยากจะโกงให้ได้มากๆอย่างนั้นเหรอคะ จากคุณ : SWEET TOFFY เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 14:18:24

ความคิดเห็นที่ 101 การอยู่ในระบบที่ล้มเหลว มันก็ไม่ต่างอะไรกับ ขอทาน น่าเศร้า จากคุณ   : pk_ray   ขอโทษนะคะ คุณเอาอะไรมาตัดสินว่าดิฉันเป็นขอทาน การที่ดิฉันอุทิศความสุขส่วนตัว ที่จะได้จากเงิน แต่ให้กับความสุขที่จะได้รับจาการเป็นคนสอนคน นี่เรียกว่าขอทานเหรอคะ งั้นคุณครูอย่างดิฉัน ก็เป็นขอทานน่ะสิ  ดิฉันไม่เคยขออะไร มีแต่ให้ ให้ความรู้ ให้ความคิด ให้ชีวิต ให้จิตใต้สำนึกความเป็นคนที่ดี คนที่ดี มีอุดมการณ์ มีความสุขที่ได้ทำเพื่อคนอื่น ก็ยังมี "ที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพราะเงิน" น่ะค่ะ ยังมี และเพราะคนอย่างพวกดิฉันนี่แหละ ที่คอยสอนคนไม่ให้มีความคิดดูถูกคนอื่น แบบคนโลกแคบ อิจฉาเมื่อเขาได้ดีกว่า และอยากบอกคุณว่า ถึงแม้ดิฉันจะอยู่ในระบบที่ล้มเหลว ดิฉันก็ไม่ได้ทำตัวให้ล้มเหลวไปด้วย เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ดิฉันใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น ใช้ชีวิตเพื่อสร้างคนให้มีความรู้และจิตใต้สำนึกที่ดีด้วย ดิฉันมีมันสมอง และอุดมการณ์ที่มากพอที่จะไม่สนใจอะไรที่งี่และเง่า มองโลกในแง่ดี ดิฉันก็แค่ครูจนๆ ที่ของใช้บนโต๊ะทำงาน เอามาจากเงินเดือน 7940 เพราะได้อยู่ รร เล็กๆ งบประมาณไม่เพียงพอ แต่ก็รู้สึกสุขใจที่ได้ทำเพื่อคนอื่นอยู่ดี และไม่เคยคิดเสียดายเงิน ที่ซื้อความสุขจากการเป็นผู้ให้ เพราะวันนี้คิดแค่อยากทำแค่ตัวเอง สังคมมันถึงได้วุ่นวายแบบนี้ไงคะ จะมีสักกี่คน ที่จะมีความสุขกับการได้ทำเพื่อคนอื่น รับไม่ได้จริงๆ กับการดูถูกของคุณ ครูที่ดี.. ต้องสอนคนมากกว่าหนังสือ ใช่เพียงถือชอล์คปากกาพาเขียนอ่าน ต้องอุทิศชีวิตจิตวิญญาณ ให้เก่งงานปลูกฝังในทางดี... ดิฉันเป็นข้าราชการ ที่อยู่ในระบบที่ล้มเหลว แต่ไม่ได้เป็นขอทานค่ะ และรู้สึกภาคภูมิใจ และไม่เคยเอาความล้มเหลวมาเป็นปัญหาในการทำงาน และระบบราชการยังอยู่ได้ เพราะก็ยังมีอีกหลายคนที่เป้นอย่างดิฉัน เลวมันจะอยู่ได้นานเท่ากับความดีที่มีอยู่ได้ยังไง แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 53 14:40:44 จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 14:35:47

ความคิดเห็นที่ 102 ข้าราชการเงินเดือนน้อย การมีสวัสดิการที่ดี ที่เหมาะสม เป็นเรื่องที่สมควร แต่ไอ้ที่เค้าตั้งข้อรังเกียจกันนั้นก็คือ ไอ้พวกเบิกยาไปขาย เบิกเงินค่านวดแผนไทย เบิกสไตล์โกง ๆ เบิกไร้สาระ เบิกเกินจำเป็นจนงบมันบาน อย่างนี้ต่างหากค่ะ จากคุณ : papa mama love u [Bloggang] เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 13:36:40 [แก้ไข] ตอบประเด็นนี้นิดนึงนะครับ :) 1. จริงๆ แล้วราชการที่มีปัญหาเรื่องเบิกยาไปขายเนี่ย ส่วนใหญ่คือกลุ่มที่อยู่ในกรุงเทพ ซึ่งเป็นส่วนน้อยของข้าราชการทั้งประเทศครับ 2. ค่านวดแผนไทย 30 บาทก้เบิกได้ครับ แต่ประกันสังคมเบิกไม่ได้ เพราะว่า...รพ.ที่เราๆ ท่านๆ ประกันตนนั้น ไม่ยอมให้ทำ ลองไปรพ. ชุมชน ตามอำเภอสิครับ ต่อคิวกันนวดยาวววว ปล. ราชการเบิกไม่ได้แล้วครับ ทั้งค่านวด ค่ายาสมุนไพร 3. เบิกสไตล์โกงๆ ไม่ได้ครับ ในส่วนของค่ารักษาพยาบาล เพราะสตง. ตรวจ โค-ตะ-ระ เข้ม แล้วกรมบัญชีกลางก็เขี้ยวโง้งเชียว บ้านผมนี่ แม่ไม่ยอมไปหาหมอผ่ามือทั้งๆ ที่แทบจะกราบให้ไป แล้วแม่ก็เป็นราชการกทม. เพราะ.... แม่ไม่มีเงินสำรองจ่ายก่อนผ่าตัด จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 15:54:08

ความคิดเห็นที่ 103 การอยู่ในระบบที่ล้มเหลว มันก็ไม่ต่างอะไรกับ ขอทาน น่าเศร้า ........ ไม่ช้าไม่นาน ระบบนี้จะ พังทะลาย วันนี้ที่ยังอยู่ได้ เพราะยังสมประโยชนืกับ กลุ่มคนบางกลุ่ม ที่ใช้ระบบความเชื่อ ความศัพธา + เงินถาษี อุดมันไว้  ระบบราชการ ทุกวันนี้ถูกออกแบบให้ทำงานได้ดีที่สุด ตอน ระบบมันล้มเหลว นั้นหละ จากคุณ : pk_ray เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 11:59:25 [แก้ไข] ------------------------------------------------------------------------------ สำหรับประเด็นนี้ ผมตอบได้เต็มปากครับ ว่าถ้าระบบราชการล้มเหลวหละก็ คุณไม่มีทางอยู่ได้แบบนี้ คุณรู้หรือไม่ว่าข้าราชการ (และพนักงานในสังกัดรัฐ) วันๆ ทำอะไรกันบ้าง... ระบบราชการไม่เคยล้มเหลวหรอกครับ ระบบนี้ใช้กันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศแบบไหนก็ตาม เราไม่ได้หยุดอยู่กับที่ กระบวนการพัฒนาระบบราชการมีเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน ซึ่งปัจจุบันผมเรียนไว้แล้วว่าเป็นระบบ Zero Growth หรือไม่มีตำแหน่งเพิ่มแล้ว รอเกษียณแล้วเอาตำแหน่งมาวนใช้บ้าง ยกเลิกไปเลยบ้าง การจัดซื้อจัดจ้าง เดี๋ยวนี้ Out Sourcing กันสุดๆ รปภ. ก็จ้าง แม่บ้านก็จ้าง นักการแบบสมัยก่อน แทบไม่มีแล้วครับ ดังนั้นระบบราชการมีการปฏิรูปตลอดเวลาครับ รวมถึงรูปแบบการเข้าถึงประชาชนด้วย อย่าง สสส. ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูประบบสุขภาพ ที่ทำให้รูปแบบของการทำงานแบบราชการเปลี่ยนโฉมหน้าไปเยอะมากมาย มีอีกเยอะในทุกกระทรวงครับ (พูดไปเดี๋ยวโดนด่า ออกตัวก่อนว่าส่วนใหญ่ ยกเว้นกรณีที่เป็นพนักงานสายวิชาการอย่างผม ที่ทำวิจัย ซึ่งไม่มีเวลาเข้าออกงาน ตีสามบางทียังไม่ได้นอน เสาร์อาทิตย์ก็นั่งทำ ดังนั้นเวลาไหนงานน้อย ผมก็แบ่งมาตั้งกระทู้บ้าง เล่น FB, Twitter บ้าง โดยไม่ได้กระทบงานอะไร อู้ได้ตามอัตตภาพ ) จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 53 16:05:11