|
ความคิดเห็นที่ 50 |
คห. ๓๕ "ผลกระทบนั้นไม่มีในภาษาประมวลกฎหมายอาญา หรือแพ่ง" ก็ให้นิยามใน พรบนี้ก็ได้ครับ จะไปอ้างอิง กฎหมายอื่นทำไม(พรบ ใหญ๋รองจากรัฐะรรมนูญอยู่แล้ว)
จากคุณ : ขออภัย ความรู้เท่าหางลูกอ๊อด
.......... พึ่งรู้เหมือนกันครับ ขอบคุณครับ
คห. ๔๒ " ต้องนึกว่าพรบ.นี้ไม่ใช่ยาครอบจักรวาล แค่ที่รับชดใช้คนไข้นี่ก็กลัวกันว่าจะไม่พอแล้วครับ ขณะนี้เตรือข่ายสารพัดก็จะมาขอรับเงินช่วย เรื่องนี้อย่างไรก็น่าจะหาข้อสรุปไม่ยาก"
............ ฟังแบบนี้ ชักหนาว ... เงินไม่ใช่น้อย ๆ นะครับ ที่คาดการณ์กันตอนนี้ ก็ ๔,๐๐๐ ล้านบาท ( สี่พันล้าน ) จากเดิม ใน มต.๔๑ (ที่หลายคนก็อ้างว่า มต.๔๑ ดีแล้ว) ยังใช้ปีหนึ่งร้อยล้านเองนะครับ
เรื่องแนวคิดการชดเชย ผมตัดมาบางส่วนจากที่ผมลงไว้ในบล๊อก ...
บทเรียนจากประเทศสวีเดน ว่าด้วยการชดเชยความเสียหายจากบริการสาธารณสุข .. มติชน
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=07-08-2010&group=7&gblog=73
มีหลายแนวคิดที่เสนอเรื่องการชดเชยนี้ในประเทศไทย. แนวคิดใหม่ก็คือ การ จ่ายค่าชดเชยโดยไม่คำนึงถึงว่าจะมีบุคลากรทางการแพทย์ผู้กระทำผิดหรือ ไม่.
เป็นระบบหนึ่งที่รู้จักกันในนาม "a no-fault system,” (ระบบที่ไม่มีผู้ผิด) ซึ่งที่ถูกควรเรียกว่า "a no-blame system”(ระบบที่ไม่มีการคาดโทษ).
ข้อน่าสังเกต ...
๑. สวีเดน ใช้เวลาพัฒนาระบบ ๒๐ ปี ( ๑๙๗๕ - ๑๙๙๗ ) และ เริ่มด้วย ระบบ สมัครใจ
.............เมืองไทย ไม่ใช้เวลาเรียนรู้พัฒนาระบบ แต่ใช้วิธี ออกกฎหมายมาบังคับ ???
๒. จำนวนผู้ได้รับค่าชดเชยเพิ่มขึ้นจาก ๑๐๐ รายต่อปี เป็น ๕๐๐๐ รายต่อปี จากจำนวนผู้ร้องเรียน ๑๐,๐๐๐ รายต่อปี
............ บ้านเรา ก็คงไม่ต่างกันนัก ( ถ้าดูจาก มต.๔๑ ผ่านไป ๕ ปี จำนวนผู้ได้รับการชดเชยเพิ่มจาก ๑๐๐รายต่อปี เพิ่มเป็น ๘๐๐ ราย เงินช่วยเหลือจาก ๕ ล้านบาทเป็น ๙๐ ล้านบาทต่อปี และ ๙๗ % เป็นภาครัฐ )
............. ซึ่งถ้ามองในแง่ดี ก็คือ ผู้ได้รับความเสียหายฯ ได้รับการชดเชยมากขึ้น ทั่วถึงขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งก็คือ แสดงว่า ระบบนี้ ทำใหคนเข้ามาเรียกร้องมากขึ้น แล้วก็มีค่าใช้จ่ายสูงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ..
๓. ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของบริษัทประกันในการจัดการนี้คือประมาณ 1,100 US$ ขณะที่ การพิจารณาของคณะกรรมการฯมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,200 US$ต่อราย
๔. เนื่องจากมากกว่าร้อยละ 90 ของการดูแลทางการแพทย์ในประเทศสวีเดนเป็นภาครัฐ, ดังนั้น ระบบการชดเชยนี้ส่วนใหญ่จึงจ่ายด้วยภาษีอากร
............ บ้านเราก็คงไม่ต่างกัน กองทุนนำมาจาก พรบ.๔๑ ( สองพันล้าน) และเก็บจากสถานบริการ ซึ่งเก็บรายหัวจากผู้ป่วยที่มารับบริการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นภาครัฐ อยู่ดี ( รพ.รัฐ + คณะแพทย์) ... เงินกองทุนจึงเป็น ภาษี ที่รัฐเก็บจากทุกคนนั่นเอง ประชาชนทุกคนเป็นผู้จ่ายทางอ้อมเข้ากองทุนนี้ ...
ไหน ๆ เราจะเลียนแบบเขา .. ก็น่าจะเริ่มด้วยการ " ทดลอง" แบบสมัครใจก่อน ถ้ามันดีจริง แบบในสวีเดน ไม่กี่ปี ทุกคนก็จะเข้ามาร่วมด้วย (เหมือนในสวีเดน)
การทดลอง เป็นบางส่วน ก็จะช่วยให้มองเห็นปัญหา และ แก้ไข ได้ง่ายกว่าที่จะนำ ระบบสุขภาพ ของคนทั้งประเทศ เข้าไปเสี่ยง โดยที่เรายังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
ถ้า พรบ.นี้ผ่านจริง ๆ .. เอาแค่ ข้อมูลของประชาชนที่มารับการรักษาผู้ป่วยนอก (ไม่นอน รพ.) ๒๐๐ ล้านครั้งต่อปี ก็มหาศาลกว่าทุกระบบที่มีในประเทศไทยขณะนี้แล้วนะครับ ไม่ใช่แค่ข้อมูลอย่างเดียว ยังต้องมีระบบบริหารจัดการข้อมูลเหล่านั้น อีกด้วย ..
รวมไปถึง ระบบความปลอดภัยของข้อมูล เพราะ ข้อมูลสุขภาพเหล่านี้ถือว่าเป็น "ข้อมูลส่วนบุคคล" เราคงไม่อยากให้ข้อมูลความเจ็บป่วยของเรา รั่วไปข้างนอก เช่น ผลตรวจ HIV การรักษาตั้งครรภ์ไม่พึ่งประสงค์ อาการทางจิต การใช้ยาบางอย่าง ฯลฯ
... เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกันทุกคน ไม่ใช่แค่ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (หมอ ทันตะ เภสัช พยาบาล เทคนิก ฯลฯ ) กับ NGO (หมอ+ตัวแทนผู้เสียหาย???) ... บ้านเรา คนเก่ง ซุปเปอร์ฮีโร่เยอะ โน่นก็ใช่ นี่ก็ดี มั่วไปหมด คนนั้นก็พูดดี แต่ไม่ได้ทำ (อดีตเคยเป็นหมอ ตอนนี้ไม่แน่ใจว่ายังเป็นหมอหรือเปล่า ??? ) ... ขณะที่คนทำ พูดไม่ค่อยดี ??? .. เอาเป็นว่า ค่อย ๆ หาข้อมูลกันไปเรื่อย ๆ ใจเย็น ๆ อย่างพึ่งปักใจเชื่อว่า ฝ่ายโน้นถูก ฝ่ายนี้ผิด ..
แต่ละทางเลือก มีข้อดี ข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น ..ก็ได้แต่หวังว่า เรา คงมีทางออก ที่ดี มีข้อเสียน้อยที่สุด นะครับ
จากคุณ |
:
หมอหมู
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ก.ย. 53 16:42:17
|
|
|
|
|