ความคิดเห็นที่ 1   ใครที่พลาดตอนแรกครับ ขอยกเอามาต่อ ทบทวนกันก่อนนิดนึงครับ “Change” season 1 (Weight Loss Series) By พีรวัส ชูเพชร INTRODUCTION บทนำ คุณ ตื่นมาตอนเช้าอย่างงัวเงีย และก็พบตัวเองอยู่หน้ากระจกแล้วเพ่งมองตัวเองในกระจกพบกับความเปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนไปกับตัวเอง น้ำหนักตัวของคุณที่ขึ้นมามากเหลือเกิน หกสิบ หกสิบห้า เจ็ดสิบ แปดสิบ...ร้อยยี่สิบ คุณแทบจำตัวเองที่สาวๆสวยๆเหมือนเดิมไม่ได้ เสื้อผ้าต่างๆในตู้ของคุณก็ใส่ไม่ได้ คุณอาจรู้สึกอึดอัดและเหนื่อยง่าย คุณอาจกำลังคิดว่ากรรมพันธ์มั้ง ที่บ้านเราอ้วนนิ หรือ ว่าเราจะกินเยอะไป ถ้างั้นเราต้องลดน้ำหนักแล้ว งั้นเอาหล่ะเช้านี้ไม่กินข้าวดีกว่า อดอาหารลงหน่อยดีกว่า...... ผ่านไปตอนเย็น.......... ผ่านไปตอนเย็น คุณไปยืนอยู่บนตาชั่งน้ำหนัก และพบว่า น้ำหนักไม่ลดลงเลย คุณเริ่มใหม่ งั้น พรุ่งนี้อดอาหารใหม่ดีกว่า กินมื้อเดียวก็พอ สามวันผ่านไปบนตาชั่งตัวเดิม น้ำหนักก็เดิมๆ แถมขึ้นมาอีก 2 ขีด ++ วันถัดไปคุณกินกระหน่ำด้วยความอยากที่สะสมมาหลายวัน คุณโยนโปรแกรมต่างๆทิ้งไป เลิกดีกว่า ทำใจละกัน คุณเห็นผู้หญิงหุ่นดีๆ เดินผ่านคุณไปในวันรุ่งขึ้น แล้วคิดว่าทำไมเค้าถึงหุ่นดีอย่างนี้ แล้วทำไมเราถึงได้อ้วน เศร้าใจจริง.......กินแก้เครียดดีกว่า 120.....125.....130 เบาหวาน ความดัน หัวใจ เหนื่อยง่าย อึดอัด ไม่มั่นใจ (คนมองเราด้วยสายตาแปลกๆ) ............................................................................................... ทั้งหมดนั้นเป็นตัวอย่างจริงๆที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงทั่วไปหลายล้านคนครับ คุณอาจกำลังท้อแท้ คุณอาจกำลังเซ็งกับชีวิต คุณอาจทำใจ ไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไรผมขอบอกกับคุณว่า คุณสามารถ เปลี่ยน หรือ CHANGE ได้ คุณสามารถเปลี่ยนตัวคุณเองเป็น คุณคนใหม่ที่ไฉไลและหุ่นดีกว่าเดิม คุณสามารถเปลี่ยนรูปร่างของคุณที่อ้วนอวบเป็นหุ่นผอมเอวบางได้ แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องไม่ได้มาโดยง่ายอย่างแน่นอนแต่ก็ไม่ยากเกินไปและ คุณสามารถทำได้ทุกสิ่ง หากมีความมุ่งมั่นพอ และ คุณต้องไม่ทิ้งรูปร่างหรือปล่อยตัวปล่อยใจตามใจคุณ และที่สำคัญ คุณต้องเริ่มปฏิวัติตนเองใหม่ เปลี่ยนตัวเองใหม่ หากคุณยังใช้ชีวิตเดิมๆอยู่ต่อไป คุณก็ไม่มีวันที่จะถึงเป้าหมายของคุณ สิ่งเดียวที่คุณต้องการครับคือ “CHANGE” และ ในเรื่งราวที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ครับ สามารถที่จะช่วยคุณได้ ขอให้คุณทำใจให้สบายๆ ผ่อนคลาย และเริ่มต้น อ่านและศึกษาข้อมูลของคุณ ข้อมูลที่จะทำให้คุณเปลี่ยนและสวยได้ในแบบที่คุณต้องการ ความคิดเห็นที่ 1 [แจ้งลบ]   ไดเอ็ท DIET ไม่ใช่ ไดอด เอาหล่ะครับทีนี้คุณตัดสินใจที่จะ CHANGE หรือเปลี่ยนตัวคุณเองแล้ว สิ่งแรกที่คุณควรเริ่มต้นคืออะไร ? อย่างแรกสุดคุณต้องเริ่มจากปรับเปลี่ยนความคิดของคุณในมุมมองใหม่ก่อนครับ เริ่มจากการให้คำนิยามเรื่องการ ไดเอ็ทของคุณ ถ้าถามเพื่อนๆหลายๆคนว่าการไดเอ็ทคืออะไร...... ส่วนมากมักจะให้คำตอบไปในแนว กินให้น้อยๆ หรือ อดอาหาร ว้า... คงไม่ได้กินเค้กหรือไอติม ทรมารน่าดู หิวสุดๆ ท้องร้อง ทนไม่ไหว อยากกินๆๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่คุณต้องเริ่มเปลี่ยนมุมมองของการไดเอ็ทของคุณใหม่ครับ หากเราเปิด Dictionary ของฝรั่งดู การไดเอ็ทจะหมายถึง อาหารธรรมดาและเครื่องดื่มสำหรับคนและสัตว์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องเลือกสรรในการกินให้ถูกวิธี You are what you eat หุ่นคุณจะเป็นอย่างไร จะอ้วนผอม อยู่ที่การเลือกกินของคุณจริงๆ อย่านับแค่ปริมาณแคลอรี่แต่ให้สนใจคุณภาพของอาหารที่คุณกินมากกว่าตัวเลข ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างของรายการอาหารที่คุณกินเพื่อการไดเอ็ทกันครับ จาก ที่ทุกคนได้รับการบอกเล่ามา หากเราสามารถรับประทานอาหารต่อวัน วันละ 1200-1500 กิโลแคลอรี่ จากความต้องการโดยเฉลี่ยของคนธรรมดาวันละ 2,000 กิโลแคลอรี่ ดังนั้นปริมาณแคลอรี่ของเราก็จะติดลบถ้าทำหรือควบคุมปริมาณแคลอรี่อย่างนี้ ไปเรื่อยๆโดยปกติน้ำหนักของคุณก็จะลดลงโดยธรรมชาติครับ ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างของรายการอาหารที่คุณกินเพื่อการไดเอ็ทกันครับ ตัวอย่าง เช้า        ผรั่งกิมจู 1 ผล+ยาคูลท์ 1 ขวด ว่างเช้า    กาแฟ 3-in-1 เที่ยง      ข้าวคลุกกะปิ (ทำเอง) ว่างบ่าย   Nesvita 1 ซอง อาหารเช้ารวม  475  แคลอรี่ 7:20   ข้าวไก่เทอริยากิที่7-11 <400>,หมูปิง 1 ไม้ <75> มื้อกลางวันรวม  730 แคลอรี่ 12:00     ข้าว 5 คำ <30>,เส้นหมี่ไก่ใส่น่อง 1 ชาม <350> ตำป่า<50> 13:30   ชาเขียว 1 แก้ว <300> มื้อเย็นรวม  XXX  แคลลอรี่ อันนี้ขอแอบยกตัวอย่างของเพื่อนๆที่มารายงานเรื่องอาหาร โดยสรุป เพื่อนๆ ก็จะเน้นไปที่ตัวเลขของจำนวนแคลอรี่ต่อวัน โดยให้ความสนใจของคุณภาพอาหารค่อนข้างน้อย ซึ่งคุณลืมไปว่า ร่างกายเราต้องการสารอาหารให้ครบห้าหมู่ รายการผักและผลไม้ ? รายการอาหารที่มีประโยชน์ต่อผู้หญิง? ทีนี้เรามาดูว่าเราควร change หรือ เปลี่ยนอะไรบ้างครับ อย่างแรกสุด การนับแคลอรี่ของคุณถูกแล้ว แต่... คุณมองเพียงเหรียญด้านเดียวครับ ด้วยคำศัพท์คำนี้จะทำให้คุณเข้าใจมากขึ้น “NEGATIVE CALORIE DIET “ อย่าง ที่บอกนะครับว่าเรามองเพียงด้านเดียว negative calorie diet สามารถอธิบายได้ง่ายๆ เช่น แอปเปิ้ล 1 ลูก ให้พลังงาน 80 แคลอรี่ ครับ แต่อย่างไรก็ดี เวลาที่เรารับประทาน ร่างกายมีกระบวนการทางเคมี มีกระบวนการย่อย มีกิจกรรม เหล่านี้จะใช้พลังงานทั้งสิ้น เป็นเหตุให้ใช้พลังงานไปทั้งสิ้นถึง 100 แคลอรี่ ดังนั้นจึงเป็นผลให้ -20 ดังนั้น แอปเปิ้ลที่เรากินเข้าไปแค่ 20 แคลอรี่เท่านั้น ดังนั้นเห็นไม่ครับ ว่าเรามองเรื่องของแคลอรี่แค่ด้านเดียว เราสนใจแค่ตัวเลขจำนวนค่าแคลอรี่ของมันเท่านั้น แต่เราลืมนึกถึงกระบวนการเผาผลาญของร่างกายไปด้วย ดังนั้น ถ้าเรารับประทาน น้ำหวาน 1 แก้ว 160 แคลอรี่ เปรียบเทียบกับ แอปเปิ้ล 2 ลูก 160 แคลอรี่ ผลที่ได้มันไม่เท่ากันนะครับ เพราะ ถ้าเรา กินน้ำหวานเข้าไปซึ่งเป็นอาหารแบบ high gi ร่างกายแทบไม่ได้ใช้พลังงานอะไรเลยครับ จึงเป็นเหตุถึงที่มาว่า ทำไมต้องพูดถึง อาหารพวก low gi สำหรับการลดน้ำหนักซึ่งผมจะอธิบายในตอนต่อไป และ สิ่งที่คุณต้องมีคือ ความเข้าใจเรื่องของระบบการเผาผลาญอีกด้วย ดังนั้นผมขอสรุปก่อนสำหรับตอนนี้นะครับว่า “ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องเลือกสรรในการกินให้ถูกวิธี You are what you eat หุ่นคุณจะเป็นอย่างไร จะอ้วนผอม อยู่ที่การเลือกกินของคุณจริงๆ อย่านับแค่ปริมาณแคลอรี่แต่ให้สนใจคุณภาพของอาหารที่คุณกินมากกว่าตัวเลขครับ ดังนั้นถ้าคุณวางแผนการกินของคุณดีๆคุณจะไม่หิวโหยเลยครับ แต่ให้ใช้ประโยชน์จากแนวความคิด “NEGATIVE CALORIE DIET “ จากคุณ : พีรวัส ชูเพชร (mrtrainer2008) เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 11:59:58

ความคิดเห็นที่ 2   เข้าใจถึงสิ่งที่เรากิน สิ่งที่มันเป็น และ สิ่งที่เราได้ You are what you eat กระบวนการย่อยอาหารของเรา เอาหล่ะครับทุกคนอาจจะพอรู้มาบ้างครับว่าระบบย่อยอาหารของเราเป็นอย่างไร เรามาทบทวนความเข้าใจกันง่ายๆครับ โดยทั่วๆไประบบย่อยอาหารก็เป็นกระบวนการทางกายภาพและเคมีในการเปลี่ยนเอาบรรดาสิ่งที่เราหย่อนใส่ในปากของเรา เปลี่ยนเอาทั้งอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เริ่มจากในปาก เรากินอาหาร เราค่อยๆเคี้ยวอาหาร ค่อยๆทำให้จากอาหารชิ้นใหญ่กลายเป็นชิ้นเล็กๆหรือละเอียด หลังจากนั้นจึงกลืนเข้าสู่ร่างกาย และตกลงสู่กระเพาะและเป็นที่ที่อาหารที่เรากลืนลงมาจะได้ผสมกับน้ำ กรดย่อยอาหาร และ เอนไซค์ต่างๆ หลังจากนั้นประมาณ 1-4 ชม. ตามแต่ประเภทอาหารนะครับ อาหารเหล่านี้ก็จะกลายเป็นอยู่ในสภาพของเหลว เคลื่อนย้ายไปยังลำไส้ โดยอาหารต่างๆเหล่านี้จะมีรูปแบบ 3 อย่าง 1.คาร์โบไฮเดรต 2.โปรตีน 3.ไขมัน สามประเภท ที่เรากินไปตั้งเยอะๆตั้งแยะ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวผัด ข้าวขาหมู กระเพราไก่ไข่ดาว เบอร์เกอร์ สุกี้ ขนมเค้ก สเต็กเนื้อ ไอติม อีกสารพัดที่เราจับใส่ (ให้นึกถึงเครื่องซักผ้าหรือเครื่องบดอาหาร) เขย่าๆ ย่อย ย่อย ย่อย ก็จะกลายมาเป็น 3 อย่างที่ว่านี่แหละ โดย คาร์โบไฮเดรตจะดูดซึมในรูปแบบของกลูโคส (น้ำตาลนั่นเอง) โปรตีน จะดูดซึมในรูปของกรดอมิโน และไขมันจะดูดซึมในรูปแบบ กรดไขมันและกลีเซอรีน ทั้งสามอย่างก็จะดูดซึมผ่านลำไส้และเข้าสู่กระแสเลือด โดยทำหน้าที่แตกต่างๆกันไปตามหน้าที่ของมัน โดยทั่วไปพลังงานหลักของเราได้มาจากน้ำตาลซึ่งเป็นพลังงานที่เราใช้ในกิจกรรมต่างๆ หากในเลือดมีระดับน้ำตาลสูงขึ้นมากเนื่องจากเรารับเอาน้ำตาลเข้ามาเยอะๆหรือไม่ได้ทำกิจกรรมใดๆ ปริมาณน้ำตาลที่เป็นแหล่งพลังเหล่านี้ก็จะสะสมไว้ในรูปแบบไกลโคเจน เป็นพลังงานสะสม คล้ายๆกับการฝากเงินในธนาคาร ถ้าเราฝากเยอะๆ เราก็จะมีเงินเหลือเก็บมากมาย แต่อันนี้ตรงกันข้ามกับกลายเป็นความอ้วนที่เราสะสมเพิ่มมากขึ้นในที่สุด ด้านไขมัน ก็จะเป็นแหล่งพลังงานอีกอย่างของร่างกาย ให้ความอบอุ่นต่อร่างกาย ช่วยในการย่อยสลายและดูดซึมวิตามินบางอย่าง แต่ไขมันถ้ามีมากๆเก็บไว้ก็จะมีผลต่อรูปร่างและสุขภาพของเรา ให้เราลองนึกถึง เนยเหลวๆที่จับตัวเป็นก้อนๆ ส่วนโปรตีนก็จะทำหน้าที่สร้างเซล สร้างร่างกายในทุกๆอย่าง ถ้าเปรียบโปรตีนก็น่าจะเปรียบได้กับปูนซิเมนต์ซึ่งมีหน้าที่ก่อสร้างและเป็นทุกๆสิ่งในบ้านของเรา คนที่เล่นเวทเล่นกล้ามก็เหมือนกับการหล่อบล็อคทำฉากแต่ก็ต้องเทปูนลงไปด้วยเพื่อให้บ้านที่เราก่อสร้างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะต้องเจ้าใจว่า สิ่งที่เรากินเข้าไป คืออะไร ลองถามแล้วลองย่อยสิ่งที่เรากินเข้าไป ออกเป็น 3 ประเภท จากอาหารที่เรากินเข้าไป ดังนั้นสำหรับการเปลี่ยน Change ตัวเราแล้วทั้ง 3 อย่างจะมีบทบาทอย่างมากซึ่ง หากเรารับ แป้ง หรือ น้ำตาลเข้ามาเยอะๆสิ่งที่ได้ก็คือความอ้วน หากเรากินอาหารที่มีไขมันเยอะๆสิ่งที่เราจะได้ก็คือความอ้วนเหมือนกัน คุณคงได้ยินมีคนพูดว่า Low crab กัน ในตอนหน้าเราจะมาเจาะลึกเรื่องราวของ Low crab บางทีคุณอาจจะต้อง change ความคิดใหม่ว่า บางครั้งคุณอาจจะไม่ต้องไปอดหรือทนหิวกับการขาดแป้งขนาดลดน้ำหนักอีกต่อไป ติดตามได้ในตอนต่อไปครับ จากคุณ : พีรวัส ชูเพชร (mrtrainer2008) เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 12:01:30

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณมากสำหรับสาระดี ๆ ค่ะ จากคุณ : coojung เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 16:26:05

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณสำหรับสาระดีดี จะติดตามตอนต่อไปนะคะ จากคุณ : =U_U= PoRpLe เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 18:10:17

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Jo-Un เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 19:56:05

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณค่ะ ปริ๊นเก็บไว้อ่านเลย ^^ จากคุณ : meawki8 เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 53 10:22:56

ความคิดเห็นที่ 7 สุดยอดจริงๆ ขอบคุณค่ะ changed my mind เรยทีเดียว ติดตามต่อตอนต่อไปนะคะ จากคุณ : รักหนักแน่น เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 53 13:16:23