ความคิดเห็นที่ 1 65-75% กำลังดีครับ จากคุณ : bankpakim เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 02:16:00

ความคิดเห็นที่ 2 เก่งเนาะ ทนเหนื่อยได้ จากคุณ : mamao เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 07:19:43

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้า 70-80% มันจะเป็นช่วง Cardio Training Zone ค่ะ เป็นช่วงที่เกิดการบริหารหัวใจ การเบิร์นไขมันยังคงมีอยู่ แต่เปอร์เซ็นเมื่อเทียบกับแคลอรี่ที่ทำได้ทั้งหมดจะน้อยลง เช่นถ้าในช่วง Fat burning การเบิร์นไขมันคิดเป็น 50-60% ของแคลอรี่รวม ในช่วง Cardio Training Zone ก็จะเหลือแต่ 30-40% เท่านั้น ก็ต้องลองคำนวณดูเองค่ะ ว่าแบบไหนคุ้มกว่ากัน แต่สำหรับเราก็ 80% Max. HR ตลอด 1 ชั่วโมงเหมือนกัน เพราะยังไหว ไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก ออกกำลังกายเสร็จก็ไม่เพลีย ไม่เจ็บ ก็เลยคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอะค่ะ จากคุณ : แมวบอส เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 08:40:03

ความคิดเห็นที่ 4    .... เป็นอย่างนี้ครับ ....  ....  Heart Rate Zone 1) The Energy Efficient or Recovery Zone - 60% to 70% 2) The Aerobic Zone - 70% to 80% 3) The Anaerobic Zone - 80% to 90%         ***************************** ต้องดูจุดประสงค์การออกกำลังกาย 1) Isomatic exercise   ..... ออกกำลังได้  "อย่างต่อเนื่อง" 2) Endurance exercise   .... สร้างความแข็งแกรงของร่างกาย . "แต่ไม่ต่อเนื่อง" Limit  Limit อยู่ที่ AT anerobic threshold    เนื่องจากที่ระดับนี้ [u]การใช้  Fat เป็นพลังงานลดลงมาก[/u]   ร่างกายหันไปใช้ gylcogen มาเป็นพลังงาน และเกิด byproduct เป็น  lactic acid   เมื่อถึงจุดหนึ่งร่างกาย "ไม่สามารถกำจัด lactic acid" ออกจากกล้ามเนื้อได้ทัน  ...ก็เป็นจุด limit ที่ทำให้ ..คนหมดแรง  ..จุดนี้เรียก  AT = anerobic threshold   ดังนั้น .. ผมถึงพยายามบอก 1) การออกกำลังกายเพื่อ max Fat-burn ต้องออกกำลังได้แบบต่อเนื่อง หรือ Isomatic exercise ไม่ใช่ไปเร่งโหมออกแรงมาก+ใช้เวลาน้อย ไปเล่นในระดับ Endurance ซึ่งมันได้ผลไม่เหมือนกัน ในกระทู้ข้างล่าง คุณ เจริญ Porn และ ผมเคยตอบหลายครั้งแล้ว ลองหาดู 2) ส่วนใน Zone 1) เป็นการออกกำลังแบบเนิบๆ วิ่ง หรือ "ย่องๆ" ช้าๆ... แบบนี้ผมเคยทำผิดพลาด วิ่งตะพึดตะพือเป็นปี ...ไม่มีประโยชน์ เพราะ มันเป็นการออกแรงแบบ Energy Efficient ไม่ได้เผาผลาญไขมัน .. ลักษณะเคลื่อนไหวใน zone นี้  คล้ายกับ เดินไปเดินมา ในชีวิตประจำวัน ซึ่งทำให้คนอ้วนได้ไง ครับ เครดิต..คุณ news-headline ********************************************** Ref: http://www.brianmac.co.uk/hrm1.htm The Anaerobic Zone - 80% to 90% Training in this zone will develop your lactic acid system. In this zone, your individual anaerobic threshold (AT) is found - sometimes referred to the point of deflection (POD). During these heart rates, the amount of fat being utilised as  the main source of energy is greatly reduced and glycogen stored in the muscle is predominantly used.  One of the by-products of burning this glycogen is lactic acid. There is a point at which the body can no longer remove the lactic acid from the working muscles quickly enough. This is your anaerobic threshold (AT). Through the correct  training, it is possible to delay the AT by being able to increase your ability to deal with the lactic acid for a longer  period of time or by pushing the AT higher. จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 10:03:45

ความคิดเห็นที่ 5 แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 53 10:05:49 จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 10:04:27

ความคิดเห็นที่ 6 Ref.. นี้อธิมีคำอธิบาย ทำไมเราจึงไม่ควรใช้ THR ที่ระดับ Anerobic Zone เพราะ .. เราจะหมดแรงที่จุดหนึ่ง เรียก AT Anaerobic Threshold คือ วิ่งๆ ผ่อนๆ ซึ่งไม่เกิดผลดีกับ max Fat Burn http://www.brianmac.co.uk/hrm1.htm The Anaerobic Zone - 80% to 90% Training in this zone will develop your lactic acid system. In this zone, your individual anaerobic threshold (AT) is found - sometimes referred to the point of deflection (POD). During these heart rates, the amount of fat being utilised as the main source of energy is greatly reduced and glycogen stored in the muscle is predominantly used. One of the by-products of burning this glycogen is lactic acid. There is a point at which the body can no longer remove the lactic acid from the working muscles quickly enough. This is your anaerobic threshold (AT). Through the correct training, it is possible to delay the AT by being able to increase your ability to deal with the lactic acid for a longer period of time or by pushing the AT higher. จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 10:09:38

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบ่นสักนิด .. หลายครั้งที่ผมอ้างทฤษฏีซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์การกีฬา จะมีคนเข้ามาบอกในทำนองว่า  .. ไม่ต้องสนใจหลักวิชา .. เขาแนะนำให้วิ่งแบบ "เต็มที่ไปเลย และใช้เวลาน้อย" แถมยังอ้างว่า ใช้ได้ผลดี คำกล่าวอย่างนี้ อาจเป็นจริงก็ได้ แต่เขาคงตอบคำถามไม่ได้ว่า ...ที่ลดน้ำหนักได้นั้น ... ลดได้เพราะอะไร ? จริงอยู่.. อาจจะลดได้ระดับหนึ่ง แต่ก็จะถึงทางตัน เพราะความไม่รู้ว่า ที่ลดได้นั้น .. ลดเพราะอะไร ? ผมเคยมีประสบการณ์ทำผิดพลาด วิ่งตะพึดตะพือมาเป็นปี และ ไร้ผล หลังจากผมค้นหาคำตอบ ผมพบว่า วิธีที่ดี เราต้องมีหลัก ต้องเข้าใจ จึงจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 10:18:04

ความคิดเห็นที่ 8 มีสองทฤษฎีที่เถียงกันอยู่คือ นักวิชาการ HiiTer อ้างว่าการเบิร์นแบบนี้เผาผลาญพลังงานได้มากกว่า ถามว่าจริงไหม? คำตอบคือจริงครับ เนื่องจากการที่ร่างกายเกิด การเป็นหนี้ออกซิเจน หรือ Oxygen dept (ในช่วงที่ speed สังเกตว่าจะหายใจไม่ทัน) ทำให้ภายหลังจากนั้นเกิด การชดเชยของออกซิเจน Oxygen repayment (ช่วงที่หยุด speed สังเกตว่าจะหายใจหอบถี่ เพื่อชดเชยออกซิเจนที่ขาดไป) นั้นเองช่วยเพิ่ม ระบบเผาผลาญในภายหลัง ทำให้สามารถเผาผลาญ "พลังงานโดยรวม" ได้มากกว่า ขณะที่ กลุ่ม Low-Intensity กล่าวว่า "ใช่ คุณ HiiTer เบิร์นพลังงานได้มากกว่าแต่พลังงานที่เบิร์นนั้นส่วนใหญ่มาจาก แป้ง น้ำตาล และ โปรตีน เนื่องจากการเบิร์นพลังงานจากไขมันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นช้าๆ ต้องการระยะเวลา และ ไม่ต้องการการ Speed นั่นเอง Low-Int จึงดึงข้อดีของตัวเองว่า "เราเบิร์นได้น้อยกว่า จริง แต่เราเบิร์นไขมันโดยตรง" จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครกินกันลงครับ บทสุดท้ายอยู่ที่ตัวเราแล้วว่า เรารู้สึกดีกับแบบไหน รู้สึกถูกกับแบบไหน สำหรับคนที่เวลาน้อย HiiT ก็เป็นตัวเลือกที่ดี สำหรับคนที่ใช้เวลาเล่นเวทเยอะ คุมอาหาร หรือ ทานอาหารน้อย Low-Int ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ เครดิต คุณปืน นักเพาะกายทีมชาติ จากคุณ : bankpakim เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 13:13:50

ความคิดเห็นที่ 9 http://www.theryo.com/2007/05/the_guide_to_cardio/#more แถมลิ้งให้ จขกท ลองศึกษาดูได้ครับ จากคุณ : bankpakim เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 18:12:29

ความคิดเห็นที่ 10 คห. 8 และ 9 คุณ bankpakim เข้าใจผิด จขกท เขาต้องการ max Fat burn  ดูหัวข้อกระทู้ซิครับ คุณ ปืน นักเพาะกาย คนนี้เขาเรียน วิทยาศาสตร์การกีฬา เขาพูดถึง max Energy burn ไม่ใช่ max Fat burn  สองตัวนี้ต่างกัน ต้องทำความเข้าใจให้ดี ... นักเพาะกายเขาต้องการ Energy มาฝึกสร้างกล้าม ปัจจุบันนี้มีการพูดถึง เล่นหนักๆ + เวลาน้อย ให้ได้ผลเท่าเทียมกัน แต่มันไม่ใช่ ประเด็นของกระทู้นี้ เจ้าของกระทู้เป็นผู้หญิง เขาต้องการ Fat burn ไม่ใช่สร้างกล้ามครับ เดี่ยวผมขอไปเติมพลังก่อน ... จะกลับมาเล่า Oxygen Debt ให้ฟังในรายละเอียดดีกว่า ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 20:10:32

ความคิดเห็นที่ 11 ผมเข้าใจผิดอะไรหรอ ก็ชี้ให้เห็นไงว่า HIIT กับ Low intensity มันต่างกันยังไง และก็เอาลิ้ง Guide to cardio มาให้ จขกท ลองศึกษาและทำความเข้าใจครับ อ่านดีๆครับ จากคุณ : bankpakim เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 20:52:14

ความคิดเห็นที่ 12 คห. 8 ยกมา ช่วยเพิ่ม ระบบเผาผลาญในภายหลัง ทำให้สามารถเผาผลาญ "พลังงานโดยรวม" ได้มากกว่า >>>>>>>>>>>>>> นี่เขาพูดถึง Oxygen Debt และชี้ว่า ..... total energy burn ได้มากกว่า แต่เป้าหมายของ จขกท ต้องการ .... max Fat burn จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 21:20:24

ความคิดเห็นที่ 13 ผมเข้าใจผิดอะไรหรอ ก็ชี้ให้เห็นไงว่า HIIT กับ Low intensity มันต่างกันยังไง >>>>>>>>>>>>>>> .. คุณไม่ได้อ่านโจทย์ที่เจ้าของกระทู้ถาม THR ระหว่าง 70-80% กับ 60-70%  สองตัวนี้ให้ผลต่างกันมากมั้ย ? ดู..จาก คห. 4 ซิครับ 60-70%  คือ Zone 1 The Energy Efficient or Recovery Zone 70-80%  คือ Zone 2 Aerobic Zone คุณ bankpakim เข้าใจผิด เพราะเอาลิ้งค์ Cardio มาให้ดู ซึ่งไม่ได้อยู่ใน Zone 1 และ Zone 2 และอ้างถึง Oxygen debt ซึ่งมันอยู่ใน Zone 3 คุณเข้าใจเรื่อง Cardio แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ที่เจ้าของกระทู้ถาม จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 21:51:28

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่อง Oxygen Debt ผมเอาลิ้งค์นี้มาให้ดู การออกกำลังกายเพื่อ max Fat-burn ต้องออกกำลังได้แบบต่อเนื่อง หรือ Isomatic exercise ไม่ใช่ไปเร่งโหมออกแรงมาก+ใช้เวลาน้อย ไปเล่นในระดับ Endurance ซึ่งมันได้ผลไม่เหมือนกัน ...โหมเร่งมากๆ แล้วไปอั้นที่ Anerobic Threshold เกิด Oxygen Debt พาลให้เกิด lactic acid ตกค้าง เป็นสาเหตุ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ http://www.brianmac.co.uk/oxdebit.htm จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 22:03:15

ความคิดเห็นที่ 15 ที่เบิร์นนั้นส่วนใหญ่มาจาก แป้ง น้ำตาล และ โปรตีน >>>>>>>>>>> ผมเกรงว่า ข้อมูลข้างบน ไม่ถูกครับ เพราะ ร่างกายคนปกติจะไม่ใช้ "โปรตีน" มาเผาผลาญเป็นพลังงาน ยกเว้น "กลูโคส และ ไขมัน" ถูกใช้ไปหมดแล้ว จึงจำเป็นต้องนำโปรตีนที่สะสม มาใช้เผาผลาญเป็นพลังงาน ...สถานะการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนขาดอาหาร ซึ่งร่างกายกำลังอยู่ใน stage สูดท้ายก่อนจะตายครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 22:10:40

ความคิดเห็นที่ 16 อ่อ นึกว่าไร อิอิ ไป ซ้อมบอลก่อนครับ ฝรั่งเยอรมัน มันเคร่งเรื่องเวลา จากคุณ : bankpakim เขียนเมื่อ : วันมหิดล 53 22:14:51

ความคิดเห็นที่ 17 หวาย.....ไม่ได้เข้ามาวันเดียว จะเถียงกันซะแล้ว แต่ขอบคุณทั้งสองมากค่ะ อุตส่าห์มาถกประเด็นกัน ได้ประโยชน์ทั้งคู่เลยค่ะ เราเองก็เคยคิดถึงการออกกำลังกายทั้งสองแบบเหมือนกันค่ะ ว่าจะให้ผลต่างกันอย่างไร แต่ขณะนี้กำลังลดน้ำหนักค่ะ อยากได้แบบคอร์สตรงๆหน่อยนึง เอาไว้ลดแล้วจะลองแบบ HIIT เป็นสิ่งต่อไป อาจจะด้วยความที่ผิดพลาด ไปซัดซะ 80% THR นน.มันเลยลงมาได้ระดับนึงแล้วทรงตัว จะลองดูอีกยกนึงค่ะ ในคห.2 เราเล่น 80% HR อยู่ได้นานค่ะ แต่เคยลองพลักตัวเองให้มากกว่า 80% อันนี้ไม่ค่อยไหวแล้ว เล่นได้สักพักก็เหนื่อย ต้องไปนั่งพักก่อนแล้วค่อยเอาใหม่ (ซึ่งก็เราเองก็ชอบออกนอกเส้นทาง เล่นๆไปแล้วขอลองตัวลองสักหน่อยดูว่า BP มากที่สุดที่ทนไหวคือเท่าไรอยู่บ่อยๆ) ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ จากคุณ : Adenin เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 53 17:14:05