ความคิดเห็นที่ 1 ดูแลคุณแม่ดีๆ นะคะ  ใส่ใจให้มากๆ  และทำกายภาพบำบัดสม่ำเสมอ อาการจะดีขึ้นตามลำดับ  แต่ถ้าไม่ทำกายภาพบำบัดอาการไม่สู้ดีนัก มีคนเคยหายจากโรคนี้ค่ะ  ต้องทำตามที่คุณหมอแนะนำเคร่งครัด  เรื่องยา  อาหารการกินลดคลอเรสเตอรอล  ทุกชนิด   ให้คุณแม่หายป่วยเร็วๆ  และเป็นกำลังใจให้คุณสู้ที่สุด  ทำให้ดีที่สุดในชีวิตของคุณเอง แล้วคุณจะได้แม่คนเดิมกลับมาค่ะ จากคุณ : makmeesm เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 53 07:08:10

ความคิดเห็นที่ 2 พ่อเราก็เคยเป็นอัมพฤกษ์แล้วหายเหมือนกัน ทำใจดีๆไว้ก่อน ทำกายภาพบำบัดหรือนวดให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น มันก็หาย แต่ต้องใช้เวลา จากคุณ : trinitytong เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 53 19:38:51

ความคิดเห็นที่ 3 ผมพาคุณแม่ไปหาหมอทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรก  9 ตุลา 53 19:00   หมอบอกว่าขาดวิตามินบี มีอาการแค่ปากชา มือเท้าชา ครั้งสอง  12 ตุลา 53 18:00 หมอบอกว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ กำชับว่าให้                                      รีบแอดมิทและทำการรักษาโดยด่วน ลุกขึ้นยืนไม่ได้แล้ว                                     แต่ยังคงนั่งได้อยู่ ครั้งสาม  12 ตุลา 53 19:30 หมอได้รับจดหมายจากหมอคนที่สอง ถึงความอันตราย                                     แต่ก็ยังยืนยันบอกว่า เป็นเพียงแค่ขาดวิตามินบีอีก                                     ทั้งๆ ที่ Second Opinion บอกว่าอันตรายแล้ว                                     ต้องการได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน                                     ทำให้คุณแม่ ตัดสินใจกลับบ้านไปตั้งใจทานยารักษา                                     เพราะเชื่อว่า หมอวินิจฉัยไม่ผิด แอดมิท  14 ตุลา 53 10:00 หลังจากลุกขึ้นนั่งเอง ไม่ได้แล้ว ลูกๆ ต้องอุ้มไปส่ง                                     โรงพยาบาล ซึ่งถ้า Third Opinion บอกว่าเป็นแล้วไม่รับรักษา ยังจะดีกว่า เพราะเราจะได้ รู้ตัวทัน แล้วรีบหาที่รักษาอย่างเร่งด่วน แต่กลับบอกว่า ไม่เป็นไร เป็นแค่อาการ ขาดวิตามินบี บำรุงประสาท ทำให้ปล่อยเวลาที่มีค่าทิ้งไป และอาการของโรคหลอดเลือดสมองตีบ อาการทรุด นับกันเป็นนาทีต่อนาที ยิ่งถ้าได้รับการรักษาทันท่วงทีเท่าไหร่ อาการทรุดของโรค ก็จะเป็นไม่เยอะ และสามารถยับยั้งอาการทรุดของโรคนี้ไว้ได้ แต่การวินิจฉัยผิดของหมอในครั้งที่สาม ทำให้เราปักใจเชื่อว่า แม่เราคงไม่เป็นอะไร ทั้งๆ ที่ เมื่อกลับบ้านมา ก็ยังคงมีอาการทรุด และแย่ลงต่อไป ก็เรากลับปฏิบัติกับแม่ เหมือนกับแม่เป็นแค่อาการคนขาดน้ำ และขาดวิตามินบีรวมเท่านั้น และทำให้เรา เสียเวลา Golden Period ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่ถ้าวินิจฉัยได้ถูกต้อง อาการ ของแม่จะไม่หนักขนาดนี้ หรือว่า เราก็จะไม่ปล่อยปละ ละเลยท่าน อย่างนี้ เพราะคิด ว่าเป็นเพียงอาการธรรมดา อย่างที่ หมอคนที่หนึ่ง และ หมอคนที่สาม ให้ความเห็น สอดคล้องกัน แต่ทว่า มันเป็นการวินิจฉัยทางการแพทย์ ที่ผิดพลาด จากวันเสาร์ที่ แม่ยังเดินได้สะดวก มือก็ยังใช้ได้คล่องแคล่วไม่มีปัญหา มีแค่เพียง อาการปากชา มือเท้าชา กลับมาทรุดหนักในวันอังคาร คือ ลุกขึ้นยืนและเดินไม่ได้แล้ว แต่ยังได้รับการวินิจฉัยที่ผิดอีกจากแพทย์โรงพยาบาลที่เราให้ความไว้วางใจมาก ทั้งๆ ที่อาการเห็นชัดมาก แต่กลับวินิจฉัยว่า เป็นอาการที่ไม่ร้ายแรง เพียงแค่ดื่มน้ำ กับทานวิตามินก็หาย ทำให้เราละทิ้งช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยียวยา Golden Period ไปอย่างน่าเสียดายมาก และน่าเสียใจอย่างที่สุด การที่แพทย์คนหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถชี้ชัดถึงอาการของโรคได้ และให้การวินิจฉัยโรคผิด เป็นผลให้ ผู้ป่วย ต้องป่วยหนัก ถึงขั้นทุพลภาพ ทั้งๆ ที่เวลาไปพบแพทย์อยู่ในช่วงที่ สามารถเยียวยาได้ทัน อยากจะถามหาความรับผิดชอบของแพทย์ครับ ถ้าหมอวินิจฉัยโรคให้ถูกต้องไม่ได้ คุณก็ไม่ควรชี้ชัดไป ว่าเป็นโรคนั้น โรคนี้ เพราะ ความเสี่ยง ไม่ได้อยู่ที่หมอ แต่คนไข้ ฝากชีวิต ไว้กับคุณ และถ้าคุณไม่ชัวร์ ก็ไม่ควร ชี้ชัด เพราะมันกลับสร้างความเข้าใจผิดให้กับคนไข้ ว่าตนเองไม่เป็นอะไร จนกระทั่ง ทรุดในที่สุด จนเยียวยาไม่ทัน ตอนนี้ อาการของคุณแม่ เมื่อเทียบกับ ครั้งที่หาหมอครั้งแรก ต่างกันมาก ถ้าเพียงแต่ คุณภาพของหมอที่ทำการรักษา วินิจฉัย ได้ถูกต้อง ก็คงไม่ต้องพบกับสภาพทุพลภาพ ณ ตอนนี้ คุณหมอ ที่ทำการรักษาในปัจจุบัน หลังจากอาการทรุดไปแล้ว ให้ความเห็นว่า เส้นเลือด สมองในส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวในสมองซีกขวาได้ตันและถูกทำลายไปแล้ว และเนื้อสมองตายไปแล้ว และโอกาสที่จะฟื้นฟูมีน้อยมาก ผมขอขอบคุณกำลังใจที่คุณ makmeesm และ คุณ trinitytong มีให้มากครับ ผมยังคงสงสัยถึง คุณภาพและประสบการณ์ของแพทย์ที่ คุณแม่ผมไปพบ และความ เสียหายที่เกิดขึ้นนี้ จะไปเรียกร้องอะไรกับหมอได้ ในเมื่อกฎหมายไทยเอง ก็ไม่ได้รองรับ อีกทั้ง ยังได้รับการต่อต้าน จากกลุ่มวิชาชีพแพทย์ ที่มิยอมให้เอาความ กับหมอที่วินิจฉัยโรค หรือให้การรักษากับคนไข้ผิดพลาดอีก ยังความเสียหายให้กับ คุณภาพชีวิตของคนไข้ และครอบครัว อย่างสูง ถ้ามีใครคิดจะผลักดันกฎหมายดังกล่าวให้เกิดขึ้นจริง ผมว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่จะทำให้ คนที่ชื่อว่าเป็นหมอ ให้ความสำคัญกับชีวิต ของผู้ป่วย มากกว่านี้ จากคุณ : pianchai เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 53 11:47:19

ความคิดเห็นที่ 4 อาการชาที่ปากข้างเดียว ชาที่แขนข้างเดียว ชาที่ขาข้างเดียว กล้ามเนื้ออ่อนแรง พูดไม่ชัด แลบลิ้นแล้วลิ้นเบี้ยว พูดจาผิดจากปกติไป เช่น พูดจาช้าลง พูดจาไม่รู้เรื่อง หรือ ใช้เวลาในการโต้ตอบนาน ยกแขนสองข้างขึ้นพร้อมกันไม่ได้ เดินไม่ตรง หกล้มบ่อย โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูง ความดัน และเบาหวาน มีสิทธิ์ ที่จะเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้ ถ้ารักษาทัน ก็สามารถฟื้นฟูให้ร่างกาย กลับมาใช้งานได้ ถึงแม้จะไม่เท่าเดิม แต่ก็ดีกว่า ใช้การไม่ได้เลย ผู้หญิง โดยส่วนใหญ่ มักจะเป็นที่สมองซีกขวา ซึ่งควบคุมกล้ามเนื้อซีกซ้าย และผู้ชาย โดยส่วนใหญ่ มักจะเป็นที่สมองซีกซ้าย ซึ่งควบคุมกล้ามเนื้อซีกขวา ถ้ามีอาการดังกล่าว ให้ตรวจกับ หมอผู้เชี่ยวชาญ ระบบประสาท ดีกว่า ที่จะให้หมอ อายุรเวชตรวจ เพราะโอกาสในการวิเคราะห์โรคผิด กลายเป็นโรคขาดวิตามินบี สูงมาก หมออายุรเวช มักจะรักษาโดยการจ่ายยา ในขณะที่หมอระบบประสาท จะมีความ เชี่ยวชาญ กับเรื่องของ สมองมากกว่า ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการทำงานของกล้ามเนื้อ และประสาทรับความรู้สึก ซึ่งเป็นที่มาของ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เรื่องของสุขภาพ ให้คิดในแง่ร้าย แล้วไม่เป็นอะไร ดีกว่า คิดในแง่ดี แล้วมีข้อผิดพลาด เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นร่างกายของเรา จะไม่มีโอกาสในการแก้ตัวอีกครั้งครับ จากคุณ : pianchai เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 10:20:51

ความคิดเห็นที่ 5 สำหรับของแ่ม่ผม หมอไม่ได้บอกอะไรให้ทราบเลยครับว่าเป็นอาการเริ่มต้นของเส้นเลือดในสมองตีบ เราก็เข้าใจไปว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน เพราะแม่จะมีอาการเวียนหัวทุกวัน ไปรักษาทั้งโรงพยาบาลดัง ๆ ทำ CT สแกนสมอง รักษากันมา 3-4 ปี หมอก็ไม่ได้บอกมีแต่นัดมาตรวจทุก 3 เดือน จนมาวันนึงเมื่อปีที่แล้วมีความดันขึ้นสูงแต่โชคดีที่น้องชายพาส่งโรงพยาบาลทัน แต่ก็เป็นอัมพฤกษ์ไปครับ แม่ถึงขนาดรับไม่ได้เมื่อรู้ว่าเป็นโรคนี้ ถึงขนาดคิดจะฆ่าตัวตาย กว่าผมจะค่อย ๆ ปลอบและพูดคุยตลอดเพื่อให้กลับมามีกำลังใจดี และต่อสู้กับโรคจนถึงทุกวันนี้แทบแย่ ผมเองก็พลอยเครียดจนสุขภาพทรุดตามไปด้วยครับ แนะนำจขกท.ใจเย็น ๆ ครับ ให้ลองมองคนที่แย่กว่าเรา ลำบากกว่าเราเขายังมีความสุข อยู่กับชีวิตปัจจุบันได้เลยครับ และที่สำคัญตัวเราเองต้องกำลังใจดีมาก ๆ ไม่งั้นคุณแม่เห็นแล้วจะแย่ตามครับ จากคุณ : keangie เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 20:56:40

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณคุณ keangie สำหรับกำลังใจด้วยครับ โรคเส้นเลือดในสมองตีบนี้ เปรียบเสมือนภัยเงียบ ที่อยู่ใกล้ตัวพวกเรามากๆ ครับ และส่วนใหญ่ ก็ไม่ค่อยมีใคร ให้ความรู้กัน ว่าเราป้องกันการเป็นโรคนี้ได้อย่างไร หรือว่า ถ้าใคร ตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงบ้าง สัญญาณเตือนเป็นอย่างไร ถ้าตรวจร่างกาย และพบว่า ตัวเอง มีอาการความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือมีแนวโน้มเป็นเบาหวาน  คุณจะไม่ได้มีปัญหาสุขภาพอยู่แค่ตรงนี้ เพราะทั้ง สามอาการที่ว่านี้ ถ้าดำเนินไปจนถึงจุดวิกฤต คุณก็จะมีโอกาสที่เส้นเลือดเกิดการ ตีบตันได้ ซึ่งสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย เพียงแต่ว่า หากการตีบตัน เกิดขึ้นที่จุดสำ คัญที่สุดในร่างกาย ได้แก่ สมอง และ หัวใจ จะเป็นสาเหตุให้คุณเกิดอาการอ่อนแรง ถึงขั้นเป็นอัมพาต เนื่องจาก เซลส์สมองตาย ซึ่งก็คือ โรคเส้นเลือดในสมองตีบ ตัน หรือ กล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งก็คือ โรคหัวใจ ถ้ารู้ตัวก่อนหน้า ก็ต้องมีการทำบอลลูน ขยายเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ เพื่อป้องกัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย เท่าที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยได้กังวลใจเรื่อง โรคเส้นเลือดสมองตีบมากนัก แทบจะรู้สึก ว่า คงมาไม่ถึงวันนั้นหรอก ทั้งๆ ที่เห็นความดันก็สูง ไขมันก็สูง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ไม่ตระหนักถึงอันตรายเท่าที่ควร ที่ผมตอบในกระทู้นี้ไว้ ก็เพื่อส่วนหนึ่ง จะให้ไว้เป็น ข้อมูล เผื่อใครมาค้นเจอ ถึงอาการที่ว่านี้ ให้สามารถรักษาได้ทันเวลาครับ โรคเส้น เลือดในสมองตีบนี้ มักจะวินิจฉัยโรคกันผิด เพราะกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นแค่อาการ หนึ่งของโรคเท่านั้น ซึ่งหมอหลายท่านมักจะวินิจฉัยและสันนิษฐานโรคผิด ซึ่งถ้า สามารถชี้ชัด โรคได้ทันเวลา ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายในส่วนสมองได้ทัน โรคเส้นเลือดตีบในสมอง เป็นโรคที่สามารถรักษาได้ทัน ถ้ารู้ตัวว่า กำลังจะเริ่มเป็น และต้องไม่วินิจฉัยผิดพลาด ว่าอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นเพียงเพราะขาดวิตามินบี จริงอยู่ อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ และสาเหตุที่มีอันตราย กับร่างกายได้มากที่สุด ก็คือ เส้นเลือดในสมอง ซึ่งควรจะตระหนักถึงข้อนี้ให้มาก ตอนแรก ผมก็คิดว่า คุณแม่แค่ ชาปลายมือ ปลายเท้า เช่นก่อนหน้า เนื่องจาก คุณหมอ ก็เคยบอกไว้เรื่อง สภาพปลายประสาทเสื่อมเนื่องจากเป็นโรคเบาหวานมานาน แต่ ไม่เคยได้ซักถาม ถึงอันตรายของมัน ถ้าเปรียบสมอง เป็นต้นทาง มือ เท้าเป็นปลายทาง ผมคงได้ตระหนักถึง ปลายทางเป็นสาเหตุเป็นหลักมากกว่าเพราะเคยได้ข้อมูลมาเช่นนั้น และคิดว่า ที่ยังคง ชามือ ชาเท้า เป็นสาเหตุของเบาหวาน ซึ่งเข้าใจผิด เพราะเบาหวาน เป็นแค่ปลายเหตุแล้ว ในขณะที่ต้นเหตุก็คือ อาการของระบบประสาท ซึ่งเกิดขึ้นที่สมอง และผลลัพธ์ของอาการที่สมอง ก็คือ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ในที่สุด ผมพยายามให้ข้อมูลเอาไว้ เผื่อที่ใครจะได้มีโอกาสอ่าน จะได้รู้ไว้ และระแวดระวัง ภัยของโรคนี้เอาไว้ ให้เห็นความแตกต่างของการขาดวิตามินและเส้นเลือดสมองตีบ โดยเอาข้อมูลจากประสบการณ์ที่ประสพพบมา อย่างน้อย จะได้ลดคนที่ไม่รู้จักโรคนี้ ลงไปได้บ้าง เช่นผม ที่ทำความรู้จักโรคนี้ ยังไม่ดีพอในตอนแรก โรคหลอดเลือดสมองตีบ รักษาได้ ภายใน 3 ชั่วโมง ที่เริ่มแสดงอาการ ชาที่หน้า ปาก แขน ขา มือ เท้า อ่อนแรง โดยเฉพาะถ้าเป็นข้างเดียว ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็น เพราะ ถ้าขาดวิตามินบี คุณจะกินวิตามินเพิ่มเมื่อไหร่ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณโชคร้าย เป็นหลอด เลือดสมองตีบ แล้วไปรักษาด้วยการกินวิตามินบี ถึงตอนนั้น คุณก็คงขยับไม่ได้แล้ว จากคุณ : pianchai เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 09:36:31

ความคิดเห็นที่ 7 คนที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอ จะต้องมีความรู้และวิจารณญาณ ที่ดีพอจะแยกแยะ ระหว่างอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ที่สามารถหายได้ด้วยการทานวิตามินบีรวม กับโรคหลอดเลือดสมองตีบ ที่ต้องทานยาสลายลิ่มเลือด รักษาโรค ออก มิฉะนั้น คนไข้ อีกหลายๆ คน ก็คง ฝากชีวิต ไว้กับหมอไม่ได้ และคงมีอีกหลายๆ ชีวิต ที่ต้องประสบกับหายนะ จาก หมอมือไม่ถึง จากคุณ : pianchai เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 14:05:04

ความคิดเห็นที่ 8 ตอนนี้ กลับมารักษาตัวต่อที่บ้านแล้ว พร้อมกับการเป็นอัมพฤกษ์ข้างซ้าย ทั้งๆ ที่ ถ้าได้รับการรักษาทันตั้งแต่วันที่ไปพบแพทย์ และไม่ได้รับการวินิจฉัย ที่ผิดพลาดอย่างที่เล่าไว้ จะไม่ต้องเป็นเช่นนี้ หมดค่ารักษาไปหนึ่งแสนสองหมื่นบาท และต้องรักษาอาการอัมพฤกษ์ต่อ ด้วยการทำกายภาพบำบัดทุกวัน  ทั้งๆ ที่จริงๆ ถ้ารักษาทันในวันที่ไปพบแพทย์ ก็จะแค่เพียงทานยา ฉีดยา สแกนสมองด้วย MRI อาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ และไม่ต้องมีอาการอัมพฤกษ์ อัมพาตติดตัวไปตลอดชีวิตแบบนี้ เรื่องนี้ คงเป็นอุทาหรณ์ ให้กับอีกหลายๆ คน ให้ระวัง และรักษาชีวิตและสุขภาพไว้ ให้จงดีครับ โรคนี้ สามารถรักษาได้ทัน ถ้ารู้ว่าเริ่มมีอาการ หรือตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยง แล้ว ต้องตรวจคัดกรองให้ดี และหวังว่า คงจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ซ้ำๆ ขึ้นมาอีก กับทุกๆ ท่าน และขอให้หมอทุกท่าน อย่าทำเอา ชีวิตคนไข้ เป็นเรื่องล้อเล่น หรือวินิจฉัยโรค โดยไม่มีความรู้ หรือ วิจารณญาณเพียงพอ หรือถ้าคุณมีความสามารถไม่เพียงพอ ก็อย่าทำการรักษาโรคให้กับผู้ป่วย เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความถนัดเฉพาะทางเป็น คนวิเคราะห์โรคจะดีกว่า เพราะมันคงขำไม่ออก ถ้าเกิดขึ้นกับคนที่คุณรักครับ จากคุณ : pianchai เขียนเมื่อ : 2 พ.ย. 53 17:19:19