สวัสดีค่ะ ทุกๆ คน เมื่อวานคอมเม้นท์ไม่ครบ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ไปทานกลางวันเสร็จ ก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ค่ะ ทำให้ไม่มีเวลาโฉบมาเม้าท์นานๆ เลยอ่ะค่ะ ช่วงใกล้ๆ จะจบเฟส เริ่มอืดอาดกันหลายคนเลยนะเนี่ย
แล้วมาเจออากาศหนาวอีก ทำให้ไม่ค่อยอยากจะออกกำลังกายเลยเนอะ มาเล่นฮูล่าฮุปกันเถอะ คุณเจ ซื้อมาหรือยัง เมื่อวานหมอกไปศรีย่าย ตรงข้ามชลประทานอ่ะค่ะ เขาเอามาขายกันเพียบเลยนะ แวะซื้อได้เลยค่ะ ไม่แพงด้วยค่ะ มีให้เลือกหลายแบบ ลองเดินเล่นๆ ดูนะคะ
วันนี้เราก็เอาข้อมูลดีๆ ที่เซฟไว้นานแล้ว มาแบ่งปันค่ะ ลองอ่านๆ ดูค่ะ เผื่อจะเกิดไอเดียอะไรขึ้นมาจะได้นำมาปรับใช้เนอะ สู้ๆ
ทุกวันนี้เวลาคนให้คำแนะนำเรื่องลดความอ้วน มักจะทำเหมือนร่างกายคนเป็นบ่อสารเคมี ถ้าเติมไอ้นี่ ปรับไอ้นั่น งดเจ้านี่ ออกกำลังกายเท่านี้ๆ ปฏิกิริยาเคมีในบ่อก็จะเกิดผลให้กลายเป็นอย่างงี้ มีการคำนวณแคลอรี่ ว่าต้องรับเท่านี้ ออกเท่านี้ เป็นสูตรคณิตศาสตร์กันไป ซึ่งวิธีการเหล่านี้ไม่ได้ผิดค่ะ และมีหลายคนที่ทำตามสูตรแล้วได้ผล
แต่จากประสบการณ์ของตัวเอง และประสบการณืของคนรอบข้าง คนเราไม่ใช่แค่ก้อนชีวะ หรือ เคมี แต่เป็นระบบที่ซับซ้อน โดยเฉพาะระบบประสาทที่ปรับตัวตลอดเวลา ต่อสิ่งที่ป้อนเข้าไป ทีนี้วิทยาศาสตร์ก็พยายามตาม โดยการศึกษารายละเอียดลงไปอีก อธิบายกันได้เป็นฉากๆ ว่าถ้าเราปรับการกินตรงนี้ ร่างกายจะตอบสนองแบบนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องแก้โดยการทำอย่างงี้ เพื่อหลอกล่อให้ร่างกายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทีนี้แก้ระดับฮอร์โมนตัวหนึ่งกลายเป็นไปรบกวนระบบฮอร์โมนอีกตัวหนึ่ง มีงานวิจัยโผล่ขึ้นมาอยู่เรื่อย จนขายกันได้เป็นเล่มๆ รายวันรายสัปดาห์ที่จะพยายามควบคุมให้ร่างกายทำอย่างที่เราต้องการ
แต่หลายคนอาจจะลืมไปว่า ระบบที่วิเศษที่สุด ก็คือ ระบบร่างกายของคนเราเนี่ยแหละ สมองควบคุมการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่รุมเข้ามาที่สัมผัสทั้งห้า ทั้งแสงสีเสียงกลิ่นรสและความรู้สึก รวมเป็นข้อมูลจำนวนมหาศาลหลายกิ๊กอยู่ รวมทั้งบริหารระบบร่างกาย ทั้งการหายใจ ย่อยอาหาร เคลื่อนไหว การคิด การสืบพันธุ์ และสมองทำสิ่งเหล่านี้พร้อมๆ กัน 24 ชั่วโมงต่อวัน เจ็ดวันต่อสัปดาห์ไม่มีพักผ่อน เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะเอาชนะร่างกายของเราให้ได้ เราต้องใช้ระบบอัตโนมัติของสมองให้เป็นประโยชน์ค่ะ ถ้าระบบอัตโนมัติมันสอดคล้องกับเป้าหมายของเรา เราก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างไม่ต้องออกแรงอะไรเลย
แต่ที่พูดนี่ไม่ใช่แค่เรื่องลดความอ้วน แต่รวมไปถึงเรื่องการทำงาน การเรียน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การสร้างฐานะ การอบรมจิตใจให้สูงขึ้น สมองคนเราเป็นตัวไล่ล่าเป้าหมายที่เก่งที่สุด คิดดูว่าสมองทำทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เพื่อเป้าหมายในการเอาชีวิตรอดเท่านั้น และทำได้โดยเราไม่ต้องลำบากออกแรงควบคุมอะไรเลย ทุกอย่างเป็นไปอย่างอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น สมองเนี่ยแหละค่ะ เป็นเครื่องมือที่เราจะใช้เพื่อการบรรลุเป้าหมายใดๆ ก็ตามในชีวิต
ทีนี้เราจะมีเทคนิคในการหลอกล่อสมองให้มาเป็นพวกเราได้ยังไงคะ ฟังดูแปลก สมองชั้นก็ต้องเข้าข้างชั้นสิ ไม่จริงเสมอไปค่ะ ลองนึกครั้งสุดท้ายที่คุณอดใจไม่ไหวเอื้อมมือไปหยิบคุกกี้ เจ้าสมองสั่งการให้คุณอยากกินคุกกี้ ในขณะที่คุณอยากลดน้ำหนัก สมองมันไม่เข้าข้างคุณค่ะ จริง ๆ แล้วสมองเพิ่งมีวิวัฒนาการมาได้ไม่นาน ยังไม่ชินกับการตั้งเป้าหมายระยะยาว(เช่นลดน้ำหนัก) แต่เคยชินกับการตอบสนองความต้องการระยะสั้น(เช่นกำจัดความหิว)เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งมีชีวิตที่ตอบสนองต่อสิ่งที่จำเป็นที่สุดได้เร็วที่สุดก็จะมีชีวิตรอดได้นานที่สุด
ฝรั่งเค้ามีการพัฒนาเทคนิคมากมายก่ายกองในการเปลี่ยนจิตใต้สำนึก ว่ากันง่ายๆ ก็คือ การเปลี่ยนเจ้าระบบอัตโนมัติให้มาเข้าข้างเรานั่งเอง ตัวอย่างเช่น การสะกดจิต เอาคนมานอนให้เคลิ้มๆ หลับ เพราะช่วงที่กำลังเคลิ้มนั้น คลื่นสมองจะเหมาะกับการรับข้อมูลใหม่ๆ และปลดปล่อยข้อมูลเก่าๆ เรียกว่าเรามีทางเข้าไปติดต่อกับจิตใต้สำนึกได้ พอคนเริ่มเคลิ้มก็พูดเป่าหูค่ะ เช่น พูดว่าเธอไม่ได้ชอบสูบบุหรี่ เธอไม่ได้ติดบุหรี่ บุหรี่จะฆ่าเธอ (ต้องย้ำมันนิดนึง จิตใต้สำนึกมันโง่ภาษา) พอจิตใต้สำนึกรับทราบปั๊บ การเลิกบุหรี่ก็ง่ายขึ้น พูดเป็นเล่นไป สมัยที่บูมๆ นี่ การสะกดช่วยคนได้อย่างมหัศจรรย์ เมื่อก่อนคนเป็นอัมพาตอัมพฤกษ์บางคน ร่างกายไม่ได้เสียหายอะไร เพียงแค่เพราะความเครียดทางจิตใจมันสาหัสจนทำให้ตัวขยับไม่ได้ สะกดจิตแล้ว อาการหายเกลี้ยงค่ะ
นอกจากการสะกดจิตแล้ว ยังมีระบบอื่นๆ เช่น NLP(Neuro-linguistic propramming) หรือ neuro association ซึ่งเป็นเรื่องคล้ายๆ กัน คือ เซลประสาทของคนเรานั้นเชื่อมต่อกันเพราะว่าได้ทำงานร่วมกันเสมอ เช่น ปกติเราจะพบว่าไก่และไข่นั้นมีความสัมพันธ์กัน ไข่ออกมาจากไก่และไก่ออกมาจากไข่ ไก่กับไข่เป็นพยัญชนะสองตัวแรกในภาษาไทย ไก่กับไข่อยู่ในเพลงฮิตของ RS เพลงหนึ่ง ทีนี้พอเราเห็นไข่ในตลาด เราก็นึกถึงไก่ในทันที คอนเซ็ปของไก่กับไข่นั้นเชื่อมต่อกันอย่างแน่นหนาเพราะว่าผ่านการเชื่อมโยงกันมาหลายพันครั้งในประสบการณ์ จนการคิดถึงไก่เมื่อเห็นไข่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างง่ายดายและเฉียบพลัน ซึ่งในกรณีทั่วไป ถ้าเราจับเอาสิ่งที่เราอยากให้เชื่อมโยงกัน มาเชื่อมกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดมันก็จะแยกกันไม่ออก ทั้งนี้รวมถึงการตอบสนองต่างๆ ด้วย เช่น บางคนกลัวความสูง เห็นความสูงแล้วจะเกิดปฏิกิริยาแง่ลบอย่างรุนแรง ถ้าจะแก้ก็ต้องเอาความสูงไปเชื่อมโยงกับความสงบจิต ความสุข เช่น จินตนาการว่าตัวเองอยู่ที่สูงลิบ จากนั้นก็จินตนาการว่าสามารถยืนได้อย่างสงบสบายใจ เมื่อคิดถึงสองสถานการณ์นี้ร่วมกัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่นานมันก็เชื่อมต่อกัน พอไปยืนที่สูงจริงๆ ก็จะสามารถทำใจสงบได้
มีคนประยุกต์ใช้แนวคิดนี้ในโมเดลของ food addiction จะลองทำกันดูก็ได้ค่ะ มีการเอาอาหารสุดโปรดไปเชื่อมโยงกับของน่าขยะแขยง เช่น พอเห็นเค้กที่วางขายในตู้ ก็ให้นึกถึงเค้กที่ตกลงไปในโถส้วมแล้ว เมื่อเชื่อมโยงบ่อยๆ เข้า ก็จะหายอยากเค้กไปเอง หรือสร้างความเชื่อมโยงการทานอาหารกับความเจ็บปวดที่ถูกถากถางว่าอ้วน นอกจากจะสร้างทางเชื่อมต่อใหม่ๆ ยังสามารถทำลายทางเชื่อมโยงเดิมๆ ได้อีกด้วย เวลาคนเราจะตบะแตกนั้นมักจะมีสิ่งที่เรียกว่า trigger เป็นถสานที่ อาหาร บุคคล หรืออารมณ์ ที่ไปกระตุ้นอาการทานไม่หยุด เช่น บางคนจะทานเยอะเมื่อเหงา หรือว่าถ้าเป็นอาหารชนิดนี้ๆ จะทนไม่ได้ต้องทานเยอะ วิธีทำลายความเชื่อมโยง คือ เปลี่ยนความคิดในขณะนั้นทันที เปลี่ยนอย่างฉับพลัน ในทางปฏิบัติก็คือ พอเห็นเค้กที่จะกินไม่หยุดปั๊บ รีบตัดความคิดนั้นแล้วเปลี่ยนไปคิดเรื่องการเมือง หรือการเคลื่อนไหวของร่างกายก็ช่วยได้ เช่น เมื่อคิดอยากกินเค้กปั๊บก็เหวี่ยงแขนขึ้นลงทันที แทนที่จะเอื้อมมือไปหยิบเค้ก การ interrupt pattern of response คือ ฝืนการตอบสนองที่เคยชิน จะทำลายความเชื่อมโยงระหว่าง trigger กับพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ได้ จนในที่สุดพอเห็นเค้ก เราก็จะไม่คิดแม้แต่จะเอื้อมมือไปหยิบเพราะความเชื่อมโยงระหว่างเค้กและความอยากกินได้เสื่อมไปแล้ว
ประยุกต์ง่ายๆ แบบนี้ก็ได้ค่ะ เช่น ถ้าอยากทานอาหารอ้วนๆ เมื่อไหร่ หรือเวลากำลังเปิดตู้เย็น หาอะไรทาน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เวลาทาน พอนึกได้ปั๊บให้ปิดตู้เย็น เดินหนีทันที แล้วหันไปคิดเรื่องอื่น จะกระโดดขึ้นลงออกกำลังกายหรืออะไรก็ได้ รีบพาตัวเองออกจากสภาพที่พร้อมจะเอื้อมมือไปทานให้เร็วที่สุด บางทีมีการเชื่อมพฤติกรรมไม่พึงประสงค์กับความเศร้าสุดขีด เช่น หาเวลานั่งเฉยๆ คิดถึงภาพตอนที่เราแกะห่อช็อกโกแลตโยนเข้าปาก แล้วสลับไปคิดถึงช่วงเวลาที่เศร้าที่สุด เช่น ตอนที่เห็นน้ำหนักเด้งขึ้นมาบนตาชั่ง คิดสองภาพนี้สลับกันไปมา เชื่อมมันเข้าด้วยกัน ครั้งหน้าถ้าจะแกะห่อช็อกโกแลตก็จะนึกถึงตาชั่งอย่างช่วยไม่ได้ และยอมโยนช็อกโกแลตทิ้งไป หรือเชื่อมพฤติกรรมที่พึงประสงค์กับความสุข เช่น เวลาออกกำลังกาย ต้องยิ้มร่าเข้าไว้ คิดถึงช่วงที่มีความสุข หรือคิดถึงร่างกายแบบที่เราอยากได้ เมื่อเชื่อมการออกกำลังกายกับความสุข มันก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมากค่ะ