คัดลอกมาให้อ่าน ถ้าสังคมเราไม่คิดชิงดี ชิงเด่นกัน เราว่าสังคมคงมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่น่ะ --------------------------------------------- ที่สองดีกว่าที่หนึ่ง
น้องคนหนึ่งส่งเทปมาให้ผม 2 ม้วน เป็นเทปที่อัดจากการพูดคุยของศุ บุญเลี้ยงกับแฟนๆของเขาในงานสัมมนางานหนึ่ง ผมเปิดฟังทันทีด้วยความเพลิดเพลินในมุมมอง และความคิดของชายหนุ่มที่ไฟความฝันไม่เคยมอดคนนี้ ผมรู้ว่ากิจกรรมอย่างหนึ่งในชีวิตที่ศุ บุญเลี้ยง ชอบมากและเต็มใจที่จะทำอยู่เสมอ นั่นก็คือการทำค่าย ไม่ว่าจะเป็นค่ายเด็กหรือค่ายคนพิการ(หรือค่ายเด็กพิการ) ในเทปมีคำพูดของเขาอยู่ตอนหนึ่งที่ผมฟังแล้วชอบมาก
ศุ เล่าว่าครั้งหนึ่งเขาพาเด็กไปเข้าค่าย แล้วเขาให้เด็กวิ่งแข่งกัน แต่กติกาคือ ใครเข้าเส้นชัยเป็นที่สอง-ชนะ ชายหนุ่มเล่าว่าผลที่เกิดขึ้นก็คือ แทนที่จะเอาชนะกันด้วยการเป็นคนที่เร็วที่สุดที่เข้าเส้นชัย เด็กๆ กลับวิ่งแข่งกันอย่างสนุกสนาน มีเสียงหัวเราะเฮฮาดังขึ้นอย่างร่าเริง ในหมู่ผู้แข่งขันที่ไม่ต้องการเป็นที่หนึ่ง
ในชีวิตที่ผ่านมาบ่อยครั้งผมคิดว่า เราถูกปลูกฝังให้เอาชนะ คะคานเพื่อขึ้นสู่การเป็นเลิศกันมาตลอด
เราอยากเรียนให้ได้คะแนนดีที่สุด เราอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด เราอยากเป็นคนทำงานที่เก่งที่สุด เพื่อให้เจ้า นายเห็นว่าเราเยี่ยมที่สุดในบริษัท เราอยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ฯลฯ
และเมื่อตั้งเป้าอย่างนี้แล้ว เราจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุจุดหมาย โดยบ่อยครั้งที่เราหลงลืม หรือจงใจมองข้ามมันไปว่าเราได้ทำร้ายใครบ้างหรือเปล่า
ผมไม่ได้ว่า การแข่งขันเป็นสิ่งที่เลวร้าย มีความดีอยู่บ้างในตัวของมันครับ อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่เป็นคนเอื่อยเฉื่อย เดินหายใจไปวันๆ
ผมเพียงอยากให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคน ได้หยุดคิดสักนิดว่า
เราสามารถที่จะแข่งขันกันโดยไม่ต้องขัดขา ผลักหลัง หรือแอบเหยียบเท้าฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้ ผมคิดว่าได้ครับ
เราสามารถช่วยกันสร้างให้เกิดการแข่งขันอันเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรีได้ แต่เรื่องสวยๆ อย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อเราทุกคนคิดว่าใครเข้าที่สอง-ชนะ
แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร??
จากคุณ |
:
แตงโม แตงไทย
|
เขียนเมื่อ |
:
22 พ.ย. 53 14:36:15
|
|
|
|