ความคิดเห็นที่ 1 กฏหมายบ้านเรายังไม่ดีพอที่จะควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะ ในต่างประเทศยากลุ่มนี้ไม่สามารถซื้อกินเองได้ ต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น ยาเก่าที่คุณเหลืออยู่ 8เม็ด เพราะคุณกินยาไม่ครบโดสมันจึงเหลือ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการดื่อยา ถ้าคุณไม่มีความรู้เรื่องยาแล้วยังซื้อยากินเองแบบนี้และกินก็ไม่ครบโดส คุณก็มีโอกาสดื้อยาสูง จากคุณ : ซาตานกลับใจ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 53 19:11:40

ความคิดเห็นที่ 2 เอ่อ หวัดเกิดจากไวรัสนะ ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็น และ ผมเปนหมอ ผมยังกิน amoxy ได้เลย ไม่เห้นจะดื้อเลย ที่คุณดีขึ้นตามธรรมชาติป่าวไม่ใช่ยา จากคุณ : Arkkara เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 53 19:34:44

ความคิดเห็นที่ 3 Ciprofloxacin 500 mg เป็นยาแรงนะคะ.. ...ชอบคำถามนี้มากค่ะ ถ้าเกิดผมดื้อยาตัวนี้ขึ้นมา ผมจะกินยาอะไรล่ะ..5555 ก็นั่นนะซิ เขาถึงให้จ่ายยาอ่อนก่อนถ้าไม่หายค่อยเพิ่มขนาด.. ...คำถามที่ว่า ดื้อยาตัวหนึ่งแล้ว นานๆไปจะหายดื้อไหม คำถามนี้เราเคยถามอาจารย์ คำตอบคือ ต่างกรรมต่างวาระ หมายความว่า สมมุติคุณป่วยด้วยโรคไรซักอย่างและเคยโดนยาแรงมาแล้วแต่คุณหายสนิทแล้ว ปีหน้าฟ้าใหม่สมมุติคุณป่วยด้วยโรคเดิมอีกการรักษาก็จะเริ่มต้นใหม่(แพทย์อาจจ่ายยาอ่อนให้ ถ้าคุณหายก็ไม่ต้องเพิ่มขนาดยาค่ะ)... ...การที่คุณเป็นหวัดลงคอ(เกิดจากเชื้อvirus) ถ้าเสมหะยังใสอยู่ แค่คุณพักผ่อนนอนหลับทำร่างกายให้แข็งแรง เสริมวิตามินซีซักหน่อยก็หายเองได้แล้ว การทานยาantibiotic เอาเอง จะทำให้คุณดื้อยาซะเปล่าๆโดยไม่จำเป็นค่ะ ถ้า คุณเกิดไม่หาย แพทย์ต้องคิดแล้วจะเอายาอะไรให้คุณดี..5555 ....อ้างอิงโดย>>>> คนนี้ค่ะ จากคุณ : uswitchดีเกิน100% เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 53 22:37:38 A:183.89.37.183 X: TicketID:293046

ความคิดเห็นที่ 4 เราเคยได้ ciproflox กินตอนเป็นหวัดค่ะ พอดีเราเป็นหวัดนานร่วม 2 อาทิตย์ไม่หายซักทีน่ะ คุณหมอให้กิน 4 เวลา เลยนะคะ เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ครั้งละ 1 เม็ด ผลปรากฏว่า ..ผลข้างเคียงของยา เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ค่ะ เรากินยาแล้วปวดข้อค่ะ คุยกับคุณหมอแล้ว ก็เลยหยุดใช้ยาตัวนี้ แล้วก็โน้ตประวัติตัวเองว่า ไม่รับยากลุ่ม fluoroquinolone ถ้าไม่จำเป็น ^^ ส่วนเรื่องดื้อยาตัวนี้ คุณหมอเค้าว่าดื้อง่าย แต่ก็มีโอกาสที่ตัวทำให้ดื้อมันจะหายไปจากตัวคุณ แล้วคุณก็จะใช้ยาตัวนี้ได้อีก แต่ตัวทำให้ดื้อจะหายไปตอนผ่านไปนานแค่ไหน แล้วแต่ค่ะ อาจจะเดือนนึง หกเดือน หรือหกปีเลยก็ได้ อรปมน. จากคุณ : วารี (varavari) เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 53 23:39:48

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบนะครับ ผมขออนุญาตแสดงความเห็นต่างกับคุณ ซาตานกลับใจ และ คุณ Arkkara นะครับ 1. คุณซานานครับ ผมคิดว่าบ้านเรายังมีปัญหาจำนวนแพทย์ที่ขาดแคลนเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร การบริการจึงไม่ทั่วถึง และไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควร ผมมีประสบการณ์การไปหาหมอทั้งโรงพยายาลของรัฐและเอกชน ขนาดเอกชนยังต้องรอเป็นชั่วโมงเลย ตามปกติเป็นหวัดผมจะไม่ไปหาหมอหรอกครับ แต่มีครั้งหนึ่งผมกำลังจะไปต่างประเทศ กลัวจะไปมีปัญหาที่ต่างประเทศ จึงรีบไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง (คลีนิคเปิดตอนเย็น กลัวไม่ทัน) ปรากฏว่า ต้องรอคิวตั้งนาน เสร็จแล้วหมอบอกน่าจะเป็นหวัดธรรมดา แต่ให้ตรวจไข้หวัดใหญ่เผื่อไว้ก่อน ก็ต้องรอผลตรวจอีกเป็นชั่วโมง ระหว่างนั้นผมต้องนั่งตากแอร์อยู่ในโรงพยาบาล เสร็จแล้วสิ่งที่ได้กลับบ้าน คือไข้ที่สูงขึ้น และยา Amoxy กับยาแก้หวัด ที่ผมเคยกินซื้อกินเองอยู่เป็นประจำ ส่วนประสบการณ์กับโรงพยาบาลรัฐนั้น มีครั้งหนึ่งผมรออยู่ครึ่งวัน พอถึงคิวของผม หมอบอกผมว่า ขอโทษจริงๆ ผมติดคนไข้ผ่าตัด ต้องรีบไปแล้ว เพราะฉนั้น ถ้าจะบอกว่า เป็นหวัดเจ็บคอแล้วให้ไปหาหมอลูกเดียว ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ ปล่อยให้คุณหมอเค้าเอาเวลาไปดูแลคนไข้ที่มีความจำเป็นมากกว่าเราดีกว่า การที่เรารู้จักไปดูต่างประเทศว่าเค้าทำอย่างไง เป็นเรื่องที่ดี แต่เราต้องนำมาปรับให้เหมาะกับสภาพของบ้านเราด้วย ที่บ้านเรามีอะไรๆไม่ได้เรื่องอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเราไปลอกการบ้านเค้ามาทั้งดุ้น ไม่ว่าจะเป็นการเมือง สังคม เศรษฐกิจ สำหรับเรื่องการบริการสาธารณสุข ผมคิดว่าการให้เภสัชฯเข้ามามีบทบาท แบ่งเบาภาระน่าจะเป็นหนทางหนึ่ง ที่ผมไปซื้อ Dicloxacillin เป็นคำแนะนำของเภสัชฯ ครับ ไม่ได้ซื้อกินเอง ถ้าจะปรับแก้อะไร ผมคิดว่าควรจะไปปรับแก้ที่เภสัชฯมากกว่า ให้มีระบบมากกว่านี้ เช่นว่า ต้องเคร่งครัดให้มีฉลากยากำกับไปพร้อมกับการขายยาทุกครั้ง เป็นต้น หรือถ้าท่านคิดว่าเภสัชฯยังมีความรู้ไม่พอ ก็ปรับหลักสูตรซิครับ โรคเล็กๆน้อยๆ ให้เภสัชฯช่วยเถอะครับ ที่ผมดื้อ Amoxy ก็คงเพราะผมชอบไปซื้อมากินเองและกินไม่ครบโดสอย่างที่ท่านว่าแหละครับ แต่ผมคิดว่าปัญหาไม่ใช่เพราะผมไม่ไปหาหมอ แต่เป็นเพราะเภสัชฯที่ผมไปซื้อยาด้วยนั้นไม่ได้แนะนำผมว่าต้องกินให้ครบโดส 2. คุณ Arkkara ครับ ผมไม่เห็นด้วยกับคำที่กล่าวว่า "เป็นหมอยังกิน Amoxy ไม่เห็นดื้อเลย" ผมเข้าใจว่าการใช้ยาอะไรนั้น หรือการจะดื้อหรือไม่ดื้อนั้น คงจะไม่เกี่ยวกับว่าคนๆนั้นเรียนวิชาชีพอะไรมานะครับ ถ้าเป็นหวัดธรรมดา ปกติผมก็จะหายเองโดยไม่ต้องกินยาอะไรอยู่แล้วครับ แต่ถ้าเป็นถึงขั้นเจ็บคอ มันจะลามถึงขั้นเป็นไข้ ไม่มีการหายเองตามธรรมชาติอย่างที่ท่านว่าหรอกครับสำหรับผม คิดว่าสภาพร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน คงจะสรุปเหมารวมไม่ได้ จากคุณ : หมูหยอง เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 11:29:59 A:58.8.104.188 X: TicketID:174566

ความคิดเห็นที่ 6 ขอตอบจขกท.ละกันนะ 1.ยาปฎิชีวนะ ควรกินครบโดสค่ะ 2.ยา Ciprofloxacin ปกติกิน 2 เวลาค่ะ ไม่ว่าจะเป็นขนาดกี่ mg แต่โดยปกติถ้าเจ็บคอแบบติดเชื่อส่วนบนจะไม่ค่อยใช้เป็นยาลำดับที่ 1 2 3 ค่ะมีตัวอื่นที่จะใช้ต่อจาก Amoxy ที่ไม่ใช่ตัวนี้ 3.กินยาตัวนี้ไม่เกี่ยวกันว่าจะดื้อยาตัวอื่นเสมอไป แต่มันจะมีลำดับของการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะจากฆ่าเชื้อได้น้อยๆไปเยอะๆน่ะค่ะ 4.เวลาดื้อยาตัวนึงนี่คือไม่ใช่ร่างกายเราดื้อนะคะ แต่เป็นเชื้อที่ดื้อเพราะฉะนั้นถ้าเชื้อที่ดื้อยังอยู่ในร่างกายคุณยังไงก็ใช่ยานั้นไม่ได้ผล แต่ถ้าคุณรักษาหายขาด และเป็นเชื้อตัวอื่นก็อาจจะใช้ยานั้นได้ค่ะ แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 53 13:23:16 จากคุณ : jokojang เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 12:50:22

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณ คุณ jokojang มากครับ ได้ความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้นครับ จากคุณ : หมูหยอง เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 14:09:47 A:58.8.104.188 X: TicketID:174566

ความคิดเห็นที่ 8 รบกวนจขกท.กลับไปอ่านความเห็นของผมใหม่ ผมไม่ได้บอกเลยว่าแค่เป็นหวัดหรือไม่สบายนิดๆหน่อยต้องไปหาหมอ  แต่ผมบอกว่า การใช้ยาปฎิชีวนะ ควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ก่อน และควรมีใบสั่งยาจากแพทย์ ส่วนจะไปรับยาที่ห้องยาหรือร้านยาอันนี้ก็แล้วแต่ ระบบสาธารณสุขที่ควรจะเป็นคือ หมอวินิจฉัยโรค เภสัชจ่ายยา  แต่บ้านเรามักข้ามขั้นเดินเข้าร้านยากันเลย   ระบบ 30บาท ช่วยให้คนเข้าถึงแพทย์ได้มากขึ้น และคนป่วยจำนวนไม่น้อยเลิกลัดขั้นตอน  และในอนาคตกระทรวงสาธรณสุขก็กำลังผลักดันเรื่องการจ่ายยาของร้านยา คือ ต้องมีใบสั่งแพทย์จึงจะจ่ายยาได้ และหมอตามคลินิคก็ไม่มีสิทธิ์จ่ายยาเหมือนกัน ระบบในต่างประเทศที่ปฏิบัติกันอยู่ มันดีอยู่แล้ว  เพียงแต่บ้านเรายังยึดติดกับอะไรเก่าๆ  คิดแต่จะเอาสะดวกเข้าว่า  ระบบอะไรต่างๆที่เข้ามาใหม่จึงมักโดนค้าน จากคุณ : ซาตานกลับใจ เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 16:39:23

ความคิดเห็นที่ 9 เป็นไข้ ไอ เจ็บคอ กิน dicloxa ถ้าไม่โง่ก็คงปัญญาอ่อน ยาปฏิชีวนะ เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไม่ใช่ยาแก้เจ็บคอ มันใช้แทนกันไม่ได้ สมมตินะ วันที่ 1 กิน amoxy ไม่หาย วันที่ 2 เปลี่ยนเป็น dicloxa วันที่ 3 ciplofox หาย ไม่คิดว่ามันหายเองบ้างเหรอไม่ใช่หายเพราะ ciproflox ไข้ไอเจ็บคอ มากกว่า 95% เป็นไวรัส ไม่จำเป็นต้องใช้ antibiotic และไวรัส ทำให้ คอแดง เจ็บคอ ไข้สูง ได้เช่นกัน แต่ถ้าคอเป็นหนอง หรือมี patchy ก็น่าสงสัยว่าเป็นแบคทีเรีย ค่อยให้ antibiotic ถ้าอยากได้ยาแก้เจ็บคอแนะนำนี่เลย ยาอม strepsil fisherman friend หรือยาอมมะแว้งก็ได้ และที่สำคัญ ยา antibiotic คือยาฆ่าเชื้อ ไม่ใช่ยาแก้ไข้ เช่นเดียวกับไม่ใช่ยาแก้เจ็บคอ เหตการสมมติ วันที่ 1 เป็นไข้ ไป รพ รัฐ ได้ยาพารามากิน (นึกในใจ รพ รัฐ เป็น รพ พารา วันที่ 2 ไอเจ็บคอมีเสลดน้ำมูก ไปคลินิค ได้ amoxy para brom มากิน(นึกในใจ เห็นไม๊ รพ รัฐ คือ รพ พารา จริงๆด้วย วันที่ 3 ไม่หายไป รพ เอกชน เจาะเลือด พบไข้เลือดออก(เห็นไม๊ นี่ถ้าไม่มาเอกชนคงเป็นไข้เลือดออกตายไปแล้ว) อยากจะบอก ต่างโรค ต่างเวลา ต่างกรรม ต่างวาระ วินิจฉัยและรักษาไม่เหมือนกันครับ ถ้าวันที่ 3-4 คุณย้อนไป รพ รัฐ ก็คงได้เจาะเลือดเช่นกัน จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 53 20:10:27

ความคิดเห็นที่ 10 คุณซาตานกลับใจ ผมได้อ่านความเห็นของคุณอย่างรอบคอบแล้วก่อนที่จะเขียนตอบ และผมเข้าใจความหมายของคุณดี และถ้าคุณจะอ่านที่ผมเขียน คุณจะเข้าใจว่าผมบอกว่าเมื่อผมเจ็บคอ ผมไม่สามารถหายเองได้โดยไม่ใช้ยาฆ่าเชื้อ และถ้ายึดตามหลักเจตนาของคุณที่ว่า ยาปฏิชีวนะ ต้องให้แพทย์เขียนใบสั่งเท่านั้น นั่นก็หมายความว่าเวลาผมเจ็บคอ ก็ต้องไปหาหมอทุกครั้งใช่มั๊ยครับ ซึ่งทุกครั้งหมอก็จะให้ยามาตัวเดิมๆที่ผมรู้ดีอยู่แล้ว แล้วจะเสียเวลาผม เวลาหมอไปทำไม หลักการที่คุณว่าให้หมอสั่งยา ร้านขายยาจ่ายตามแพทย์สั่ง มันก็เป็นหลักการที่ดี แต่ในทางปฏิบัติทุกวันนี้คนไข้ล้นโรงพยาบาล คนไปช้าก็คิวเต็มแล้ว คนไ้ด้คิวก็ต่อคิวค่อนวัน พอถึงคิวก็รีบๆเร่งๆ ถามอาการคำสองคำแล้วก็จ่ายยา ไอ้เราอยากจะบอกอาการอย่างละเอียด หมอก็ไม่อยากฟัง แล้วถ้านำหลักการที่ว่านั้นมาใช้จริงๆจังๆ คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วต่างประเทศที่คุณว่าเค้ามีสภาพการณ์แบบเราหรือเปล่าล่ะ ถ้าสภาพการณ์ของเรากับเค้าไม่เหมือนกัน เราก็ต้องปรับให้เข้ากับเรา ความจริงผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำว่า "ทฤษฏีกับปฏิบัตินั้นต่างกัน" ผมอยากจะเรียกว่า "ทฤษฏีที่ใช้ไม่ได้ในทางปฏิบัตินั้นเป็นทฤษฏีที่ไม่สมบูรณ์" มากกว่า เป็นทฤษฏีที่ไม่ได้นำปัจจัยต่างๆเข้าไปคิดคำนวณอย่างครบถ้วน มันจึงปฏิบัติไม่ได้ เทียบกับการที่เราจะให้ความรู้กับประชาชนในการใช้ยา ให้ร้านขายยาเป็นมากกว่าร้านขายยา เช่นมีความเคร่งครัด มีการถามอาการ มีการให้คำแนะนำ มีฉลากยากำกับทุกครั้ง มันจะไม่เป็นทางออกที่เหมาะกับสภาพการณ์มากกว่าหรือ จากคุณ : หมูหยอง เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 10:34:30 A:115.87.209.254 X: TicketID:174566

ความคิดเห็นที่ 11 คุณหมอคานู 1. ถ้าเช่นนั้น เวลาที่ผมเจ็บคอไปหาหมอ หมอแต่ละที่ก็ให้ Amoxy มาทุกครั้ง คุณหมอเหล่านั้นไม่โง่ก็คงปัญญาอ่อนใช่มั๊ย? (เออ ผมก็เพิ่งนึกได้ว่า หมอที่ผมไปหาก็มีน้อยคนมากที่จะย้ำกับคนไข้ว่า Amoxy ต้องกินให้ครบโดส อย่าว่าแต่ร้านขายยาเลย) 2. ผมกิน dicloxa อยู่ทั้งวัน ไม่หาย กลางดึกตื่นขึ้นมาเจ็บมากกว่าเดิม จนตัดสินใจไปเอา cipro มากิน เวลาผ่านไประยะนึ่งมันก็ดีขึ้น และตลอดชีวิตผม ยังไม่เคยมีกรณีที่ว่าเจ็บคอมากขนาดนั้นแล้วจู่ๆจะหาเองได้ แบบนี้ยังจะดันทุรังว่ามันหายเองอีกหรือ มีหมออยู่บางประเภทที่มั่นใจในตัวเองมาก มั่นใจจนละเลยที่จะฟังข้อมูลจากคนไข้ให้ครบถ้วน มีทัศนะคติว่าคนไข้ไม่รู้เรื่อง แม้จะไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ แต่อย่างน้อยคนไข้ก็เป็นผู้ที่อยู่กับอาการเอง อยู่กับตัวเองมาทั้งชีวิต เค้าต้องรู้จักตัวเองดี ต้องรู้จักรับฟังบ้าง 3. ก่อนที่จะถึงขั้นใช้ยา ตอนที่อาการยังไม่หนัก เป็นธรรมดาที่ก็ต้องพยายามใช้วิธีอย่างอื่นก่อนแล้วทั้งนั้น ทั้งยาอม น้ำเกลือ น้ำชา ยาสมุนไพร ยาแก้ร้อนใน จนเมื่อเห็นว่าเอาไม่อยู่ถึงจะไปใช้ยา ไม่จำเป็นผมไม่อยากกินหรอกครับยา เพราะผมรู้ว่ามันมีผลข้างเคียง 4. ใจคอคุณจะให้คนไม่สบาย เป็นไข้ด้วย ไปนั่งรอต่อคิวทั้งวันใน รพ รัฐ 3-4 วันติดกันเลยหรือครับ คุณต้องลองไปเป็นคนไข้เองดูบ้าง แล้วอย่าขับรถไปนะครับ นั่งรถสาธารณะไป แล้วคุณจะเข้าใจความรู้สึก จากคุณ : หมูหยอง เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 11:01:47 A:115.87.209.254 X: TicketID:174566

ความคิดเห็นที่ 12 ประสบการณ์คนเคยป่วย ไม่ใช่หมอ Ciprofloxacin หมอให้ตอนท้องเสียรุนแรง สันนิษฐานว่าติดเชื้อทางเดินอาหาร ให้โดส 3 วัน หาย ยากลุ่มนี้น่าจะเหมาะกับใช้ในระบบทางเดินอาหาร เจ็บคอมาก มักได้ amoxy โดส  7 วัน ถ้าไม่หายหมอให้ amoxy clav หรือ augmentin ต่ออีก 7 วัน หาย ยากลุ่มนี้น่าจะเหมาะกับทางเดินหายใจ แผลติดเชื้อผิวหนัง ได้ cloxacillin 7 วัน แผลก็แห้งดี ยากลุ่มนี้น่าจะเหมาะกับแผลติดเชื้อผิวหนัง ปัสสาวะขัด เจ็บ แสบ หมอให้ bactrim 7 วัน หาย ยากลุ่มนี้น่าจะเหมาะกับโรคทางเดินปัสสาวะ ยาทุกตัวที่กล่าว เป็นยา antibiotic ทั้งนั้น แต่หมอให้ยาไม่เหมือนกัน โรคหนึ่งก็มักจะให้ antibiotic ตัวหนึ่ง ดังข้างต้น ผมจึงคิดว่ายา antibiotic มีหลายตัว แต่ละตัวน่าจะมีฤทธิ์ในการรักษาต่างกัน antibiotic ตัวหนึ่งจึงไม่ครอบคลุมการติดเชื้อได้ทุกจุดทั้งหมด ยาแต่ละตัวจึงเหมาะกับโรคติดเชื้อที่แตกต่างกันครับ จากคุณ : yott (yott) เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 11:45:43

ความคิดเห็นที่ 13 หมอที่ชอบให้ amoxy คือกลุ่มหมอที่ไม่โง่หรอก แต่ปัญญาอ่อนมากกว่า(คือ ให้ๆไปเถอะไม่อยากอธิบาย เสียเวลา ตัดรำคาญ) ส่วนคนที่เป็นไข้ ไอ เจ็บ คอ แล้วให้ cloxa หรือ dicloxa นี่ น่าจะทั้งโง่และปัญยาอ่อนรวมกัน "เจ็บคอครับ Amoxicilline นี่ผมดื้อยาไปนานแล้ว เลยไปซื้อ Dicloxacilline มากิน เพราะคราวที่แล้วกินแล้วหาย กินไปวันนึงไม่เห็นผล ตอนกลางดึกตื่นขึ้นมา มันเจ็บมากขึ้นอีก เลยตัดสินใจไปหยิบ Ciprofloxacin 500mg" กินวันนึงแล้วไม่เห็นผล ก็แน่ล่ะ มันเป็นยาฆ่าเชื้อ ไม่ใช่ยาแก้เจ็บคอ และไม่ใช่ยาเทวดา วันเดียวมันไม่หายหรอก เมื่อไหร่ควรจะให้ยาฆ่าเชื้อ 1 ไข้สูง ร่วมกับคอเป็นหนอง 2 CBC suggest Bacterial infection 3 gram strain or culture พบ bacteria 4 กินยาประมาณ 3-5 วันแล้วไม่ดีขึ้นและไข้ยังสูงอยู่ ให้พิจารณาเป็นรายๆไป เมื่อไรที่บอกว่าเชื้อดื้อยา คือนำเชื้อที่อยู่ในคอคุณนั้นมา culture แล้วทดสอบ sens และ spec ดู ไม่ใช่ว่าไม่หายแล้วคิดว่ามันคงดื้อ ปล #yot การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ยา bactrim มันดื้อนานแล้วครับ เค้าไม่ใช่กันแล้ว เค้าใช้ กลุ่ม Quinolone หรือไม่ก็ 3rd cephalosporin กลุ่มaminoglycoside ก็ใช้ได้ แต่มันทำลายไต ไม่เหมาะกับคนแก่ หรือคนที่ renal impairment ปล 2 อยากรู้จริงๆว่าหมอบ้านไหนเป็นไข้ ไอ เจ็บคอ แล้วจ่าย cloxa หรือ dicloacillin จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 12:57:43

ความคิดเห็นที่ 14 ciprofloxacin ปกติจะใช้เป็นยาตัวสุดท้ายครับเพราะถ้าเกิดดื้อตัวนี้แล้วจะหายาตัวอื่นแทบจะไม่ได้แล้วครับ เพราะบ้านเราไม่ค่อยมีการควบคุม การจ่ายยาก้ไม่เป็นไปตามหลักวิชาการแต่เลือกเอาตัวที่แรงที่สุดเพราะกลัวว่าจะไม่หาย พอเชื้อดื้อยาตัวที่แรงที่สุดแล้วยาอื่นๆก็ใช้ไม่ได้แล้วครับ จากคุณ : แมงสี่ตา เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 14:39:30

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ yot ครับ ก็ไม่ได้ตั้งใจเจาะจงว่าจะไปกินตัวนี้หรอกครับ เพียงแต่มันเจ็บ แล้วก็พอดีตอนที่สะสางยาที่เหลือเก็บอยู่ที่บ้านไป search ค้นดูพบว่าตัวนี้แก้ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ด้วย ตอนนั้นกลางดึกด้วย ก็เลยหยิบมากินดู แต่ก็เห็นหลายท่านไม่สนับสนุน ต่อไปก็คงจะระวังในการใช้ยาตัวนี้ครับ แต่เมื่อกินแล้วก็ต้องกินให้ครบโดสใช่มั๊ยล่ะครับ คุณ หมอคานู ครับ หมอที่ให้ Amoxy มาเนี่ย ผมได้แบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก และสมัยก่อนก็ไม่รู้จักไปดูชื่อตัวยาหรอกครับ หมอให้อะไรมาผมก็กินตามนั้นอยู่แล้ว เพราะฉนั้นที่ว่าหมอเค้าตัดรำคาญคงจะไม่ใช่ และการที่คุณเป็นหมอ แล้วไปเที่ยวว่าคนนู้นคนนี้ปัญญาอ่อน โง่ มันทำให้ผมไม่รู้สึกนับถือในตัวคุณเลย วันๆ ไม่รู้ว่า คุณด่าคนไข้อยู่ในใจไปเท่าไหร่ แล้วผมเป็นหวัดเจ็บคอไม่ใช่ครั้งแรกนะครับ กินยาแล้วควรจะได้ผลในระยะเวลาเท่าไหร่ คนอื่นผมไม่รู้ แต่สภาพร่างกายของผมเอง ผมก็ต้องรู้ตัวผมดี ถึงได้ผลช้า ก็ไม่มีการแย่ลง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนยา ผมรู้สึกว่าสิ่งที่พูดมันเหมือนกำลังหยิบยกเรื่องที่อยู่ในตำรามาเขียนอีกรอบ แล้วผมไม่ทราบว่าคุณจะพูดไปทำไม เพราะมันไม่ได้เข้าประเด็นที่ผมถามเลย "เมื่อไรที่บอกว่าเชื้อดื้อยา คือนำเชื้อที่อยู่ในคอคุณนั้นมา culture แล้วทดสอบ sens และ spec ดู ไม่ใช่ว่าไม่หายแล้วคิดว่ามันคงดื้อ" พูดประโยคนี้เพื่ออะไรครับ กำลังจะแนะนำว่าถ้าผมกินยาแล้วรู้สึกไม่ได้ผล ก็ให้เอาเชื้อไปทดสอบก่อน พิสูจน์แน่ชัดว่าดื้อแล้วค่อยเปลี่ยนยา อะไรทำนองนั้นหรือครับ ในโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อกินยาแล้วรู้สึกไม่ได้ผลก็คือเปลี่ยนยาครับ มันจะดื้อจริงหรือเปล่าผมไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น ถ้าหมอที่ไหนมาบอกผมว่าจะเอาเชื้อไปตรวจ ผมว่านั่นแหละปัญญาอ่อน ที่บอกว่าเมื่อไหร่ถึงควรจะให้ยาฆ่าเชื้อ ตั้งแต่ข้อ 1-4 ผมต้องเสียเวลา เสียแรง เสียเงินไปเท่าไหร่ เสียเวลา งบประมาณ ทรัพยากรบุคคลากรทางการแพทย์ไปเท่าไหร่ ถึงจะแก้ปัญหาเล็กๆ นั้นได้ เผลอๆ อาการผมจะหนักขึ้นระหว่างนั้น รักษายากขึ้นไปอีก ผมเดาว่า 4 ข้อนั้น ตำราเค้าคงเขียนไว้สำหรับให้คุณไปรักษาคนไข้ที่ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไร แต่สำหรับผม ผมเป็นหวัดเจ็บคอมากี่ครั้งแล้ว อาการมันจะดำเนินไปอย่างไง เมื่อไหร่ควรเริ่มกินยา ผมพอรู้ตัวของผม และผมก็หายเจ็บตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เทียบกับ 4 ข้อที่คุณว่านั่น ป่านนี้ผมคงยังนอนโทรมอยู่เลย แบบนั้นผมเรียกว่าขี่ช้างจับตั๊กแตนครับ ปัญญาอ่อนอีกเหมือนกัน และถ้าในกรณีที่คุณรักษาคนไข้ที่คุณไม่รู้จักนะครับ คุณถามข้อมูลจากคนไข้ให้มากที่สุดครับ น่าจะทำให้ลัดขั้นตอนได้ พลิกแพลงหน่อยครับ ส่วนที่ยกตัวอย่างเรื่อง ไป รพ รัฐแล้วให้พารา กลับมา ผมก็หวังว่านั่นเป็นแค่เรื่องสมมตินะครับ เพราะนั่นก็เรื่องปัญญาอ่อนอีกเหมือนกัน ยาพาราเป็นยาที่มีติดบ้านกันทุกคน คนที่ไปหาหมอก็ล้วนแล้วแต่พยายามรักษาตัวเองมาก่อนแล้วทั้งนั้น มีหรือจะไม่เคยกินพารามาก่อน หมดหนทางจึงยอมเสียเวลา เสียเงิน เสียแรง พาสังขารที่กระเสาะกระแสะไปถึง รพ แต่สุดท้ายกลับได้ พารา กลับมาผมว่าใจร้ายไปนะครับ ไม่ได้เข้าใจหัวจิตหัวใจคนไม่สบายเลย ถ้าทาง รพ กลัวว่าคนไข้จะมาจากหลังเขาไม่รู้จักพารา ให้นางพยาบาลไปพูดคุย สอบถามอาการ แล้วแนะนำไปรักษาตัวเองเบื้องต้นก่อนก็ยังดีครับ เสียเวลาเดินทางมา แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียเวลาต่อคิว สุดท้ายนี้ ผมอยากจะเรียกร้องนะครับ ไม่ใช่เฉพาะหมอ แต่เป็นผู้ทรงภูมิทุกท่านครับ อ่านตำราแล้วดูโลกแห่งความเป็นจริงด้วยครับ หาวิธีที่ practical ที่สุดที่จะทำให้บริการสาธารณะสุขไปได้อย่างทั่วถึงที่สุด เราเป็นประเทศกำลังพัฒนาครับ เรามีปัญหาหลายอย่างที่ประเทศพัฒนาแล้วเค้าไม่มี เราต้องแก้ปัญหาพวกนั้นครับ แต่ประเทศพัฒนาแล้วเค้าไม่ต้อง และนั่นคือสิ่งที่เราต้องตระหนัก ไม่ใช่หลับหูหลับตาขี้ตามช้างไปเรื่อยๆ ผมคงไม่ต่อความยาว สาวความยืดอีกแล้ว อะไรที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ถ้าพูดต่อก็ไม่เห็นประโยชน์อะไร จากคุณ : หมูหยอง เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 15:38:38 A:115.87.209.254 X: TicketID:174566

ความคิดเห็นที่ 16 เวลาที่เชื้อดื้อยา ไม่ใช่คุณดื้อคนเดียว แต่เชื้อดื้อยามันจะแพร่กระจายไปเหมือนโรคระบาด เช่น คุณเป็นไข้ไอ แล้วคุณกินยาแบบไร้ความรับผิดชอบ คือ วันที่ 1 2 3 เล่นเปลี่ยนยาวันละตัว เชื้อในตัวคุณก็ดื้อยา ทีนี้ พอคุณไอ ใส่คนอื่น ผมมุต ไอใส่เพื่อนซัก 3 คน 3 คนนี้ก็รับเชื้อดื้อยา มันก็เจริญงอกงาม และอีก 3 คน ก็ไปไอใส่คนอีก คนละ 3 คนละ 3 สรุปเชื้อดื้อยาก็เจริญงอกงามไปทั่วโลก amoxy ก็เทียบได้กับเม็ดแคปซูลที่เปล่าประโยชน์ กินแป้งยังจะดีกว่า เหตุที่เชื้อมันดื้อยา ก็เพราะหมอ ไม่มีความรับผิดชอบ ใช้ยาพร่ำเพื่อ ตอนนี้ amoxy เป็ยาตัวแรกในการใช้ฆ่าเชื้อทางเดินหายใจ แต่เพราะความไม่รับผิดชอบของหมอ คงอีกไม่นาน ciproflox คงจะเป็นยาตัวแรกในการรักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ และ amoxy ก็มีค่าเท่ากับ penicillin V แล้วต่อไป ถ้า  กิน ciproflox แล้วไม่หายละ นักวิทย์นักวิจัย คิดยาตัวไหม่มาได้หรือยัง ถ้ายังละเอาอะไรกิน กินรากไม้เรอะ สมัยผมเป็นแพทย์ฝึกหัด หมอมือไหม่ กลัวคนไข้ไม่หาย ไข้ ไอ เจ็บคอ แจก amoxy ทุกราย กะเอาชัวร์ ไม่ว่าเป็นไวรัสหรือแบคทีเรีย คลอบคลุมแน่นอน ปรากฏว่า อาจารย์เห็น โดนอาจารย์ด่าสิบกว่านาที เรียกว่ากะจะด่าจนกว่าจะหายโง่พึงจะพอ รักษาคนไข้มันต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ตำราถ้าเขียนแล้วไม่ปฏิบัติงันก็เผาทิ้งซะ ถ้านึกจะกินยาตัวไหนก็กินแบบนี้ไม่ต้องมีหมอหรอก มี google ก็พอ ยาทุกตัวโรคทุกโรคอยู่ในนั้นหมดแหละ รักษาคนไข้ที่ไม่มีความรู้อะไรเลยยังดีเสียกว่า เพราะเค้าจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่รักษาคนไข้ที่รู้ไม่จริง รู้ครึ่งๆกลางๆ ไม่รู้แล้วคิดว่าตัวเองรู้ ไม่รู้แล้วอวดรู้ โง่แล้วอวดฉลาด นักวิทย์นักวิจัยคงจะคิดยาตัวไหม่ๆมาให้คุณไม่ทันใช้แหงม อาจารย์ผมสอนว่า หมอที่เก่ง คือหมอที่รักษาคนไข้โดยที่ไม่ต้องใช้ยา หรือพึ่งยากินยาฉีดให้น้อยที่สุด การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง ธรรมชาติจะบำบัดของมันเอง ผมก็ยึดปฏิบัติอยู่เสมอ พอดีไปสอดคล้องกับ พาราเซลซัส กล่าวว่า สสารทุกชนิดล้วนเป็นพิษถ้าให้ในปริมาณที่เหมาะสม ยาทุกตัวล้วนเป็นยาพิษ นี่คือหลักที่ผมยึดถือ ดังนั้น ผมจะให้ยาน้อยที่สุดเท่าที่ยังรักษาโรคได้ มันเป็นศาสตร์แห่งศิลป์เกินกว่าคนหยาบๆแบบคุณจะเข้าใจ หลักการผมคือ หากรักษาพ่อแม่หรือตัวเองแบบไหน ก็รักษาคนไข้ดุจเดียวกัน จำไว้ว่า ยาฆ่าเชื้อมันไม่ใช่ยาแก้เจ็บคอ และไม่ใช่ยาลดไข้ด้วย จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 53 20:23:12

ความคิดเห็นที่ 17 อ้อ คุณหมอคานู ครับ ผมเพิ่งรู้ว่า ที่จริงคุณก็มีทัศนคติที่ถูกต้องอยู่บ้างนะ ในเรื่องการใช้ยา ผมก็เห็นด้วยกับว่าควรใช้ยาให้น้อยที่สุด แต่ผมอยากขอให้คุณเพิ่มอีกอย่าง คือการรับฟังคนไข้ให้มากๆ มีข้อความหลายอย่างที่ผมเขียนไปหลายครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะไม่เข้าหูคุณเลย ดูจากการที่คุณย้ำหลายครั้งแล้ว "ยาฆ่าเชื้อมันไม่ใช่ยาแก้เจ็บคอ และไม่ใช่ยาลดไข้ด้วย" เพราะคุณตีความว่าอาการของผมคือเพียงการเจ็บคอธรรรมดา ที่ผมบอกว่าก่อนจะใช้ยาผมได้ทำอะไรหลายๆอย่างก่อนแล้ว จนรู้ว่าเอาไม่อยู่จึงกินยา มันไม่เข้าหูคุณเลย ตั้งแต่เด็กเวลาผมเจ็บคอ ผมก็หาทางกินยาไปตามประสา แก้ร้อนในบ้าง แก้หวัดบ้าง ยาอมบ้าง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ผล เจ็บมากจนไข้ขึ้น ก็ต้องไปหาหมอ หมอก็ให้ยามา กินแล้วก็หาย มันเป็นอย่างงี้ทุกครั้ง จนช่วงหลัง แทนที่จะไปหาหมอ ผมเริ่มรู้จักเอาตัวอย่างยาไปซื้อที่ร้านขายยาเองเอามากินแล้วก็หาย ถ้าคุณบอกว่ายาฆ่าเชื้อไม่เกี่ยว แล้วทำไมเวลาไม่กินอาการมันจึงลุกลาม ทำไมกินแล้วจึงหาย เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก กี่สิบครั้งแล้ว นี่คือ pattern อาการของผม ซึ่งแตกต่างจากพี่ผม เวลาพี่ผมเจ็บคอ เค้าจะไม่มีการเจ็บถึงขั้นเป็นไข้ เค้ากินน้ำมากๆก็หาย ซึ่งผมทำตามแล้วไม่ได้ผล ดังนั้นสภาพร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกัน จะเหมารวมไม่ไ้ด้ ถ้าคุณเอาใจใส่คนไข้เหมือนกับที่คุณเอาใจใส่พ่อแม่ของคุณนั่นเป็นเรื่องดี แต่อย่ารักษาแบบเดียวกันกับทุกคน เวลาที่ผมไปหาหมอก็คือเวลาที่ผ่านการรักษาตัวเองโดยไม่ใช้ยาแล้ว กินยาฆ่าเชื้อตัวเก่าแล้วไม่ไ้ด้ผลแล้ว และถ้าบังเอิญหมอที่ผมไปหานั้นเป็นคุณ คุณก็คงไม่ฟังอะไรผม เอาประสบการณ์ที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเอง จับโยนใส่ถังขยะ แล้วยืนกระต่ายขาเดียวนับหนึ่งใหม่ ด้วยยาอม หรือ พารา ของคุณ และ้ถ้าผมโง่พอที่จะกลับไปอมยาอมของคุณ 3 วัน 7 วันจนรู้ว่าไม่ได้ผลแล้วกลับมาหาคุณใหม่ คุณก็คงจะไม่เชื่อว่ายาฆ่าเชื้อตัวเก่าผมดื้อไปแล้ว เพราะว่าไม่ได้ผ่านผลแลปอย่างที่คุณว่า คุณคงจะให้ยาตัวเก่านั้นมาอีก นี่คือขั้นตอนอันศักดิ์สิทธิ์ของคุณที่คุณละเมิดมิได้ใช่มั๊ยครับ เพียงแค่คุณยอมรับฟังคนไข้ให้มากๆ เรื่องมันจะง่ายขึ้นเยอะ หมอที่ดีก็ต้องเรียนรู้จากคนไข้ด้วยซิครับ แต่ถ้าคุณมีทัศนะคติที่ว่าคนไข้มีอยู่แค่ 2 อย่าง คือไม่รู้เลย กับ ไม่รู้แต่อวดรู้ ส่วนความรู้ที่คุณมีอยู่เป็นจักรวาลแล้ว ไม่มีอะไรอยู่นอกเหนือจากนั้นอีกแล้ว คุณก็จะให้คนไข้ทำตามคุณลูกเดียว เคยฟังเสียง feedback จากคนไข้บ้างมั๊ย คงยาก เพราะคนที่คุณแจกแต่พาราไปเค้าคงไม่กลับมาหาคุณอีก ส่วนใครที่มาบ่น คุณก็คงหาว่า โง่ ปัญญาอ่อน ไม่รู้เรื่อง สุดท้ายความรู้ของคุณก็ไปสิ้นสุดอยู่แค่ตำรา กับที่อาจารย์คุณถ่ายทอดมาเท่านั้น ตำราเนี่ยมันต้องใช้ แต่เราก็ต้องตั้งคำถามด้วย ว่าที่ตำรามันเขียนแบบนั้นเพราะอะไร เค้าเขียนอยู่บนบริบทอะไร ส่วนใหญ่แล้วตำรามักจะเขียนแบบ global แต่คุณทำงานอยู่กับ local คุณก็ต้องรู้ให้ซึ้งถึงหลักการที่แท้จริงของตำรา แล้วเอามาปรับใช้กับ local ของคุณ ที่คุณว่าผมหยาบ ผมก็อยากสะกิดให้คุณ กลับไปอ่านข้อความที่คุณเขียนมาทั้งหมด หาคำว่า "ครับ" ซักคำเจอบ้างมั๊ย เป็นเจ้าคน นายคนมาจากไหนครับ ขึ้นต้นก็ "โง่" กับ "ปัญญาอ่อน" นำมาก่อนเลย เวลาพูดกับคนไข้ มี "ครับ" บ้างหรือเปล่า คุณต้องรู้จักให้ความเคารพต่อคนไข้ของคุณด้วยนะ เพราะคนไข้คือคนที่ทำให้ ความเป็นหมอของคุณ มีความหมาย จากคุณ : หมูหยอง เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 11:13:05 A:58.8.161.96 X: TicketID:174566

ความคิดเห็นที่ 18 คำว่าหยาบนี่ไม่ใช่คำพูดแต่เป็นสติปัญญาที่ใช้คิดหลักการและเหตุผลครับ ถ้าคิดแบบหยาบๆก็คงคิดไม่ออก ต้องละเอียดอ่อนหน่อย สู้ๆนะ พยายามเข้า จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 11:59:02

ความคิดเห็นที่ 19 ขอเข้ามาเสริมอีกหน่อย ตรงเรื่องที่คุณอยากจะหวังพึ่งร้านยาในการรักษาโรค คุณรู้หรือเปล่าว่า ปัจจุบันร้านยาที่ถูกกฏหมาย มีเภสัชกรประจำร้านมีอยู่แค่ 4%เท่านั้น  ผมเองก็ไม่ได้เก่งมาจากไหน แต่ผมมั่นใจว่าผมรู้เรื่องยามากกว่า 50%ของร้านขายยาที่มีอยู่ในประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าใครที่คิดจะฝากผีฝากไข้กับร้านยา คิดใหม่ได้เลยครับ จากคุณ : ซาตานกลับใจ เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 53 20:41:42

ความคิดเห็นที่ 20 "คุณรู้หรือเปล่าว่า ปัจจุบันร้านยาที่ถูกกฏหมาย มีเภสัชกรประจำร้านมีอยู่แค่ 4%เท่านั้น " ขอ reference ด้วยครับ จะเอาไปทำรายงาน  ขอบคุณครับ  จากคุณ : นิรมาณ เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 53 19:52:24

ความคิดเห็นที่ 21 ในโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อกินยาแล้วรู้สึกไม่ได้ผลก็คือเปลี่ยนยาครับ มันจะดื้อจริงหรือเปล่าผมไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น ถ้าหมอที่ไหนมาบอกผมว่าจะเอาเชื้อไปตรวจ ผมว่านั่นแหละปัญญาอ่อน จากคุณ : หมูหยอง - - - -- ถึงหมอคานูครับ ถ้าให้ผมเดาน่ะครับ ผมว่าเจ้าของกระทู้เป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้เมื่อทราบว่าตนเองเจ็บป่วย(ต้องขอโทษที่ผมไม่ได้จำชื่อภาษาอังกฤษมา) ในการรักษาคนไข้ประเภทนี้  เราต้องเข้าใจครับว่าเค้ามีพื้นฐานเรื่องโรคและแนวทางการรักษาอยู่บ้าง  ที่พึ่งทางใจของเค้าคือ กูเกิ้ลครับ พยายามสืบหาว่าตนเองเป็นอะไร  และต้องรักษายังไง  และพอเค้าปฏิบัติตามแล้วหาย  เค้าจะฝังใจว่าสิ่งนั้นเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง  ซึ่งบางทีเราต้องใช้เวลาสักพักในการปรับทัศนคติที่ผิดให้กลับมาถูก  และไม่มีหมอคนไหนที่จะมีเวลามาอธิบายให้คนไข้ประเภทนี้หายข้องใจในปัญหาต่างๆได้อย่างเต็มที่หรอกครับ  เว้นเเต่จะเป็นทางจิตแพทย์  ยังไงก็สู้ๆครับ ประเด็นของเรื่องก็คือ  การใช้ ABT ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นปัญหาระดับชาติในตอนนี้  ประกอบกับนิสัยของคนไทย ที่เมื่อไปหาหมอแล้วไม่ได้ยาก็จะไำม่สบายใจ  ดังนั้นมันจึงสร้างนิสัยที่ไม่ดีให้กับตัวหมอเองคือ  พยายามจ่ายยาให้คนไข้เพื่อให้คนไข้ได้สบายใจ พอเราบอกเค้าว่า  ติดเชื้อไวรัส  เค้าก็ไม่พอใจเพราะว่า เคยเป็นแบบนี้แต่ไปรักษาที่อื่นเค้าให้ ABT แล้วหาย  หรือไปซื้อ ABTแล้วหาย  แต่ทำไมคราวนี้หมอไม่จ่าย แล้วมันจะหายหรอ ทางแก้ไขคือ ต้องเปลี่ยนค่านิยมใหม่  ซึ่งมันคงใช้เวลานานน่าดู และควรจำกัดการซื้อขายยา ABT อย่างจริงจัง แต่มันก็คงจะลำบากไม่ใช่น้อย สุดท้ายนี้ผมยืนยันว่าที่หมอคานูพูดเป็นสิ่งที่ถูกต้องว่า  การที่จะยืนยันว่าผู้ป่วยแพ้ยาเราต้องทดสอบ sen spec แต่โดยทั่วๆไปมักไม่ค่อยทำ  และทำให้คนไข้คิดว่าการที่กินยาแล้วไม่หายเกิดจากดื้อยา  โดยมิได้พิจารณาถึงสาเหตุของโรคว่าเป็น ไวรัสหรือแบคทีเรีย  ซึ่งถ้าเป็นแบคทีเรียพวกที่มีแคปซูลใช้ amocxi ไปก็ไม่ได้ผล  ทำให้ผู้ป่วยคิดว่า มันดื้อยาจึงหันไปใช้ตัวอื่นอีก โดยมิได้ปรึกษาแพทย์ จากคุณ : GoLfGoNzO เขียนเมื่อ : 25 ธ.ค. 53 02:39:27

ความคิดเห็นที่ 22 เห็นกระทู้นี้ตอบโต้กันอย่างมีสาระดี ขอบ้าง คือผมรู้จักกับลูกเจ้าของโรงงานยาปฏิชีวนที่ว่าด้านบน คือพ่อเขาไม่ให้ลูกเขาเองทานยาเลยครับเพราะกลัวผลข้างเคียง ให้พักผ่อนดื่มน้ำมากๆทานผลไม้ ถ้าตัวร้อนก็เช็ดตัว(พาราก็ไม่กิน) เวลาเจ็บคอให้ทานน้ำส้ม น้ำฝรั่ง มะขามป้อมแช่อิ่มอะไรแบบนี้ แล้วคุณคุณคิดว่าไงละครับ ส่วนตัวผมเวลาคนไข้เจ็บคอก็จะพบว่าในคอบวมใช่ไหมครับ ทำให้ยุบบวมก็หายเจ็บแล้วละที่เหลือร่างกายจัดการต่อได้ครับ จากคุณ : thaimedกานต์ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 10:46:31

ความคิดเห็นที่ 23 ก็แรงอยู่แต่เราว่า พวก meropenem นี่แรงกว่ามาก จากคุณ : ชอบเลี้ยงแบค (มุตุ๊) เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 54 16:58:04

ความคิดเห็นที่ 24 ดื้อยา Amoxy ไม่ใช่กิน Ciproflox แต่ให้กิน amoxy ถ้าหากเกิดจากเชื้อแบคทีเรียจริงๆ แต่คุณควรจะเลิกพฤติกรรมพึ่งยาปฏิชีวนะดีกว่าครับ เพราะกินพร่ำเพรื่อแล้วเชื้อจะดื้อยาไปหมด จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 54 16:58:18