^
^
^
คุณเพิ่งอยู่กะ Fast5 มาระยะนึงตามที่คุณบอก ในระยะยาวคงต้องดูอีกทีนะคะ แล้วคุณสามารถทำ Fast5 ได้ไปตลอดชีวิตไหมคะ? เท่าที่ดูคนที่ประสบความสำเร็จจาก Fast5 ต้องปรับตัวพอสมควร ซึ่งไปๆมาๆ
อีกอย่างเราใช้คำว่า 'เสี่ยง' นะคะ
เรื่องระบบเผาผลาญมีปัจจัยหลายอย่าง อย่างที่บอกการอดหรือการขาดอาหารก็เป็นหนึ่งสาเหตุ และที่บอกว่าฝืนธรรมชาติเพราะกลไกการทำงานของร่างกายค่ะ อันนี้ถ้าคุณเีรียนวิทยาศาสตร์มาน่าจะพอทราบ ไม่เกี่ยวกะเรื่องความเชื่อใดใดเลย
Fast5 อาจจะบอกว่ามันเป็นกระแสสังคมนั่นเป็นเพราะต้องการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้วิธีที่ตัวเองคิด จริงๆ Fast5 ก็ไม่ต่างอะไรกะการกินอาหารได้แค่วันละมื้อ เพราะใน 5 ชม. ที่กินได้ เราไม่ได้กินตลอด 5 ชม. หรอกถ้าไม่ได้กินจุกจิก คนเรากินมื้อนึงก็อิ่มไปหลายชั่วโมงแล้วกว่าจะย่อยดูดซึมไปใช้จนหิวใหม่มันก็ประมาณ 3-4-5 ชม. อยู่แล้วหรือก็คือ 1 มื้อนั่นเอง
เพียงแต่ถ้าบอกว่าวันนึงกินได้ 1 มื้อ มันฟังดูทำยาก แต่ถ้าบอกว่าวันนึงกินได้เต็มที่ 5 ชม. มันฟังดูทำง่ายกว่าและทำให้คนอ่านมีความหวังขึ้นมา ซึ่งจริงๆถ้าคนที่อ่านศึกษาละเอียด Fast5 แนะนำว่ายังไงก็ต้องเลือกกิน และคุมแคลอรี่ให้เหมาะสม ซึ่งที่จริงคุณไม่ต้อง Fast 5 คุณกิน 3 มื้อปกติ คุมแคลอรี่และเลือกกินให้เมาะสมก็ลดได้เหมือนกันและปลอดภัยและง่ายกว่าด้วยสำหรับคนทั่วไป
ถ้าศึกษาลึกลงไปมีเหตุผลมากกว่านั้น ไม่ใช่ว่าสังคมเราจู่ๆก็กำหนดมันขึ้นมาให้กินวันละ 3 มื้อโดยไม่มีที่มาที่ไป และถ้ามีวิธีที่ปลอดภัยกว่าเป็นเราจะไม่เสี่ยง
ที่จริงหากคุณลดด้วยการกินปกติ 3 มื้อ ระบบเผาผลาญคุณอาจจะได้สูงกว่าที่วัดผลออกมาก็ได้
ไม่ทราบว่าการตรวจอัตราเผาผลาญของคุณใช้วิธีใดคะ? จากเครื่องที่ถอดรองเท้าขึ้นไปชั่ง หรือมีการตรวจวัดอย่างไรคะ? สนใจอยากตรวจเหมือนกันค่ะ เพราะปกติเครื่องที่ถอดรองเท้าขึ้นไปชั่งวัดพวกค่า BMI BMR นี่มันยังแค่การประมาณ อัตราระบบเผาผลาญของแต่ละคนถ้าวัดกันจริงๆ เคยได้ยินว่าซับซ้อนพอสมควร...
ศึกษาอะไรก็ตามควรศึกษาจากหลายๆด้าน หลายๆแหล่ง ดูว่าใครเป็นคนเขียน หรือข้อมูลนี้มาจากที่ไหน สมมุติอยากรู้เรื่อง Fast5 ก็ควรศึกษาจากหลายๆแหล่งถึงข้อดีข้อเสีย ไม่ใช้ศึกษาแต่จากเวบของ Fast5 อย่างง่ายๆลองคุยกะคุณหมอดูก็ได้ การอดอาหาร 19 ชั่วโมงนี่มีข้อดีข้อเสียอย่างไรและใช้วิจารณญาณดู สุดท้ายหากคุณรับข้อดีข้อเสียได้ คิดว่าวิธีนี้สะดวกก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ส่วนตัวเราจะไม่แนะนำวิธีการที่ปลอดภัยให้คนอื่นค่ะ
แก่นของเรื่องลดน้ำหนัก มันก็มีแค่ ความสมดุลระหว่างการกินการใช้พลังงาน กินมากไปกว่าใช้มันก็อ้วน กินน้อยกว่าที่ใช้มันก็ลด ถ้ากินพอดีกันก็รักษาน้ำหนักได้ มันก็มีอยู่เท่านี้เอง ศึกษา Fast5 แล้วเป็นแค่วิธีที่ทำให้คนอ่านรู้สึกมีความหวังทำได้ง่าย พอเรารู้สึกว่ามันง่ายก้มีกำลังใจลดก็เท่านั้นเอง แต่เป็นการลดที่ดีต่อสุขภาพในระยะยาวหรือเปล่าต้องใช้วิจารณญาณดีๆ
จริงๆน้ำหนักเกินก็กินพลังงานให้น้อยลงหรือใช้พลังงานให้มากขึ้นก็ลดแล้ว ไม่ต้องอะไรยุ่งยากมากมาย รู้อย่างนี้ความเห็นส่วนตัวทำให้เรารู้สึกว่า Fast5 ยุ่งยากมาก หลักลดน้ำหนักสุขภาพดีมันไม่ได้อะไรมากมายเลยอยากสุขภาพดีก็ต้องเลือกกินอาหารดีๆและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เอาแค่คุณกินให้น้อยกว่าที่เคยกินและออกกำลังกายน้ำหนักก็ลดแล้วค่ะ ไม่ต้องใช้สูตรใดใดทั้งสิ้น
อยากมีระบบเผาผลาญที่ดี ลองอ่าน
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
เพิ่มระบบเผาผลาญเพื่อลดอ้วน
ระบบเผาผลาญเป็นวิธีที่ร่างกายผลิตพลังงานจากอาหารมาใช้ในการทำงานของร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนและเอ็นไซม์หลายชนิดในร่างกาย ระบบการเผาผลาญจะเป็นตัวกำหนดอัตราการเผาผลาญพลังงาน (metabolic rate)ซึ่งถ้าอัตราการเผาผลาญสูง ร่างกายจะเผาผลาญอาหารได้ดี แต่ถ้าอัตราการเผาผลาญต่ำจะทำให้เพิ่มน้ำหนักตัวได้เร็วหรือลดน้ำหนักได้ยาก แต่ละคนมีประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานแตกต่างกัน ซึ่งอัตราการเผาผลาญของร่างกายมาจากพลังงาน 3 ส่วนคือ
พลังงานพื้นฐานที่ใช้ในการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย
พลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนไหวหรือออกแรง
พลังงานที่ใช้ในการย่อยอาหาร
การปรับเปลี่ยนวิธีการบริโภคและการใช้พลังงานจึงมีผลต่อระบบการเผาผลาญของร่างกายได้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆที่มีอิทธิพลต่อระบบเผาผลาญ ได้แก่ อายุ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง วิถีการดำเนินชีวิตและองค์ประกอบของร่างกาย (ปริมาณของมวลกล้ามเนื้อ) โดยธรรมชาติระบบการเผาผลาญของคนเราจะลดลงประมาณ 5% ทุกๆ 10 ปี โดยเริ่มหลังจากอายุ 40 ปี ขณะอยู่เฉยๆไม่ได้ทำอะไร เพศชายจะเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าเพศหญิง คนที่มีกล้ามเนื้อมากก็จะมีระบบการเผาผลาญสูงกว่าคนที่มีไขมันมาก เพราะเซลล์กล้ามเนื้อเป็นเซลล์ขยันใช้พลังงานได้ดีกว่าเซลล์ไขมันซึ่งเปรียบได้กับเซลล์ขี้เกียจ และท้ายที่สุดสิ่งที่ถูกกำหนดมาให้แต่ละคนตั้งแต่เกิดคือพันธุกรรม ซึ่งถูกโปรแกรมมาแล้วทำให้คนเรามีระบบเผาผลาญแตกต่างกันไป นอกจากนี้ โรคบางชนิด เช่น ไทรอยด์(ทำงานน้อย)ก็ทำให้ระบบการเผาผลาญช้าลงได้
ทำไมน้ำหนักทรงตัวหลังลดความอ้วน
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายเรื่องนี้ว่า ขณะที่เราอ้วน ระบบการเผาผลาญยังสูงอยู่ ฉะนั้นเมื่อลดแคลอรีจากอาหารลงมาแม้เพียงเล็กน้อย จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลง และหลังจากที่สูญเสียเซลล์ไขมันและเซลล์กล้ามเนื้อไปพร้อมกับการสูญเสียน้ำในระยะแรก ระบบเผาผลาญจะลดต่ำลง ร่างกายจึงต้องการพลังงานในการทำงานน้อยลง
ทุกๆ 1/2 กิโลของเซลล์กล้ามเนื้อที่ลดลง จะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานลดลงประมาณ 9 แคลอรี นี่เองเป็นเหตุผลว่า คนที่ลดน้ำหนักจึงอ้วนขึ้นได้ง่ายในเวลาต่อมาถ้าไม่ควบคุมต่อเนื่อง นอกจากนี้ พลังงานที่ร่างกายต้องการจากอาหารก็จะลดน้อยลงไปอีก นั่นหมายถึงว่าปริมาณอาหารที่รับประทานจะต้องน้อยลงตามไปด้วย
ตัวอย่างเช่น นายแดงและนายดำมีน้ำหนักเท่ากันคือ 112 กิโลกรัม โดยที่น้ำหนักเดิมของนายแดงคือ 156 กิโลกรัม ส่วนนายดำหนัก 112 กิโลกรัมมาตลอด นายแดงผู้ลดน้ำหนักโดยการจำกัดอาหารจึงมีระบบเผาผลาญลดลง ทำให้ร่างกายต้องการพลังงานน้อยลงกว่านายดำทั้งๆที่มีน้ำหนักเท่ากัน
ดังนั้น การที่มีน้ำหนักเท่ากันจึงไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องการพลังงานเท่ากันเสมอไป หากผ่านการลดน้ำหนักมาก่อน จึงต้องควบคุมการกินอาหารให้น้อยลงไปให้ได้อย่างต่อเนื่อง
6 วิธีกิน เพิ่มระบบเผาผลาญ
1 กินบ่อยแต่แบ่งเป็นมื้อเล็กๆ การกินอาหารวันละ 4-6 มื้อ จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญตลอดทั้งวันและลดน้ำหนักได้มากขึ้น คนที่ทิ้งช่วงการกินระหว่างมื้อต่อมื้อนานเกินไป ระบบเผาผลาญจะปรับตัวให้ทำงานช้าลงเพื่อชดเชยกับการไม่ได้กิน แต่ถ้ากินมื้อใหญ่เกินไป ระบบเผาผลาญจะทำงานเสมือนว่าคุณกำลังอดอยาก จึงสงวนแคลอรีทั้งหมดที่กินไว้เพื่อสะสมเป็นเสบียงยามขาดแคลน
2 ห้ามอดมื้อเช้า คนที่งดอาหารเช้าบ่อยๆจะอ้วนง่ายกว่าคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำ ร่างกายคนเราต้องการพลังงานและสารอาหารเพื่อจะทำงานได้ทั้ง 24 ชั่วโมง ดังนั้น การอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งจึงทำให้ร่างกายเข้าสู่ระบบสงวนพลังงาน โดยการลดอัตราการเผาผลาญลง และทำให้ร่างกายเก็บสะสมพลังงานอย่างเต็มที่ในรูปของไขมัน อาหารเช้าที่มีคุณภาพได้แก่ ข้าว(ซ้อมมือ)ต้มเครื่อง หรือขนมปังไข่ดาว
3 เพิ่มอาหารโปรตีน โดยปกติ อาหารจะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญ หลังจากที่กินไปแล้ว 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงที่ทำงานได้ดีที่สุด แต่อาหารโปรตีนต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น 25% ในการย่อย ฉะนั้นอาหารว่างที่มีโปรตีนสูงจึงทำให้การเผาผลาญทำงานได้ดีกว่า(เล็กน้อย)เมื่อเทียบกับอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูง(โดยที่มีแคลอรีเท่าๆ กัน) แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนที่สรุปว่าอาหารชนิดใดจะมีผลพิเศษในการเพิ่มระบบเผาผลาญ
4 เติมเครื่องเทศรสเผ็ด มีงานวิจัยว่า พริกหรืออาหารรสจัดสามารถเพิ่มระบบเผาผลาญได้ 20% เป็นเวลาถึง 30 นาที งานวิจัยในสตรีชาวญี่ปุ่นรายงานว่า พริกสีแดงช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญในร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อกินพริกแดงกับอาหารไขมันสูง นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยขนาดเล็ก พบว่านักกีฬาชายที่กินพริกแดงกับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง มีอัตราระบบเผาผลาญสูงขึ้นทั้งขณะที่มีกิจกรรมและไม่มีกิจกรรม หลังการกินอาหาร 30 นาที แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเพิ่มการทำงานได้นานแค่ไหน ผลดีของการกินพริกคือช่วยให้กินผักได้เพิ่มขึ้น แต่ผลการเพิ่มอัตราการเผาผลาญนั้นเพียงเล็กน้อย จึงต้องใช้ความพอดีในข้อนี้ให้มาก
5 ดื่มน้ำตลอดวัน น้ำเป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างหนึ่ง หากดื่มน้ำน้อยไประบบเผาผลาญจะลดลงเหมือนขาดอาหาร โดยตับจะเก็บน้ำไว้ แทนที่จะนำไปใช้ในหน้าที่อื่นๆ เช่น เผาผลาญไขมัน การดื่มน้ำเย็นๆจะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญได้เล็กน้อยจากการที่ร่างกายต้องรักษาระดับอุณหภูมิในร่างกาย ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น ชาเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระ EGCG (epigallocatechin gallate) ที่มีฤทธิ์สูง หากดื่มขณะที่กินอาหาร จะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญ 24 ชั่วโมงได้ 4 % (คาเฟอีนเพียงอย่างเดียวไม่แสดงผลนี้) แม้ชาเขียวจะกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ดีกว่าและนานกว่ากาแฟ แต่การดื่มชาเขียวโดยไม่ควบคุมปริมาณอาหารที่กินตลอดทั้งวัน ก็ไม่อาจช่วยให้น้ำหนักลดลงได้
6 เลี่ยงน้ำตาลและของหวาน การกินของหวานมากๆ จะช่วยส่งเสริมให้ระบบเผาผลาญเก็บสะสมไขมันมากกว่าการเผาผลาญไขมันออกไปใช้ นอกจากนี้ น้ำตาลยังเป็นพลังงานส่วนเกินที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้ง่าย
ปัจจัยเสริมเร่งการเผาผลาญ
ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่เผาผลาญพลังงานในเวลาสั้นๆ และยกน้ำหนักที่จะสร้างกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มระบบเผาผลาญในระยะยาว ถ้าเรายิ่งสร้างกล้ามเนื้อมากเท่าไร อัตราการเผาผลาญ(ขณะที่อยู่เฉยๆ) ก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น เพราะเซลล์กล้ามเนื้อเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าเซลไขมัน
การออกกำลังกายแบบแอโรบิค 30 นาที อาจเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการยกน้ำหนัก 30 นาที แต่การยกน้ำหนักกลับจะเพิ่มให้ระบบเผาผลาญทำงานได้นานกว่า ฉะนั้นกฏข้อหนึ่งของการลดน้ำหนักคือ การออกกำลังกายควบคู่กันไปกับการควบคุมอาหารจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายให้มากขึ้น และคงน้ำหนักที่ลดลงได้
ผู้หญิงบางคนกลัวว่าการออกกำลังกายจะทำให้มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ดูแล้วไม่สวยงาม แต่ที่จริงผู้หญิงไม่มีฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (testosterone)มากพอที่จะทำให้กล้ามเนื้อใหญ่เหมือนผู้ชายได้ขนาดนั้น จึงไม่น่าเป็นข้ออ้างในการไม่ออกกำลังกาย
ความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อ้วนได้ โดยเฉพาะอ้วนลงพุง เพราะความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมีผลให้ระบบเผาผลาญลดลง และที่สำคัญนอนให้เพียงพอ การวิจัยพบว่าผู้ที่นอนน้อยกว่าวันละ7-8 ชั่วโมงจะอ้วนได้ง่าย เนื่องจากร่างกายมีสภาวะเครียดเพิ่มขึ้น
http://www.horapa.com/content.php?Category=Tips&No=602