ความคิดเห็นที่ 1 ผู้ชาย อายุราวๆ 35 ปี มาตรวจด้วยอาการอ่อนเพลีย มีไข้ ไอเรื้อรัง จากประวัติในใบส่งตัว ระบุว่าเป็นวัณโรคปอด และได้เจาะ HIV พบว่าผลเป็นบวก เราเดินไปตรวจคนไข้ที่เตียง เลียบๆเคียงๆถามว่า หมอที่รพ.แรกได้แจ้งผลตรวจเลือดหรือไม่ คนไข้บอกว่าไม่ทราบ จึงถามอีกว่า คนไข้มีโรคประจำตัวหรือไม่ เคยกินยาใดๆประจำหรือไม่ เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมา พบว่า ผป.โรคเอดส์บางส่วนจะทราบอยู่ก่อนแล้วว่าตนเองเป็นโรค แต่ไม่อยากบอกหมอตรงๆ ถ้าถามไปแบบอ้อมๆ อาจจะพอบอกบ้าง ปรากฏว่า คนไข้รายนี้ ตอบคำถามอย่างซื่อๆ ดูแล้วไม่มีความสงสัยเลยว่าตัวเองติดเชื้อ เราก็เลยหันไปหาภรรยา เพื่อจะถามอาการเพิ่ม พอมองหน้าฝ่ายหญิง เราก็ต้องตกใจ เพราะผู้หญิงคนนี้ เป็นผู้ติดเชื้อ ที่เราเคยรักษาในรพ.อำเภอเมื่อหลายปีก่อน คนไข้มารับยาต้านกินอยู่ประจำ เราทำเป็นจำเขาไม่ได้ ก็ลองถามเรื่องสุขภาพ ต่างๆนานา เขาก็บอกว่าแข็งแรงดี เราได้แต่คิดว่า ทำไมเลือดเย็นแบบนี้ เห็นผู้ชายแล้วเวทนา ฝ้าขาวเต็มปาก ตามขาก็พุพอง ถ้าเขารู้ตัว่าติดเชื้อ ก็จะได้กินยา ในขณะที่ฝ่ายหญิง กินยามาตลอด 5 ปี ดูสบายดีทุกอย่าง ก็ไม่ได้ถามหรอกนะ ว่าสามีใหม่หรือเก่า หรือจะเป็นสามีที่นำโรคมาติด เลยแก้แค้นซะ?? แต่ถ้าเป็นสามีใหม่ ก็น่าสงสารมากๆ จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 53 20:47:44

ความคิดเห็นที่ 2 ผู้หญิง อายุ 35 ปี มาฝากท้อง ตรวจเลือดพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อ คนไข้บอกว่าทราบมานานแล้ว และกินยาต้านอยู่ประจำ สามีคนนี้เป็นคนที่สอง เพิ่งมาอยู่ด้วยกันได้ปีกว่าๆ สามียังไม่เคยมีลูก ก็เลยไม่ได้ใช้ถุงยาง เราถามว่า แล้วเขารู้หรือเปล่าว่าตัวคนไข้เป็นผู้ติดเชื้อ คนไข้ตอบว่า "คงรู้มั้ง ก็หนูมารพ.ทุกเดือน เขาคงรู้เอง" เวรกรรม เราเชื่อว่าฝ่ายชายไม่รู้หรอก เราไม่ได้ว่าเหมารวมผู้ติดเชื้อทั้งหมดนะ มันก็เหมือนสังคมทั่วไปหละ ต้องมีทั้งคนดี คนไม่ดี แต่อยากเตือนใจไว้ว่า ปัจจุบัน ยาต้านไวรัสมีจ่ายฟรีที่รพ.รัฐทุกแห่ง ทำให้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีโอกาสรับยา จะว่าไปน่าจะเกือบ 100% เพราะตัดปัญหาค่าใช้จ่ายไปได้ บางคนถ้าอาย ก็ไปรับยาที่ต่างอำเภอที่ไกลจากบ้านตัวเอง ผู้ติดเชื้อ ถ้ารับยาสม่ำเสมอ ร่างกายเขาก็จะแข็งแรงดี เหมือนได้เริ่มชีวิตใหม่ และในที่สุด ก็จะอยากมีครอบครัวใหม่ อยากมีคนรัก อยากมีลูก เพราะลึกๆแล้ว เขาอาจจะเชื่อว่า เขาหายแล้วก็ได้ เหมือนเป็นแค่ เบาหวาน ความดัน ที่กินยาทุกวันก็สบายดี แล้วคนไทย ไม่นิยมเจาะเลือดก่อนแต่งซะด้วย จะว่าไป เคสเหล่านี้ก็มักจะไม่ได้แต่งงานอะไรกันเป็นเรื่องเป็นราว มักเป็นคนที่ผ่านชีวิตคู่มาบ้างแล้ว และก็เริ่มมีคู่ใหม่อย่างง่ายๆไม่มีพิธีรีตองอะไร ก่อนจะแต่งงาน หรือมีเซ็กซ์กับใคร ถ้ายังไม่มั่นใจ ให้สวมถุงยางเสมอ จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 53 20:56:41

ความคิดเห็นที่ 3 อีกกลุ่มที่น่าห่วงคือวัยรุ่น เคยพบเด็กวัยรุ่น ที่ติดเชื้อจากพ่อแม่ตั้งแต่แรกเกิด เธอได้รับการดูแลอย่างดีจากญาติๆ และไปตรวจรับยาตามหมอนัดทุกครั้ง สุขภาพร่างกายแข็งแรงมาตลอด จนอายุ 19 เป็นสาวสวย ที่ดูแล้วแข็งแรงสมบูรณ์ แล้วเธอก็ท้องกับเพื่อนชาย เราถามเด็กว่า แฟนหนูรู้มั้ย ว่าหนูเป็นโรคอะไร เด็กตอบว่า "เขารู้ แต่เขาไม่กลัว" เออหนอ ไม่รู้ว่ากล้าหาญเพราะรักจริง หรือว่ามันเด็กจนไม่รู้จักกลัวอะไร ถ้าคุณเป็นเธอ ที่ติดโรคจากแม่โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พอโตเป็นสาว อยากมีแฟนเหมือนคนอื่น คุณจะทำยังไง วัยรุ่นอายุเท่านี้ จะคิดถึงความรับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่นได้หรือไม่? ในเมื่อเขาก็มีความต้องการทางร่างกาย จิตใจเหมือนคนอื่นๆ ล่าสุด เด็กสาวอายุ 15 มาคลอดลูก ตรวจเลือดพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อ เด็กคนนี้ติดจากเพศสัมพันธ์กับแฟนที่อายุมากกว่า แล้วในวันข้างหน้า อนาคตอีกหลายสิบปีของเด็กคนนี้ เด็กจะมีความยับยั้งชั่งใจพอหรือเปล่า ที่จะไม่แพร่เชื้อสู่คนอื่นต่อไปอีก? ในเมื่อเราห้ามคนอื่นไม่ได้ ก็จงระวังตัวของท่านเองให้ดีๆก็แล้วกัน แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 53 21:05:51 จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 53 21:02:20

ความคิดเห็นที่ 4 เออ อย่าคิดว่ามีแต่ผู้หญิงที่ทำร้ายผู้ชายนะ เผอิญว่าเราเป็นหมอสูติ ก็เลยเจอแต่คนไข้ผู้หญิงเป็นส่วนมาก จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 53 21:07:49

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวนี้อะไรก็ใกล้ตัวไปหมด... ขอโหวตได้มั้ยคะ ได้เป็นข้อคิดเตือนใจที่ดีจริงๆ   จากคุณ : honey_neko เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 53 21:32:53

ความคิดเห็นที่ 6 โหวตค่ะ.....อ่านแล้วแอบจิตตกเลยนะเนี่ย จากคุณ : มะหมาฮาเฮ เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 53 22:34:19

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะครับ จากคุณ : zolam เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 53 22:57:20

ความคิดเห็นที่ 8 อืมม เคยเป็นแพทย์GPและได้พบเห็นเคสทำนองนี้จำนวนหนึ่ง จำได้ว่า จิตตก เซ็ง เบื่อหน่ายเอือมระอาคนไข้เหล่านี้มาก รักภาษาอะไร ถึงไม่คำนึงถึงสุขภาพคนรักตัวเอง ด้วยความที่เป็นแพทย์ทำให้ไม่มีอำนาจในการเปิดเผยความลับคนไข้ให้คู่เขารู้ และหลายๆเคสคล้ายกับที่คุณฟ้าหมาดฝนว่ามา ทำให้จิตใจของเราเองต้องมัวหมอง เห็นคนไม่รับผิดชอบ เห็นแก่ตัว ความรักมันช่างสีดำยิ่งนักเมื่อเป็นชีวิตจริง จากคุณ : natefang เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 53 23:25:11

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณครับที่นำเรื่องราวมาตีแผ่ จะได้ระมัดระวังตัว ;) จากคุณ : zh_jk เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 00:11:03

ความคิดเห็นที่ 10 อื้มมม  เป็นกระทู้ที่ดีจริงๆนะคะ อยากโหวตแต่ไม่สามารถคะ^^'' จากคุณ : rakwahnron เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 00:23:23

ความคิดเห็นที่ 11 ยิ่งได้อ่านยิ่งน่ากลัวจัง มันใกล้ตัวกว่าที่คิดเนอะ เรื่องแรก กรรมติดจรวดมากเลย จากคุณ : Konba_naruK เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 01:09:24

ความคิดเห็นที่ 12 อ่านแล้วขนลุกยังไงก็ไม่รู้ จากคุณ : ##NeVeR GiVe Up## เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 03:40:36

ความคิดเห็นที่ 13 อ่านแล้วน่ากลัวจริงๆค่ะ ขนาดแต่งงานมีลูก สามียังไม่รู้เนี่ย เด็กอายุ15ปีก็ติด โอ้ว .... จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 04:45:01

ความคิดเห็นที่ 14 มีเพื่อนเป็นนักสังคมสงเคราะห์ก็เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาเหมือนกันค่ะ แต่ส่วนมากจะเป็นเด็ก ไม่คิดว่าผู้ใหญ่บางคนรู้ทั้งรู้แต่ทำไมละเลยได้ขนาดนี้  น่ากลัวมากๆ จากคุณ : ชมชูภูละ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 06:56:04

ความคิดเห็นที่ 15 ช่วยโหวตค่ะ.. ขอบคุณ เรื่องดีๆ ที่นำมาบอกกล่าว ค่ะ คุณหมอ.. จากคุณ : ยายภูธร เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 07:26:15

ความคิดเห็นที่ 16 อ่านแล้วขนลุกเลยครับ ขอบคุณสำหรับข้อเตือนใจครับ vote ครับ จากคุณ : chomai เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 09:05:29

ความคิดเห็นที่ 17 เห้อ ออ    อ่านเเล้ว นึกถึง คนข้างบ้าน ผู้ญ เป็น มาตั้ง เเต่ รุ่น ตา ยาย เเต่ฐานะ ทางบ้านรวย เพิ่ง เเต่งงาน เมื่อ วาน ตั้ง ท้องได้ 3 เดือน   สามี คงไม่ ทราบ  เเล้ว ลูกในท้อง ละ เห้ออออออออ จากคุณ : VIPUSER เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 09:32:22

ความคิดเห็นที่ 18 เฮ้อ... อ่านแล้วก็ได้แต่เฮ้อ... จากคุณ : ปลาทูทำอะไรก็อร่อย เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 10:31:49

ความคิดเห็นที่ 19 บอกได้คำเดียวว่าพวกที่ติดจากแฟน สามี ภรรยา นี่ เยอะมาก จากคุณ : cardiogenic เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 10:50:12

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้ารู้ตัวว่าเป็นผู้ติดเชื้อก็น่าจะจริงใจกับคู่ครองน่ะครับ ไม่ใช่ให้คนอื่นมาเสี่ยงด้วย มีหลายคู่เยอะแยะที่เคยพลาดมาก่อน(มีคู่มีแฟนมาก่อน) แล้วพลาดไป เค้าก็ยังคบกันได้รักกันได้ด้วยซ้ำ ทั้งที่อีกคนนึงติดเชื้อ แล้วอีกคนไม่ได้ติด แต่เค้าก็มีสัมพันธ์เรื่องนั้น ด้วยการป้องกันที่ถูกต้องตลอด จากคุณ : KippO เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 15:22:09

ความคิดเห็นที่ 21 ครั้งหนึ่งตอนที่จบตรีใหม่ๆ ด้วยหน้าที่การงานทำให้ต้องเข้าไปเป็นตัวเสริมในการให้คำปรึกษาเรื่องโรคเอดส์ ได้เจอคนที่กำลังจะแต่งงานกันคู่หนึ่งมาตรวจเลือด ผลปรากฏว่าฝ่ายชายติดเชื้อ รู้ตัวอยู่แล้ว ระหว่างรอผล แวะมาบอกแพทย์ว่าไม่ต้องการบอกฝ่ายหญิง เอาจรรยาแพทย์มาขู่ว่า หมอบอกผลเลือดของเขาให้แฟนรู้ไม่ได้ ถ้าเขาไม่ยินยอม รายนี้เล่นเอาจิตตก เพราะนอกจากจะไม่ต้องการบอกแล้ว ยังจะเอาการตรวจเป็นประกันอีกว่าไม่มีโรค พูดออกมาได้ว่า เดี๋ยวตอนเขาป่วยจะไม่มีใครดูแล ช่างไม่คิดถึงผู้หญิงที่ตัวเองบอกว่ารัก ผู้หญิงที่แข็งแรงสมบรูณ์ ผู้หญิงที่มีความฝันว่าจะมีลูก จะสร้างครอบครัวกับคนที่เธอรักที่สุด ในโรงพยาบาลส่งต่อกันให้วุ่น จนถึงมือจิตแพทย์ ก็ไม่รู้ว่าผลเป็นอย่างไรนะ เพราะขอลาออกจากทีมมาก่อน บอกหัวหน้าไปว่า คงยังเด็กไป วุฒิภาวะยังไม่พอจะรับมือกับเคสนี้ ให้คำปรึกษาก่อนตรวจนั้นทำได้ วางแผนเพื่อบอกผลก็ทำได้ นัดให้คำปรึกษาหลังจากที่รู้ผลแล้ว และต้องปรับตัวก็ทำได้ แต่จะให้นั่งมองหน้าฆาตกร นั่งฟังเขาระบายความห่วงใยตัวเองว่าจะไม่มีใครดูแลในอนาคต จนต้องทำลายคนอีกคนหนึ่ง มันทำไม่ได้จริงๆ ปล ถึงตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับเคสแบบนี้ไหว จากคุณ : Deckard เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 16:06:00

ความคิดเห็นที่ 22 สมัยก่อนส่วนใหญ่มักจะพบผู้ติดเชื้อเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน แต่เดี๋ยวนี้เจอในกลุ่มวัยรุ่น วัยเรียนเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนหน้าตาดีๆทั้งนั้น อยากจะฝากไว้ว่าอย่าคิดว่าดูหน้าตา ผิวพรรณดีๆแล้วจะปลอดภัย ถ้ารักสนุกก็ต้องป้องกัน  แต่อยากให้รักเดียวใจเดียวกันมากกว่า เวลาเจอคนไข้ที่มารักษาพวกโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ พวกหนองใน กามโรค ยังไม่ต้องถึงขั้นตรวจเลือดHIV ในคนไข้ที่เป็นผู้ชายผมชอบชวนคุย ถามว่ามีแฟนกี่คน ไม่เคยมีคนไหนเลยที่มีแฟนคนเดียว ฝากไว้เป็นข้อเตือนใจครับ จากคุณ : babeheart เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 16:46:03

ความคิดเห็นที่ 23 อ่านแล้วเศร้ามาก จากคุณ : ฮิมาวาริซซัง เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 17:03:24

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านแล้วจิตตก อ่ะ เรากับสามี จูงมือกันไปตรวจร่างกาย ก่อนแต่งงาน   เจาะเลือดตรวจเอดส์ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย  เราตรวจบ่อยอ่ะ  เพราะก่อนแต่งงานเราไม่ได้มีสามีแค่คนเดียว (ไม่ได้หมายความคบทีละหลายๆคนแล้วไม่ป้องกันนะ  คบทีละคนแล้วป้องกันด้วย แต่ก็กลัวอ่ะ) และก่อนหน้านี้ตอบคบเป็นแฟนก็ป้องกันใช้ถุง จนมาก่อนแต่งงาน คิดว่าพร้อมจะมีลูก ก็เลยไม่ใช้ถุง เพื่อความสบายใจทั้งคู่  ก่อนจะใช้เพียวๆ ก็เลยไปตรวจด้วยกัน จากคุณ : jtsunod7 เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 18:19:44

ความคิดเห็นที่ 25 ผมเคยมี sex กับสาวที่เจอที่เที่ยว ก็ป้องกันนะครับแต่มันเสียวๆก็เลยไปคลีนิกนิรนาม ก็ปลอดภัยแหละ แต่วันไปตรวจเจอน้องผู้หญิงสองคนไปรับยาอ่ะครับ ขอบอกว่าน่ารักมากคนแรก หน้าตาแบบญี่ปุ่นแบ้วๆ อีกคนสวยโคตรๆขนาดใส่แว่นกันแดดยังดูว่าสวยมากๆ ตั้งแต่นั้นไอ้ภาพมายาที่ขาวๆสวยๆ ต้องสุขภาพดีของผมหายไปเลยช่วงนี้โสดอยู่แต่คาดว่าถ้าจะมีแฟนคงต้องขอให้สาวไปตรวจเลือดก่อนล่ะครับ กลัววุ้ย จากคุณ : ผ้าขนหนูสีฟ้า เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 18:31:38

ความคิดเห็นที่ 26 ^ ^ จิ้มไปที่ 21  เรามีวิธีจัดการกับพวกกรณีนี้ค่ะ  ใช้เป็นประจำสมัยที่ยังไม่ได้เรียนเฉพาะทาง ตอนที่บอกผลและให้ใบแจ้งผลจะต้องบอกแยกกันก็จริง  แต่ตอนจบนี่จะกลับมานั่งคู่กันใช่มั้ยคะ  เราก็จะปล่อยพิษตอนนั้นล่ะค่ะ "หมอบอกผลกับคุณทั้งคู่แล้วนะคะ  ข้อมูลพวกนี้ตามปกติพอกลับบ้านไปแล้ว  ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายรักกัน  จริงใจต่อกันจริง  เพื่อความสบายใจก็จะให้อีกฝ่ายดูผลของตัวเองเสมอค่ะ  ถ้ามันไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องปิดบังกันน่ะนะ" แล้วก็ยิ้มค่ะ  คนที่ผลปกติจะยิ้มตามแล้วก็เห็นด้วยมากๆ  ส่วนไอ้พวกชั่วๆน่ะ  เห็นหน้าถอดสีกันทุกคน...เห็นไหม  หมอก็ไม่ได้บอกอะไรสักหน่อย แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 53 20:54:02 จากคุณ : vinv เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 20:50:48

ความคิดเห็นที่ 27 แถมไปอีกสักอัน  เมื่อวานนี้เอง ผู้ชายอายุ 36 ปี  ตายไม่ทราบสาเหตุ  ประวัติจากภรรยาว่าไม่มีโรคประจำตัว  อ่อนเพลีย  ปวดหัวมากมาราวๆ 2 สัปดาห์  ไปตรวจแล้วCTแล้วก็ไม่พบความผิดปกติ  แพทย์นัดตรวจในอีก 1 สัปดาห์แต่ตายไปก่อน เรานั่งฟังประวัติ  ดูอายุ  ก็สั่งตรวจเลือดหา HIV ทันที  ผลก็คือบวกไม่พลิกโผอะไร เจาะน้ำไขสันหลังมาส่อง   .....แหม  รายั้วเยี้ยเชียว  ได้เหตุตายเรียบร้อย แต่ที่ยากก็คือการบอกกับภรรยาเขานี่สิ  เราบอกไปทั้งๆที่สงสารเขามากๆ  พอภรรยาเขารู้ว่าสามีตัวเองตายจากอะไรนี่...จากที่ร้องไห้กลายเป็นนั่งนิ่งตาค้างแล้วก็พึมพำว่า "ไม่จริงๆ" และที่มันน่าอนาถที่สุดก็คือการที่ผลออกมาว่าภรรยาของเขามีผลเลือดเป็นบวก  เพิ่งแต่งงานกันมาได้แค่ปีกว่า  และกำลังตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน...... . . . ที่น่าเศร้าที่สุดก็คือ "กรณีนี้เป็นเคสทั่วๆไปที่พบได้แทบจะทุกสัปดาห์" จากคุณ : vinv เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 21:25:33

ความคิดเห็นที่ 28 หนูกลัว!!!! จากคุณ : Chanakan1991 เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 21:27:38

ความคิดเห็นที่ 29 โฮ่ คุณvinv LPศพเหรอคะ เหวอ จัดท่ายังไงนั่น จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 21:45:06

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณมาก ๆ ค่ะสำหรับ ข้อมูลดี ๆ จากคุณ : เด็กหญิงมิ้นท์กับครูโก้ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 21:50:52

ความคิดเห็นที่ 31 ^ ^ ตอบคุณฟ้าหมาดฝน #29 ง่ายมากๆค่ะ  แค่จับตะแคงตัวเฉยๆก็เกินพอแล้ว  เพราะหลักการคือ "ไม่มีการเจ็บ  ไม่มีเลือดออก  ไม่มีparalyze  และไม่จำกัดจำนวนครั้ง" ปกติพวกศพHIVถ้าไม่มีประเด็นทางคดีก็จะไม่ผ่าศพค่ะ  ประเมินแล้วมันมีความเสี่ยงมากกว่าประโยชน์น่ะค่ะ  จะใช้การหา+ตรวจยืนยันพวกopportunistic infectionแทน  เจ้า Crypto, TB, PCP นี่ขาประจำเลยล่ะ แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 53 22:05:04 จากคุณ : vinv เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 22:01:16

ความคิดเห็นที่ 32 เหมือนจะมีกฎหมายเขียนไว้หรือเปล่าไม่แน่ใจนะครับว่า หากข้อมูลที่เป็นความลับของคนไข้มีผลให้เป็นอันตรายต่อผู้อื่น สามารถเปิดเผยข้อมูลนั้นได้ เช่น สามี ผล+ สามารถบอกผลแก่ภรรยาได้ เพราะ ภรรยาก็เข้าข่ายผู้เสียหาย แต่ในรายละเอียดคงต้องหาคนมายืนยันให้หน่อยแล้วครับ จากคุณ : ttandt (ttandt) เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 22:26:55

ความคิดเห็นที่ 33 จริงๆแล้วเรื่อง เอชไอวี ในเคสคู่สมรสหรือคู่นอนเนี่ย เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดมากๆค่ะ เป็นสิทธิ์ของผู้ป่วยก็จริง แต่การกระทำดังกล่าวเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตผู้อื่น ไม่ตรวจเลือดก็เรื่องหนึ่ง แต่ตรวจแล้ว รู้แล้วยังจะปกปิด โดยเฉพาะคุณผู้หญิง น้อยนักที่จะขอให้สามีใส่ถุงยางได้ ลำบากใจจริงๆค่ะ ปล.มีเคสนักร้องสาวในเยอรมันที่ติดเชื้อ แล้วมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โดนจับและเป็นข่าว ก็มีคนออกมาพูดทั้งในสองด้านน่ะค่ะ ด้านสิทธิ์ผู้ป่วย และในด้านความปลอดภัย จากคุณ : fm@co เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 22:39:17

ความคิดเห็นที่ 34 เป็นโสดอ่ะดีแล้ว เฮ้อ จากคุณ : If not you who? เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 22:42:11

ความคิดเห็นที่ 35 เออฟังดูแล้วชีวิตคู่นี่น่ากลัวจัง ต่อให้ไปตรวจก่อนแต่งแต่ถ้าแต่งไปแล้วเกิดวันไหนสามีเกิดไปเที่ยวหญิงบริการแล้วเอาเชื้อมาติดก็ไม่รอดอยู่ดี ที่เคยอ่านมาก็เคยมีคนใช้ถุงยางแล้วแต่พลาดก็มีนะ ที่ดีที่สุดคือไม่เที่ยวแต่สมัยนี้ท่าจะยากซะแล้วเพราะส่วนใหญ่มองว่าการเที่ยวสำหรับผู้ชายมันเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว น่าเศร้าจังเป็นโสดดีกว่า จากคุณ : รักต้องการความใส่ใจ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 23:13:31

ความคิดเห็นที่ 36 หมอครับ สงสัยว่าเชื้อราเข้าไปถึงไขสันหลังได้อย่างไรครับ เชื้อราจากโรคผิวหนังเนี่ย ไปไม่ถึงใช่มั้ยครับ อ้อ ผมไม่มีเชื้อ hiv นะ จากคุณ : johnlee เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 23:13:53

ความคิดเห็นที่ 37 ที่ คห.34 พูดถึงคือ Nadja Benaissa เป็นนักร้องจากเกิร์ลแบนชื่อดังจากเยอรมันติดเชื้อเอซไอวีมาตั้งแต่อายุ 14 จากการเสพยา พ่อแม่ค้ายา แอบใช้ชีวิตอย่างปกติโดยไม่มีใครรู้ (ไม่แน่ใจว่าตอน 16 มึลูกด้วยหรือเปล่า) สมาชิกวงหรือคนรอบข้างมารู้ก็ตอนดังสุดขีด ก็เลยต้องช่วยๆ กันปกปิดต่อไป มีแฟนมาตลอดก็ไม่บอกแฟน ปีนี้ ชีอายุ 28 ความมาแตกเมื่อแฟนหนุ่มคนล่าสุดติดเชื้อเข้า เลยถูกฟ้องร้อง ศาลตัดสินจำคุก 10 แต่ก็เมตตาแค่รอลงอาญา ช่วยสังคม ตอนตามข่าวนี้ก็เห็นใจที่ต้องผ่านชีวิตวัยรุ่นมาอย่างยากลำบาก แต่ก็สงสารหนุ่มๆ ที่ชีเคยนอนด้วย -*- จากคุณ : rainfull เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 53 23:39:52

ความคิดเห็นที่ 38 อ่านแล้วก็หดหู่ จากคุณ : สลัดผักรวม เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 00:16:08

ความคิดเห็นที่ 39 สมัยเรียน Medical Ethic อ.เล่าให้ฟังว่า ผู้ป่วย ชายอายุ 35 ปี  มาด้วยอาการปวดท้อง สงสัยไส้ติ่งอักเสบ ต้องผ่าตัดฉุกเฉิน เลยขอเจาะ HIV ปรากฏว่าผลบวก ผู้ป่วยบอกว่าเขารู้อยู่แล้ว และไม่ให้บอกแฟนที่กำลังจะแต่งงานด้วยในอีก 2-3 เดือน อ. ถามว่าถ้าเป็นนักศึกษา จะบอกแฟนเขาไหม? ทุกคนในห้องตอบว่า "บอก" ถึงแม้จะ autonomy แต่ต้อง justice และ beneficent ด้วย   อาจารย์เล่าต่อว่า 2 อาทิตย์ต่อมานัดมาติดตาม ผู้ป่วยคนนั้นพาแฟนมาด้วยจริงๆ แต่เขาเข้ามาให้ห้องตรวจคนเดียว ระหว่างตรวจ อาจารย์เหลือบไปเห็นปืนที่ตักของเขา แล้วเขาก็พูดว่า "หมอไม่บอกเมียผมน่ะดีแล้ว หมอคิดดูดีๆแล้วกันว่าถ้าหมอบอก หมอขับรถก็ไม่เป็นสุขหรอกนะ เพราะหมอต้องคอยมองกะจกข้างตลอดเวลา ลูกหมอ เมียหมอด้วย" แล้วอาจารย์ก็ถามใหม่ว่า ถ้าเป็นนักศึกษา จะบอกภรรยาเขาไหม  ?? คำตอบคือ ... เงียบ..... แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 53 20:11:48 แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 53 20:14:18 จากคุณ : MEDSAIII 19 เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 00:41:05

ความคิดเห็นที่ 40 ^ ^ ^ โห  คนไข้ร้ายสุดๆ แล้วกรณีมีการข่มขู่หมอแบบนี้นี่ทำไงได้บ้างอ่ะคะ  แจ้งตำรวจไปก็ไม่น่าช่วยอะไรได้ จากคุณ : millian เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 03:25:02

ความคิดเห็นที่ 41 ความน่ากลัวมันไม่ได้มาจากโรคเลยจริงๆๆ  มันมาจากคนที่เห็นแก่ตัวมากกว่าต่างหาก จากคุณ : changiam เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 06:23:48

ความคิดเห็นที่ 42 เดี๋ยวเอามุมหมอ med มาเล่าบ้าง จากคุณ : no preservation เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 09:41:45

ความคิดเห็นที่ 43 การไม่กินลาบ คือโรคอันประเสริฐ จากคุณ : wrought เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 09:56:43

ความคิดเห็นที่ 44 เคยเจอเหมือนกัน  เพื่อนเราโกรธมากๆๆๆ  ที่ผู้ติดเชื้อ  หลอกคู่สามีตนเอง   แถมมีลูกด้วยกันอีกต่างหาก โกรธๆๆๆ  แต่ก็ได้แต่ปลง เคยมีเพื่อนบอกไปคู่หนึ่ง ว่าสามีเป็นเอดส์นะตัวเอง ภรรยาร้องไห้  แทบจะเอาตัวไปกลิ้งกับพื้น และเคยเจอภรรยาที่ติดเชื้อจากสามี ถึงกับมีอาการทางจิต  ร้องไห้สลับกับโกรธรแค้นตลอดเวลา ตอนคลั่งๆนี่เคยถอดเข็มให้น้ำเกลือออก  ปล่อยให้เลือดไหลรินๆๆ  แล้วสาดเลือดใส่พยาบาล  ปากก็หัวเราะสะใจบอกว่า "พวกเมิงต้องติดเชื้อแบบกรู  5555" ถ้าเจออีก  ก็ไม่รู้จะบอกยังไง  หรือจะตัดสินใจอย่างไรดี จากคุณ : ฝ้ายผู้น่ารัก เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 10:31:13

ความคิดเห็นที่ 45 น่ากลัวค่อดๆ   จริงๆน่าจะแจ้งความกับพวกเห็นแก่ตัวพวกนี้ได้เนอะ   ข้อหา "พยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา" จากคุณ : SWEET TOFFY เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 11:25:10

ความคิดเห็นที่ 46 น่ากลัวอ่ะค่ะ .. ตรวจบ้างดีกว่า จากคุณ : ตัวนิ่มกะตัวแน่น เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 11:49:52

ความคิดเห็นที่ 47 อ่านแล้วจิตตกแทนเลยคะ   เศร้าใจจังเลยนะคะ ทำไมใจคอผุ้คนสมัยนี้เป็นแบบนี้ จากคุณ : กระจ่างเนตร เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 12:04:00

ความคิดเห็นที่ 48 "ความรัก" มันน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ? คนเราสามารถ "รักตัวเอง" จนลืมคิดถึงความรู้สึกของ "คนที่ตัวเองบอกว่ารัก" ได้ขนาดนี้เชียว???? จากคุณ : น้องบั๊ฟ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 12:46:49

ความคิดเห็นที่ 49 ^ ^ นี่คือความจริงในปัจจุบันค่ะ จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 12:57:12

ความคิดเห็นที่ 50 เรื่องอย่างนี้มันไม่ได้เกี่ยวที่การเชื่อใจกันแล้วครับแต่ว่ามันเกี่ยวที่จิตสำนึกที่จะบอกต่อคนใกล้ชิดที่มีสิทธิเสี่ยงติดเชื้อจากเราแล้วครับ เป็นโรคที่ไม่ได้ตายง่ายๆ ทรมาณก่อนตายชัดๆ จะสร้างเวรสร้างกรรมกับคนอื่นอีกทำไม อยากพาเขาไปลงนรกด้วยหรือไง จากคุณ : bootsarin (bootsarin) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 13:15:27

ความคิดเห็นที่ 51 เพื่อนอิฉัน เป็นม่าย บังเอิญมีหนุ่ม หล่อมาจากเมืองเหนือมาติดพัน รักกัน อยู่ด้วยกันผ่านไป 1 ปีมีเรือ่งทะเลาะกัน ฝ่าย  ญ โมโห จะฆ่าตัวตาย ด้วยการกรีดข้อมือตัวเอง พอไปถึง โรงบาล หมอช่วยไว้ได้ แต่ คำตอบคือคุณ มีเชื้อ HIV อาการอยากฆ่าตัวตายหายเป็นปลิดทิ้ง ไล่ไปทาง แฟน หนุ่ม ถึงได้รู้ว่าเป็น แต่ ไอ้หุน่มคน นั้นพูดว่า   " ที่หมู่บ้าน เค้าเป็นกันเยอะแยะ  ไม่เห็นเป็นไร " " ที่ไม่ได้บอก ก็เพราะว่า อยากอยู่ด้วย " ทุกวันนี้ ฝ่ายชาย ตายนำไปแล้ว เพื่อนเรารักษา ตัวต่อไป จากคุณ : บ๊วยขาว เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 14:57:38

ความคิดเห็นที่ 52 คนอันตรายที่สุดแล้ว จากคุณ : guerilla gorilla เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 17:43:08

ความคิดเห็นที่ 53 ส่วนตัวเคยทำคลินิก ARV ในรพ.เล็กๆแห่งนึง ครั้งแรกที่รู้คนไข้ส่วนใหญ่ไม่ให้บอก ซึ่งแรกๆเราก็โกรธ บังคับเค้าต่างๆนานา นานเข้า ก้อเข้าใจ และเห็นใจเค้าว่า มันเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งชีวิตของเค้าเลย แค่ตัวเค้าติดเชื้อ ก็เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสแล้ว แล้วยังถูกกดดันให้บอกคู่ครอง ซึ่งอาจจะมีผลต่อชีวิตครอบครัวอีก จึงเป็นการยากที่ใครจะตัดสินใจที่จะบอกตั้งแต่ครั้งแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนัดมาF/U ซักพัก เค้าทำใจเรื่องตัวเค้าเองได้มากขึ้น พวกเราซึ่งเป็นคนกลุ่มเดียวที่รู้เรื่อง และเจอเคสเหล่านี้บ่อยๆ ควรช่วยให้เค้าผ่านstage เหล่านี้ไปให้ได้ denial bargain anger depress accept เนื่องจากตัวผู้ป่วย เป็นคนไข้ของเรา เราก็ต้องเห็นใจเค้าให้มากที่สุด เข้าใจ เห็นใจ รับฟัง และช่วยเหลือ ช่วยให้เค้าทำใจได้ ยืนเคียงข้างเค้า ช่วงที่เค้าบอกใครไม่ได้ และสุดท้ายเค้าจะไว้ใจเรา เชื่อใจเรา และตัดสินใจทำตามสิ่งที่ถูกได้ในที่สุดค่ะ ระหว่างนั้นก็งดเพศสัมพันธ์ หรือไม่ก้อใช้ถุงยางไปก่อนละกัน บางอย่างก็เป็นเวรเป็นกรรม ... ซึ่งเราเป็นคนนอก เป็นผู้รับรู้ ผู้สังเกต ต้องทำใจ จากคุณ : เด็กหญิงกล้วยบด เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 19:30:21

ความคิดเห็นที่ 54 อีกสักพักมันก็จะกลายเป็นเรื่องปรกติ ขึ้นอยู่ที่ว่าใครจะเป็นรายต่อไปเท่านี้น ทำใจให้สบายๆเถอะครับ จากคุณ : Prescott เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 20:03:32

ความคิดเห็นที่ 55 อืมนะ ดันเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกตะหาก เห้ออ มันยากตรงนี้แหละ จากคุณ : Culture เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 20:15:00

ความคิดเห็นที่ 56  น่ากลัวมากค่ะ อ่านแล้วก็ได้แต่ เห้อ..  จากคุณ : หน้าแง๊ว~* เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 20:35:43

ความคิดเห็นที่ 57 กลัวอ่ะ จากคุณ : ship9960 เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 20:42:11

ความคิดเห็นที่ 58 น่ากลัวมากกกกก จากคุณ : น้าวัชร-จัดให้ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 20:48:20

ความคิดเห็นที่ 59 เศร้าใจ ยังจะมีคนไม่รู้ตัวอีกมากเท่าไหร่ที่ต้องติดโรคจากคนใกล้ชิด จากคุณ : อิมาอิซัง เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 20:52:02

ความคิดเห็นที่ 60 งั้นเราเล่นว่าวต่อไปดีก่า กลัวอ่ะ กะว่าจะขอตังค์แม่ไปเปิดจุกซะหน่อย เล่นเอาหดเลย ขอบคุณคุณหมอ กับ พี่ๆ พยาบาลมากเลยครับ งั้นวันนี้จัดไป จากคุณ : Bud-Iron เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 21:07:16

ความคิดเห็นที่ 61 เอดส์ไม่น่ากลัวเท่าความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ นั่งอ่านกระทู้นี้ไปก็คิดไป ว่าถ้าเป็นเราจะทำยังไง ตอนนี้คิดว่า เราคงไม่บอกเหมือนกันแต่จะขอเลิกคบเพราะไม่อยากให้คนที่เรารักรู้เรื่องแต่ก็ไม่อยากทำลายชีวิตเค้าด้วย ยอมทรมานคนเดียวดีกว่า ถ้าต้องฆ่าคนรักทั้งเป็นอย่างนี้ จากคุณ : นางเอกหนังไทย เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 22:22:06

ความคิดเห็นที่ 62 น่าสงสารมากค่ะ อย่างว่านะ สังคม นี่ก็มีผลต่อการตัดสินใจของมนุษย์จริงๆ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องคำนึงถึงผลทางสังคมไว้ก่อน โดนไม่นึกถึงผลกระทบอะไรเลยจริงๆ เราว่าน่าจะเอาใจเขามาใส่ใจเราเนอะ ว่ายังไง เพราะถ้าเรารัก แฟนเราจริง ก็ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องพฤติกรรม เพศสัมพันธ์ต่างๆ ค่ะ เพราะถ้าเรา รักจริงๆ ก็คงไม่อยากเห็นแฟนเราเป็นอะไร ป่วยเป็นอะไร ใช่ไหมคะ แต่ถ้าเราไม่บอกนี่ ก็แปลว่า เราเนี่ยรักแต่ตัวเอง คิดถึงแต่ความสุขของตัวเอง เห็นแก่ตัวมากค่ะ คนพวกนี้ บอกได้คำเดียว จากคุณ : หมูหวานน้ำกะทิ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 23:24:14

ความคิดเห็นที่ 63 กรี๊ดดดดดดดดดด น่ากลัวสุดๆ สุดขีด ขีด สุด อะไรก็ไม่น่าไว้ใจ จากคุณ : skins fever เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 53 23:30:29

ความคิดเห็นที่ 64  เป็นประเด็นที่น่าคิดนะครับว่าเราสามารถเอาผิดทางกฎหมายอะไรกับพวกนี้ได้ เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการฆ่าคนด้วยวิธีอื่นเลย เมื่อไรจะมีเคสตัวอย่างบ้างนะเนี่ย  จากคุณ : เกิดในที่สว่าง เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 01:04:25

ความคิดเห็นที่ 65  ลองๆไปค้นข้อมูลจากกูเกิ้ลดู ที่พอจะเข้ากับกรณีแบบนี้ก็พอมีนะครับ ไม่รู้คดีนี้จบลงยังไง   http://board.narak.com/topic_light.php?No=21888        -  จากกรณีนายเจมส์ (นามสมมติ) อายุ 56 ปี ชาวเยอรมัน พิการขาขวาขาด ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยติดเชื้อเอดส์ และชาวบ้านระบุว่ามีพฤติกรรมออกซื้อบริการหญิงไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา เพื่อหวังแพร่เชื้อเอดส์เป็นการแก้แค้น ที่เจ้าตัวถูกภรรยาชาวไทยนำเชื้อมาติด ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น  ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา น.พ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ รักษาการนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด เปิดเผยว่า ในระหว่างรอตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานผลัดฟ้องรอบ 2 อีก 6 วัน ก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อส่งฟ้องชาวต่างชาติรายนี้อีกครั้ง ทาง สสจ.ได้จัดชุดพยาบาลไปให้คำปรึกษานายเจมส์ ที่เรือนจำจังหวัดชัยภูมิอยู่ตลอด ซึ่งตอนนี้ก็ได้ความจริงออกมาว่า ฝรั่งรายนี้ติดเชื้อเอดส์จากสาวไทยวัย 17 ปี จึงเกิดแค้นสาวไทยมาก ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ จนมีพฤติกรรมอยากแพร่เชื้อหวังให้หญิงไทยติดเอดส์คืน น.พ.สุระ บอกว่า เมื่อทราบชัดเจนว่า เขามาประชดแบบนี้ จึงต้องจัดทีมพยาบาลลงไปให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดตลอดช่วงฝากขังที่เรือนจำจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเขายังมีความแค้นอยู่มาก ถึงขั้นจะไม่ยอมกลับประเทศ และต้องการให้คนไทยออกมารับผิดชอบที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้ด้วย ถือเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจที่หวังมาอยู่เมืองไทย ใช้ชีวิตหลังเกษียณราชการทหารและใช้ชีวิตที่สุขสบายที่เมืองไทย แต่กลับต้องมาติดเอดส์แบบนี้  "เราเองก็ต้องการให้เขาหยุดพฤติกรรมแพร่เชื้อมากกว่า ไม่ใช่มาทำอย่างนี้ ซึ่งป็นเรื่องที่จะต้องลงไปพูดคุย และบำบัดทางจิตที่เคียดแค้น ให้เขาเข้าใจมากขึ้น ในระหว่างนี้ เขาเริ่มจะยอมคุยกับเรา และมีอาการสงบสติอารมณ์ลงมากแล้ว" น.พ.สุระ กล่าว  นายสวัสดิ์ ตันวิเศษ อดีตประธานสภาทนายความประจำ จ.ชัยภูมิ ที่เพิ่งหมดวาระ เปิดเผยว่า ในความคิดเห็นส่วนตัว เมื่อรู้ว่าติดเอดส์จากสาวไทยแล้ว แต่ฝรั่งรายนี้รู้ว่าตัวเองเป็นโรคเอดส์ ดังนั้นเรื่องนี้มีความผิดถึงพยายามฆ่า ถือเป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนา ตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่ทำไม่ถูก เพราะเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็น ถือมีเจตนาให้อีกฝ่ายหนึ่งติดเชื้อจากตัวเองต่อ  "เรื่องไปติดจากหญิงไทย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องดูที่เจตนา แต่มารู้ว่าตัวเองเป็นแล้ว เที่ยวตระเวนแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ถือเป็นเจตนาฆ่าผู้อื่น ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายที่รุนแรงกว่า เรื่องนี้ถ้าหากมีเจ้าทุกข์ที่ติดเชื้อเอดส์จากฝรั่งรายนี้เข้าแจ้งความ เพื่อดำเนินคดี ก็สามารถดำเนินการทางกฎหมายได้เลย" นายสวัสดิ์ กล่าว  ส่วน พ.ต.ท.คำพล โนนุช พนักงานสอบสวน สภ.อ.เมืองชัยภูมิ เจ้าของคดีฝรั่งต้องสงสัยแพร่เชื้อเอดส์ เปิดเผยว่า เรื่องการดำเนินคดีกับฝรั่งรายนี้ ตอนนี้หลังส่งสำนวนทั้งหมดไปให้อัยการจังหวัดชัยภูมิแล้ว ขั้นตอนอยู่ที่อัยการพิจารณาเพื่อสั่งฟ้องศาล ซึ่งมีหลักฐานพบวีซ่าหมดอายุนานกว่า 3 ปี ถือว่าเป็นเรื่องการเข้าเมืองผิดกฎหมาย แต่ผู้ต้องหารายนี้ให้การปฏิเสธ จึงได้นำตัวไปขออนุมัติฝากขังและผลัดฟ้อง ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา และนำตัวไปฝากขังไว้ที่เรือนจำจังหวัดชัยภูมิ จนขณะนี้ได้ครบกำหนดฝากขังพลัดฟ้องครบ 6 วัน  พ.ต.ท.คำพล กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทางอัยการได้ลงไปสอบหลักฐานเพิ่มเติมเรื่องการทำวีซ่า ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง จ.หนองคาย เพิ่มเติมอีก ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบหลักฐานอยู่ ว่าตราที่ประทับผ่านการตรวจให้เข้ามาในประเทศไทย เป็นของจริงด้วยหรือไม่ เมื่อครบกำหนดผลัดฟ้องครั้งแรก จึงจะนำตัวนายเจมส์ไปขออำนาจศาลเพื่อพลัดฟ้อง ฝากขังไว้ที่เรือนจำชัยภูมิต่ออีก 6 วัน เพื่อรอผลหลักฐานเพิ่มเติมก่อนส่งฟ้องต่อไป  "ส่วนกรณีที่ฝรั่งรายนี้ยอมออกมาพูดว่าติดเชื้อเอดส์จากสาวไทย และตัวเองเกิดความแค้นจนออกตระเวนไปซื้อบริการทางเพศกับหญิงไทยเพื่อแพร่เชื้อ ตอนนี้ยังไม่มีเจ้าทุกข์รายใดเข้ามาแจ้งความกับเรา แต่ถ้ามาแจ้ง ก็พร้อมที่จะดำเนินการตามกฎหมาย ถ้าเข้าข่ายแพร่เชื้อ ถือเป็นเจตนาฆ่าผู้อื่น" พ.ต.ท.คำพล กล่าว - จากคุณ : เกิดในที่สว่าง เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 01:09:43

ความคิดเห็นที่ 66 การช่วยตัวเองก็มีประโยชน์เพราะแบบนี้ล่ะ จากคุณ : Jump.Jr เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 02:47:35

ความคิดเห็นที่ 67 นี่ขนาดเอดส์อย่างเดียว ยังมีเคสเยอะขนาดนี้ แล้วถ้านับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ มันจะเยอะขนาดไหน จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 02:59:28

ความคิดเห็นที่ 68 -.- น่ากลัวมากกกกก จากคุณ : taecu เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 11:39:17

ความคิดเห็นที่ 69 กลัวง่ะ == จากคุณ : ศุกร์เล็งลัคนา เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 12:22:09

ความคิดเห็นที่ 70 เพื่อนเราที่เป็นเภสัชก็บอกมาอบ่างนี้ตั้งหลายปีแล้วว่า วันๆหนึ่งเธอจ่ายยาให้คนที่เป็นเอดส์เยอะมาก ส่วนใหญ่ดูไม่ออกว่าเป็นเอดส์ พวกเขสเหล่านั้น หน้าตาธรรมดา ไม่มีแผลเหวอะหวะตรงไหน แถมสวย หล่อ ก็มีเยอะแยะ  .... คนที่มีคนมารักมาชอบเยอะๆ อย่าเพิ่งเหลิงนึกว่าเสน่ห์แรง ระวังจะเจอปลอมปนมา จากคุณ : แฮม (noopin) เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 12:50:15

ความคิดเห็นที่ 71 นี่แหละละครชีวิตจริง เก็บเข้าคลังกระทู้ด่้วนๆ จากคุณ : ร่มแห่งความหวัง เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 14:19:33

ความคิดเห็นที่ 72 ที่ทำงานเก่า   ลูกน้องจะแต่งงาน  ก่อนแต่งเขาก็กลุ้มใจมากปรึกษาว่า แม่เป็นเอดส์ มาหลายปีแล้วไม่รู้ว่าเป็นก่อนตัวเองเกิดหรือเปล่า  กลัวมีเชื้อ  (แม่ติดจากพ่อแท้ ๆ ที่เสียไปแล้ว)  ก็เลยให้ไปตรวจ   ผลปรากฎว่าไม่ได้เป็น  พอจัดงานแต่งแบบผูกแขน  แม่มากับพ่อเลี้ยงในชุดคลุมท้อง  เห็นแล้วรู้สึกว่า  ผู้หญิงคนนี้แย่จังเลย ทำไมไม่ป้องกัน ปล่อยให้ท้องทำไม  ยังไงลูกก็ต้องติดเชื้อ  ผู้ใหญ่ที่สนิทกันก็ซักนางไปแกมต่อว่า  นางก็บอกว่าตรวจแล้วลูกไม่ติด  เราคิดมันจะเป็นไปได้เหรอ  แถมตัวพ่อเลี้ยงก็เพิ่งรู้ว่าเมียเป็นเอดส์เมื่อไม่นานหลังจากอยู่กันแล้ว  ก็ต้องยอมรับสภาพกันไป   สงสารแต่เด็กที่จะเกิดมาก็เท่านั้น แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 53 14:41:19 จากคุณ : ซอโซ่...ล่ามรัก เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 14:33:44

ความคิดเห็นที่ 73 อ่านแล้วรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้บางที่เห็นว่าการเป็นเอดส์เป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว แล้วก็มองว่าการต้องการที่จะแต่งงานกันนี่แหล่ะทำให้คนที่ติดเชื้อแพร่กระจายขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะว่าไม่อยากบอกอีกฝ่ายให้รู้เพราะความรักจะไม่สมหวัง และเมื่อพอไม่รู้ก็มีลูกกันไปตามปกติประสาคนที่แต่งงานแล้ว คนติดเชื้อก็เลยเพิ่มขึ้นอีก ทางแก้นอกจากจะให้รณรงค์ใส่ถุงยางเพื่อป้องกันการติดเชื้อแล้ว ต้องทำให้คนติดเชื้อคิดได้ว่าไม่อยากแพร่กระจายโรคสู่คนอื่นอีก จากคุณ : บุคคลทั่วไป 1 คน เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 15:47:28

ความคิดเห็นที่ 74 โอยย.. อ่านแต่ละความเห็นที่นำมาแชร์แล้ว บอกตามตรง ไม่ได้กลัวโรคร้ายหรอกค่ะ (เพราะคนเราต้องตายทุกคนอยู่แล้ว) แต่กลัว "ใจคนเรา" นี้แหละ มันน่ากลัวและโหดร้ายกว่ายาพิษทุกขนานจริงๆ (T_T) ทำไมการรักเดียวใจเดียว จริงใจต่อกัน มันจึงเป็นเรื่องยากขนาดนี้นะ T_T ... จากคุณ : Spirited A's way เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 16:07:33

ความคิดเห็นที่ 75 โอยยย ด้านมืดจริงๆ จากคุณ : ชื่อนี้มีคนใช้แล้ว เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 16:59:38

ความคิดเห็นที่ 76 เพิ่งรู้ว่า คนเป็นเอดส์เนี่ย เยอะจริงๆ จากคุณ : พาไล เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 18:22:14

ความคิดเห็นที่ 77 เคยเจอคนไข้อายุ 16 มาคลอดลูก  ไม่เคยฝากครรภ์ ไม่ยอมบอกพ่อแม่ว่าตัวเองท้องเพราะรักลูก  กลัวว่าจะให้ไปทำแท้ง  ตอนมาคลอดก็ไม่ยอมบอกพยาบาลว่าตัวเองติดเชื้อเอดส์  จนคลอดลูกออกมาเสร็จแล้วจะเย็บแผลผลตรวจเลือดเพิ่งออกมาว่าเป็นเอดส์  ตามประวัติกลับไปถึงรู้ว่าเป็นมาสองปีแล้วแต่ไม่ยอมบอก น่าสงสารลูกเขามากนะ  แทนทีเขาจะได้กินยาต้านไวรัสตั้ืงแต่ตอนท้องอยู่เพื่อลดโอกาสติดเชื้อไปลูก  ถึงจะบอกว่าเพราะรักลูก  แต่การที่เขาไม่มาฝากครรภ์ทำให้เขาอาจไม่ทราบเรื่องนี้  และก็ตอนทำคลอด เป็นหัตถการที่มีเลือดออกค่อนข้างเยอะ  เขาควรจะมีจิตสำนึกบอกคนทำคลอดสักหน่อยนะ จากคุณ : รัตตินา เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 18:46:32

ความคิดเห็นที่ 78 ใจคน ช่างยากที่จะหยั่งถึง จากคุณ : Bach_Ho เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 18:57:08

ความคิดเห็นที่ 79 เห็นด้วยกับคห.ที่ 32 เหมือนเคยได้ยินอาจารย์พูดว่าทำได้ แต่ต้องมีวิธีการที่นิ่มนวลหน่อย จากคุณ : me_qid เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 19:13:44

ความคิดเห็นที่ 80 มาตอบคำถาม กรณี เอาปืนมาขู่ เราจะบอกแฟนผู้ป่วยว่า สิทธิของผู้ป่วยคืออะไร (รักษาความลับและผลวินิจฉัย) แล้วก็บอกว่าได้แจ้งผลให้ทางผู้ป่วยทราบแล้ว แล้วก็ชะแว้บไปทำอย่างอื่น แล้วก็บอกผู้ป่วยว่า หมอจะไม่บอกหรอกนะว่าคุณเป็นโรค ... คำตอบคือ .... บอกให้ไปถามผลจากผู้ป่วยเอาเอง ตะลึงตึงๆๆ เซฟ ... ชีวิตหมอนิดนึง จากคุณ : แอนด้า เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 19:22:31

ความคิดเห็นที่ 81 กระทู้นี้ "โดน" มากๆค่ะ ขออนุญาต เอาไปแปะในห้องสยามนะคะ จากคุณ : lamerdejoy เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 20:21:48

ความคิดเห็นที่ 82 --- โหวตกระทู้ ความรู้ครับ จากคุณ : myth เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 21:45:08

ความคิดเห็นที่ 83 อาจารย์เล่าให้ฟังว่า มีเคสมาขอปรึกษาสองรายเป็นสามีภรรยากัน คือทั้งคู่เคยแต่งงานมาก่อน  แล้วเพิ่งมาแต่งงานกัน สามี ผลเลือดเป็นบวก ขอร้องว่าไม่ให้บอกภรรยา ภรรยา ผลเลือดเป็นบวก บอกไม่ให้บอกสามี........... เฮ้อ............. จากคุณ : honeynut เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 22:01:11

ความคิดเห็นที่ 84 ^ ^ ผีเน่ากับโลงผุ จากคุณ : สาเล็ก เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 22:43:51

ความคิดเห็นที่ 85 น่ากลัวมาก.. มันเยอะกันขนาดนี้เลยเหรอ เศร้าจริงๆ รักกับเห็นแก่ตัว ใกล้กันมากเลย เฮ้อ.. จากคุณ : Antbadtz เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 22:45:10

ความคิดเห็นที่ 86 ... จากคุณ : .... เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 23:12:57 A:58.9.2.139 X: TicketID:243183

ความคิดเห็นที่ 87 ขอแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้ป่วยโรคเอดส์ จากคุณ : จากใจของลูกคนนี้ เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 53 23:19:47 A:58.9.2.139 X: TicketID:243183

ความคิดเห็นที่ 88 ใครจะมาจีบนะ เอาผลตรวจเลือดมายืนยันก่อนเลย *ขออภัยที่แก้ไขข้อความ แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 53 00:31:53 แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 53 01:31:11 จากคุณ : คุณหนูแพรวพรรณราย เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 00:31:13

ความคิดเห็นที่ 89 ........... จากคุณ : เดอะไรท์ เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 00:47:35

ความคิดเห็นที่ 90 อ่านจบแล้วรู้สึก หดหู่กับนิสัยมนุษย์บางคนจริงๆ จากคุณ : Vodka&Lemon เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 01:03:14

ความคิดเห็นที่ 91 โลกนี้ช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน เห้อออออ จากคุณ : moshita เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 01:15:25

ความคิดเห็นที่ 92 ^ ^ ^ ความคิดเห็นที่ 88  งั้นแก้ไขด้วยคน 555+ แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 53 05:02:11 จากคุณ : Waiyakon เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 01:40:10

ความคิดเห็นที่ 93 ไว้อาลัยอย่างเดียว TT จากคุณ : งำงำก๊าก เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 02:35:39

ความคิดเห็นที่ 94 จิตใจคนเรานี้น่ากลัวจริงๆ ความรักเดี๋ยวนี้มันเป็นยังไงนะ จากคุณ : หยางกุ้ยเฟย เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 02:42:20

ความคิดเห็นที่ 95 สลดใจกับหลายเรื่องที่ได้อ่าน นึกไปถึงอนาคตของสังคมไทย ต่อไปจะเป็นอย่างไร ? จากคุณ : suherr เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 03:21:22

ความคิดเห็นที่ 96 มันคือเรื่องจริงที่น่าเศร้า จากคุณ : sweet_mu เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 08:24:48

ความคิดเห็นที่ 97 โหย  อ่านแล้วผวาเลย ทำไมถึงได้มักง่าย คิดอะไรง่ายๆ แบบนี้น้อ เอดส์ใกล้ตัวมากกว่าที่คิดไว้เยอะเลย จากคุณ : นางสาวชีสเค้ก เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 09:23:31

ความคิดเห็นที่ 98 --หดเลยตู จากคุณ : กำนันเปล่ง เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 09:23:59

ความคิดเห็นที่ 99 อ่านแล้ว..หดหู่ใจ.. ได้แต่หวังงว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดกับคน "ใกล้ตัว" จากคุณ : may_spsc เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 10:17:49

ความคิดเห็นที่ 100 อ่านแล้วขนลุกเลยครับ จากคุณ : tudtu (lovetudtu) เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 10:44:30

ความคิดเห็นที่ 101 โห อ่านแล้วก็เศร้าใจเหมือนกัน แต่เรามองว่าเพราะสังคม ชอบตราหน้าคนเป็นโรค HIV. มองว่าคนเป็นโรคนี้แล้วตกนรกทั้งเป็น ต้องหลบซ่อนๆๆ แล้วเป็นโรคน่ารังเกียด ทำให้คนที่เป็นรู้สึก เหมือนตัวเองเป็นมนุษย์ชั้นสองอ่ะ (เป็นคนไม่ปกติ ไม่เป็นที่ต้องการของสังคม) บางคนโกรธแค้น ก็อยากจะทำให้คนอื่นติดๆๆๆด้วย สังคมมันปลุกฝังมาแบบนั้นแล้วจริงๆๆ เราอยากให้มันมีหนัง มีละคร เกี่ยวกับการใช้ชีวิตกับคนติดเชื้อได้อย่างปกติสุข เหมือนเค้าเป็นโรคธรรมดา แต่มันติดทาง เพศสัมพันธ์ และเลือด แล้วคนติดเชื้อก็มีคนรักได้ แต่ต้องป้องกัน เพราะ หนังหรือละคร ส่วนใหญ่ ถ่ายทอดแต่คนที่เป็นเอดส์ไม่ดี ส่ำส่อน เป็นแล้ว ชาวบ้านรุมด่า อายประชาชี เราว่า ทางรัฐควร ช่วยเหลือสังคม ทางด้านนี้หน่อย มีงบสำหรับทำละครเกี่ยวกับแบบนี้ เน้นกับการใช้ชีวิตที่ถูกกับผู้ติดเชื้อ แล้วผู้ติดเชื้อไปแล้วก็ให้มีกำลังใจ มันไม่ได้ตกนรกเหมือนในสังคมในอดีต เข้าใจว่า ละครหรือหนัง ไม่มีคนดูแน่ๆๆ เรตติ้งตก แต่ก็ชังมันรัฐช่วยซะอย่าง เงินภาษีเจียดมาช่วยหน่อย ให้พวกดาราดังๆๆเล่นไปเลย สังคมช่วยกันคิดใหม่ทำใหม่ เราว่าน่าเป็นการช่วยเหลือสังคมระยะยาวเลย แต่ลงทุนมาก แต่คุ้มนะ จากคุณ : noomrangerha เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 10:46:51

ความคิดเห็นที่ 102 อ่านแล้วนึกถึง  ตีสิบ  เมื่อคืน เลย   น่ากลัวจริงๆ จากคุณ : นาโนจัง เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 10:52:00

ความคิดเห็นที่ 103 ขอบคุณค่ะ จะนำไปเตือนหลาน รูปหล่อเปลี่ยนคู่นอนบ่อย เป็นห่วงจริง ๆ จากคุณ : tugsinat เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 11:16:15

ความคิดเห็นที่ 104 แตกประเด็นหน่อยนะครับ จากคุณ : bhom เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 12:03:34 A:203.146.3.113 X: TicketID:298295

ความคิดเห็นที่ 105 ถึงจะบอกว่าให้เอาผลเลือดมาโชว์ก่อนแต่งงาน ผลบอกว่า ไม่ได้เป็นอะไร... ก็เห็นว่ามันช่างไร้ประโยชน์ หากคู่ของคุณนั้น ไม่รู้จักพอ ไม่รักเดียวใจเดียว - -''' จากคุณ : ปลาทองตุบๆ เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 13:17:28

ความคิดเห็นที่ 106 ตอบ หค 39 ผมบอก........แต่แจ้งความด้วย.....ผมไม่ยอมทนกับความรู้สึกผิดไปจนวันตาย..เพราะจะกลายเป็นว่าผมเองก็เป็นคนช่วยเหลือในการฆ่า.......... คำถามนี้ ......... อาจารย์คนนั้น คงถาม....ว่าใครเห็นแก่ตัวบ้าง........ยกมือขึ้น.... แต่ผมไม่ใช่หมอนะสิ..อันนี้้แหละปัญหา แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 53 13:19:26 จากคุณ : เอ่ยรัก เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 13:17:37

ความคิดเห็นที่ 107 คห. 101 ... ที่เป็นปัญหาตอนนี้ เพราะ คนที่เป็นเค้าใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเกินไปไม่ใช่เหรอค่ะ คือ ... ปกติซะจน รับความจริงไม่ได้ และไม่ยอมรับ เพราะตัวเองถือว่า ยังใช้ชีวิตปกติได้อยู่ ถ้าทราบว่าตัวเองได้มีเชื้อ ไม่ควรมั้ย .... ที่จะเห็นแก่ตัว ด้วยการ แพร่เชื้อให้คนที่ไม่รู้เรื่อง จากคุณ : M ake S e N se เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 13:24:31

ความคิดเห็นที่ 108 ขอโทษค่ะ ซ้ำ แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 53 13:38:44 จากคุณ : M ake S e N se เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 13:28:44

ความคิดเห็นที่ 109 d จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 13:34:33

ความคิดเห็นที่ 110 มิน่าล่ะ เอดส์มันถึงไม่ยอมหายไปจากโลกนี้ เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไมโรคเอดส์เป็นโรคที่น่ารังเกียจที่สุด ทั้งๆ ที่มีอีกหลายโรคก็รักษาไม่หายเหมือนกัน ส่วนตัวดิฉันคิดว่าอาจจะเป็นเพราะผู้ป่วย HIV ส่วนใหญ่ ได้รับเชื้อนี้มาจากพฤติกรรมที่ผิดศีลธรรมอะนะ จากคุณ : golfgaphappy เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 14:12:53

ความคิดเห็นที่ 111 ยี่สิบปีที่แล้ว ตัวเองอยู่ ม.1 รู้จักกับพี่ชายคนหนึ่งอยู่ม.6 อยู่คนละจังหวัด ติดพี่เค้ามากมาย พี่เค้าคุยสนุก ก็จดหมายคุยกันเป็นพี่ชายน้องสาว พอพี่เค้าจบมอ.6 ก็ขาดการติดต่อกันไปนับแต่นั้นเป็นต้นมา จนเมื่อต้นปีนี้เอง (20ปีผ่านไป) โลกมันกลม ได้เจอพี่เค้าอีกครั้งทางโลกออนไลน์ ดีใจมากๆ ก็โทรคุยกัน เมล์คุยกัน นัดเจอกันทานข้าวบ้าง ความผูกพันธ์เมื่อครั้งยังเด็กก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้งจนเกิดเป็นความรัก เมื่อต้นเดือนพ.ย นี้เอง จู่ๆพี่เค้าก็มาบอกว่าเค้าติดเชื้อ HIV มาร่วม 2 ปีแล้วนะ ความรู้สึกของตัวเองตอนนั้น ช็อคมากๆ พอทำใจได้ ก็ถามพี่เค้าว่า ทำไมถึงมาบอกล่ะว่าป่วยเป็นโรคนี้ (เพราะดูอาการพี่เค้าไม่ออกเลย พี่เค้าดูปกติเหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง) พี่เค้าตอบกลับมาว่า ก็พี่รักเรามากไง รักมากก็เลยต้องบอก แล้วเราจะจากพี่ไปเลยตอนนี้ก็ได้นะ ได้เจอได้คุยกันอีกครั้ง แค่นี้พี่ก็มีความสุขที่สุดแล้ว ตอนนี้หนึ่งเดือนผ่านไปแล้วหลังจากที่ตัวเองรู้เรื่องที่พี่เค้าติดเชื้อ ความรู้สึกดีๆที่มีต่อพี่ชายคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลย กลับเพิ่มขึ้นมากด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ตอนเช้า 7.30 น.  กับ  19.30 น.  จะโทรให้พี่เค้าทานยาต้านไวรัสทุกวัน เมื่อเร็วๆนี้พี่เค้าส่งเพลง อยู่เพื่อรักเธอ ของ โจ๊กเกอร์มาให้ฟัง  ฟังไปน้ำตาร่วงไป T-T ขอเป็นกำลังใจให้คนที่ติดเชื้อ HIV ทุกๆคนนะคะ อยากให้จริงใจกับคนที่คุณรักให้มากๆ แ้ล้วคุณจะได้ความจริงใจกลับมาเกินร้อยด้วยเหมือนกัน  ^_^ ป.ล ถ้าพี่ชายมาอ่านอยากจะบอกว่า พี่ชายน่ารักมากๆ นอกจากไม่เอาเชื้อไปแพร่แล้ว ยังหันหน้าเข้าหาธรรมะด้วย สัญญาว่าจะไปทำบุญกับพี่ชายในทุกๆที่พี่ชายไป... จากคุณ : Lamera เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 14:16:04

ความคิดเห็นที่ 112 ผู้ที่ติดเชื้อแล้ว ไม่ทำร้ายคนอื่นโดยนำเชื้อไปให้ผู้อื่น ขอชื่นชมค่ะ แต่คนที่เป็นแล้วรู้ทั้งรู้ ก็ยังเห็นแก่ตัวนำเชื้อไปติดกับคนที่ไม่รู้เรื่องด้วย น่าประนาฌมากๆ จากคุณ : ไข่เจียวทะเล เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 14:48:57

ความคิดเห็นที่ 113 ถึงจะตรวจก่อนแต่งก็ไม่ช่วยอะไรถ้าไม่รู้จักพอ... จากคุณ : rodia เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 16:31:12

ความคิดเห็นที่ 114 คนนี่แหล่ะ อันตรายที่สุด ในทุกๆเรื่องเลย จากคุณ : Dragon_L เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 17:43:23

ความคิดเห็นที่ 115 บ้านอยู่จังหวัดชายทะเลตะวันออก ที่หมู่บ้านวันหนึ่งมีหนุ่มรูปหล่อมากๆ อายุไม่เกิน 30 ปีคนหนึ่งมาขอเช่าบ้านเจ้คนขายก๋วยจั๊บอายุเกือบ50ปีแล้ว ผู้ชายไม่ได้มาทำอะไรบอกว่ามาพักผ่อนอยากอยู่แถวฃายทะเล อยู่มาเรือ่ยๆ ก็เล่าเรื่องตัวเองว่ามาจากกรุงเทพฯ เคยทำงานโฆษณาแต่ตอนนี้ลาออกมาพักผ่อนอย่างเดียวเพราะไม่ค่อยแข็งแรง คนแถวนั้นก็สงสัยกันว่าน่าจะเป็นเอดส์หรือเปล่า มีคนไปถามตรงๆ หนุ่มคนนั้นก็บอกตามตรงเหมือนกันว่าเป็น ก็หายข้องใจกันไป แต่ที่แย่คือ เจ้เจ้าของบ้านเช่าดันชอบพ่อหนุ่มเลือดบวกคนนี้เข้าให้  ก็ทำดีเอาใจสารพัด กลายเป็นอยู่ฟรีกินฟรีไป ญาติพี่น้องและใครต่อใครก็ห้ามปรามเตือนกันว่าอย่าเลย มันติดกันได้ แต่คำตอบของเจ้แกคือ  "ก็มันหล่อขนาดนี้ เสียดายเหลือเกิน  ได้ขนาดนี้ตอนแก่ ถึงตายก็ไม่กลัวละวะ" แล้วสรุปเจ้แกก็ติดเอดส์จริงๆ และแถมยังตายก่อนสามีวัยละอ่อนของเธอด้วย  ตายเพราะหลงรูปโฉมโนมพรรณแท้ๆ รู้ทั้งรู้ จากคุณ : องค์อวบ เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 17:57:02

ความคิดเห็นที่ 116 ไม่คิดเลยว่าคนเป็นเอดส์เยอะขนาดนี้ ที่สำคัญ .......... ติดกันแบบไม่รู้ตัว !!!!!!   *0* จากคุณ : นี่มันเรื่องอะไรกัน เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 19:06:45

ความคิดเห็นที่ 117 "เอดส์"  มันใกล้ตัวเรามากจริงๆ จากคุณ : ถึงอ้วนก็รัก เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 53 19:19:19