|
ผื่นลมพิษ (urticaria) มีลักษณะจำเพาะ คือ wheal ซึ่งเป็นผื่นบวมนูนแดงที่เกิดขึ้นทันทีทันใด มีอาการคัน แต่ละผื่นจะจางหายไปใน 24 ชม. ไม่เหลือรอยหลังผื่นยุบ และผื่นมักจะเป็นๆหายๆ บางครั้งอาจพบภาวะแองจิโออีดีมาร่วมด้วย ซึ่งเป็นผื่นที่มีอาการบวมลึกอยู่ในชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจอยู่นานเกินกว่า 24 ชั่วโมง แดงและมีอาการเจ็บ ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจมีอาการแสดงที่อวัยวะอื่นได้ เช่น อาการแน่น ปวดท้องหรือท้องเดิน แน่นจมูก คอหายใจไม่สะดวก หอบหืด บางรายอาจเกิดอาการเป็นลมจากความดันโลหิตต่ำ
ลมพิษเฉียบพลัน (acute urticaria) คือ มีอาการผื่นลมพิษ ต่อเนื่องกันน้อยกว่า 6 สัปดาห์
ลมพิษเรื้อรัง (chronic urticaria) คือ มีอาการผื่นลมพิษอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกันตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้น ปัจจัยกระตุ้น: -อากาศเย็น/น้ำเย็น/ลมเย็น -แรงดันในแนวดิ่ง (wheal เกิดขึ้นหลังสัมผัสสิ่งกระตุ้น 3-8 ชม.) -ความร้อน -แสงอัลตร้าไวโอเลต และ/หรือแสงที่มองเห็นได้ -mechanical shearing forces (wheal เกิดขึ้นหลังสัมผัสสิ่งกระตุ้น 1-5 นาที) -แรงสั่นสะเทือน -น้ำ -อุณหภูมิในร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้น -สัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดลมพิษ -การออกกำลังกาย อย่างไรก็ตาม ผื่นลมพิษทั้งชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรังส่วนใหญ่ถึงแม้จะซักประวัติ ตรวจร่างกายโดยละเอียดและส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการดังกล่าวแล้ว ก็มักไม่พบสาเหตุ สำหรับผู้ป่วยโรคลมพิษเรื้อรัง ผู้ป่วยกลุ่มที่หาสาเหตุไม่พบเรียกว่า chronic idiopathic urticaria การรักษา 1. รักษาตามสาเหตุ กำจัดสาเหตุ ถ้าหาสาเหตุพบและสามารถกำจัดได้ เช่น ผื่นลมพิษที่เกิดจากยา การหยุดยาต้นเหตุจะทำให้ผื่นยุบลงให้ หลีกเลี่ยงหรือลดการสัมผัสปัจจัยต้นเหตุหรือปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคลมพิษ เช่น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยา อาหาร
2. การรักษาด้วยยา 1 ยาต้านฮิสตามีน (หมายถึงยาต้านตัวรับฮีสตามีน) - ยาต้านฮิสตามีนชนิดที่ 1 (H1-antihistamine) มักใช้ระงับอาการผื่นลมพิษได้ดี ยานี้มี 2 รุ่น ดังนี้ ก. รุ่นที่ 1(sedative antihistamine) ยาต้านฮิสตามีนชนิดนี้มีผลข้างเคียงเรื่องซึม, ง่วงนอน และปากคอแห้ง เช่น Chlorpheniramine diphenhydramine Hydroxyzine cyproheptadine ข. รุ่นที่ 2 (non-sedative antihistamine) เป็นยาที่มีฤทธิ์ยาว ผลข้างเคียงเรื่องง่วงนอนและปากคอแห้งน้อย ผู้ป่วยที่ต้องทำงานคุมเครื่องจักร ขับรถยนต์ ขึ้นที่สูง และผู้สูงอายุ ควรใช้ยาในกลุ่มนี้ เช่น Cetirizine Loratadine Levocetirizine fexofenedine Desloratadine 2 Doxepin ยามีฤทธิ์ทั้ง H1- และ H2-antihistamine อย่างมีประสิทธิภาพ อาจใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคลมพิษเรื้อรังที่ผื่นไม่ตอบสนองต่อ nonsedating H1-antihistamine โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้ก่อนนอนในผู้ป่วยที่มีอาการมากเวลากลางคืนจนรบกวนการนอน 3 ยาต้านฮิสตามีนชนิดที่ 2 ในผู้ป่วย Chronic idiopathic urticaria บางกลุ่ม การให้ยา H1- ร่วมกับ H2-antihistamine อาจช่วยให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นได้บ้างพอประมาณ เมื่อเทียบกับการให้ยา H1-antihistamine เดี่ยว ๆ ดังนั้นก็อาจลองให้ยา 2 กลุ่มนี้ร่วมกันในผู้ป่วยที่ไม่ ค่อยตอบสนองต่อการให้ H1-antihistamine โดยให้ในระยะเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ถ้าไม่ได้ผลก็ควรหยุดยาไป 4 คอร์ติโคสเตอรอยด์ Systemic corticosteroids (prednisolone) มีที่ใช้ในภาวะผื่นลมพิษเฉียบพลันที่เป็นรุนแรง ไม่ควรใช้ prednisolone เป็นประจำหรือใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานในโรคลมพิษเรื้อรัง แต่อาจใช้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ในการรักษาการเห่อของผื่น (acute exacerbation) ในโรคลมพิษเรื้อรัง หรือใช้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ
5 Montelukast มีการนำยานี้มาลองใช้ในผู้ป่วยโรคลมพิษเรื้อรัง (chronic urticaria) ที่ไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาต้านฮิสตามีน พบว่า leukotriene receptor antagonist (montelukast) อาจมีผลช่วยในการรักษาผู้ป่วยโรคลมพิษที่มีภาวะ aspirin-sensitive ยานี้อาจมีประโยชน์ในผู้ป่วย chronic urticaria บางรายเมื่อ ให้ร่วมกับยาต้านฮิสตามีน
การพยากรณ์โรค ผื่นลมพิษเฉียบพลันส่วนใหญ่มักจะหายเอง (self-limited) ในเวลาเป็นสัปดาห์ ส่วนใหญ่มักไม่เกิน 3 สัปดาห์ สำหรับโรคลมพิษเรื้อรังประมาณร้อยละ 50 ของผู้ป่วยที่มีผื่นลมพิษโดยไม่มีผื่นแองจิโออีดีมาโรคหายภายในเวลา 1 ปี มีประมาณร้อยละ 20 ของผู้ ป่วยที่อาจมีผื่นเป็น ๆ หาย ๆ ต่อไปมากกว่า 20 ปี ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีผื่นลมพิษร่วมกับแองจิโออีดีมาหรือมีแต่ผื่นแองจิโออีดีมาอย่างเดียว พบว่าร้อยละ 75 ของผู้ป่วยโรคคงอยู่นานกว่า 1 ปี และร้อยละ 20 ของผู้ป่วยโรคเป็นนานกว่า 20 ปี ในเด็กประมาณร้อยละ 50 ของผู้ป่วยเด็ก โรคลมพิษ เป็นอยู่นานเกิน 1 ปี (เฉลี่ย 16 เดือน)
ไม่รู้ว่ายาวและวิชาการเกินไปหรือป่าวนะครับ ลองหามาให้อ่านกันดู
จากคุณ |
:
Lazy Dent
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ม.ค. 54 23:12:53
|
|
|
|
|