ความคิดเห็นที่ 1 .. แอบถอนใจค่ะ และก็ อืมมมมม อย่างว่าล่ะค่ะ คุณได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว จากคุณ : ลำเนา เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 10:16:50

ความคิดเห็นที่ 2 เราทำดีที่สุดแล้ว เมื่อสุดมือเอื้อม ก็ต้องไปปล่อยไปแหละครับ :) จากคุณ : Punky เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 10:31:09

ความคิดเห็นที่ 3 อยากบอกว่า...หนูขอยกย่องและศรัทธาแพทย์ตามชนบทค่ะ จากคุณ : 234 เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 10:35:09 A:1.47.142.3 X: TicketID:288777

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าไปอยู่เอกชน..แล้วสามารถตอบแทนสังคมด้านอื่นได้..ก็โอเคนะครับ ชีวิตเค้า...เค้าเลือกเอง...อย่าไปบังคับเลยครับ..จริตของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน จากคุณ : พิงค์วู เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 10:37:53

ความคิดเห็นที่ 5 ความคิดแต่ละคน มันห้ามกันไม่ได้ครับ เราคิดอย่าง เค้าคิดอีกอย่างนึง ไม่มีใครเห็นพ้องตรงกันได้หมดครับ เค้ามองว่าเค้าจำเป็น เราก็ต้องปล่อยเค้าไป วันนึงวุฒิภาวะเค้ามากพอ เค้าจะมองเห็นจุดที่เราเคยมองเห็นครับ แต่จะทำมั้ยผมว่าอีกเรื่องนึงนะ มองมุมกลับกัน ทำไมค่าตอบแทนมันต่างกันมากมายนัก รพ รัฐ ไม่สามารถให้ค่าตอบแทนได้เท่าเอกชนจริงๆเหรอ แล้วงบที่เทลงมามันน้อยไปหรือไม่เคยไปถึง ภาษีที่พวกผมเสียไป แทนที่จะไปยังบุคลากรที่ช่วยสังคมดันไปตกที่ไหนกันนี่ ประเทศไทย จากคุณ : panda_bs เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 10:40:03

ความคิดเห็นที่ 6 ปัญหา สมองไหล เพราะเงินเดือนเอกชน เยอะกว่าภาครัฐ มีมานานแล้วครับ มันห้ามกันไม่ได้หรอก แต่ ถ้าทำในภาครัฐ แม้เงินเดือนจะน้อยกว่า แต่ ผลในระยะยาว มากกว่านะครับ สวัสดิการ ทั้งตัวข้าราชการ ครอบคลุมไปถึง คนในครอบครัวด้วย จากคุณ : ผิดตลอด&ถูกเสมอ เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 10:46:13

ความคิดเห็นที่ 7 เห้อออ สงสัยกลัวจะน้อยนหน้าเพื่อน มีรถ มีบ้านเก๋ๆ น่าจะทำงานรับใช้บ้านเมืองสักแปปตาามทุน หรือเปล่า เสร็จเเล้วถ้ายังไม่ตาย ชีวิตที่เหลือมีอีกเยอะที่จะกอบโกยทรัพย์ จากคุณ : VIPUSER เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 10:48:18

ความคิดเห็นที่ 9 สวัสดิการของ ขรก ที่ว่าดี ก็ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่า วันดีคืนดีในอนาคต จะออกกฎฯ อะไรมาลดลงหรือเปล่า http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L10139290/L10139290.html จากคุณ : เค้าคงเลือกที่แน่ๆ ก่อนมั้ง... (BRACKET) เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 11:37:02

ความคิดเห็นที่ 10 คนส่วนหนึ่ง เรียนแพทย์เพราะเงินมันดีค่ะ เขาเห็นเพื่อนได้มากกว่าหลายเท่า แล้วมีเจตนาจะหาเงินเป็นหลักอยู่แล้ว ยังไงเขาก็ออกอยู่ดีค่ะ มันก็จริงนะ ไปนั่งปรึกษาความงาม ได้ใช้ความรู้ไม่เท่าไหร่ มันน่าเสียดาย เกรงว่านานไปสนิมจะเกาะ กลายเป็นหมอเชิงพาณิชย์ไปในที่สุด แต่สังคมเดี๋ยวนี้ ต้องยอมรับว่า มองกันที่เปลือกนอกเป็นส่วนใหญ่ แม้กระทั่งคนที่สอนลูกหลานว่าอย่ามองคนที่เปลือกนอก บางคน ก็แอบดูแคลนคนที่ด้อยกว่าในใจเหมือนกัน คนเลยต้องดิ้นรนหามาวัตถุมาเสริมตัวเอง แข่งขันกันไป จากคุณ : แฮม (noopin) เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 11:38:43

ความคิดเห็นที่ 11 คห.ส่วนตัว นศ.แพทย์ เรียนเพื่อให้รู้และพร้อมจะรักษาคนป่วย แต่... ขาดจิตสำนึกในการเรียนเพื่อออกมารักษาคนหรือ...ช่วยเหลือ คนที่ไร้โอกาสทางการเงิน จึงทำให้เกิดปัญหาทางความคิดเปรียบเทียบ เรื่องผลตอบแทนจากการทำงาน และมันก็คิดมากมาตั้งแต่เข้าเรียนแล้ว และก็รู้ๆกันว่า ทำที่เอกชนย่อมดีกว่า.... ปัญหาไม่ได้เกิดที่จ่ายค่าศึกษาเล่าเรียนคืนรัฐก็จบ... แต่อยู่ที่ ทำยังงัยที่จะสอน นศ.ที่กำลังเรียนอยู่และกำลังจะสอบเข้า เพื่อจบไปเป็นแพทย์นั้น ให้เข้าใจของการช่วยเหลือคนอื่นโดยถวาย กายและใจอย่างจริงๆ ถ้าไม่พร้อมหรืออยากเรียนเพื่อเข้ามาหากินกับอาชีพแพทย์นั้น มันก็ต้องเปิดแยกเรียนต่างหากอีกกลุ่มเพื่อไม่ไปปิดกั้นโอกาสคนอื่น ส่วนกลุ่มที่ถวายกายและใจ ก็ควรได้รับผลตอบแทนจากสถาบันเช่นกัน เช่น... การได้รถและ..บ้าน เป็นสวัสดิการตามลำดับ โดยอาจจะดูจากอายุงาน เพื่อสร้างอนาคตของครอบครัวได้ด้วยอาชีพที่ร่ำเรียนมาเพื่อตอบแทน และช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ไร้ซึ่งโอกาสจริงๆ โดยไม่ต้องห่วงหน้า พะวงหลังกับการทำมาหากิน ผมไม่รู้จริงๆว่า คำว่าจรรณยาบรรณแพทย์นั้น มันต้องแปลว่าอะไร หรือความหมายของมันหมายถึงอะไร ทำไม นศ.แพทย์ที่เรียนมาหลายๆคน ย้ำนะครับว่าหลายๆคน ไม่ใช่ทุกคน ถึงต้องลาออกแล้วไปหากินกับ รพ.เอกชน โดยไม่สนว่าจะเรียนมาทำไมแล้วไม่ได้ช่วยคนที่ไร้โอกาส หรือคนจนที่ไม่รู้ว่าจะมีกินหรือไม่ รู้แต่ว่าคนพวกนี้เรียนมาเพื่อช่วยเหลือตัวเอง และช่วยเหลือตัวเองมากเกินไปจนล้น...แล้วก็รั่ว...และก็ไหล ขอโทษครับที่ยาวไปหน่อย เบื่อครับกับหมอที่หากินกับวิชาชีพตัวเอง โดยไม่มีจิตสำนึกของความเสียสละในอาชีพ... จากคุณ : thaitarzan เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 11:40:30

ความคิดเห็นที่ 12  จขกท ก็คิดดี "ที่คิดจะตอบแทนสังคม"  คำพูดนั้นดูดี ดีแบบอุดมคติ แต่ในทางปฎิบัติ ไม่ใช่อย่างนั้น ผมขออ้างทฤษฏีวิทยาศาสตร์  Basic Need จะต้องคิดถึงตัวเองก่อน คนไม่รู้จักคิดถึงตัวเอง จะไปคิดถึงสังคมได้อย่างไร ตัวเองต้องมาก่อน ต้องมีเงิน ต้องมีรถ ถึงค่อยตอบแทนสังคม แต่คนส่วนมาก ชอบเป็นพระเอก คนจะพูดเอาดีเข้าตัว พูดง่ายๆว่า ปากแข็ง ไม่ยอมรับความจริง ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 11:40:43

ความคิดเห็นที่ 13 ห้าหมื่นก็เยอะแล้วนะคะ ยิ่งจบใหม่ๆมา ยิ่งเยอะมากเทียบกับที่เคยขอพ่อแม่ใช้ ใช้ทุนสักสองปี ค่อยไปทำก็ได้น๊า จากคุณ : คิดถึงอย่างแรง ไม่ได้แกล้งเพ้อ เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 12:11:09

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องแบบนี้บังคับกันไม่ได้ แต่ถ้าจะไปนั่งอยู่คลีนิคเสริมความงาม แล้วหลอกให้ลูกค้า(คนไข้)ซื้อโน่นซื้อนี่ ในราคาแพงๆ รวมถึงเลี้ยงไข้ โกหกไปวันๆ ผมว่าแบบนี้ ไม่สมควรมาเป็นหมอ จากคุณ : Bug Gerd เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 12:18:43

ความคิดเห็นที่ 15 เช่นกันครับ จขกท. ทำดีที่สุดแล้ว แม้ลูกเรายังบังคับไม่ได้ แต่นี่หลาน ก็ปล่อยเค้าเถอะครับ ธุรกิจเสริมความงามช่วงนี้กำลังบูม   ต้องยอมรับครับว่าเด็กสมัยนี้ ต้องการเป็นหมอ ก็ตรงนี้แหละครับ คือรายได้ดีมาเป็นอันดับแรก แต่เพื่อให้ดูดี ก็บอกว่า เพื่อรักษาคนป่วย ช่วยชีวิตคนไข้ ฯลฯ จากคุณ : บุตรปิยะฯ เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 12:18:52

ความคิดเห็นที่ 16 ห้าหมื่นนี่ใช้ไม่พอหรอ ?? จากคุณ : ที่คาดผม เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 12:18:59

ความคิดเห็นที่ 17 เห็นเพื่อนเล่าให้ฟังว่าไปทำโอ ที่โรงพยาบาลเอกชนได้คืนละหมื่นกว่าแหน่ะค่ะ(เท่ากับรายได้ทั้งเดือนของบางบ้านเลย) จากคุณ : ฉันไม่เคยได้อยู่ในชีวิตของเธอ เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 12:32:38

ความคิดเห็นที่ 18 ส่วนใหญ่ที่เลือกเรียนแพทย์ก็เพื่อจะหาเงินเยอะ ๆ อยุ่แล้ว บางคนไม่ชอบลักษณะงานที่ทำด้วยซ้ำ แต่ด้วยมีสติปัญญาดี ก็เลือกโอกาสที่ดีที่สุด ก็ปล่อยเขาไปเถอะ เขาเลือกแล้ว สังคมไทยยกย่องคนมีเงินมาก ดูถูกคนมีเงินน้อย บางคนไม่มีเงินก็ต้องทำตัวเหมือนคนมีเงิน คนจะได้ไม่ดูถูก บางคนแค่เห็นโทรศัพท์มือถือ ก็ตัดสินใจได้แล้ว ว่าจะยกมือไหว้คนนี้ดีไหม มันจึงไม่แปลก ที่เด็กไทยรุ่นใหม่ ๆ จะมุ่งหาอาชีพที่ทำเงินให้มากที่สุด สติปัญญาดีก็ไปเรียนหมอ วิศวะ ไปทำงานต่างประเทศ สติปัญญาไม่ดีก็ไปขายยาบ้า ยาเสพติด ทำโต๊ะบอล ทำบ่อน เพื่อแสวงหาการยอมรับยกย่อง เขาเป็นผลิตผลของสังคมที่คนรุ่นพ่อแม่สร้างขึ้นมาจริง ๆ โทษเด็กไม่ได้เลย จากคุณ : LNL เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 12:34:16 A:223.206.23.68 X: TicketID:300933

ความคิดเห็นที่ 19 เป็นผมก็ลาออกไปเอาเงินเดือนแสนดีกว่า...................รัฐตอบแทนคนที่จะทำงานเพื่อทดแทนคุณแผ่นดินได้แค่นั้น...ผมก็ไม่อยู่หรอกครับ... จากคุณ : ชักธง1 เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 13:00:22

ความคิดเห็นที่ 20 นับถือครับ นับถือ จากคุณ : Bud-Iron เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 13:31:27

ความคิดเห็นที่ 21 ตอบแทนประเทศน่ะ อาชีพอะไร อยู่ที่ไหนก็ทำได้ครับ โอกาสดีกว่า งานสบายกว่า ค่าตอบแทนดีกว่า อนาคตดีกว่า เสี่ยงน้อยกว่า ใครบ้างล่ะจะไม่รับไว้ ? ps. รพ เอกชน + clinic เนี่ยแหละครับ พระเอกหลังฉาก ช่วยแบ่งภาระผู้ป่วย และ ค่าใช้จ่าย  รพ รัฐไปได้เยอะมาก จากคุณ : Elixir The High Priest เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 13:32:41

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่อยากแสดงความเห็น...แต่ขอพูดแบบที่เคยพูดในกระทู้เก่า ๆ ก็พอ... "ตอนเรียนหนังสือ ก็อยากเป็นหมอ พ่อแม่หาที่เรียนให้ ยอมเสียเงินเพื่อให้ลูกได้เข้าโรงเรียนชื่อดัง เพื่อหวังว่าจะให้เป็นหมอ ลงทุนไปเรียนพิเศษ ไปติวตามโรงเรียนกวดวิชา เสียเงินอีกเดือนละเป็นหมื่น ๆ ทุ่มเทอ่านหนังสือดึก ๆ ดื่น ๆ จนสอบเรียนหมอได้ พอเรียนจบแล้ว... ทำไมไม่เป็น..ให้สมกับที่อยากเป็นฟระ..?? หรือไม่อยากเป็น..แต่เป็นเพราะแม่บังคับ แล้วทำไมไม่บอกแม่ว่าไม่อยากเป็นหมอ ไม่อยากรับราชการตั้งแต่แรก ขอพูดแบบรุนแรงซะหน่อย... กรูเป็นข้าราชการ..เงินเดือนหมื่นกว่า ไม่เคยเรียกร้องเอาเบี้ยเลี้ยง ไม่เคยถามหาโอที มีให้ก็รับ ไม่มีก็ทำงานไปตามปกติ ตั้งแต่รับราชการมาเข้างานอย่างช้าสุด 9.00 น. แต่ไม่เคยกลับก่อนหกโมงเย็น วันไหนมีงานเยอะ ทำงานยังไม่เสร็จ กรูนอนที่สำนักงานด้วยซ้ำไป รถส่วนตัว..เอามาใช้งานราชการก็เคยทำ สิ่งเดียวที่กรูต่างจากพวกหมอที่ลาออก เพราะเห็นแก่เงินเดือนสูง ๆ รายได้เยอะ ๆ ก็คือ "กรูไม่เคยอยากจะเป็นข้าราชการเลย แต่ที่ไปสอบเพราะแม่อยากให้เป็น" แต่พอได้เป็นข้าราชการแล้ว กรูก็ขอพูดอย่างปลัดดำ "เป็นข้าราชการ มีหน้าที่ต้องรับใช้ประชาชน" ใครจะคิดว่าไม่เคยมีคนอย่างกรูอยู่ในประเทศไทยก็ช่าง (หัว) มันประไร กรูเคยตั้งความหวังไว้ว่า..ครบ 25 ปีเมื่อไร..กรูจะลาออก แต่ตอนนี้กรูเปลี่ยนใจแล้ว..กรูจะอยู่จนเกษียณอายุราชการ เพราะกรูเห็นคนที่ทำงานราชการอยู่คนนึง ปีนี้อายุแปดสิบกว่าแล้ว ยังไม่ยอมหยุดทำงาน เอ็งรู้มั๊ย..ว่าในหลวงทำงานอะไร ในหลวงทำงานราชการ อย่ารักในหลวงแต่ปากสิ...ทำอะไรเพื่อในหลวงมั่ง...!!! ขออภัย..ที่อาจใช้คำไม่สุภาพ มันเหลืออดกับพวกหมอที่คิดแต่เรื่องเงินจริง ๆ ถ้าจะลบ..ลบได้เลย...แค่ให้มีคนรู้ไว้ก็พอ จากคุณ : Diamond and The Gang เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 13:44:23

ความคิดเห็นที่ 23 ^ ^ ^ พูดไปเค้าก็ไม่ได้ยินหรอกค่ะ น่าเสียดายความรู้ที่เรียนมาตั้งนาน อยู่ใช้ทุกเพื่อรัฐบาลซักปีสองปีก็ยังดีกว่านะ จากคุณ : Freedom Freestyle เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 13:53:34

ความคิดเห็นที่ 24 การเป็นหมอเอกชน ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีจรรยาบรรณ ไม่รับผิดชอบต่อสังคม หรือไม่รับผิดชอบต่อคนไข้ นะครับ  เพราะ เขาก็ยังทำการรักษาคนไข้  แม้จะแค่รักษา สิว ตามที่พวกคุณว่าก็ตาม  ตราบใดที่เขารักษาคนไข้อย่างเต็มที่ ไม่ได้หลอกลวงคนไข้ ก็น่าจะโอเคแล้วกระมังครับ ตอนนี้ รู้สึกว่า การเป็นหมอเอกชนก็กลายเป็นหมอไม่มีจรรยาบรรณ ไปแล้ว  อยากให้ สังคมเปิดใจให้กว้างกว่านี้ครับ จรรยาบรรณของหมอ ไม่เคยบัญญัติไว้เลยว่า  หมอจ่ายเงินใช้ทุนไปทำเอกชนเป็นหมอ ที่ไร้จรรยาบรรณ  ถ้าคิดว่า เป้าหมายของการผลิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยของรัฐ คือได้ หมอมาทำงานราชการอย่างน้อย สามปี  ก็ควร กำหนดแค่ ว่า ต้องใช้ทุน ไม่ควรเขียนว่า จ่ายเงินทดแทนได้ครับ และเรื่องที่ว่า เรียนมาตั้งเยอะ แต่ไปใช้งานง่ายๆ นิดเดียว ไม่คุ้มกับเวลาที่เรียนไป นั้น เคยมีหมอที่ใช้ความรู้ที่เรียนมา เพียงแต่ไม่ได้เป็นหมอเฉพาะทาง แล้วคนไข้เสียชีวิต ถูกฟ้องให้จำคุกอยู่ตอนนี้ ไม่รู้คดีจบหรือยัง  ทำไมไม่มีใครไปประท้วงด่าว่าคนฟ้องหมอ ล่ะครับ  ว่าหมอเขาอุตส่าห์ใช้ความรู้ที่เรียนมาเพื่อช่วยชีวิตคนไข้แล้ว ยังจะไปฟ้องเขาอีก เห็นมีแต่คนด่าว่าหมอว่าไปทำคนไข้ตาย    นี่แหละครับ  ที่เป็นเหตุให้หมอคนนั้น คิดได้ มั้งครับ ว่า รักษาง่ายๆ ได้สตังค์ ไม่เสี่ยงคุก น่าจะเป็นชีวิตที่น่าอภิรมย์มากกว่า จากคุณ : กินลม ชมทะเล เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 14:11:30

ความคิดเห็นที่ 25 พายเรือ กินมาม่าในอ่าง น่าเบื่อ จากคุณ : Elixir The High Priest เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 14:19:14

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่คิดให้ยาวๆ แล้วเค้าจะเสียใจภายหลัง ไม่ลองให้พ่อแม่เค้าโน้มน้าวดูล่ะคะ จากคุณ : Caramelfudge เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 14:31:37

ความคิดเห็นที่ 27 ทฤษฎีตามความเห็น 12 คือ การสร้างคนเห็นแก่ตัว เป็นทฤษฎีที่ต้องการสนองความต้องการของตนเองก็เท่านั้น จากคุณ : sanook เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 15:59:21 A:182.52.197.160 X: TicketID:304268

ความคิดเห็นที่ 28 บอกหลานชายว่าเป็นดาราดีกว่าค่ะ  เงินดีกว่าเยอะ จากคุณ : costarica เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 16:00:07

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้คิดยังไง เรื่องเงินเป็นหลักหรือเปล่าไม่ทราบ แต่สมัยข้าน้อยสอบเข้าหมอนั้นหลักๆคือเลือกไปงั้นแหละ ตามเพื่อนๆ เรียงตามลำดับคะแนน ได้หมอก็เท่ดี ดังนั้นก็เลยเรียกหมอสองอันดับแรก วิศวะอันดับสาม บัญชีอันดับสี่ นิดิอันดับห้า ดันโชคดีดันติดหมอซะงั้น (ใจจริงอยากเรียนบัญชีเพราะพ่อแม่ก็จบบัญชี) จบใหม่ๆ (สิบสองปี) เงินเดือน 8190 มีเงินหมื่น กับค่าเวรหกพัน ก็รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อว่าหมอจะได้เงินเดือนเยอะขนาดนี้แล้ว ไม่ได้เกี่ยวว่าเลือกเรียนแพทย์เพราะเงินเลย  แต่น้องสมัยนี้ที่จบใหม่ๆแค่เริ่มก็ห้าหมื่นถึงแสนนึงแล้ว อิจฉาๆ ริษยาๆ 555 ตอนนี้ก็ยังทำราชการอยู่เงินเดือน 13000 ทำเพราะรู้สึกสบายใจดี ไม่ต้องคิดว่าคนไข้จะมีตังจ่ายหรือเปล่า ส่วนเวรแทบไม่อยากอยู่เลย แต่ก็โดนบังคับอยู่ อาศัยไปรับ job เอกชนที่รับประกันสังคมเป็นหลัก (ก็ไม่ต้องคิดเรื่องเงินอีกหมือนกัน) นี่แหละเลยพอมีพอกินกับเขามั่ง จากคุณ : xanyz เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 16:12:37

ความคิดเห็นที่ 30 พูดตรงๆเลยนะ การลาออกไปทำงานเอกชนไม่ได้ผิดจรรยาบรรณ ส่วนจะถูกใจใครหรือไม่ ก็คงควบคุมไม่ได้ และถ้ามองว่าการทำราชการคือการที่ต้องเสียสละ HR ของราชการก็วางแผนมาผิดทางแล้วล่ะ เพราะไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องขาดแคลนหมอด้วยคำว่าเสียสละอย่างเดียว จากคุณ : Deckard เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 17:05:28

ความคิดเห็นที่ 31 ระบบรัฐหลายๆอย่างมันห่วยแตกนะคะ บางครั้งไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ มันก็น่าเบื่อเหมือนกัน เรียนหมอ  ยากและเครียดนะคะ ต้องเก่งมากมาตั้งแต่มัธยมแล้ว เวลาที่คนอื่นเขาเอาไปเที่ยวเล่น  เขาก็เรียนหนังสือ เท่าที่ทราบมาก็เรียนกันแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน คนเรียนก็คงหวังอะไรจากการเรียนหนักบ้าง น้องสาวเราก็เครียดเรื่องระบบราชการมาก เคยวิ่งเต้นหา สส. ในพื้นที่ ให้ช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาอะไรบางอย่าง  แต่สุดท้ายก็ไม่มีไรเกิดขึ้น มาปรึกษาเรื่องลาออกจากราชการ  ก็ได้แต่ปลอบใจ ตอนนี้ยังไม่ออก  และยังกลุ้มใจเรื่องสาขาที่อยากเรียนต่อต้องใช้เงินมาก ถ้าเป็น รพ. เอกชน  สามารถเรียนต่อ + ใช้ทุนได้สบายๆ ถ้าจะบอกว่า  หมอที่อยู่ตาม รพ. เอกชน  ไม่มีจรรยาบรรณ แสดงว่าคนไข้ตาม รพ. เอกชน  คงไม่ใช่คน แต่หมอที่เรียนจบเป็น หมอทั่วไป แล้วมานั่งในคลินิครักษาโรคผิวหนัง  เสริมความงาม แน่ใจแล้วหรือว่ามีความรู้ความสามารถในการรักษาโรคผิวหนังจริงๆ หรือคิดแค่จะเอาเงินเข้าตัว ท่านสามารถแนะนำการดูแลผิวอย่างถูกต้องให้คนไข้ได้หรือ ท่านสามารถอธิบายแผนการรักษา  ต่างๆได้หรือ เพราะที่เคยเจอมาในคลินิคตามห้าง  เขาปรับยาไปมา วนไป วนมา  พอถามเข้าก็ตอบไม่ถูก   ก็เลยตัดสินใจ  พาแฟนไปรักษากับแพทย์ที่จบด้านผิวหนังมาจริงๆ  การรักษาอาจจะคล้ายๆกัน แต่การอธิบาย  คำแนะนำ  แผนการรักษา  ชัดเจนมาก  จนสบายใจและอุ่นใจกว่ามาก และอาการก็ดูดีขึ้นอย่างเร็วกว่า  จนคนรอบข้างทัก ท่านจะเรียนหมอเพื่อหาเงินเข้าตัว  เราคงไม่ว่า   แต่ขอให้มีความรู้ความสามารถช่วยเหลือคนได้จริงๆเถอะ แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 54 19:33:24 จากคุณ : ฝ้ายผู้น่ารัก เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 19:31:19

ความคิดเห็นที่ 32 เอ่อ ผมถามคุณอย่างนึงครับ หากว่าคุณกำลังนั่งทำงานอยู่อย่างหนักที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งโดนเอารัดเอาเปรียบจากเจ้านายมากมาย และเจ้านายที่สำนักงานใหญ่ไม่เคยเห็นหัว สักแต่ใช้แรงงานคุณ และต้องมาเจอลูกค้าที่ชอบโวยวายร้องเรียนใส่คุณอย่างไม่มีเหตุผลเป็นประจำ แล้วอยู่ๆ มีบริษัทหนึ่งเข้ามาหาคุณ เสนอเงินเดือนให้มากกว่าคุณ 2-3 เท่าจากที่คุณเคยได้รับ เสนองานที่เบากว่า ลูกค้าคุณภาพดีกว่า ไม่ค่อยโวยวาย ยิ้มแย้มแจ่มใสให้กัน เวลาในการพักผ่อนมากขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า เป็นคุณ คุณจะย้ายงานมั้ย ผมถามจริงๆเหอะ ไม่ต้องมาแอ๊บเป็นคนดี  มีใครบ้างครับไม่เลือกที่จะย้ายงานภายในเมื่อชีวิตเขาดีขึ้นกว่าเดิมเห็นๆ คำถามของผม ไม่ได้อยู่ที่ว่าทำไม "แพทย์ถึงย้ายออกจากระบบ" แต่เป็น "ทำไมระบบถึงไม่สามารถดึงตัวแพทย์ให้อยู่ในระบบได้" ต่างหากครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากจะถามไอ้พวกนั่งตากแอร์ระดับสูงมากกว่าว่าพวกเมิงทำอะไรกันอยู่ครับ จากคุณ : Umiki เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 19:39:13

ความคิดเห็นที่ 33 เขาไม่ได้ดีเลิศเหมือนคนที่ยังคงอยู่ในระบบ (ซึ่งน่าสรรเสริญ) แต่ไม่ได้เลวแน่นอนครับ จากคุณ : ปรายภพ เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 19:57:07

ความคิดเห็นที่ 34 ข้าพเจ้าขออันเชิญ พระอนุสาสน์ ของ สมเด็จพระบรมราชชนก (พระบิดาแห่งวงการแพทย์แผนปัจจุบัน) หรือที่ประชาชนเรียกว่า ท่านคือ "เสด็จพ่อของในหลวง" นั่นเอง " ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์ " " อาชีพแพทย์นั้นมีเกียรติ แพทย์ที่ดีจะไม่ร่ำรวย แต่ไม่อดตาย ถ้าใครอยากร่ำรวย ก็ควรเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่แพทย์ อาชีพแพทย์นั้น จำต้องยึดมั่นในอุดมคติ เมตตาคุณ " ไม่ทราบว่าแพทย์ทุกๆท่าน ได้เคยศึกษา หรือเคยอ่านคำสอนของพระองค์บ้างหรือไม่ ? จากคุณ : ไข่ เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 21:27:18 A:27.130.207.133 X: TicketID:292421

ความคิดเห็นที่ 35 เอ... หมอที่อยู่เอกชน หรือเปิดคลินิก ก็ใช่ว่าไร้จรรยาบรรณนะคะ เราต้องขอบคุณเค้าด้วยซ้ำที่มีทางเลือกให้เราใช้บริการ  ไม่ว่า ทำฟัน อุดฟัน  อัลตร้าซาวด์ ฯลฯ  เพราะเราไม่อาจไปรอคิวที่รพ.เป็นวันๆได้ ถ้าใจเค้าไม่อยู่แล้ว ไม่ว่าด้วยปัจจัยดึงดูด(ตัวเงิน) หรือปัจจัยผลักดัน(ระบบราชการ งานหนัก)  ก็ทำให้เค้าทำงานอย่างไม่มีความสุข  ขอให้คุณวางอุเบกขา จากคุณ : aeroflex เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 54 22:52:41

ความคิดเห็นที่ 36 ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ คน แต่มันอยู่ที่ ระบบ จากคุณ : Pammeluff เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 01:13:27

ความคิดเห็นที่ 37 คนเราบังคับกันไม่ได้ การที่เค้าคิดแบบนั้น ด้วยค่านิยมทางสังคม เค้าคิดไม่ผิดหรอก ในเมื่อสังคม ยังนิยมและวัดกันด้วยวัตถุอยู่ หมอหนุ่มสาว ก็มีอุดมการณ์ มีไฟ ด้วยกันทั้งนั้น แต่ทุกคนก็มี ความอยากได้ อยากสบาย และอาชีพ ของเค้า มันเอื้อ ต่อการจะได้มาซึ่งรายได้ อันมากมาย มันก็เป็นโอกาสของเค้าค่ะ ถ้าเค้าตัดสินใจแบบนั้น แล้ว มันก็ชีวิตและอนาคตของเค้า หากเมื่อไร ที่คิดว่ามีรายได้ มากมาย ตามที่ต้องการแล้ว หาเวลา หันมา แบ่งปัน และจุนเจือสังคมบ้าง เท่าที่ทำได้และอยากทำ แล้วกันนะคะ จากคุณ : Kzybear เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 09:22:29

ความคิดเห็นที่ 38 ประเด็นมันอาจจะไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงินอย่างเดียวค่ะ หมอจบใหม่ๆที่อยู่ต่างจังหวัดต้องอยู่เวรหนักมากค่ะ   คนไข้เยอะ  ไม่มีเวลาพักผ่อน   แน่นอนว่างานมากโอกาสผิดพลาดก็สูง    แล้วเทรนด์ฟ้องร้องก็มาแรงเหลือเกิน    จึงไม่แปลกใจเลยที่หมอลาออกกันมากขึ้นๆ   ไม่ได้บอกว่าหมอที่ลาออกดีนะคะ    แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงชนิดที่เรียกว่าขาดจรรยาบรรณ   เพราะไม่ว่าจะอยู่ในส่วนไหน   หากตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองดีที่สุด    ก็เรียกว่าหมอที่ดีค่ะ   แต่อาจจะเรียกได้ว่าขาดความเสียสละ   ซึ่งความเสียสละนี้ต้องให้ด้วยใจค่ะ   ใครมาบังคับไม่ได้   เพราะพื้นฐานทุกคนย่อมรักตัวเองมากที่สุด    หมอก็เป็นปุถุชน   การที่เค้าจะเลือกชีวิตที่คิดว่าดีกว่าให้ตัวเองก็ไม่น่าจะผิด หากจะแก้ปัญหาขาดหมอจริงๆ   ต้องยกเลิกระบบการจ่ายเงินทดแทนการใช้ทุนไปเลย    ต่อไปคนที่จะเข้าเรียนหมอจะต้องทำงานให้ราชการอย่างน้อย 3 ปี ทุกคน    ไม่มีการเรียนจบแล้วมาจ่ายเงินไม่ยอมรับราชการ   จึงจะพอแก้ปัญหาได้บ้าง    แต่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต้องแก้ที่ทำยังไงคนจึงจะอยากอยู่ในระบบ    คำตอบไม่ยากแต่อาจทำได้ยาก    นั่นคือ   ต้องให้เค้ามีคุณภาพชีวิตที่ีดีพอค่ะ จากคุณ : SWEET TOFFY เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 09:32:36

ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อวานมีปัญหาชีวิต ไม่ได้เข้ามาอ่าน ผมขออธิบายยาวๆ แล้วกันครับ จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 12:51:30

ความคิดเห็นที่ 40 ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะออกจากชีวิตการเป้นราชการเลย แต่ระบบมันบิบให้ออกครับ ผมจบมาทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงบาลกันดารระดับ1 ตลอดเวลา5ปีครึ่ง ย้ายไปกันดารระดับสองสองปีครึ่ง จนในที่สุดได้ตกลงปลงใจแต่งงานกับแฟนที่เป็นแพทย์อยู่โรงบาลที่กันดารระดับสองเช่นกัน แต่งอยู่กันคนละจังหวัดกับโรงพยาบาลของผม ระยะเวลาเกือบสองปีที่ผมขอย้ายไปอยู่ด้วยกัน ไม่ได้ขอย้ายเข้าเมือง แต่ขอย้ายไปอยู่ด้วยกันกันดารแค่ใหนก็อยู่ได้ (ก็กันดารระดับสองมันก็กันดารสุดละนิครับ) แต่ผมก็ไม่ยักกะเห็นใครจะมาสนใจใส่ใจพวกผมเลยนิครับ วิ่งเต้นทั้งจังหวัด เขตแม้แต่กระทรวงก็ไม่เห็นจะมีใครเหลียวแล หมอกับเภสัชกรตัวเล็กๆ จนในที่สุดผมตัดสินใจจบชีวิตข้าราชการของทั้งสองคนอย่างจำใจจาก ถามว่าตอนนีความเป็นอยู่ผมดีกว่าเดิมไหม ดีกว่าเดิมมากครับ แต่ถ้าผมเลือกได้พวกผมก็ยังอยากเป็นหมอจนๆอยู่ดี จากคุณ : คนเคยอยู่โรงบาล (kramkraB) เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 14:38:08

ความคิดเห็นที่ 41 ไม่ว่าคนกลุ่มไหน ก็มีทั้งดีและไม่ดีนะครับ จงมองแต่แง่ดีเถอะ ^^ จากคุณ : yomigami (yomigami) เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 18:28:06

ความคิดเห็นที่ 42 แสดงความเห็นส่วนที่ทราบแล้วกันนะครับ เป็นความเห็น/ประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ ตอนนี้อยู่ในระบบมาสองปีแล้ว ตัวเองพบปัญหาสาธารณสุข /ปัญหาส่วนตัว/ปัญหาสังคม มาบ้าง ทำให้ท้อก็หลายรอบ บ้านอยู่กรุงเทพฯ แต่มาทำงานติดแม่น้้ำโขง ได้กลับบ้านไม่บ่อย เงินเดือนเหมือนที่เจ้าของกระทู้ว่า พ่อแม่อายุมากแล้ว งานหนัก/เวรถี่ และต้องทำเกือบทุกอย่างในรพ. เป็นสิ่งที่คอยรั้งให้กลับกทม พ่อแม่ เบิกตรง ค่ารักษาพยาบาลได้ส่วนใหญ่ (ถ้าฉุกเฉินก็รพ.เอกชน) อัธยาศัยคนต่างจังหวัดดีมาก ได้เห็นเคสที่ไม่เคยเจอบ่อยใน รร.แพทย์ บุคลากรในรพ.เหมือนครอบครัวเดียวกัน ได้ไปเที่ยวในที่ไม่เคยไป กินอาหารที่ไม่เคยกิน ได้ช่วยเหลือคนที่ไม่มีโอกาสจริงๆ ไม่มีเงินจริงๆ คือสิ่งที่รั้งไม่ให้กลับกรุงเทพฯ ส่วนตัวเคยพาพ่อแม่ไปหาอาจารย์ที่ไม่เคยรู้จักใน รพ.เอกชนในกรณีเร่งด่วน(บางครั้งอาจารย์ก็ไม่รู้ว่าเป็นแพทย์) ท่านก็ทำตามตำรา ถ้ารู้ว่าเป็น พชท ก็ไม่เก็บค่าแพทย์ พ่อแม่ได้ตรวจเร็วกว่าใน รพ.รัฐ และก็ให้ไปติดตามผลต่อเนื่องที่ รพ. รัฐ เจออาจารย์มาหลายคนไม่เคยเห็นอาจารย์ ทำผิดจรรยาแพทย์ที่เคยเรียนและเคยอ่านตรงไหน เพื่อนบางคนลาออกจากระบบ เพราะว่าพ่อแม่ป่วย มีภาระทางบ้าน ไม่ชอบระบบรัฐ บลา บลา คิดว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล (เค้ามีกฏกำหนดไว้จัดเจนว่าต้องจ่ายเงินคืนเท่าไร) รวมทั้งตัวเองเคยไปรักษาที่คลีนิกความงาม ก็ไม่เคยเจอ เพื่อน/พี่ ร่วมวิชาชีพผิดจรรยาบรรณ มีแค่บางคนที่ไขว่เขว่ไปบ้าง สุดท้ายเลยคิดว่าเป็นเรื่องของตัวบุคคล คนดีก็มาก/คนชั่วก็มี ทั้งในและนอกระบบ ควรทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดมากกว่า ถ้าผิดจรรณาแพทย์ คนไข้ก็รู้ ไม่นานก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีคนรักษา ถูกฟ้อง ร้องเรียน  ไม่ต่างกันทั้งทำงานในหรือนอกระบบรัฐ เพราะเดี๋ยวนี้ข่าวสารเร็วจะตาย แก้ไขคำผิดครับ แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 54 19:55:27 จากคุณ : anemia เขียนเมื่อ : 27 ม.ค. 54 19:50:53

ความคิดเห็นที่ 43 ถ้าไม่มีลูกค้า clinic พวกนี้ก็จ่ายแพงๆไม่ได้ demand-supply ชัดเจนดี จากคุณ : no preservation เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 54 00:06:00

ความคิดเห็นที่ 44 ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ไม่ต้องรับราชการก็ได้นิครับ จากคุณ : foscarnet เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 54 00:34:44

ความคิดเห็นที่ 45 ประเด็นนี้ คุยกันหลายรอบมาก .. เนื้อหา ก็ยังวนเวีัยน เหมือนเดิม T-T สาเหตุที่ทำให้แพทย์ลาออกจากราชการ ... เคยมีการวิจัยมาเพียบ เมื่อไหร่จะเริ่มแก้ไข ??? http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=23-02-2010&group=7&gblog=125 แพทย์ต้องมี จรรยาแพทย์ (จรรยาบรรณ) แล้วคนอื่น อาชีพอื่น ไม่ต้องมีหรือ ??? http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=30-08-2009&group=7&gblog=31 จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 54 15:46:36

ความคิดเห็นที่ 46 เราจะรับราชการ ไม่ใช่อุดมการณ์แต่เป็นความตั้งใจ ไม่ไปไหนหรอกค่ะ จะออกหน่วย ^^ เพราะเราแค่อยากให้คนไข้ยิ้มได้หายป่วย ก็เท่านั้น...ความคิดของคนมันห้ามไม่ได้ค่ะ อย่างเราเอง เงินไม่ใช่ปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิต เอามาพอให้เราได้ใช้ กิน เที่ยว และตอบแทนพระคุณก็พอแล้ว ทางรัฐก็ให้มาไม่ใช่น้อย ๆ นะคะ เดือนนึงก็ครึ่งแสน แถมทำนอกเวลาก็ได้อีก จะเอาเงินไปอะไรกันนหนานะคนเรา เฮ้อ....~ จากคุณ : แอ๊บแบ๊วหลั่นล้า เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 54 19:55:25

ความคิดเห็นที่ 47 งั้นถ้าจขกท อยากได้ชื่อว่ารักชาติ เสียสละเพื่อประชาชนจริง  ..ก็ให้เงินหลานเพิ่มสักเดือนละแสน ซื้อบ้านซื้อรถให้เค้าแทน เลี้ยงดูพ่อแม่เค้าแทนไ้ดไหม ยอมลำบากตรงนี้ไหม เพื่อให้ได้มีหมออีกคนอยุ่ในระบบราชการ  ????? ถ้าไม่ก็อย่าพึ่งไปว่าคนอื่น แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 54 20:42:12 จากคุณ : cardiogenic เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 54 20:41:46

ความคิดเห็นที่ 48 จะบอกว่าหลานคุณ ทำงานไม่ตำ่กว่าร้อยชั่วโมงต่อสัปดาห์ ( บางทีร้อยสี่สิบชั่วโมงต่อสัปดาห์) เพื่อให้ได้เงินเดือนห้าหมื่นนั้นมา ก่อนคุณ จขกท จะว่าอะไรคนอื่น ลองมองตัวเองว่าคุณได้ทำอะไรให้สังคมแล้วหรือยังนะคะ แล้วช่วยสังคมเนี่ย ต้องทำจนตัวเองเดืิดดร้อนไหม   ไม่ต้องตอบเราตรงนี้ก็ได้ ไปคิดเองดีๆ จากคุณ : cardiogenic เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 54 20:47:25

ความคิดเห็นที่ 49 รู้จักหมอยูโรคนหนึ่ง รับราชการมานานกว่า 30 ปีแล้ว ทุกวันนี้ขึ้นรถเมล์ไปทำงาน เวลา จะไปทำงานบางครั้งเดินเท้าเกือบ 2 กม. ช่วงที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดเพราะการย้าย ก็ยังแบ่งเวลามาตรวจคนไข้ที่ รพ.เดิมสัปดาห์ละ 1 วัน จากคุณ : satitp เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 07:43:14

ความคิดเห็นที่ 50 อ้างถึง ความคิดเห็นที่ 12     "ทฤษฏีวิทยาศาสตร์  Basic Need จะต้องคิดถึงตัวเองก่อน คนไม่รู้จักคิดถึงตัวเอง จะไปคิดถึงสังคมได้อย่างไร ตัวเองต้องมาก่อน ต้องมีเงิน ต้องมีรถ ถึงค่อยตอบแทนสังคม" ถ้าเริ่มต้นจากการคิดถึงตัวเองแบบนี้ ก็ควรคิดให้หนักๆหน่อยในสาขาอาชีพนี้นะครับ เพราะอาชีพนี้ เป็นอาชีพพิเศษ... คือต้องช่วยชีวิตคน แล้วต้องคิดให้มากๆ ตั้งแต่วางแผนก่อนเข้ามาเรียนแล้ว ไม่ใช่มาคิดตอนที่เรียนจบแล้วคิดถึงตัวเองก่อนคนป่วย ถ้าคุณๆ ท่านๆป่วย แล้วต้องไปหาหมอแต่.... หมอบอกว่า "มีเงินป่าว...หรือไม่เต็มใจรักษาเพราะดูจากการแต่งกาย หรือ..ประเมินว่าเราไม่มีเงิน." มันรู้สึกแย่นะครับ ถ้าไม่พร้อมก็อย่าทำดีกว่า จากคุณ : thaitarzan เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 09:36:07

ความคิดเห็นที่ 51 ^ แต่ที่ คห 12 พูด มันถูกและสอดคล้องกับชีวิตความเป็นจริงทุกผู้ทุกคน อย่างน้อยๆเราก็ต้องพร้อมก่อนถึงจะไปทำเพื่อคนอื่นได้ แล้วการตอบสนอง Basic need ก็ไม่ใช่การเรียกเงินจากคนป่วยเสมอไปนิครับ ไม่ใช่หมอทุกคนที่มีคลินิกนะครับ ส่วนเรื่องการวางแผนก่อนเข้าเรียน อุดมการณ์ครั้งยังเด็กมอหกกับความจริงที่โหดร้าย(แม้จะไม่ใช่เรื่องเงิน) อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงได้ครับ จากคุณ : foscarnet เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 10:02:09

ความคิดเห็นที่ 52 เงินห้าหมื่นที่เค้าได้มา คิดหารเฉลี่ยออกมาเป็นค่าแรงต่อชั่วโมงแล้ว เราว่าไม่ได้มากไปกว่าพนักงานบริษัทวุฒิปริญญาโทหรอกนะคะ (ต้องเทียบกับปริญญาโท เพราะเรียน 6 ปี) ปกติหมอจบใหม่มักต้องอยู่เวรเยอะอยู่แล้ว ตอนเราจบใหม่เราอยู่เวร 18 วัน/เดือนนะคะ รายได้ก็พอๆกันเนี่ยแหละ เหนื่อยมาก โทรมมาก แต่ในขณะที่เค้ามีทางเลือกที่มีรายได้มากกว่ากัน 3-4 เท่า แต่ทำงานน้อยกว่า เหนื่อยน้อยกว่า ความเสี่ยงก็อาจจะน้อยกว่า ไม่ผิดที่เค้าจะเลือกค่ะ ถามว่ามันผิดจรรยาบรรณอะไรมั้ย เราว่าไม่ผิด เรื่องนี้ ถ้าจะมีสักอย่างที่ผิด เราขอโยนความผิดทั้งหมดให้ ระบบ ค่ะ ตราบได้ที่ยังแก้ความย่ำแย่ของระบบไม่ได้ ก็ผลิตกันไปเถอะ ไม่ว่าจะทุนประจำอำเภอ ประจำตำบล ก็ไหลออกนอกระบบได้หมดแหละค่ะ จากคุณ : tachycardia เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 54 13:27:28