ความคิดเห็นที่ 1 ไม่จำเป็นต้องถึง aerobic zone ครับ ช่วงที่เหมาะกับการ burn fat คือช่วง low-intensity คือต่ำกว่า aerobic zone พอเข้าช่วง aerobic zone มันจะใช้สัดส่วนของ carb มาเป็นพลังงานมากขึ้น (แต่ก็ยัง burn fat) จากข้อ 3 ของคุณเรียกว่า high-intensity interval traning ซึ่ง 1. ไม่จำเป็นต้องทำถึง 30-40 นาที ไม่งั้นแย่ครับ HIIT ทำแค่ 15-20 นาที โปรแกรมนี้ทำออกมาเพื่อลดเวลาในการทำ cardio 2. โปรแกรมนี้ใ้ช้ carb เป็นพลังงงานหลัก แต่ตอนเล่นหนักจะเกิดภาวะ oxygen debt มีการโหลดร่างกายมาก ทำให้การเผาผลาญสูงไปอีกนาน (แม้จะหยุดเล่นไปแล้ว) 3. ไม่ควรทำหลังเล่นเวท ถ้าจะทำ ควรทำในวันที่จะ cardio อย่างเดียว 4. หลังเล่นเวททำ low-intensity cardio ก็พอแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 54 13:00:50 จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 13:00:00

ความคิดเห็นที่ 2 คำถามโดนใจผมมากครับ ตรงที่ออกกำลัง 30 - 40 นาทีนี่จะทำให้ลดความอ้วนได้หรือไม่ และ เสี่ยงที่จะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ รอคำตอบจากผู้รู้เช่นกันครับ จากคุณ : great273 เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 13:00:03 A:58.8.234.168 X: TicketID:090900

ความคิดเห็นที่ 3 จขกท บอกว่า ๐๐๐๐  การออกกำลังกายแบบ Cardio ในความหมายของผมก็การออกกำลังกายแบบต่อเนื่องกัน 30-40 โดยวิธีเริ่ม warm-up เบาๆ ก่อน แล้ว หนัก คงที่ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>    ผิด เจ้าของกระทู้เข้าใจผิด  ขอโทษต้องขัดคอ ตรงๆ เข้าใจว่า เจ้าของกระทู้คงไม่ดู mode Cardio แบบ automatic อยากให้ จขกท ดูการที่มันปรับ load  มันปรับตาม Heart Rate โปรแกรม auto-Cardio จะคุม  Heart Rate - Limit  ไว้ไม่เกิน 80% of max Heart Rate พูดง่ายๆ Cardio มันจะพยายามให้ออกแรงที่ระดับ Heart Rate สูง 80%  ของ max Heart Rate ลักษณะ Load Profile ดังนี้ 1) ก่อน Start   คุณต้องป้อน  Age  เข้าไป มันจะคิด Max Heart Rate  x 80% เก็บไว้ เป็นค่า Target  HR 2) เริ่ม Warm Up  3 นาที  ระหว่างนี้ Heart Rate ยังไม่ถึง  Target ตามข้อ 1) 3) หลัง Warm Up แล้ว มันจะค่อยๆปรับ Load Level  ขึ้นทีละนิด อาจจะขึ้นทีละ 2 หรือ 3 แล้วแต่ ระดับ HR ขณะนั้น ถ้าต่ำกว่า Target  มาก มันจะปรับ Level มาก 4) เมื่อคุณออกแรง HR ถึง Target แล้ว มันจะรักษา Level คงที่   ไปเรื่อยๆ 5) เมื่อ ความเร็ว (การปั่น หรือ จังหวะก้าว) ลดลง   ....แสดงว่า คุณเริ่มอ่อนแรง  มันจะปรับลด Load Level ลงทีละนิด 6) ปล่อยให้คุณ Recovery สักพัก เมื่อระดับ HR คุณลดลงแล้ว ก็จะปรับ Level ขึ้นไปหนักขึ้น จนระดับ HR ของคุณอยู่ที่ Target ครับ สรุป   โปรแกรม Cardio จะพยายามให้ HR อยู่ที่ 80%  ของ Max HR ครับ ถ้าคุณยังไหว ก็จะรักษาระดับ  HR นี้ คงที่ต่อไป จนจบ แล้วค่อย Cool down ถ้าคุณอ่อนแรงลง มันจะปรับ Level ให้เบาลง ครับ หมายเหตุ ผมถ่ายรูป Load Profile เอาไว้ จะค้นมาให้ดูครับ แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 54 13:39:43 แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 54 13:37:13 จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 13:04:40

ความคิดเห็นที่ 4  ผมจะขอตัวไปทานข้าวเติมพลังก่อน แล้วจะมาเล่าให้ฟัง โดยเฉพาะ เรื่อง Fat-Burn ที่ Heart Rate ระดับไหน เขาดูจากอะไร จะเอาแบบ Heart Rate แม่นๆ ก็ต้องวัดจาก VO2max  max oxygen uptake กันเลย เพราะ สมการ การเผาไหม้ ประกอบด้วย Air + Fuel หรือ Fat ที่มี Ratio ที่เหมาะสม จึงจะ Burn ได้ completely ไม่มี Air ก็เผาไหม้ไม่หมด .... เหมือน"รถควันดำ" นั่นแหละ ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 13:08:58

ความคิดเห็นที่ 5 เราหมกมุ่นกับหลักการเกินไปรึเปล่าครับ ตอนผมลดความอ้วน ผมก็คุมอาหาร + วิ่ง วิ่งแบบบ้านๆนี่แหละไปตามถนน วิ่งครั้งละ 10km ก็ได้สัก 45-50 นาที วันไหนเมื่อยก็ไปยกเว็ทอย่างเดียว ผมลดได้เกือบ 20kg เลยนะ ไม่เครียดเลย กล้ามเืนื้้อต่างๆก็แข็งแรงไม่แห้งไม่ลีบไปไหน จากคุณ : scozember เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 13:28:17

ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ เรากำลังคุยหลักการกัน ขอความกรุณา อย่าเพิ่งขัด วิทยาศาสตร์การกีฬา ช่วยได้มาก และ ตอบคำถามว่า ได้ หรือ ไม่ได้ เพราะอะไร มีเหตุผลประกอบ ไม่ใช่วิ่งตะพึดตะพือ แบบผมเคยวิ่งเป็นปี วันละ 10 กม. และไร้สาระ ผมเที่ยวค้นคำตอบอยู่นาน ถึงเข้าใจว่า หลักการ เป็นเรื่องจำเป็น แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 54 13:42:06 จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 13:38:03

ความคิดเห็นที่ 7 #5 คิดถึงหลักการด้วยจะทำให้บรรลุผลไวขึ้น ผลลัพธ์สูง ลดการใช้แรงโดยไม่จำเป็น ทำตามหลักการ ไม่จำเป็นต้องวิ่งถึง 10 km เดินเร็ว 2 km ไม่กี่ครั้งต่อสัปดาห์ก็ลดได้ อยู่ที่การกิน + การทำ cardio ให้เป็น ความลำบากแตกต่างกันอย่างน้อย 8 km แต่ผลได้ไม่ต่างกัน จะเลือกทางไหนละครับ แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 54 13:49:09 จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 13:48:17

ความคิดเห็นที่ 8 จาก ปสก ตรงผมเพาะกายมาก่อนครับ เรื่องกิน 50 % ออกกำลัง 30% พักผ่อน 20% cadio จำเป็นตอนรีดไขมันครับจะได้กล้ามเนื้อเห็นชัด แต่กล้ามจะเล็กลงเล็กน้อยด้วย cadio จำเป็นมากสำหรับคนอยากผอม แต่การกินสำคัญกว่า จากคุณ : หน้าใหม่อยากกรอบ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 14:27:34

ความคิดเห็นที่ 9  1. ถ้าการออกกำลังแบบ หนัก คงที่ แต่ไม่ถึงระดับ Aerobic Zone แม้จะใช้เวลานานเท่าไร ไม่ว่าจะเป็น 30 นาที หรือต่อให้เป็น 10 ชั่วโมง มันก็ไม่มีความสามารถที่จะไปเผาผลาญไขมัน ไม่สามารถทำให้ลดความอ้วนได้ มันจะมีประโยชน์เฉพาะ เรื่องทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น ทำให้ร่างกายกันสดชื่นขึ้น ไม่ช่วยเรื่องลดความอ้วนเลย >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>  เจ้าของกระทู้เข้าใจถูกแล้ว ...HR ระดับนี้ ไม่ช่วยลดความอ้วนครับ  ผมเคยทำผิดมาแล้ว ผมหลงเชื่อที่คนบอกว่า "อย่าหักโหม วิ่งช้า ค่อยๆไป (ตามบุญตามกรรม)" ในวงเล็บนั่น ผมเพิ่งคิดได้ อิอิ ผมวิ่งเนิบๆ วิ่งช้าๆ ย่องๆ ยกเท้าเตี้ยๆ (ไม่ต้องออกแรงมาก ไม่เหนื่อยชิมิ ผมวิ่งวันละ 10 กม ......ตอนหลังได้คิดว่า  ผมวิ่งย่องๆช้าๆ ความเร็วแค่ 5 กม/ชม สวนลุม 2 รอบเกือบ 1 ชม. เท่ากับคนเดินเร็วๆ นี่เอง ผมหลงดีใจว่า วิ่งได้ระยะ มินิมาราธอน เชียวนะ   แต่...ไร้สาระ นน. ก็ไม่ลด ความดันก็ไม่ดี แถมหัวใจผมยังไม่แข็งแรงขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจไม่แข็งแรงขึ้น ผมวัดจาก resting Heart Rate ของผมยังเท่าเดิมคือ 107 bpm (ของผมเต้นเร็วกว่าคนปกติ) ผมเก็บความสงสัย-ขัดแย้งอยู่ในใจ .. .ก็เราออกกำลังกายนี่นะ ทำไม นน. ไม่ลด ? ผมได้คำตอบ  จากข้อสังเกตนี้ --คนอ้วนที่เดินไปเดินบ่นทั้งวัน ...น้ำหนักไม่ลด --กรรมกรหิ้วถังปูน หรือ กุลีแบกข้าวสาร เดินทั้งวัน .... เขาผอมลงบ้างไหม ? ...ไม่เลยครับ  ..น้ำหนักไม่ลด ...ข้อนี้นำไปสู่คำตอบ Heart Rate ที่ต่ำ ต่ำกว่าระดับ Aerobic Zone ... มันเผาพลังงานก็ "ใช่" แต่มันเอา glucose ที่อยู่ในกระแสเลือดมาใช้เป็นพลังงาน ไม่ได้เอา FAT มาเผา พลังงานที่เผาผลาญไป มันจะได้ Fuel - Intake กลับเข้าไป คือ energy-recovery ก็ได้จาก ...อาหารที่กินต่อวัน นั่นเอง ......(ตรงนี้ มีคำถามคนชอบซักว่า ถ้า glucose ในเลือดหมดล่ะ ?  ผมฝากให้คิดต่อยอด จะเฉลยทีหลัง ให้ชัดเจนไปเลย ) ดังนั้น เราจะเห็น กรรมกร หรือ กุลี แบกข้าวสาร 100 กก. เดินไปเดินมาทั้งวัน นน.ตัวถึงไม่ลด สรุป คุณ จขกท เข้าใจถูกแล้ว ถ้าออกกำลังในระดับ ต่ำกว่า Aerobic Zone  นน.ตัวจะไม่ลด เพราะคุณได้ Fuel จากอาหารประจำวันเข้าไปชดเชย ยิ่งออกแรงหนัก ยิ่งอยากอาหาร กินข้าวอร่อย .... อย่างนี้ ยิ่งออกกำลัง ยิ่งอ้วนด้วย ครับ ... จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 14:38:55

ความคิดเห็นที่ 10 2. แต่การที่จะให้ออกกำลังแบบ หนักคงที่ ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 30-40 นาที คนปกติทั่วไปก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันหนักเกินไป และเสี่ยงที่จะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ >>>>>>>>>>>>>>> ข้อนี้อยากให้ กีฟ เสียดายหมดแล้ว   คนทั่วไปเวลาออกกำลังต่อเนื่องนานๆ จะล้า ค่อยๆอ่อนแรง ด้วยเหตุนี้ FAT Burn จึงไม่ได้ทำที่ FatMax Zone ต่อเนื่อง จะสลับ เบา พอให้หายเหนื่อย ก็เริ่ม หนัก load Profile ของ FAT-Burn จึงเป็น "เบา  สลับ หนัก"  ครับ   จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 14:46:01

ความคิดเห็นที่ 11 เข้ามาเก็บความรู้ ^^' ปล.  น้ำพริกน่าทานมากกกก จากคุณ : ตากลมแก้มป่อง เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 14:46:10

ความคิดเห็นที่ 12 3. ถ้าจะออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก หรือเผาผลาญไขมัน วิธีที่ถูกต้องคือต้องออกกำลังกายแบบ FAT-Burn คือ เบา .. หนัก .. เบา .. หนัก สลับกัน โดยช่วงที่หนักนั้นต้องให้ถึงระดับ Aerobic Zone เป็นเวลาต่อเนื่องกัน 30-40 นาที >>>>>>>>>>>>>>>  ถูกต้อง ครับ ช่วงที่ "หนัก"  คือ ช่วง FatMax Zone หรือ 79% ของ max HR ครับ /.. Researchers from Birmingham University's Human Performance Laboratory attempted to pinpoint the exercise intensities at which fat metabolism is maximised in a study of 18 male endurance cyclists with a training background of at least three years. Their work found that the Fatmax Zone is between 68% and 79% MHR ../ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 14:53:31

ความคิดเห็นที่ 13  คราวนี้จะมีคำถาม  ถ้าออกแรงหนักกว่า HR นี้จะเป็น High Intensity sessions จะลด Fat ได้มากขึ้น หรือ ไม่ ??  เพราะอะไร ?  แน่นอนครับ ออกแรงหนักขึ้น Output Energy ที่ได้ก็สูงชึ้น คือ 330  Cals มากขึ้น แต่ Fat ที่เผากลับได้=เท่าเดิม  คือ 110 Cals ครับ   เพราะอะไรอ่านข้างล่าง //.. The implication from all this research is that if you wish to burn maximum amounts of fat then you should train in the 68 to 79% MHR window. The reality is that if you train at higher intensities you can burn just as much fat. If you cycled along at 50% VO2max, fat would provide about 50% of the energy you needed to keep going. If you cycle along at 75% VO2max, fat would provide 33% of the required calories. Thus, the slower workout sounds better from the fat breakdown perspective - or does it? A moderately fit athlete exercising at 50% VO2max generally consumes about 220 Calories during a 30 minute workout. If the same athlete works out at 75% VO2max, 330 Calories are burned during the same period. Of course, 50% of 220 Calories and 33% of 330 Calories yield an identical number of calories coming from fat - 110 Calories. ..// เครดิต      http://www.brianmac.co.uk/fatburn.htm จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 15:07:21

ความคิดเห็นที่ 14  ผมเป็นคนขี้สงสัย ผมได้ยินโปร. และ เจ้าหน้าที่บริษัทเครื่องฟิตเนส เขาคุยกันว่า โปรแกรม Weight Loss กับ Fat Burn  สองตัวนี้มันเหมือนกัน ... ผมก็นึกเถียงในใจ ถ้ามันเหมือนกัน ฝรั่งมันจะทำแยกกันทำแมวอะไร ? แต่ผมได้คิดในใจ แล้วผมก็ทดลองโปรแกรม 2 ตัวนี้ พบว่า Load Profile ไม่เหมือนกัน 1) Weight Loss  .. Load จะคงที่ ตลอด ระดับ HR สูงกว่า Aerobic Zone ขึ้นไปอยู่ที Anaerobic  Zone   สอง Zone นี้ต่างกันที่การใช้พลังงาน โดย Anearobic แปลว่า without Air มันใช้ CARB เป็นพลังงานหลัก โดยเผา Fat ต่ำกว่า ตามข้อมูล ข้างบน คห. 13  ดังนั้น Output จะได้ ตัวเลข Cals สูงกว่า .... ตรงนี้คือ ปัญหาของผู้เล่นฟิตเนส ที่เข้าใจผิด หลงดีใจว่า ลดนน.ได้มากกว่า แต่ความจริง ลด Fat ได้ต่ำกว่า ..... (ผมจะบอกทีหลังว่า ทำไมถึงต้องเน้น ลด Fat ก่อน ) 2) Fat-Burn  .. Load profile จะเป็น "เบา--สลับ--หนัก"  อันนี้เราเข้าใจแล้ว ดังนั้น โปรแกรม Weight loss และ Fat Burn สองตัวนี้ = ไม่เหมือนกัน ต่างกันในสาระสำคัญ ที่การลด FAT ตัวไหนมีประสิทธิภาพลดได้ดีกว่า ครับ ที่ควรจะทราบคือ การลด FAT จะลดได้ช้า โดยเฉลี่ยลดได้ อาทิตย์ละ 0.5 กก. ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 15:22:16

ความคิดเห็นที่ 15   ทำไมถึงต้องเน้น ลด FAT เป็นอันดับแรก ?? เนื่องจาก Adipose Tissue หรือ เซลไขมัน มันจะผลิตโฮโมนตัวหนึ่งชื่อ Resistin เจ้าโฮโมนตัวนี้เป็นผู้ร้ายสำคัญ ที่จะไปควบคุมสมองส่วนบัญชาการ Metabolism ให้เผาผลาญได้ช้า ... คือ กินน้อย .. อ้วนง่าย  หลังจากเราลด FAT ได้แล้ว เซลไขมันจะหันไปเปลี่ยนเป็นผลิตโฮโมน Adiponectin โฮโมนตัวนี้ทำหน้าที่ตรงกันข้ามมันช่วย Metabolism ให้เผาผลาญดีขึ้น .... คือ กินมาก ก็ไม่ค่อยจะอ้วน ..... นี่คงจะเป็นความฝันของคนที่ต้องการลดน้ำหนัก เมื่อหยุดออกกำลัง ก็ไม่ค่อยกลับมาอ้วน(ง่ายๆ) หรือ ไม่เกิด YoYo Effect ตัวอย่าง เพื่อนที่โรงยิมคนหนึ่งและผม บังเอิญนัดกันหยุดพร้อมกัน 1 เดือนพอดี กลับมาอีกครั้ง .... นน. คงที่ ครับ นี่คือ เหตุผลสำคัญ ที่ผมพยายามเน้น FAT Burn และเตือนว่า ใจเย็นๆ พอลดได้แล้ว มันจะลดได้ ค่อนข้างถาวร ไม่ใช่ หยุดเล่นแล้ว YoYo อย่างนั้น จะลดทำไมครับ ? จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 15:30:23

ความคิดเห็นที่ 16  กระบวนการ FAT Burn จะเริ่มหลังจาก warm ถึงนาที่ ที่ 20 ไปแล้ว ครับ การเผาไหม้ ต้องการอุณหภูมิระดับที่เหมาะสม เช่น รถยนต์ที่สตาร์ทตอนเครื่องเย็น คุณอาจเห็นการเผาไหม้ไม่ดี มีควันบ้าง บางคัน พอเครื่องอุ่นร้อนได้ที่ ระบบการเผาไหม้ก็สมบูรณ์ เครื่องเดินดี  ร่างกายคุณก็เช่นเดียวกัน ต้องการ Temperature ระดับหนึ่ง เพื่อให้เผาไหม้ไขมันได้ดี มีการค้นพบ Epigallocatechin gallate (EGCG) เป็นตัวเร่งกระบวนการ Thermogenesis ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น สนับสนุนการเผาผลาญไขมัน สารตัวนี้สกัดได้จากชาเขียว  ดังที่เราจะเห็น ยาลดน้ำหนักหลายสูตรจะมีส่วนผสมของชาเขียว เมื่อเร็วๆนี้มีดารารับเชิญมาออกทีวี เล่าให้ผู้ชมฟังว่า รู้สึกร้อนตามผิวหนัง เมือกินยาลดน้ำหนักครับ เมื่อได้ข้อมูลนี้ เราจึงควรจัดโปรแกรมออกกำลังให้ต่อเนื่องอย่างน้อยครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป .... มีสมาชิกห้องนี้เล่าผมหลังไมค์ว่า เธอเล่นครั้งละ 60 นาที แล้วไปเดินอีก 60 นาที วันละ 2 ชั่วโมง ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 15:40:20

ความคิดเห็นที่ 17  วิธีการลดน้ำหนักที่ผิดมักจะเป็นการลดน้ำหนักที่เราสูญเสียกล้ามเนื้อหรือน้ำในร่างกาย มากกว่าจะเป็นการลดปริมาณไขมันในร่างกาย หากคนสองคนน้ำหนักเริ่มต้นเท่ากันลดน้ำหนักได้เท่ากัน คนที่ลดน้ำหนักโดยสูญเสียกล้ามเนื้อไปมากกว่า(เหลือไขมันในร่างกายมากว่า) ร่างกายจะเผาผลาญต่ำกว่า เครดิต   http://www.lodnumnuk.com/index.php?mo=3&art=309316   จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 15:44:25

ความคิดเห็นที่ 18 ผิดถูกอย่างไร รบกวนผู้รู้เพิ่มเติมนะครับ >>>>>>>>>>>>>>>>   เจ้าของกระทู้ เข้าใจถูกต้องแล้ว จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 15:46:04

ความคิดเห็นที่ 19 http://www.thaimuscle.net/modules.php?name=News&file=article&sid=69&mode=&order=0&thold=0 อ่านดูครับ จากคุณ : bankpakim เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 16:32:38

ความคิดเห็นที่ 20 จาก คห.10และ 12 รบกวนช่วยอธิบายเพิ่มเติม อีกหน่อยครับ เพราะการทำ HIIT ที่ผมเคยทำคือ ผมทำ HIIT กับจักรยานแม่เหล็ก ที่ไม่มีโปรแกรมFat burn ทำโดยปั่นช้าสลับเร็ว 15/15 วินาที HR ไม่ต่ำกว่า Fatmax zone แน่ เพราะช่วงที่ปั่นเร็วคือเร็วเต็มที่ แต่ผมทำได้ไม่เกิน 15 นาทีหลังจากการวอมอัพ ถ้าทำมากกว่านี้ ผมคิดว่าไม่ไหวแล้วครับ เพราะมันเหนื่อยแทบใจจะขาดทีเดียว หรือแบบนี้ผมจะทำผิดเพราะถ้าปั่นเร็วมากเกินไป เราจะหายใจไม่ทันแล้วมันเป็นการออกกำลังกายแบบ anaerobic อาจส่งผลให้เกิดกรดแลคติคได้ด้วย ปล.พิมพ์ผิด แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 54 21:27:48 จากคุณ : I_get เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 17:02:06

ความคิดเห็นที่ 21 กระบวนการ FAT Burn จะเริ่มหลังจาก warm ถึงนาที่ ที่ 20 ไปแล้ว ครับ ...................................................................... หมายความว่ายังไงครับ หมายความว่า ตั้งแต่นาทีที่ 1-19 จะต้องออกกำลังแบบคงที่ตลอดแล้วมา หนัก เบา สลับกันไป ตั้งแต่นาที่ 20 เป็นต้นไปหรือเปล่า หรือตั้งแต่นาที่ 1-19 มันก็ หนัก เบา สลับกันมานั้นแหละ แต่มันมาให้ผลตั้งแต่นาที่ 20 เป็นต้นไป ...ขอบคุณครับ จากคุณ : ไข่เจียวหน้าหนาว เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 17:07:48

ความคิดเห็นที่ 22 รู้สึกตัวเองเซ่อๆ ยังไงไม่รู้  อ่านไม่ค่อยเข้าใจ  แหะๆๆๆ แล้วเครื่องวิ่งนี่เซ็ตยังไงอ่ะคะ  ไปฟิตเนสทุกวัน ไม่เคยเซตโปรแกรมเลย จากคุณ : ตากลมแก้มป่อง เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 17:53:52

ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อก่อนก็ใช้อุปกรณ์ไม่เป็น หลังจากคุณ TinyNu  แนะนำการใช้เครื่อง ก็ทำให้ประหยัดเวลาลงไป และได้ผลดี พอใจค่ะ จากคุณ : Flaminio เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 19:16:38

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านที่คุณ TinyNu ตอบหลายรอบ ผมก็ยังไม่เคยเข้าใจซักทีเลย T T รูปในคห.10 ความหมายของรูปคืออะไรเหรอครับ จากคุณ : อิฐมอญ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 19:57:33

ความคิดเห็นที่ 25 ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ถามแทรกนะครับ ผมลองไปอ่านเพิ่มเติมจากกูเกิลหาความหมายของคำว่า aerobic zone , anaerobic zone , max heart rate... เจอเว็บนี้ http://www.sarkproducts.com/targetzonecalculator.htm ลองกรอกข้อมูลแล้วคำนวณออกมา ได้ผลดังภาพ จากตารางถ้าผมจะออกกำลังกายด้วยการวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก สรุปได้ว่า "ผมต้องวิ่งให้หัวใจเต้นไม่ต่ำกว่า 145 bpm เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 นาที โดยเริ่มจับเวลาเมื่อหัวใจเต้นได้ 145 bpm" ...ถูกไหมครับ??? ทีนี้ผมเพิ่งออกกำลังกายโดยการวิ่งได้เมื่อต้นเดือนมกราคมนี่เอง ถ้าผมจะโหมวิ่งแบบนั้นคงหัวใจวายก่อน ถ้าผมจะวิ่งโดยการเร่งความเร็วเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วผ่อนลง จากนั้นวิ่งแบบเร่งความเร็วอีก สลับกันไปมาแบบนี้จะลดน้ำหนักได้ไหมครับ ทุกวันนี้ผมวิ่งเรื่อยๆ  มาเรียง ๆ แต่เหงื่อท่วมตัวแล้วก็หายใจไม่ทันเหมือนกันนะครับ  แทบขาดใจตายเลยล่ะ ขอบคุณครับ จากคุณ : อิฐมอญ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 20:47:16

ความคิดเห็นที่ 26  โอโห มีคนสนใจ ผมตอบไม่ทัน ขอติดเป็นพรุ่งนี้นะครับ วันนี้เพิ่งจะไปถ่ายรูป Load Profile ของโปรแกรม Cardio มาให้ดูเพื่อความเข้าใจ (รอจากกล้องนะครับ) สวัสดีครับ คุณ Flaminio  จำได้ว่าคุณใช้เครื่อง Cybex ใช่ไหม ? ตอบ จขกท คห. 20 ตั้งแต่นาที่ 1-ไปจนจบ Load Profile = "เบา- สลับ-หนัก " ตลอด ตามรูป คห. 10 ครับ แต่ FAT-Burn จะเริ่มที่ นาที ที่ 20 หรือ 25  ครับ (ตัวเลขจำไม่แม่นนัก) เหตุผลที่ FAT เริ่มเอามาเผาช้า เพราะ ..... อะไร อธิบายง่ายๆ คือ การเอาไขมันที่เป็น Storage FAT มาใช้ มันยากกว่า การเอา glucose ในกระแสเลือด ซึ่งเป็น เชื้อเพลิง -เหลว   นั่นคือ มันพร้อมใช้มากกว่า FAT ครับ พูดง่าย ภาษาชาวบ้าน FAT เป็น Wax หรือ ไขมันแข็ง ต้องรอให้ร้อนจึงเหลวเสียก่อน นั่นคือ เรา warm up จนร่างกายร้อนเสียก่อน พูดอย่างนี้ ร้อง อ๋อ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 54 21:48:04

ความคิดเห็นที่ 27 ตอบ 1 ไม่จริง สามารถลดความอ้วนได้ครับ เพราะเราต้องคำนึงถึงแคลอรี่ที่ออกกำลังกายด้วย จริงอยู่ที่ มันไม่สามารถดึงไขมันไปใช้ได้ แต่ในทางกลับกันมันก็สามารถป้องกันการสะสมของไขมันใหม่ได้ ยิ่งถ้ากินน้อยกว่าออกกำลังกาย ก็เป็นการประกันได้อย่างหนึ่งว่า จะสามารถลดน้ำหนักได้ โดยไขมันลดลง แต่ต้องใช้เวลา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นวิธีที่ไม่ค่อยดีนัก เกิดโยโย่ได้ ถ้าพูดให้เข้าใจได้ง่ายๆ กินน้อยกว่าออกกำลังกาย ไงๆก็ลดแน่นอนครับ 2 สูญเสียกล้ามเนื้อ มันไม่ได้สูญเสียอะไรที่เยอะมากขนาดนั้น แน่นอนครับสูญเสียแน่แต่นิดหน่อย แล้วถ้าแค่วิ่งวันละ 30-40 นาที ผลกลับได้กล้ามเนื้อขา และกล้ามน่องมากขึ้นนะครับ ถ้ากินดี ผมเองวิ่งประจำ 30-40 นาที ความเร็วเฉลี่ย 10.5-11.5 ก็ไม่ได้สูญเสียกล้ามเนื้ออะไรนัก ซึ่งโดยปรกติก็เล่นเวทประจำ แต่ถ้าเกิน 40 นาทีนี่เห็นผลชัดว่ากล้ามเล็กลง 3 เน้นอัตราการเต้นหัวใจคงที่สม่ำเสมอจะเบิร์นไขมันได้ดีกว่านะครับ จริงๆแล้วแฟตเบิร์นดึงไขมันไปใช้ได้ดีกว่า คาร์ดิโอ แต่มันใช้เวลามากกว่าและน่าเบื่อ ถ้าคุณแข็งแรงแล้ว คาร์ดิโอเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า เพราะสนุกกว่า ร่างกายหลั่งเอ็นโดรฟินได้ดีกว่า แล้วหลังจากหยุดคาร์ดิโอแล้ว ร่างกายยังคงดึงไขมันไปใช้ได้ และเป็นการเร่งให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีกว่าคาร์ดิโอด้วย จากคุณ : muscleguy (muscleguy) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 54 00:03:24

ความคิดเห็นที่ 28 อาจจะไม่ได้ตอบตรงคำถามของ จขกท. เท่าไหร่  แต่อยากจะบอกเล่า้ข้อเท็จจริงที่ตัวเองทำแล้วได้ผลจริงอ่ะครับ คือ หลักการลดน้ำหนักหรือลดไขมัน มันง่าย ๆ แค่ กินให้น้อยกว่าพลังงานที่ใช้ในแต่ละวันอ่ะ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่สามารถลดกิเลสส่วนเกินของตัวเองในส่วนนี้ได้ ก็เลยต้องอาศัย เน้นมาออกกำลังกายเอา ข้อแย้งของผมก็คือ  ทุกคนสามารถออกกำลังแบบหนักคงที่ (ในระดับแอโรบิคโซน) ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 30-40 นาที ได้แน่นอน ขอเพียงแค่อย่าใจร้อน  ให้ค่อยเริ่มต้นจากเบา ๆ น้อย ๆ ก่อน  แล้วเพิ่มขึ้นทีละน้อย ให้ร่างกายได้ค่อย ๆ ปรับตัว อย่างผมเองจากเคยวิ่งแค่ 1-2 รอบ ลู่วิ่งมาตรฐาน ก็เหนื่อยแทบขาดใจแล้ว มาเป็นวิ่ง มินิมาราธอน จนถึงฟูลมาราธอน อยู่ในเกณฑ์กำหนดเวลาได้สบาย ก็ด้วยการค่อย ๆ ฝึกไปทีละน้อยและอดทน "อย่างใจเย็นครับ"   คนทุกวันนี้ชอบอะไรทีด่วน สำเร็จรูปไปซะหมด ผมไม่เคยออกกำลังกายด้วยเครื่องหรือโปรแกรมอะไรเลย   ปัจจุบันก็เน้นกระโดดเชือกอยู่กับบ้านเอา อาศัยความสะดวกเป็นหลัก และจากที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการกระโดดเชือกมามาก พบว่ามันก็ให้ประสิทธิผลไม่ต่างจากการวิ่งเลย อีกทั้งยังมีแรงกระแทกต่ำ (น้อยกว่าวิ่ง) หากทำได้ถูกวิธีก็ไม่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วแน่นอน ลองอ่านบทความเกี่ยวกับการกระโดดเชือกที่ถูกต้องได้ตามลิงค์ครับ http://www.thairunning.com/newboard/viewtopic.php?t=22130 http://topicstock.pantip.com/supachalasai/topicstock/2010/08/S9536602/S9536602.html http://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2010/06/L9406353/L9406353.html ผมกระโดดเชือกต่อเนื่องที่ 130-140  ครั้ง/นาที ซึ่งเบิร์นได้เฉลี่ย 13 kcal/นาที เป็นระยะเวลา 25-30 นาที ขึ้นไป (เบิร์นเฉลี่ยวันละ เกือบ 500 kcal) ทำทุก ๆ วัน  ร่วมกับการลดบริโภคแป้ง ไขมัน น้ำตาล โดยเฉพาะในมื้อเย็น น้ำหนักก็ลด พุงและไขมันก็ลด สุขภาพดีขึ้นแบบเห็นได้ชัดเลย (ภายใน 3 เดือนกว่าก็เห็นผล) ทั้งหมดมันอยู่ที่ใจล้วน ๆ ครับ  ถ้าทำได้ รับรองว่าประสบผลสำเร็จแน่ ๆ แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็สืบค้นหาหนทางอื่นที่เหมาะสมกับสภาพความพร้อมของจิตใจตนเองไปเรื่อย ๆ แ้ล้วกันครับ ภาพถ่ายรูปร่างผมในปัจจุบัน หลังที่เคยอ้วนลุงพงมาก่อน แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 54 03:48:01 จากคุณ : นายหลาน เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 54 03:41:41

ความคิดเห็นที่ 29 เห็นด้วยกับ นายหลาน ครับ... ผมว่าอยู่ที่เป้าหมายด้วยแหละ ถ้าคุณอยากลดแบบรายการ Biggest Loser ก็ต้องหนักเพราะต้องแข่งกันมีเวลากำหนด แต่ชีวิตจริงต้องการอย่างนั้นเหรอ? ไม่กลัวบาดเจ็บเหรอ? อจ. หมอเคยบอกว่า พวกคุณอาจไม่เคยรู้ว่าหมอกระดูกเราต้องเจอ คนที่มารักษาวันละกี่เคส? ปล. ไม่ได้มาแย้งหรือมาขัดนะครับ ผมเป็นห่วงคนอ่านที่เป็น Beginner มากกว่าอะครับ จากคุณ : McDonut เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 54 15:32:26

ความคิดเห็นที่ 30 ....นายหลาน เขางอแขนข้างขวา แล้วกำหมัดด้วย เขาจะไปชกใครหรอครับ จากคุณ : ไข่เจียวหน้าหนาว เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 54 16:02:43

ความคิดเห็นที่ 31 ผมชอบ แนวคิด ของคุณ tinynu มากนะครับ เวลาควบคุมอาหาร หรือ ออกกำลังกาย จะได้ไม่ต้องหลอกตัวเอง ว่าทำไมสัด่ส่วนถึงไม่ลดซักที จะอ้วน จะผอม มันอยู่ที่ input output นี่แหละ จากคุณ : white love เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 54 16:17:35

ความคิดเห็นที่ 32 ขออนุญาต จขกท ถามคุณ TinyNu  ด้วยนะครับ ในกรณีที่ผมวิ่งในสวนสาธารณะ   ผมอยากทราบถึงระยะเวลาที่เหมาะสมครับว่าในแต่ละช่วงควรใช้เวลาเท่าไหร่ครับ(เบาสลับหนัก) เช่น เบา 5 นาที หนัก 5 นาที หรือ เบา  8 นาที หนัก 8 นาที ทำอย่างนี้เรื่อยๆจนครบเวลาครับ(เวลาที่ fat เริ่มถูก burn  (นาทีที่ 20 หรือ 25)+ เวลาที่เราสามารถวิ่งต่อไปได้) แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 54 17:37:20 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 54 17:35:46 จากคุณ : muham_baru เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 54 17:34:04

ความคิดเห็นที่ 33 ผมว่าถูกทั้งหมดแหละ แต่คุณ Tiny เอาวิทย์การกีฬามาช่วยด้วย ทำให้เราไม่ต้องเดินอ้อมไปไกลกันนัก เป็นวิธีที่ฉลาดกว่า ผมวิ่งได้ทุกวันถ้าไม่มีธุระที่ไหน 10 กม.ประมาณ 1.07 ชม. (ถ้าแข่งขันจะได้ประมาณ 50 นาที ) จะสังเกตุว่าหลังนาทีที่ 30 ไปแล้ว เหมือนมันมีแรงจากไหนไม่รู้ค่อยๆ ไหลรินออกมา ทำให้วิ่งได้อร่อย สงสัยคงเป็นจาก Fat burning ละมั๊ง แต่ผมยกน้ำหนัก สม่ำเสมอด้วย สังเกตุว่า 2 สิ่งนี้มันเกื้อกูลกัน ทำให้ไม่เกิด YOYO อะไรเลย น้ำหนักคงที่ตลอด มา 6-7 ปีแล้ว BMI ได้ประมาณ 19 เมื่อถึงตอนนี้แล้วก็ไม่ต้องคุมอาหารอะไรมาก อยากกินอะไร ตามใจได้พอสมควร(เน้นพอสมควร)ไม่ถึงกับตอนเย็นต้องกินแต่ผัก หรืองดแป้งเลย ต้องการเท่านี้พอแล้ว สิ่งที่ยากคือ   เริ่มลงมือทำ สิ่งที่ยากกว่านั้นคือ ทำต่อเนื่องเป้นนิสัย 100 คนจะเหลือทำขั้นนี้ผมให้ 10 คนพอ จากคุณ : Fastcat4100 เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 54 19:18:46

ความคิดเห็นที่ 34 หลักการทางวิทยาศาตร์ มันก็ยังมีหลายแนวทาง หลายปัจจัยแวดล้อม เลือกให้พอเหมาะกับตัวเอง สรีระ และกายวิภาค ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เลือกอาหารที่จะกินให้เหมาะเป็นวิธีที่ลดไขมันที่ง่ายที่สุด บางคนออกกำลังเพื่อที่จะได้กิน ก็เป็นแนวทางของเขา จากคุณ : jukntao เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 54 12:59:58