Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แชร์ประสบการณ์ my true story 6 ติดต่อทีมงาน

ตอน...เกิดอีกที่ต้องดีกว่าเดิม2

             เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปอย่างเสียวไส้...ตุ๊กตาน้อยของข้าพเจ้าที่โดนพลิกไปพลิกมามันสงบลงอย่างสบายตัวด้วยอำนาจของการข่มใจที่ข้าพเจ้าใช้บทสวดมนต์สะกดมันเอาไว้  ทุกอย่างดูจะเริ่มเข้าที่เข้าทางของมัน  ข้าพเจ้านั่งตั้งสติอยู่บนเตียงคนไข้และเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อที่จะอาบน้ำและทำทำให้ตัวเองสงบใจ  เพื่อที่จะเผชิญกับการเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งในเวลาสี่โมงเย็นของวันนี้


ในวันนั้นตลอดทั้งวันบรรดาญาติติโกโหติกาของข้าพเจ้าแห่มาให้กำลังใจข้าพเจ้าและน้องชายอย่างแน่นขนัด  ทั้งญาติมิตรสนิทกัน   พี่ป้าน้าอา เพื่อนฝูง แฟน อนาคตพ่อตาแม่ยายก็มา  ดูดีทีเดียว หลังจากที่อาบน้ำอาบท่าเสร็จ  สักพักเวลานั้นใกล้บ่ายโมงเย็นแล้ว  หมอสาวสวยเดินอาดๆเข้ามาที่เตียงของข้าพเจ้าพร้อมกับใบหน้าที่สวยสด   อะไรกะgu อีกล่ะเนี้ย!!!   ข้าพเจ้านึกในใจ   “คุณค่ะ  หมอจะเข้าสอบถามเป็นครั้งสุดท้ายว่าและจะเอาเอกสารมาให้กรอก “  


ใบเอกสารที่หมอเอามานั่นคือใบตรวจสอบเรื่องสุขภาพจิตว่า คนไข้นั้นพร้อมที่จะผ่าตัดแล้วหรือไม่  คำถามมากมายถูกตั้งขึ้นมาจากปากพยาบาลสุดสวย   ข้าพเจ้าตอบไปพร้อมจ้องหน้าหมอไป  แต่ในใจคิดว่า  “มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอ”  เยอะไปหรือเปล่า   แต่ก็ช่างเถอะนี่คือวิธีการและการปฏิบัติตามกฎ  และแล้วหมอสุดสวยก็เดินสวยออกไปพร้อมกับเอกสาร  ทิ้งให้ข้าพเจ้านั่งมองบั้นท้ายเธออย่างอดเสียมิได้..


เกือบลืมไป!!!มีอีกเรื่องที่จะต้องบอก  ก่อนหน้านี้วันหนึ่งวันที่ข้าพเจ้าเข้ามานอนที่โรงพยาบาลในวันแรก   หมอต้องให้ข้าพเจ้าไปฟอกเลือดอีกรอบก่อนที่จะเข้าผ่าตัดเพราะว่า  ค่าของเสียในเลือดของข้าพเจ้านั้นมันสูงและยังมีภาวะเลือดจางอยู่   หมอบอกว่าก่อนที่จะผ่าตัดนั้นเลือดมีปัญหานิดหน่อยแต่ถ้าฟอกเลือดแล้วผลของเลือดจะดีขึ้น....ก็เท่านั้น เอาล่ะมาเล่าต่อได้



 นั่งมองบั้นท้ายหมอสาวสวยอยู่สักพักข้าพเจ้าก็เดินออกมามาที่ประตูหน้าห้องพร้อมยกโทรศัพท์พูดคุยกับทุกคนและบอกทุกคนว่า  ข้าพเจ้าจะไม่เป็นไร  โดยเฉพาะแม่ของข้าพเจ้านั้นไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะมีสติหรือตั้งสติได้  เพราะแกบอกกับข้าพเจ้าในตอนนั้นว่า  “ลูกชายสองคนเข้าห้องผ่าตัดพร้อมกัน  ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง  กลัวไปซะทุกอย่างทำใจไม่ได้”   แม่ข้าพเจ้าร้องไห้ตั้งแต่ตอนไหนไม่มีใครทราบ...



บ่ายโมงนิดๆแล้ว....ขบวนขันหมากก็เดินทางมาถึงห้องของข้าพเจ้า  อุปกรณ์ครบมือที่เดียวเล่นเอาตกใจกันใหญ่  พยาบาลทั้งชายและหญิงปิดจมูกใส่เสื้อสีเขียว  สี่ห้าคนดินมาพร้อมกับเตียงทั้งออกซิเจน  สารพัด  ตอนนั้นจิตใจของข้าพเจ้านั้นมันหวิวๆพิกล    แต่ก็ไม่เป็นไร  มาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องสู้ก็ต้องพยายามกันต่อไป  เชื่อว่าหมอคงไม่ปล่อยให้ตายคาห้องผ่าตัดเป็นแน่แท้....


ข้าพเจ้าย้ายสภาพร่างกายที่ผอมแห้งแรงน้อยจากเตียงประจำตำแหน่ง  ขึ้นเตียงลิมูซีนของโรงพยาบาล  และแล้วก็ถูกเข็นออกจากห้องปลอดเชื้อ   ข้าพเจ้าพยายามมากที่จะมองหน้าทุกคนที่มาให้กำลังใจข้าพเจ้าในวันนั้น    แม่พ่อและคณะบางคนแต่จริงๆก็เกือบหมดที่มาเดินตามไปส่งหน้าห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าจับมือแม่และพ่อเอาไว้บอกท่านทั้งสองว่า  “ข้าพเจ้าจะไม่เป็นไร “  และข้าพเจ้ายังถามถึงน้องชายของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง   แม่บอกว่าน้องก็เตรียมเข้าห้องผ่าตัดพร้อมกับข้าพเจ้า....



หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นหากคนที่ไม่มีลูกคงไม่เข้าถึงรสพระธรรมได้อย่างถึงแก่นเป็นแน่แท้  เมื่อก่อนสมัยที่เรายังหนุ่มสาวกว่านี้ไม่มีภาระอะไรมากไปกว่าการเรียนที่เราคิดว่ามันยุ่งยากและภาวนาว่า  เมื่อไหร่การเรียนจะสิ้นสุด   เมื่อไหร่เราจะโตเสียที  เมื่อไหร่  เราจะออกไปทำงานหาเงินซะทีจะได้ไม่ต้องขอแม่ขอพ่อให้เหนื่อยยาก  เมื่อไหร่ที่เราจะได้ออกมาอยู่แบบอิสระเสียที  ไปไหนมาไหนก็ต้องคอยตอบคำถามพ่อกับแม่  รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องลำบากใจและเหนื่อยหน่ายใช่มั๊ย  หลายคนอาจจะบอกว่าใช่


ข้าพเจ้าก็เช่นกันที่บ้านข้าพเจ้านั้นพ่อและแม่ไม่ตีเราสองคนพี่น้องตั้งแต่ขึ้น ม.1  แต่ก็มีดุและตวาดบ้างตามประสาพ่อแม่ที่ต้องหาเงินส่งควายเรียน หุหุหุหุ  พ่อและแม่ของข้าพเจ้าทำทุกอย่างที่จะให้ลูกทั้งสามของท่านนั้นมีอนาคตที่ดี   เริ่มตั้งแต่การศึกษา  พยายามส่งให้เรียนที่โรงเรียนเอกชนที่สังคมนั้นแตกต่างจากโรงเรียนของราชการอย่างเห็นได้ชัด   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม กฎระเบียบต่างๆ  และที่จะอดพูดไม่ได้คือค่าเล่าเรียน   ซึ่งแพงกว่าอย่างเห็นได้ชัด  ทำไมเหรอแม่กับพ่อต้องทำแบบนั้น  เมื่อก่อนไม่เคยเข้าใจ    แต่วันนี้รู้แล้วว่าทำไม   พ่อกับแม่อยากให้ลูกได้มีสังคมที่ดีกว่าในสิ่งที่ท่านทั้งสองได้เจอมาในอดีต   ไม่ใช่ให้ลูกเห่อเหิมคบเพื่อนที่ฐานะดีกว่าและไม่รู้จักดูตัวเองว่า ตัวเองฐานะเป็นอย่างไร
ในสมัยนั้นเพื่อนๆของข้าพเจ้าแต่ละองค์นั้นไม่ต้องบอกเลยว่า รวยระดับไหน  เรียกได้ว่า มีแต่เศรษฐี และลูกหลานเถ้าแก่   แต่หลายคนก็ฐานะปานกลางค่อนรวย  คือส่วนใหญ่มีตังค์ยกเว้นครอบครัวข้าพเจ้าที่พ่อทำงานโรงแรมแถวสุขุมวิท  ส่วนแม่เป็นสุดยอดแม่บ้านเต็มขั้น   เลี้ยงลูกและพยายามเก็บเงินเพื่อลูก  ทำโน้นนี่หารายได้เสริม  แบ่งห้องให้เช่าสารพัดที่จะทำ   ตอนนั้นไม่get ว่าแม่ทำเพื่อใคร  ดูสิโง่มั๊ย.....


    แม่เคยบอกว่าที่ทำทั้งหมดนี่ฉันไม่เคยคิดที่จะทำเพื่อตัวเองเลย...ฉันทำเพื่อพวกแกนั่นแหละ (พุดแบบใส่อารมณ์เพราะเถียงกันอยู่อันนี้จำได้)   จนทุกวันนี้เจอเต็มๆสว่างเต็มตาเลยชัดเลย  และทั้งหมดที่ทำมาได้แต่ขอโทษแม่และพ่อ   และโทษตัวเองเพราะทุกวันนี้เข้าใจแล้วว่า พ่อแม่รักลูกแค่ไหน.....และความรักแบบไม่มีข้อแม้เป็นอย่างไร  เรียกได้ว่าบลูเลย์ที่ว่าชัดแล้วอันนี้ชัดกว่า  และโดนเต็มกว่า...



        อย่าที่บอกครับว่าเมื่อเรายังโง่อยู่เรากลับอยากโตอยากไปจากพ่อแม่อยากพิสูจน์อะไรมากมาย  แต่มันก็มีบางอารมณ์แหละในระหว่าการทำงานหรือท้อแท้อะไรบางอย่างเราก็จะหลบออกไปหาเวลาที่เราเป็นเด็กนักเรียน  เป็นนักศึกษาที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรนอกเรียนและจะบ่นกับตัวเองว่า  “guไม่น่าโตเลย”  ดันอยากกลับเป็นเด็กอีก......กรรมเช่นกันเราไม่มีวันจะโตได้เลยในสายตาพ่อกับแม่....ยังคงเป็นเด็กชายและเด็กหญิงของท่านเสมอ  เชื่อสิ!!  



      อันที่จริงแล้วข้าพเจ้าว่าพูดเรื่องนี้มากไปแล้ววกกลับเข้ามาต่อเรื่องของข้าพเจ้าดีกว่าครับ  เวลานั้นก่อนที่ข้าพเจ้าจะเข้าไปห้องผ่าตัดนั้นข้าพเจ้าโบกมือให้กับทุกคน  ไม่ใช่โบกมือลานะเพราะยังไม่ได้ไปตายที่ไหน  แค่จะไปเกิดใหม่อีกรอบแบบมีหมอเป็นคนดำเนินการให้  ไม่ใช่ยมบาล อิอิอิ รถลิมูซีนของโรงพยาบาลเข็นข้าพเจ้าผ่านหน้าญาติพี่น้องทุกคน แล้วข้าพเจ้าก็ยิ้มให้กับทุกคน


       รถเข็นมาระหว่าทางก่อนเข้าห้องผ่าตัดข้าพเจ้าก้ได้มาเจอรถเข็นที่มีน้องชายของข้าพเจ้านอนอยุ่ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดและกังวล  ส่วนข้าพเจ้านั้นบอกได้คำเดียวว่าว่างเปล่าจริงๆ   เราทั้งสองได้คุยกันนิดหน่อยก่อนที่น้องชายของข้าพเจ้าจะถูกเข็นเข้าไปก่อนในห้องแรก   สายตาข้าพเจ้ามองส่งน้องชายข้าพเจ้าจนประตูห้องผ่าตัดนั้นปิด  สักพักหนึ่งข้าพเจ้าก็ถูกเข็นเข้าไปอีกห้อง
         


     แวบแรกที่เห็นนั้นหมอและพยาบาลเกือบสิบคน  มองเหยื่อของเขาอย่างอบอุ่น  ข้าพเจ้าถูกย้ายจ้ารถลิมูซีนคันงามให้ไปนอนบนเตียงที่เหมือนกับไม้กางเขน   และทุกอย่างก็เริ่มขั้นตอนของมัน   สายสารพัดสายก็ถูกนำมาติดตัวข้าพเจ้า   ท่อสารพัดก็มาตาม  ในห้องผ่าตัดนั้นมีไฟดวงใหญ่เหมือนสปอต์ไลท์ในสนามบอลส่องอยู่  และหมอวิสัญญีก็บอกว่า  “คุณค่ะ สูดหายใจแรงๆนะคะเอาอ๊อคซิเจนเข้าปอดลึกๆ  ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้ว่า  มันถึงเวลาเกิดใหม่เสียที่แล้วทุกอย่างก็ดำมืด..........ไม่รู้สึกตัวอีกเลย....
                               

                                 To be continued

จากคุณ : daxter
เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 17:43:11




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com