ความคิดเห็นที่ 1 คนท้องนี่ ทำMRIได้ด้วยหรอค่ะ จากคุณ : jkpn1207 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 15:13:49

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณข้อมูลดีๆค่ะ พี่สาวผ่าคลอดหลานคนที่สองเหมือนกัน ต้องรีบนำไปแจ้งโดยด่วน ^^ จากคุณ : KopFee เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 15:15:39

ความคิดเห็นที่ 3 เราก็ผ่าคนที่ 2 ตอนนี้ลูกเราอายุ 1.5 ขวบแล้วจ้า..แล้วมีแผนจะมีอีกคนค่ะ แต่เราฝากแบบพิเศษค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ค่ะ จากคุณ : ikkarik เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 16:06:14

ความคิดเห็นที่ 4 ตามมาจากกระทู้ที่แล้วค่ะ ดิฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่อายุก็ไม่น้อยแต่อยากมีลูก อ่านไปอ่านมาก็งงๆ ไม่รู้ควรจะเชื่ออันไหนกันแน่ เลยขอตามมาอ่านต่อในนี้นะคะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ค่ะ จากคุณ : ขาหมูแก้มป่อง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 16:34:08

ความคิดเห็นที่ 5 ตอบคุณ jkpn ครับ ทำได้ครับ ที่ไม่ควรทำคือ CT scan ครับ จากคุณ : Minimally Chic เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 17:03:50

ความคิดเห็นที่ 6 MRI ไม่ปลอดภัยกับกระเป๋าสตางค์ครับ (ความรู้เสริม) ค่า MRI เริ่มที่ตั้งแต่ 7-8 พัน ถึง 2 หมื่นปลายๆ (ทั้งตัวและฉีดสีด้วย) จากคุณ : Technicial (WindBlade) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 17:20:12

ความคิดเห็นที่ 7 เชื่อหมอสิครับ  อย่าง หมาขี้เรื้อน ,mk096 ,natefang , ฟ้าหมาดฝน ,ปรายภพ, Minimally Chic ,no preservation ,vinv  หมอทั้งนั้น  ตกหล่นใครก็ขออภัย ..ส่วนการรักษาจะผิดพลาดอย่างไร  หมอก็คนๆหนึ่งแหล่ะ  แต่ต้องดูทำตามหลักวิชาการแล้วหรือไม่  อันไหนเป็นความประมาทเลินเล่อก็พิจารณากันไป จากคุณ : ย้ง (suanplu) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 17:20:28

ความคิดเห็นที่ 8 - ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอย่าเพ่ิงตามมาทันในช่วงตั้งครรภ์และคลอดครั้งนี้เลย หวังว่าจะมีประโยชน์บ้างครับ 5555   ขอขำก่อน จากคุณ : jtsunod7 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 17:29:06

ความคิดเห็นที่ 9 ^ อาจจะขำ แต่ขอยืนยันว่าจริงนะเนี่ย เรื่องดวงน่ะ จากคุณ : ฟ้าหมาดฝน เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 17:35:08

ความคิดเห็นที่ 10 พี่สาวเราก็ผ่าคลอด ตอนคลอดคนที่ 2 ก็พังผืดเยอะมาก ๆ พอคลอดเสร็จหมอให้ทำหมันเลยค่ะ แต่ตอนนั้นหมอบอกว่า เป็นเพราะหลังคลอดคนแรก ไม่ได้ออกกำลังกาย(เดิน) เลยไม่แน่ใจว่าเกี่ยวหรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 54 17:59:08 จากคุณ : peachgirl79th เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 17:57:17

ความคิดเห็นที่ 11 - ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอย่าเพ่ิงตามมาทันในช่วงตั้งครรภ์และคลอดครั้งนี้เลย หวังว่าจะมีประโยชน์บ้างครับ ^ ^ ข้อนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ ^ ^ เป็นแม่คนหนึ่งหล่ะถ้าหลีกเลี่ยงการผ่าตัดคลอดได้จะทำ ขนาดท้องที่ 2 คลอดออกมาเด็กหนัก 4.02 กก. ยังดันทุรังเบ่งออกมาเลย - - หมอ : เลยกำหนดคลอดมาอาทิตย์กว่าแล้วนะ ผ่ามั้ย เรา : ไม่ค่ะ ...!!!!! หมอ : งั้นวันนี้นอน รพ.นะ ถ้าพรุ่งนี้ไม่คลอดผ่านะ เรา : ขอยากระตุ่นแทนผ่าได้มั้ยหมอ หมอ : เออ..ยอมๆ เดี๋ยวนอน รพ.จนกว่าจะคลอดแล้วกัน (แล้วหมอก็หัวเราะ) พอเช้าอีกวัน เข้าห้องคลอดเร่งยา เจาะถุงคลอดเองได้เฉยเลย แต่เกือบจะตกเลือดเพราะเด็กตัวใหญ่มาก... ปล.ตอนก่อนนอน บนศาลพระพรหมหน้า รพ.เจริญกรุงฯ ว่าขอให้คลอดเองคลอดง่ายที่เถอะ ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลุกนะจะถวายพวงมาลัย 9 พวงเลย (มีติดสินบนด้วยหล่ะ ) 555555+ จากคุณ : โปร...ช่างก่อสร้าง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 18:07:02

ความคิดเห็นที่ 12 น้องสาวเราก็ทำตามคำแนะนำของหมอ ผ่าท้องได้ลูกสองคนก็ทำหมันเลย ป.ล.เดี๋ยวนี้คนคลอดลูกด้วยการผ่าเยอะจังเลย เรานึกว่ามีแต่เด็กตัวโตเขาถึงจะให้ผ่าซะอีก แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 54 18:31:57 จากคุณ : อิมาอิซัง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 18:30:42

ความคิดเห็นที่ 13 ท้องสอง ไม่ผ่าได้มั๊ย ท้องแรกผ่าตั้งแต่อายุน้อยๆ (19)ท้องสองห่างเป็นสิบปีไม่อยากผ่าแล้ว(31) จากคุณ : kk (zadclub) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 18:40:19

ความคิดเห็นที่ 14 ตามตั้งแต่กระทู้แรก มาจนกระทู้นี้ ขอบคุณค่ะ...ได้ประโยชน์มากมายจริงๆ แถมอิ่มด้วย ได้กินมาม่าอิกเพียบเลย หุหุ เป็นคุณแม่ลูกหนึ่งค่ะ...คลอดด้วยวิธีผ่า เหตุเพราะปากมดลูกไม่ยอมเปิด คุณหมอเลยต้องจับผ่า ขอถามนอกเรื่องได้มั้ยค่ะ พอดีว่าตัวเองเนี่ยผ่าคลอดในลักษณะแนวยาว(รพ.รัฐบาล) แล้วเคยได้ยินมาว่าการผ่าลักษณะนี้เป็นอันตราย อาจเกิดแผลฉีกขาดได้ง่ายกว่า แบบขวาง ...อันนี้ข้อเท็จจริงเป็นยังไงอ่ะค่ะ ยิ่งมาเห็นเคสนี้ด้วยแล้วบอกตรงๆว่ากลัวมากค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : แม่น้องพิมพ์ (pimploy_2010) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 18:42:52

ความคิดเห็นที่ 15 @ 13 ครับ  ก็ได้นะครับ แต่มีความเสี่ยงเรื่องมดลูกแตกเพิ่มขึ้นมา จริง ๆ ตัวเลขไม่มากนัก แต่ถ้าแตกขึ้นมาโอกาสจะต้องรับการผ่าตัดเพื่อเย็บซ่อมรอยแตก หรือบางครั้งซ่อมไม่ไหว ต้องตัดมดลูกออกไปเลย  ซึ่งเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่จะเสียเลือดมาก  ทำให้ชั่งน้ำหนักแล้วไม่ค่อยน่าเสี่ยงเท่าไหร่  เลยไม่ค่อยมีคนแนะนำให้คลอดเองหลังการผ่าตัดคลอดมาแล้วเท่าไหร่นัก  แต่จริง ๆ แล้ว trend ในต่างประเทศเขาทำกันเยอะกว่าบ้านเราครับ @ 14 แผลที่ผิวหนัง จะแนวตั้งหรือแนวนอน ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องของอันตราย  แผลที่ลงบนตัวมดลูกต่างหากที่จะบอกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดมดลูกแตกมีมากหรือไม่  โดยทั่วไป เกือบ 100% การผ่าตัดคลอด จะลงแผลลงบนมดลูกในแนวขวาง  ซึ่งอัตราการเกิดมดลูกแตกจะต่ำกว่าการลงแผลบนตัวมดลูกในแนวตั้ง   การลงแผลบนตัวมดลูกในแนวตั้งนั้นจะทำในกรณีจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เช่น มีเนื้องอกบริเวณที่จะลงแผลในแนวขวาง ทำให้ลงแผลในแนวขวางไม่ได้  หรือบางครั้งเด็กตัวโตมาก ๆ ลงแผลแนวขวางแล้วเอาเด็กไม่ออก ต้องลงแผลแนวตั้งเพิ่มเติม  ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ แพทย์ผู้ผ่าตัดมักจะแจ้งคนไข้เลยว่าอย่าท้องอีกเลย  เพราะความเสี่ยงสูงขึ้นเยอะน่ะครับ จากคุณ : Minimally Chic เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 19:39:46

ความคิดเห็นที่ 16 คลอดลูกมาหนึ่งคนด้วยการผ่าตัดหลังคลอดมีอาการแทรกซ้อนมากมาย เจาะเลือดไปตรวจจนไม่มีที่ให้เจาะ สามีกลัวมากจนไม่อยากให้ท้องอีกเพราะไม่อยากเห็นเราทรมานแบบนั้นอีกแล้วแต่เราอยากมีลูกอีกคนมากๆจะทำไงดีคะ ใจหนึ่่งก็กลัวอีกใจก็อยาก จากคุณ : Yel_Ly เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 21:45:12

ความคิดเห็นที่ 17 คลอดธรรมชาติเถอะคะ การผ่าคลอดถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ต่อให้ทำกันจนเป็นเรื่องธรรมดาก็เถอะ WHO แนะว่าอัตราการผ่าคลอดไม่ควรเกิน 15% แต่รพ.เอกชนในกรุงเทพ อัตราการผ่าคลอดอยู่ที่ 80% (หมอที่รพ.นั้นเล่าให้ฟัง) ประเทศตะวันตกทั้งหลายก็รณรงค์ให้คลอดธรรมชาติทั้งนั้น ผ่าคลอดจะต้องมีเหตุผลทางการแพทย์ ไม่ใช่เอาความสะดวกเป็นหลัก เราเองก็กลัวการคลอดลูกคะ ก่อนคลอดก็ศึกษาเรื่องการคลอดเยอะมาก ทำการบ้านเยอะมากคะ ไปอบรมการคลอดมาด้วย ตอนแรกก็เครียดคะเพราะข้อมูลเยอะมาก สุดท้ายก็คลอดเองได้ แต่ขอหมอบล็อคหลังตอนเปิดได้เก้าเซนต์แล้ว หลังบล็อคหลัง ชั่วโมงกว่าก็คลอดแล้ว ถ้าท้องแรกผ่า ท้องสองก็มีสิทธิคลอดธรรมชาติได้คะ เพราเพื่อนผ่าท้องแรก ท้องสองคลอดเอง ที่เรียกว่า vaginal birth after cesarean (VBAC) หลังคลอดไม่มี complication แต่อัตรา VBAC ยังต่ำมากในหลายประเทศ อย่างที่อเมริกา VBAC ก็แค่ 9% เองมั้ง คลอดธรรมชาติกันเถอะคะ ~Mrs.J จากห้องชานเรือน จากคุณ : Freedom and Justice เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 21:53:20

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นอีกคนที่คลอดโดยการผ่าตัด ตอนนี้คนที่สอง 4 ขวบแล้วยังเจ็บบริเวณมุมแผลด้านซ้ายอยู่เลยค่ะ คลำดูเหมือนมีก้อนไตกลมๆอยู่ด้วย คือเรายกของหนักตลอดเลยค่ะ แล้วก็อ้วนด้วย ไม่รู่ว่าเกี่ยวกันรึปล่าว ถ้าเลือกได้จะขอคลอดเองดีกว่าค่ะ จากคุณ : saranrat เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 22:09:27

ความคิดเห็นที่ 19 ขอโทษเถอะค่ะอยู่ที่หมอด้วยค่ะ หมอที่เราฝากท้องกล่อมจนเราต้องผ่าค่ะเพราะพูดจนเรากลัวการคลอดเองเลยค่ะ  มารู้ที่หลังเค้าจะได้% จากโรงพยาบาลมากกว่าคลอดธรรมชาติน่ะค่ะ ที่รู้เพราะพยาบาลบอกน่ะค่ะ ตอนไปคลอดพอบอกว่าเป็นคนไข้จากหมอนี้เค้าก็ส่ายหัวแล้วน่ะค่ะ บอกว่าผ่าชัวร์เพราะคนไข้หมอนี้ผ่าหมดทุกคนไม่มีรายไหนคลอดเองเลยซักคนอ่ะ จากคุณ : อัยอาย เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 22:31:48

ความคิดเห็นที่ 20 เพื่อนผมเป็นหมอสูติฯ  มันผ่าคลอด90% มั๊ง   เคยถามมันไม่ดูข้อบ่งชี้เหรอ   มันให้เหตุผลว่าบางทีคนไข้ก็คลอดซะตี 3 มันก็ฉุกละหุก ฯลฯ  เลยผ่าซะ ..เพื่อนผมอยู่เรียนศิริราช เฉพาะทางที่ศิริราช เป็นหมอก็อยู่ในนั้นอีก จากคุณ : ย้ง (suanplu) เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 23:33:25

ความคิดเห็นที่ 21 เดี๋ยวนี้เห็นผ่าคลอดกันเยอะมาก ๆ จนหาแม่ที่คลอดธรรมชาติได้น้อยจริง ๆ เราคลอดเอง ลูก 2 คน คนแรก 3.8 โล ปวดท้องรอคลอดอยู่ครึ่งวัน ลูกได้นมแม่จนครบขวบ คนที่สอง 4.1 โล ปวดท้องไม่เกิน 2 ชั่วโมง เบ่งยาว ๆ 3 ทีออกมาเลยค่ะ ตัวใหญ่มาก ๆ คนนี้ได้นมแม่ถึงขวบเหมือนกัน คลอดเอง ฟื้นตัวเร็วค่ะ ลุกนั่งสบาย คลอดแล้ว สองสามวันก็เลี้ยงลูกได้เองเลย ยิ่งให้นมแม่เองด้วยแล้ว สามเดือนก็ผอมเหมือนเดิมแล้วค่ะ จากคุณ : Saeba Ryo เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 23:48:38

ความคิดเห็นที่ 22 *21 ลูกตัวใหญ่เหมือนเราเลยอ่ะ แต่คนแรกคลอดที่ราชวิถี 3.55 กก. ^ ^ เลยกำหนดคลอดมา 30 กว่าวัน ปากมดลูกไม่เปิดแต่หมอไม่พิจารณาผ่านะ (ไม่รู้เพราะอะไร) หมอให้ยาเร่งผ่านน้ำเกลือ ตั้งแต่ 6 โมงเย็น เริ่มปวด 3 ทุ่ม นอนปวดทั้งคืน จน 8 โมงเช้าปากมดลูกก็เปิดแค่ 4 ซม. จนเป็นลมครอบอ๊อกฯ แต่หมอก็ไม่ผ่านะ หมอใจแข็งมากกกก...... - -" สุดท้ายตอน 9 โมงเช้าพยาบาลห้องคลอดบอกว่าพร้อมคลอด(ยังกะเสียงน้างฟ้าเลย TT^TT) คลอดเองเสร็จก็ตอน 9 โมงครึ่งน่าจะได้ ปล. เห็นพยาบาลบอกว่า รพ.ราชวิถี ไม่มีนโยบายผ่าคลอดถ้าไม่จำเป็น จากคุณ : โปร...ช่างก่อสร้าง เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 54 11:56:54

ความคิดเห็นที่ 23 เบ่งเองดีก่า 55 จากคุณ : ยิ้มเดียว เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 54 12:58:10

ความคิดเห็นที่ 24 รบกวนเรียนถามนิดนึงค่ะ  ท้องแรกคลอดธรรมชาติ ไม่มีปัญหา พอท้องสอง อยากคลอดเองเหมือนท้องแรก แต่ก็อยากทำหมันด้วยเลย มีคนแนะนำว่าให้ผ่าตัดคลอดแล้วก็ทำหมันไปเลย  ระหว่างคลอดเอง แล้วทำหมันทีหลัง กับผ่าคลอด ทำหมันด้วยเลย แบบไหนจะดีกว่าคะ แต่ในใจอยากคลอดเองมาก เพราะอ่านในหนังสือรู้มาว่า ถ้าคลอดเองเด็กปอดจะแข็งแรงกว่าผ่าคลอด แล้วน้ำนมก็มาเยอะด้วย คนแรกได้กินนมแม่จนเกือบ 3 ขวบเลยค่ะ เลยอยากขอคำแนะนำค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Zoovy เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 54 13:08:36

ความคิดเห็นที่ 25 ของเราท้องแรก หมอนัดคลอดวันที่ 6 แต่พอ 4 ทุ่มของคืนวันที่ 4 เจ็บท้องคลอด หมอไม่ผ่าเลยเพราะว่าเพิ่งกินข้าวมา หมอให้รออีก 6 ชั่วโมงจนข้าวย่อยหมด มาผ่าคลอดจริงๆก็ตี 4 ของวันที่ 5 เร็วกว่ากำหนดไป 1 วัน ช่วงที่นอนเจ็บท้องรอคลอดโอดโอยตั้ง 6 ชั่วโมง พยาบาลบอกว่า คุณห้ามเบ่งเด็ดขาดนะ ถ้าคุณเจ็บท้องก็ให้หายใจเข้าออกลึกๆ ถ้าคุณเบ่งเดี๋ยวมดลูกจะแตกนะคะ 555555++ จนวันนี้ก็เพิ่งจะนึกออก ไม่กล้าเบ่งเพราะกลัวมดลูกแตก สรุปผ่าคลอดเจ้าตัวเล็ก 4490 กรัมจ้า จากคุณ : urassaya เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 54 15:29:34

ความคิดเห็นที่ 26 คลอดแล้วทำหมันหลังคลอด ดีกว่าครับ จากคุณ : ปรายภพ เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 54 15:46:06

ความคิดเห็นที่ 27 ผ่าเหมือนกันค่ะ ตอนนี้ลูกจะสามเดือนแล้ว แผลยังเจ็บ ๆ อยู่เลย เห้ออ จากคุณ : wippygal25 เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 54 19:29:08

ความคิดเห็นที่ 28 ผ่าคลอดค่ะ  ตั้งใจจะคลอดเอง   ไปให้ยาเร่งรอคลอด เพราะครบกำหนดแล้ว แต่ตอนหมอมาตรวจ  ปรากฏว่าเด็กเอาก้นลง  เลยต้องย้ายเข้าห้องผ่าตัด จากคุณ : loveouh เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 54 21:30:17

ความคิดเห็นที่ 29 น่าจะมีกฏหมาย  อณุญาติให้หมอทำหมันไปเลย ตอนผ่าคลอดลูกคนที่สอง ถามเจ้าตัว ส่วนใหญ่จะกลัว แล้วก็ไม่ยอมทำ เสียโอกาสไปเลย จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 54 22:11:52

ความคิดเห็นที่ 30 ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่คลอดโดยการผ่าค่ะ แต่ไม่ได้อยากนะคะ ใจอยากคลอดเองเกิน 100% แต่หมอที่ดิฉันไปฝากครรภ์ ไม่ตรวจอะไรเลยค่ะ เด็กกลับหัวแล้วค่ะ จะ 40 week แล้วดิฉันก็เป็นกังวล พอถามหมอ ก็ได้รับคำตอบว่า หัวเด็กยังไม่ลงช่องเชิงกราน (คุณหมอคลำอย่างเดียวค่ะ) ไม่เคยตรวจภายในเลย ดิฉันก็ต้องเชื่อคุณหมอค่ะ ก่อนหน้านั่นอยากเปลี่ยนหมอมาตลอด แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนค่ะ จนมาถึงวันที่นัดผ่ามีอาการคือปวดท้องและมีมูกเลือด ดิฉันดีใจรีบแจ้งคุณหมอ คุณหมอคลำเหมือนเดิมค่ะ และบอกแบบเดิม ที่เล่ามาคืออยากจะบอกในฐานะคนไข้นะคะ ว่าส่วนใหญ่จะเชื่อคำแนะนำหมอ ดิฉันทราบมาว่าที่ต่างประเทศการผ่าตัดคลอดเป็นเรื่องทำได้ยาก ต้องจำเป็น ชี้แจ้ง และได้รับความยินยอมจากหลายฝ่าย ถ้าผลกระทบจากการผ่ามีมาก ควรจะเข้มงวดกับการทำคลอดโดยออกเป็นกฎหมาย หรือข้อบังคับด้วยค่ะ สุดท้ายก็ต้องโทษตัวเองที่ไม่ใส่ใจกับหมอ และโรงพยาบาลที่เน้นเรื่องการคลอดธรรมชาติค่ะ คิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่น่ากังวล เคยคิดอยากเล่าเรื่องเพื่อเป็นอุทาหรณ์นะคะ เพราะผลที่ตามมามีมากมาย เช่น ลูกไม่ยอมดูดนมจากเต้า และอาการติดเชื้อในกระแสเลือด หลังจากผ่าคลอด 4-5 วัน จากคุณ : hoshi my star เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 54 22:50:47

ความคิดเห็นที่ 31 เป็นประโยชน์มากครับ จากคุณ : samr เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 54 12:00:29

ความคิดเห็นที่ 32 ผ่าคลอดเหมือนกันค่ะที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ตอนแรกตั้งใจจะคลอดเอง  ดูหมอก็เหมือนสนับสนุนให้คลอดเอง แต่ตอนช่วง 39 สัปดาห์  น้ำหนักแม่ลดลง หมอเลยให้ไปฟังเสียงหัวใจเด็ก จึงได้พบว่ามดลูกบีบตัวทุกสิบนาที  พอมดลูกบีบตัวหัวใจน้องจะเต้นอ่อนลง หมอเลยบอกว่าน้องอาจจะไม่สามารถทนต่อการคลอดธรรมชาติได้  เลยให้ ผ่าทันทีเพราะมดลูกบีบตัวแล้ว เราผ่าแล้ววันรุ่งขึ้นก็ลุกขึ้นมานั่งให้หมอตรวจ  วันที่สามก็เดินคล่องแล้วค่ะ พอดีรุ่นพี่แนะนำว่าให้เคลื่อนไหวตัวเองเยอะ ๆ จะหายเจ็บเร็ว ก็จริงค่ะ ตอนออกจากโรงพยาบาล  แข็งแรงจนมีแต่คนนึกว่าคลอดเอง น้ำนมก็มาดี สามารถให้นมแม่อย่างเดียว 1 ปี ตอนนี้กำลังท้องคนที่สอง  ก็ปรึกษาหมออยู่เหมือนกันว่าจะมีสักสามคนได้ไหม หมอก็แจ้งว่าขอดูแผลผ่าตัดก่อนว่าเป็นอย่างไร  ถ้าเปิดหน้าท้องแล้วพบว่า ไม่ดี หมอก็ไม่แนะนำให้มีต่อคนที่สาม  และอยากจะให้ทำหมันเลย  จะปรึกษากับ พ่อที่ในห้องคลอดอีกที แต่ถ้าดูแล้วโอเคถึงจะให้ท้องต่อได้  พึ่งรู้จากกระทู้นี้แหละว่ามันเสี่ยงแบบนี้นี่เอง จากคุณ : ตอกะจอ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 54 12:49:34

ความคิดเห็นที่ 33 น่ากลัวมากๆๆเลย . แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 54 13:49:50 จากคุณ : mixkey เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 54 13:47:59

ความคิดเห็นที่ 34 oxytocin (pitocin) ที่ให้ในสายน้ำเกลือเป็นฮอร์โมนที่ทำให้มดลูกบีบตัวนะจ๊ะ มิใช่ยาจ้า ถ้ายา จะพวกเป็นยาแก้ปวด จะให้ตอนช่องคลอดเปิดเกือบๆ 8-10 ซม ถ้าให้ยาแก้ปวดเร็วไป จะทำให้ระยะเวลา labor นานขึ้นจ้า จากคุณ : ม่องเท่ง เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 54 15:10:28

ความคิดเห็นที่ 35 เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า ถ้าผ่าคลอด ไม่ควรมีท้องมากกว่า 2 ครั้ง เพิ่งได้รู้เหตุผลจริงๆ ก็จากกระทู้นี้ (และกระทู้ต้นเรื่องที่ทำให้เกิดกระทู้นี้ตามมา) มีประโยชน์มากๆ ขอบคุณคุณหมอค่ะ จากคุณ : แม่ลิงจอมแสบ เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 54 15:20:39 A:124.120.97.233 X: TicketID:224434

ความคิดเห็นที่ 36 ทำไมต้องผ่าคลอด ทำไมผู้หญิงต้องทำหมันเอง จากคุณ : fairport เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 54 15:49:59

ความคิดเห็นที่ 37 ถึงว่า ทำไมหมอถามตลอดเลยว่าจะทำหมันเลยมั้ย ตอนเราผ่าคลอด ท้อง 2 เราไม่อยากทำ ไม่อยากฟื้นตัวช้า ตอนแรก อยากมีลูกแค่ 2 จะให้สามีทำหมัน ก็ผลัดไปผลัดมา ตอนนี้เปลี่ยนใจละ อยากได้ลูกชายสักคน มี2สาวแล้ว คงต้องผ่าท้อง3 จากคุณ : SurfersParadise เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 54 18:36:45

ความคิดเห็นที่ 38 อยากทราบอาการของหมดลูกแตกนะคะ..และขอแจมด้วยเรื่องหลังคลอดนิดนึงนะคะ จากคุณ : porn เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 54 19:49:20 A:110.168.16.99 X: TicketID:324469

ความคิดเห็นที่ 39 อืม อ่านกระทู็นั้นแล้วเล่นเอาอยากรู้ว่าทำไมผู้ชายไม่เป็นคนทำหมัน เหมือนเคยเรียนว่าผู้ชายจะทำได้ง่ายกว่าผู้หญิง (ใช่ไหมค่ะ??) จากคุณ : Piccalo_koz เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 54 22:24:01

ความคิดเห็นที่ 40 แถม .... มดลูกเกือบแตก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=07-02-2009&group=7&gblog=15 มดลูกแตก ..... ( ความรู้ ประกอบการติดตามข่าว ) http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-02-2009&group=4&gblog=68 โรคน้ำคร่ำอุดตันในกระแสเลือด .... ( ความรู้ ประกอบ การติดตามข่าว ) http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-02-2009&group=4&gblog=69 ~!&! โชคดีที่ไม่เรียนวิชาสูติศาสตร์ !&!~ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-02-2009&group=7&gblog=14 จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 00:54:05

ความคิดเห็นที่ 41 เข้ามาดูคุณแม่คุยกันครับ ฟังแล้วได้แต่นึกถึงแม่ของตัวเอง คงรู้สึกไม่ต่างกัน แล้วไอ้พวกลูกที่ทำไม่ดีกับแม่ จะรู้บ้างไหมหนอ วันที่เขาเกิดกลับเป็นวันที่แม่ต้องแลกด้วยชีวิต หากเพียงรู้และใส่ใจสักนิด คงมีแม่ที่เสียใจเพราะลูกน้อยลง ให้กำลังใจคุณแม่ทุกท่านครับ... จากคุณ : tiger18 เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 06:58:19

ความคิดเห็นที่ 42 ข้อสุดท้าย ผมจะทำเป็นอันดับแรก จากคุณ : korakots14 เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 14:42:43

ความคิดเห็นที่ 43 จริง ๆ การคลอดธรรมชาติหลังผ่าคลอดทำได้ ตปท ทำกันแยะ ต้องเทียบกันระหว่างความเสี่ยงระหว่างมดลูกแตกกับการผ่าตัดซึ่งการผ่าตัดมีความเสี่ยงเสมอ จากคุณ : pinkyjung เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 14:53:08

ความคิดเห็นที่ 44 เราก็ผ่าคลอดค่ะ ตอนแรกกลัวการผ่ามากๆ แต่กลัวคลอดเองมากกว่า แต่พอสอดท่อฉี่เท่านั้นแหล่ะ อยากเข้าห้องผ่าตัดเดี๋ยวนั้นมันเจ็บและรำคาญมาก ออกจากห้องผ่าตัดมาไม่ถึงสองชั่วโมง เราก็ให้แม่ช่วยจับลุกนั่ง เพราะไม่อยากนอนซมกลัวหายช้า ออกจากห้องผ่าตัดมาไม่ได้นอนเลย คุยอย่างเดียว จนวันที่สองหมอเอาท่อฉี่ออกลุกเดินได้เลยค่ะ ตอนนี้ลูกสาวสามขวบกว่าแล้วมีเจ็บแผลบ้างเป็นครั้งคราว ยกของบ้าง แต่ถ้าหนักจะไม่ยกทันที ใช้คนอื่นเอาค่ะ เราก็อ้วนนะ ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แต่อาศัยว่าชอบไปเดินเที่ยวถือว่าออกกำลังกายไปในตัว อิอิ จากคุณ : เด็กหญิงพิมมาดา เขียนเมื่อ : 22 ก.ค. 54 15:00:00

ความคิดเห็นที่ 45 - ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอย่าเพิ่งตามมาทันในช่วงตั้งครรภ์และคลอดครั้งนี้เลย - ข้อนี้เราเชื่อมาก ๆ เลยค่ะ ตั้งแต่เรารู้ตัวว่าท้อง เราก็ทำบุญบ่อยกว่าเดิม และทุกครั้งก็จะอธิษฐานให้ลูกแข็งแรงคลอดง่ายปลอดภัย ครบ 32 ประการ ช่วงที่เราท้องแก่ใกล้คลอด เราฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนนึงหน้าตาเหมือนสามีเราผิวสองสี ผมหยักศกเป็นลอน น่ารักเหมือนตุ๊กตา ถูกผู้ชายนุ่งโจงกระเบนรูปร่างสูงใหญ่ถือดาบไล่ฟัน เราก็เลยเอาตัวปกป้องเด็กคนนั้นจนตัวเองเลือดท่วมตัว พอตื่นมาเราไม่แน่ใจว่าเด็กคนนั้นใช่คนเดียวกับที่มาหาเราในฝันบ่อย ๆ รึเปล่า เพราะทุกครั้งจะมาเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาเหมือนสามีเรา แต่รูปร่างขาวสูงโปร่ง เราก็เลยไ่ม่แน่ใจว่าใช่คนที่จะมาเป็นลูกเราไหม ? แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน แม่สามีก็โทรมาบอกว่า... หลวงน้า ให้แม่สามีมาบอกว่าให้คลอดธรรมชาติ ตอนคลอดให้นึกถึงหลวงน้า แล้วเราจะได้ลูกสาว เกิดเดือน  7 ตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหลวงน้าให้นึกถึงท่านตอนคลอด แล้วลูกจะเกิดเดือน 7 จริง ๆ รึเปล่า เพราะอีกไม่กี่วันมันก็จะขึ้นเดือน 8 แล้ว... พอวันที่ 1 กรกฏาคม ตอนบ่าย เราอาบน้ำอยู่ดี ๆ ก็มีเลือดไหลออกมานิดนึง แต่ไม่ได้มีอาการเจ็บท้อง น้ำคร่ำก็ยังไม่แตก จำได้ว่าคุณหมอเคยบอกถ้ามีเลือดออกให้เก็บเสื้อผ้ามาโรงพยาบาลได้เลย เราก็เลยไปโรงพยาบาล พอไปถึงพยาบาลก็จับตรวจช่องคลอด แล้วก็บอกให้กลับบ้าน เพราะช่องคลอดเรายังเปิดไม่ถึงเซ็นต์  พยาบาลบอกว่า หากจะคลอดธรรมชาิติช่องคลอดต้องเปิดประมาณ 10 เซนต์ และส่วนใหญ่ 3-4 เซนต์แรกจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่ตอนนั้นเลือดเราเริ่มไหลออกมาเยอะขึ้น ประกอบกับมีความรู้สึกลึก ๆ ว่ายังไงก็ห้ามกลับบ้าน เพราะยังไงต้องคลอดเร็ว ๆ นี้แน่ เราก็เลยไม่ยอมกลับ พยาบาลเค้าก็เลยทำหน้าแบบอ่อนใจในความดื้อของเรา แต่เค้าก็ยังใจดี บอกว่า ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่คลอดต้องกลับบ้านนะ เราก็รับปาก... สรุปว่า....คืนนั้นเรานอนร้องทั้งคืนเลย เราปวดท้องมาก ขนาดพยาบาลบอกให้เบา ๆ หน่อย เราก็ไม่สนใจ ( ก็แหม....มีคนท้องคนไหนปวดท้องคลอดลูกแล้วไม่เจ็บปวด ไม่ส่งเสียงร้องมั่งนะ เราจะขอคารวะเลย มีความอดทนเป็นยอด 5 5 5 ) พยาบาลเค้าก็เลยมาฉีดยาระงับปวดให้ทางสายยาง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราปวดน้อยลง  พยาบาลเค้าคงเอะใจ ว่าทำไมอีนี่ร้องมาตั้งกะหัวค่ำ ฉีดยาระงับปวดก็แล้ว มันก็ยังร้อง เค้าก็เลยเดินมาตรวจช่องคลอด ปรากฏว่าช่องคลอดเราเปิดเร็วมาก คืนเดียวเกือบสิบเซนต์แล้ว ตอนร้องนี่.....ถึงขั้นเพ้อออกมาเลยนะ คือรู้ตัวนะว่าเพ้อ แต่เหมือนห้ามตัวเองไม่ได้น่ะ เห็นราวเหล็กกั้นอยู่ข้างเตียง ก็จับไว้แน่น  แทบจะบีบให้มันแหลกคามือ เผื่อมันจะลดทอนความเจ็บปวดของเราได้บ้าง.... ทีนี้ก็เลยมีพยาบาลเพิ่มมาอีกคน คอยเดินมาดูเราแล้วเช็คว่าหัวเด็กคล้อยลงต่ำรึยัง เรารู้สึกได้เลยว่าลูกเราดิ้นหนีตอนที่พยาบาลสอดนิ้วเข้าไป ตอนนั้น เราเข้าใจเลย ว่าทำไมหลวงน้าถึงฝากแม่สามีมาบอกให้เรานึกถึงท่าน.... พอรุ่งเช้า พยาบาลก็เลยรีบเข็นเราเข้าห้องคลอด ตอนที่เค้าช่วยกันยกเราไปวางบนเตียงทำคลอดเราพึ่งเห็นว่าไอ้ที่เรานอนแล้วรู้สึกว่ามันแฉะ ๆ ไปทั้งตัวน่ะ เพราะเลือดมันออกเยอะนี่เอง มองไปบนเตียงเห็นแต่เืลือดเต็มไปหมด ( ไม่รู้ว่ามันผสมน้ำคร่ำด้วยรึเปล่านะ พอดีว่าเป็นท้องแรก เลยไม่เคยมีประสบการณ์น้ำคร่ำแตกมาก่อน ไม่ทราบว่ามันเป็นอย่างไร ) ถึงตรงนี้เราก็เลยอดนึกถึงความฝันไม่ได้ เลือดท่วมตัวเหมือนในฝันเลย... แถมลูกเรายังพิเรนทร์เอาแขนออกอีก พยาบาลที่ทำคลอดยังบอกเลยว่าดีนะที่ลูกเราตัวเล็ก ไม่อย่างนั้นคงจะคลอดเองไม่ได้ เพราะท่าไม่ปกติ  ซึ่งก็ทำให้เรามีแผลค่อนข้างเยอะ พยาบาลบอกว่ามีอยู่แผลนึงลึกขนาดที่เอานิ้วชี้แหย่เข้าไปได้สุดนิ้วเลยทีเดียว ( ช่วงนี้เราฟังแบบ งง งง เพราะสติสตังเราเริ่มจะไปแล้วเหมือนกัน ) สุดท้าย การเย็บแผลของเราเลยต้องวางยาสลบและให้คุณหมออีกท่านนึงที่มีความชำนาญมาเย็บแผลให้ คลอดลูกตอนเช้า กว่าจะฟื้นก็บ่าย ตื่นมามองหาลูกก่อนเลยว่าลูกอยู่ไหน พอพยาบาลเห็นว่าเราฟื้นเค้าก็มาเปลี่ยนชุดให้ เพราะชุดที่เราใส่คลอดมีแต่เลือดเต็มไปหมด แล้วก็ถามอาการหลังวางยาสลบว่าปกติดีรึเปล่า พอเราถามหาลูก พยาบาลก็ชี้ให้ดูว่าลูกอยู่ในตู้อบ เราก็ตกใจว่าลูกเป็นอะไร พยาบาลก็บอกว่าลูกเราหายใจไม่ปกติ แล้วก็เลยต้องอยู่โรงพยาบาลอีกเป็นอาทิตย์เพราะเป็นปอดอักเสบ เนื่องจากการสำลักน้ำคร่ำตั้งแต่ตอนอยู่ในท้อง... จนบัดนี้... เราก็ยังไม่เข้าใจคำว่า น้ำคร่ำแตก หรือ น้ำคร่ำเดิน มันเป็นอย่างไร เพราะตอนคลอดมัน งง งง มันไม่เหมือนกับที่เราเคยอ่านในหนังสือ แต่เราประทับใจการคลอดเองตรงที่ว่าสามารถฟื้นตัวได้เร็ว เพราะหลังจากที่เราตื่นมาจากยาสลบ เราก็เดินได้ปร๋อเลย แถมยังอยู่เฝ้าลูกที่โรงพยาบาลได้เองอีกเป็นอาทิตย์ ซักผ้าอ้อมให้ลูก และทำอะไรให้ตัวเอง และให้ลูกได้อีกหลายอย่าง อ้อ...ที่สำคัญ เราได้ลูกสาว และเกิดในวันสุดท้ายของเดือน 7 ไทย ตามที่ หลวงน้า บอกจริง ๆ ด้วยค่ะ เราก็เลยคิดว่าที่ผ่านทุกอย่างมาได้คงเพราะบารมีหลวงน้าช่วย ( เรานึกถึงท่านตลอดตั้งแต่คลอดจนลูกเข้าไอซียูยันออกจากโรงพยาบาล ) ตอนที่ลูกเราเข้าไอซียูเด็ก เราทุกข์มากกลัวลูกจะตาย กลัวลูกจะไม่รอด แม่สามีเราก็เลยไปหาหลวงน้า ท่านบอกว่าไม่เป็นไรหรอก อีกไม่กี่วันก็ได้กลับบ้านแล้ว เราก็เลยเชื่อในเรื่อง บุญ มาก ๆ ค่ะ จากคุณ : แม่โอ๋เรนเจอร์ เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 10:00:17

ความคิดเห็นที่ 46 คห 45  ผมคิดขำๆนะครับอย่า Serious   คุณแม่และลูกรอดตายมาได้ เพราะความพยายามของหมอและคุณพยาบาล แต่ความดีตกอยู่ที่บุญบารมีของหลวงตา  น่าน้อยใจแทนหมอและคุณพยาบาล เป็นอย่างยิ่ง จากคุณ : Sono เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 10:55:44

ความคิดเห็นที่ 47 คห.  46  จริงด้วยสิคะ..... พอดีเราก็มัวคิดแต่ในมุมมองเรื่องความเชื่ออ่ะ เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นที่พึ่งทางใจสำหรับเราในตอนนั้น ถ้าทำให้หมอกับพยาบาลน้อยใจก็ต้องขออภัยนะคะ อิ อิ แต่เรื่องความประทับใจในตัวหมอกับพยาบาลตอนเราคลอดลูกน่ะ เราก็มีนะ อาจจะนอกเรื่องสักนิด แต่ขออนุญาตคุณเจ้าของกระทู้เล่านะคะ วันที่เราคลอดลูกน่ะ ตอนแรกพยาบาลเค้าบอกว่าลูกเราหายใจไม่ปกติ เค้าก็เลยขอดูอาการลูกในตู้อบ ดังนั้นพอเราย้ายไปอยู่ห้องพักฟื้น ก็เลยต้องมองดูลูกอยู่ในตู้อบ ในขณะที่เตียงอื่น ๆ เค้าก็จะได้อุ้มและให้นมลูกของตัวเองกันแล้ว ( เราอยู่ห้องรวม ) พยาบาลที่นั่นเอาใจใส่คนไข้ดีมาก เดินมาดูอาการลูกเราเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งเวลาประมาณ 4 ทุ่ม หน้าอกลูกเราก็ยุบลงไปมากอย่างผิดปกติ พยาบาลก็เลยตัดสินใจตามหมอ เรายังจำภาพคุณหมอคนนั้นได้ติดตา เค้ารีบมาดูอาการลูกเราแบบกระหืดกระหอบ ใส่ชุดวอร์ม ดูจากลักษณะเราเดาเอาว่าคุณหมอคงจะเข้านอนไปแล้ว แต่พอมีเคสเร่งด่วน แกก็เลยรีบมาดู แล้วแกก็รีบบอกให้พยาบาลพาลูกเราเข้าห้องไอซียู นั่นคือความประทับใจครั้งแรกที่เรามีต่อคุณหมอคนนี้ ปกติถ้าคลอดเองทางโรงพยาบาลเค้าจะให้อยู่พักฟื้น 2 วัน แต่ถ้าผ่าคลอดก็จะได้อยู่ 3 วัน ทุก ๆ วัน คุณหมอคนนี้ก็จะมาหาเราและบอกอาการลูกของเราให้ทราบว่าลูกเราอาการเป็นอย่างไรแล้ว คุณหมอบอกว่าอยากให้คุณแม่สบายใจไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับลูกมาก โห...เชื่อมั้ยว่าน้ำตาเราแทบจะไหล ไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะโชคดีที่ได้มาเจอคุณหมอที่มีความใส่ใจในความรู้สึกของญาติคนไข้แบบนี้ ( คุณหมอเป็นหมอเด็กดูแลลูกสาวเรา ) นี่ก็เลยเป็นความประทับใจครั้งที่ 2  ( เพราะเรารู้อยู่เต็มอกว่าหมอเด็กมีอยู่แค่ไม่กี่คนเอง แล้วแต่ละคนก็มีคนไข้ในความดูแลหลายคนเลยทีเดียว ฉะนั้นงานก็คงต้องยุ่งมาก ๆ แต่ก็ยังเจียดเวลาเดินมาบอกเราอ่ะ ) คุณหมอบอกว่าโรงพยาบาลพึ่งจะเปิดไม่นาน แม้จะมีถึง 700 เตียงแต่ยังขาดบุคลากรอยู่อีกมาก ห้องไอซียูเด็กก็มีแค่ห้องเดียวรับเด็กได้แค่สามคน ตอนที่คุณหมอเอาลูกเราเข้าไปอยู่ในนั้น ก็ต้องเอาเด็กที่มีอาการหนักน้อยที่สุดออกมาอยู่ตู้อบธรรมดาเป็นการชั่วคราวก่อน ( ฟังถึงตรงนี้แล้วยิ่งตื้นตันใจอ่ะ ) ทีนี้พอครบ 2 วันที่เราต้องกลับบ้าน เราก็เลยขอร้องคุณหมอขออยู่ดูแลลูกต่อ เพราะถึงกลับบ้านไปก็คงจะไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรในเมื่อลูกตัวเองยังอยู่โรงพยาบาล แล้วเราก็อยู่กับสามีแค่สองคน สามีไปทำงานทุกวัน เราคงต้องฟุ้งซ่านแน่ ๆ ถ้าต้องกลับไปอยู่บ้านคนเดียว คุณหมอเห็นใจก็เลยบอกว่า ขอดูก่อนว่ามีเตียงว่างหรือไม่ ด้วยความโชคดีที่ตอนนั้นมีเตียงว่างอยู่หลายเตียง คุณหมอเลยทำเรื่องให้เราอยู่ดูแลลูกต่อในฐานะญาติคนไข้ เราก็เลยได้รอลูกจนออกมาจากห้องไอซียู แต่ก็ยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลเพราะต้องอยู่ในตู้อบและได้รับการฉีดยาจนครบ ตลอดเวลาที่อยู่ที่โรงพยาบาลเราเห็นคุณหมอและพยาบาลในวอร์ดเด็กทุกคนดูแลเด็ก ๆ ด้วยความเอาใจใส่ พยาบาลหลายคนเวลาป้อนนมเด็กในตู้อบก็จะเรียกเด็ก ๆ ว่าลูก อย่างลูกสาวเราพยาบาลจะเรียกว่า เจ้าอ้วน เพราะตัวใหญ่กว่าเด็กที่อยู่ในตู้อบคนอื่น ๆ แรก ๆ ที่ลูกเราอยู่ในตู้อบคุณหมอให้น้ำเกลือ ลูกเราทั้งผอมทั้งดำ พอวันหลัง ๆ ที่คุณหมออนุญาตให้เราปั๊มน้ำนมเอาไว้ให้ลูกทางสายยาง เราก็เห็นลูกเราขย้อนสายยางออกมาบ่อยมาก เห็นแล้วก็สงสารมันคงทรมานมาก เราก็เลยอ้อนวอนคุณพยาบาลว่าขอให้นมลูกจากอกได้ไหม เพราะตั้งแต่คลอดลูกมายังไม่เคยให้นมลูกเลย ในห้องพักฟื้นเวลาเห็นแม่คนอื่น ๆ อาบน้ำให้นมลูกเราก็น้ำตาไหลทุกที  คุณพยาบาลคนนั้นกำลังตั้งท้องเหมือนกันดูเหมือนแกเข้าใจความรู้สึกเรา แกเลยอนุญาตแต่กำชับว่าอย่าเอาลูกออกมานานมากเพราะเด็กยังไม่ชินกับอากาศภายนอกอาจจะทำให้ระบบการหายใจยังไม่ค่อยปกติ ตอนที่เราให้นมลูกครั้งแรก ลูกสามารถดูดนมจากอกเราได้ ทำให้รู้สึกตื้นตันมาก แต่สักพักนึงก็มีไข้ตัวร้อนสูง พยาบาลคนท้องก็เลยรีบมาเช็ดตัวให้ลูกเรา เราทั้งตกใจและรู้สึกผิดกลัวพยาบาลจะโดนคุณหมอว่า ก็เลยขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่  พยาบาลเค้าไม่โกรธเรา  แถมยังบอกอีกนะว่าเค้าเข้าใจความรู้สึกเรา นอกจากนี้เราก็ยังได้คุยกับญาติ ๆ ของเด็ก ๆ ในตู้อบคนอื่น ๆ ด้วย ขนาดตอนนี้ลูกสาวเราสามขวบแล้ว เราก็ยังติดต่อกันทางโทรศัพท์และแลกเปลี่ยนรูปลูกกันดูว่าตอนที่อยู่ในตู้อบตัวเล็กนิดเดียว แต่ตอนนี้อวบอั๋นโตขนาดนี้แล้วนะ จากที่ได้คุยกับคนที่เค้าอยู่มาก่อนก็เลยได้ทราบเรื่องที่น่าประทับใจอีกเรื่องนึง เกี่ยวกับคุณหมอคนนี้ ( คนที่ดูแลลูกสาวเราและทำให้เรารู้สึกประทับใจได้ตลอด ) มีเด็กตู้อบอยู่คนนึงเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กมาก หนักแค่ 900 กรัม ตอนแรกไม่ได้อยู่โรงพยาบาลนี้หรอก แต่คุณหมอเห็นว่าไม่มีคนดูแลก็เลยพามาอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ด้วย เพื่อที่จะได้ดูอาการเด็กอย่างใกล้ชิด  พวกพยาบาลต่างก็พากันเอ็นดู แม้เด็กจะไม่มีข้าวของเครื่องใช้เหมือนเด็กคนอื่น ๆ พวกเค้าก็พยายามหามาให้ และบางส่วนก็ได้มาจากญาติของเด็กตู้อบที่ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งเค้าเต็มใจช่วยเหลือ แม้เด็กจะตัวเล็กแต่ก็ดูแ็ข็งแรงร้องเสียงดัง เราก็เลยถามพยาบาลว่าเค้าไม่มีพ่อแม่เหรอ พยาบาลก็บอกว่าพ่อเด็กมาหานาน ๆ ครั้ง แต่คุณหมอไม่ยอมให้เอาเด็กออกไปจนกว่าพ่อเด็กจะมาเรียนรู้วิธีเลี้ยงเด็กอ่อนจากพยาบาลเสียก่อน แล้วเราก็ทราบจากญาติเด็กตู้อบคนหนึ่งว่าเด็กคนนี้ยังต้องได้รับยาที่ช่วยให้เจริญเติบโตเนื่องจากน้ำหนักน้อย แล้วเป็นยาที่ไม่สามารถใช้สวัสดิการอะไรเบิกได้ ขวดละ 800 บาท ใช้ 1 ขวด ต่อ หนึ่งครั้ง  พอดีลูกสาวเค้าก็ต้องใช้ยาตัวนี้อยู่แล้วและใช้ไม่หมดทุกครั้ง คุณหมอก็เลยขอส่วนที่เหลือไปช่วยเด็กชายคนนี้ ซึ่งญาติเด็กผู้หญิงก็เต็มใจ ได้ฟังเรื่องนี้แล้วประทับใจมาก ๆ เลยค่ะ ก่อนที่เราจะออกจากโรงพยาบาลเราได้เจอกับแม่ของเด็กผู้ชายคนนี้ เธอบอกว่าได้เลิกรากับพ่อเด็กตั้งแต่ก่อนจะคลอดลูก แล้วพ่อเด็กก็บอกว่าจะเลี้ยงลูกเอง ทุกครั้งที่เธอถามพ่อเด็กว่าลูกชายของเธออยู่ที่ไหน เค้าก็จะบอกว่าเอาไปให้ย่าเลี้ยง เธอก็เลยเข้าใจว่าลูกออกจากตู้อบแข็งแรงมีคนเลี้ยงดูอย่างดีแล้ว พึ่งจะมาทราบความตอนที่คุณหมอบอกให้พ่อเด็กไปตามแม่มา เธอก็เลยรีบมา และเธอก็จะขอเลี้ยงลูกเอง  ซึ่งหลังจากนั้นอีกหลายเดือนเราเคยเจอแม่เด็กอุ้มลูกมารอกินข้าวร้านอาหารตามสั่งข้างทาง ก็เลยเชื่อว่าเธอคงทำตามที่พูดจริง ๆ ค่ะ - เดี๋ยวขอตัดทอนโพสต์อีกข้อความนะคะ พอดีโพสต์ทั้งหมดแล้วไม่ไป ไม่ทราบว่าข้อความยาวเกินรึเปล่า - จากคุณ : แม่โอ๋เรนเจอร์ เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 21:47:17

ความคิดเห็นที่ 48 หลังจากที่เราออกจากโรงพยาบาลได้ประมาณอาทิตย์นึง ลูกเราก็เป็นผื่นหัวหนองที่หัวและที่หน้าผากเต็มไปหมด พร้อมกับมีไข้ขึ้นสูงมาก ตอนนั้นอุ้มลูกไปคลีนิกใกล้บ้านพยาบาลที่คลีนิกก็ไม่รับบอกว่าน้องยังเล็กมาก ( อายุไม่ถึงเดือน )  พาไปโรงพยาบาลเลยดีกว่า ระหว่างทางเราก็เช็ดตัวให้ลูกไปตลอดทาง กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลก็บ่ายแก่ ๆ แล้ว ซึ่งเราก็พึ่งทราบว่าถ้าพาลูกไปหาหมอก็ต้องไปก่อนเที่ยง ไม่อย่างนั้นมันก็จะมีแต่ คลีนิคนอกเวลา แล้วบังเอิญว่าวันนั้นพยาบาลบอกว่าไม่มีหมอเด็กมีแต่หมอกระดูก เราอุ้มลูกยืนคิดอยู่นานว่าจะเอาไงดี ถ้าเอากลับบ้านไปก็รักษาลูกเองไม่เป็น พอดีตาเหลือบไปเห็นคุณหมอคนที่เคยดูแลลูกสาวเรา กำลังยืนสั่งงานคนยกกล่องใหญ่ ๆ อยู่  เราก็เลยอุ้มลูกวิ่งไปหาคุณหมออย่างเร็วจนพยาบาลตกใจ ( เพื่อนที่ไปด้วยบอกว่าพยาบาลยืนอึ้งง่ะ ) ไปยืนอยู่หน้าคุณหมอแล้วถามว่าจำเราได้ไหมคะ ช่วยเราทีเถอะ ลูกเรามีไข้สูงหัวก็เป็นตุ่มหนองเต็มเลย เราไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี กลัวลูกจะ ชัก คุณหมอคงสงสารเพราะทั้งหน้าทั้งเสียงเราเหมือนเขื่อนน้ำตาจะแตก แกบอกว่าจำเราได้แล้วแกก็พาลูกเราไปตรวจพร้อมกับสั่งยาให้ยังไม่วายเป็นห่วงเราว่าเอาตังค์มาพอรึเปล่า เลยประทับใจคุณหมออีกครั้ง ( ถ้ากด like ให้คุณหมอได้ก็จะกดให้เป็นล้าน ๆ ครั้งเลยค่ะ  แหะ แหะ ) หลังจากนั้นไม่นานลูกเราก็หายเป็นปกติ.... พอลูกเราอายุ  5  เดือน ก็พาลูกเข้าโรงพยาบาลอีก คราวนี้เป็น ลำไส้อักเสบ  ไปอยู่โรงพยาบาล  8  วัน  โชคดีได้เจอคุณหมอคนเดิม  คุณหมอก็บอกว่าถ้าน้องไม่หายชัวร์ชัวร์ ก็จะไม่ให้ออกจากโรงพยาบาล เพราะไม่งั้นก็ต้องกลับมาอีก  เราก็เลยอดลอยกระทงเลยปีนั้น  แต่ก็ประทับใจคุณหมอคนนี้มาก ๆ เพราะเจอคุณหมอคนนี้ทีไรก็ยิ่งมีเรื่องให้ประทับใจมากขึ้นทุก ๆ ครั้ง ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนไข้บัตรทองไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย แต่ทั้งหมอและพยาบาลของที่นี่ก็ปฏิบัติต่อคนไข้อย่างเท่าเทียมกัน ตอนที่ลูกเราคลอด พยาบาลก็แนะนำให้ทำบัตรทองให้ลูก เราจึงแทบไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย ทำให้นึกถึงตอนที่เราฝากท้องแล้วเข้าอบรมโรงเรียนพ่อแม่ คุณพยาบาลที่ให้ความรู้บอกว่าบุคลากรของที่นี่ทำงานกันอย่างเต็มความสามารถ เพราะไม่แน่ว่าวันหนึ่งเด็ก ๆ ที่คลอดที่นี่อาจจะกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลนี้ก็ได้  ซึ่งความจริงเราก็เริ่มประทับใจตั้งแต่ตอนฝากท้องแล้วเพราะพยาบาลพูดจากับคนไข้ดีอ่ะ เราก็เลยตั้งใจไว้ว่า...ถ้าลูกสาวเราโตขึ้นแล้วเค้าเลือกที่จะเป็น หมอ หรือ พยาบาล เราจะขอร้องให้เค้ามาประจำที่นี่ เพื่อตอบแทนสิ่งดีดีที่เราเคยได้รับ สุดท้ายนี้ ขอขอบพระคุณ พญ.  ยอดพร  หิรัญรัศ ( คุณหมอในดวงใจของเรา ) คุณหมอทุกท่าน  และ พยาบาลของโรงพยาบาล Sirindhon ทุก ๆ ท่าน ที่ให้การดูแลเอาใจใส่คนไข้ทุกคนเป็นอย่างดี ปล.เราเล่ามาจากความรู้สึกและความทรงจำอันประทับใจของเราเป็นสำนวนบ้าน ๆ ถ้ามีคำพูดใดไม่เหมาะสม หรือ เป็นการล่วงเกินโดยไม่ได้ตั้งใจ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ นะคะ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 54 23:19:48 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 54 22:02:36 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 54 21:59:51 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 54 21:59:05 จากคุณ : แม่โอ๋เรนเจอร์ เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 21:56:09

ความคิดเห็นที่ 49 เห็นคุณแม่หลายคน พยายามที่จะคลอดเอง แต่ปากมดลูกไม่เปิด สมัยนี้เห็นกันค่อนข้างเยอะ มีวิธีทำให้ปากมดลูกเปิดมั๊ยค่ะ และเพราะสาเหตุอะไร ทำไมปากมดลูกถึงไม่ยอมเปิด หรือเปิดน้อยมากค่ะ จากคุณ : tomkapla เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 21:56:15

ความคิดเห็นที่ 50 ปกติแล้ว ปากมดลูกจะเปิด เพราะหัวเด็กที่เคลื่อนลงมา (เพื่อจะคลอด) ดันให้เปิดครับ ส่วนใหญ่ที่ไม่เปิด เป็นเพราะหัวเด็กไม่เคลื่อนลงจากสาเหตุอื่นๆ เช่น เชิงกรานแม่แคบเกินกว่าที่เด็กจะสามารถเคลื่อนลงมาได้ (หรือเด็กตัวใหญ่เกินไป) เด็กอยู่ในท่าผิดปกติ เด็กมีรูปร่างผิดปกติ เป็นต้นครับ จากคุณ : ปรายภพ เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 22:43:32

ความคิดเห็นที่ 51 กำลังคิดเรื่องมีลูกเหมือนกันค่ะ เราผ่าคลอดทั้ง 2 ท้องที่ผ่านมา ไม่ได้ทำหมันแต่เราคุมกำเนิดแทนค่ะ กลัวเหมือนกันบอกตรงๆ จากคุณ : แก้วหนึ่งใบกับเบียร์สองขวด เขียนเมื่อ : 24 ก.ค. 54 15:30:58

ความคิดเห็นที่ 52 เราก็ผ่าคลอดค่ะ เราฝากท้องที่โรงพยาบาลเอกชนค่ะ ตั้งแต่ฝากท้องก็ยืนยันกับคุณหมอตลอดว่าจะคลอดเองเพราะอยากจะทราบความรู้สึกตอนที่เบ่งเขาออกมาค่ะ แต่พอเราได้ 39 วีค เรามีปัญหาเพราะความดันเราสูงมากคุณหมอเกรงว่าเราจะมีอาการครรถ์เป็นพิษบวกกับน้องตัวใหญ่และอุ้งเชิงกรานเราเล็กน้องไม่สามารถเอาหัวลงมาได้เวลาน้องดิ้นเพื่อพยายามที่จะเอาหัวลงเราก็รู้สึกนะค่ะ ก็เลือกวันที่จะผ่าได้แล้วนัดกับคุณหมอเรียบร้อยแล้ววันที่ไปรอผ่าปากมดลูกเราดันเปิด 2 เซ็น เราก็เลยถามกับพยาบาลที่ดูแลว่าถ้าเราจะคลอดเองจะได้ไหมคุณพยาบาลเช็คปากมดลูกหาอยู่นานมากเพราะเราเป็นคนปากมดลูกคว่ำคุณพยาบาลบอกว่าอาจจะคลอดยากและก็กลัวเราจะหมดลมเบ่งและหัวน้องก็ยังไม่ลงมาที่อุ้งเชิงกรานเพราะควานหาแล้วไม่เจอคงจะอีกหลายอาทิตย์กว่าปากมดลูกจะเปิดครบ 10 เซ็นและน้องก็ตัวใหญ่มากไม่สนับสนุนให้คลอดเองค่ะ สรุปเราก็ตัดสินใจผ่าคลอด น้องออกมาที่ นน.4290 คุณหมอยังแซวเราเลยว่าดีนะที่ไม่ตัดสินใจคลิดเองไม่งั้นเจ็บสองเด้งแน่ๆเลย ต้องขอขอบคุณคุณหมอมากที่ดูแลเราดีมาตลอดตั้งแต่เราท้องจนเราคลอดน้องออกมานะค่ะ ^^ จากคุณ : rosarai เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 54 01:06:41