Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Ridiscover the basics:Low-fat diet doesn’t work!!??!! ติดต่อทีมงาน

เมื่อไม่นานมานี้มีหนังสือออกใหม่ที่ชื่อ Good calories,Bad calories เนื้อเรื่องรายละเอียดข้างในเป็นอย่างไรนั้น ยังไม่ได้อ่านค่ะ แต่เนื้อหาหลักๆ มันคือการรวบรวมเอางานวิจัยใหม่ๆ เกี่ยวกับการลดความอ้วนออกมา เพื่อลบล้างทฤษฎีเก่าที่ผิดมหันต์

อย่างแรกก็คือ ถ้าต้องการลดความอ้วนต้องทานไขมันให้น้อยลง ใครบ้างจะไม่รู้ว่าถ้าต้องการลดความอ้วนต้องหันไปหาอาหารพวก low-fat ทั้งหลาย ก็ไม่อยากให้ร่างกายสะสมไขมัน ก็ต้องไม่รับไขมันเข้าไปเพิ่ม หลักการก็ฟังดูดี แต่จริงๆ แล้วไม่ถูกซะทั้งหมดค่ะ

เจ้าตัวร้ายจริงๆ ทุกคนก็พอทราบกันดีอยู่แล้ว คือ คาร์โบไฮเดรต เพราะว่าคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่ส่งผลต่อระบบฮอร์โมนโดยตรง ฮอร์โมนเหล่านี้ คือ insulin,glucagon และ ghrelin ซึ่งเป็นตัวสั่งให้ร่างกายใช้ไขมัน เผาผลาญไขมัน รวมทั้งทำให้เกิดความรู้สึกหิว อยาก และอิ่ม แต่ก่อนที่จะโทษว่าเจ้าคาร์โบไฮเดรตเป็นตัวร้ายตัวใหม่แล้วหันไปหา low-carb อดคาร์บจนจิตตก มาดูกันให้ดีก่อนนะคะ สาเหตุที่แท้จริงนั้นไม่ใช่คาร์บทั้งหมดทั้งปวงในโลก แต่เป็นคาร์บเฉพาะแบบที่เรียกว่า refined carb ได้แก่น้ำตาล และแป้งขัดขาว ซึ่งทำให้น้ำตาลในเลือดกระโดดขึ้นลงอย่างผาดโผน ทำให้คนหิวบ่อยกว่าปกติ ทานเท่าไหร่ไม่รู้จักอิ่ม หรือเกิดอาการอยากเอาสากทุบตบะแตก

เราเพิ่งได้ดูวิดีโอใน Youtube ที่เล่าถึงเรื่องนี้ เค้าบอกว่า 60% ของคนอเมริกามีน้ำหนักเกินมาตรฐาน สถิตินี้มันไม่ใช่เรื่องธรรมชาติแล้วนะคะ ถ้าคนเรามีเจ้าสามฮอร์โมนคอยควบคุมความหิวอิ่มอยู่ตลอดโดยธรรมชาติ ทำไมคนถึงมีไขมันสะสมมากเกินจำเป็นจนทำให้มีผลเสียต่อสุขภาพตัวเอง? ถ้าย้อนมองกลับไปดู คนสมัยก่อนก็กินไขมันที่ได้จากสัตว์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แต่ไม่ยักกะอ้วนกันมากขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้คนอ้วนขึ้น อาจไม่ใช่เพราะคนหันมากินสามมื้ออย่างที่ชาว Fast-5 เชื่อ แต่เป็นเพราะเมื่อการเกษตรและอุตสาหกรรมเจริญขึ้น อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตได้ผ่านกระบวนการมากขึ้น และคนโดยเฉพาะคนเมกากินน้ำตาลกันเป็นล่ำเป็นสันมากขึ้น ข้าวถูกขัดเอาเปลือกออก แล้วโม่เป็นแป้ง น้ำตาลจากอ้อยหรือพวกน้ำเชื่อมจากพืชที่เต็มไปด้วย fructose อาหารพวกนี้ผ่านกระบวนการจนกลายมาเป็นน้ำตาลบริสุทธิ์ที่ทานเข้าไปแล้วย่อยง่ายสุดๆ และส่งอิทธิพลต่อน้ำตาลในเลือดจังๆ อย่างรวดเร็ว แต่ร่างกายคนเราไม่ได้ออกแบบมาให้รับมือกับคาร์โบไฮเดรตย่อยง่ายๆ เพียวๆ แบบนั้น ระบบฮอร์โมนเลยรวน และทำให้เก็บไขมันสะสมมากผิดปกติ

คนสมัยนี้ทานน้ำตาลมากอย่างไม่รู้ตัว คนจำนวนมาก มากจนน่าตกใจ เป็นโรคเสพติดน้ำตาล เมื่อทานเข้าไปแล้วด้วยระดับฮอร์โมนที่ขึ้นลงรวดเร็วอย่างผิดปกติ ทำให้ยิ่งโหยน้ำตาล อยากทานมากขึ้นไปอีก พอๆ กับติดยาเลยล่ะค่ะ คนพวกนี้มักแปลสัญญาณผิด เช่น ถ้าร่างกายอ่อนระโหยไม่มีแรง ก็จะคิดว่าเป็นอาการโหยน้ำตาล เพราะน้ำตาลในเลือดต่ำ จริงๆ แล้วไม่ใช่ สาเหตุของอาการหิวอ่อนแรง มีได้หลายอย่าง อาจจะเพราะขาดน้ำ ขาดวิตามินและเกลือแร่ หรือสารอาหารอื่นๆ แต่เมื่อคนเข้าใจว่าตัวเองขาดน้ำตาล ก็จัดการทานน้ำตาลเข้าไปซะ ฉุดน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นสูงปรี๊ด ฮอร์โมนก็จะถูกหลั่งออกมาในปริมาณเยอะมากเพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อปริมาณฮอร์โมนเยอะ ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดถูกกดจนต่ำกว่าปกติ เราก็จะรู้สึกหิว ไม่มีแรง และเมื่อเรารู้สึกเช่นนั้น เราก็นึกว่าเราต้องการน้ำตาลเลยอยากขนมและหาขนมทาน ไปเติมวงจรอุบาทว์ให้วิ่งต่อไปไม่สิ้นสุด จริงๆ แล้วคนเราแทบไม่ต้องการน้ำตาลเพิ่มเลยค่ะ เพราะว่าถ้าเราได้คาร์บจากผักผลไม้และข้าวไม่ขัดขาว ร่างกายจะสามารถย่อยสลายคาร์บเหล่านั้นมาเติมน้ำตาลในเลือดได้อยู่แล้ว

มาถึงคำถามที่สำคัญที่สุดคือ แล้วเราจะหยุดวงจรนี้ได้อย่างไร? อันนี้เราก็ได้โอกาสขุดเอาความรู้เก่ามาใช้ล่ะค่ะ ภาคปฏิบัติที่แนะนำกันใน High-protein diet ทั่วไป คือ ต้องจัดการงดแป้งขัดขาวและน้ำตาล แต่นี่ไม่ใช่การงดคาร์บทั้งหมด(เพราะมันทำให้เกิดผลเสียอย่างมหันต์ เช่น ทำให้สมองทำงานไม่ได้เพราะขาดกลูโคส และทำให้จิตตก) ที่ถูกต้องคือ ย้ายไปรับคาร์บจากแหล่งที่เหมาะสมคือ พวกผักผลไม้และเมล็ดพืชที่ไม่ได้ผ่านการขัดสี แต่เนื่องจากการงดอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำให้เกิดอาการอยากอย่างรุนแรง(คล้ายๆ อาการลงแดงของพวกติดยา) หมอที่แนะนำ high-protein diet จึงมักจะให้ผู้ที่เริ่มลดน้ำตาลจัดการลดคาร์บทุกประเภทไปเลยประมาณ 2 สัปดาห์ (ที่เรียกว่า induction phase ใน Atkins หรือ Phase I ใน The south beach diet) เพียงแค่ 2 สัปดาห์ที่จะต้องจำกัดอย่างสุดๆ เพื่อไป reset ระบบใหม่ แล้วหลังจากนั้นเราจึงค่อยๆ เพิ่มคาร์บที่ดีๆ มีไฟเบอร์ปน จากแหล่งที่เหมาะสมเข้าไปในมื้ออาหาร เริ่มจากเพิ่มคาร์บเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงปริมาณที่คิดว่าเหมาะกับร่างกายของเราเอง

ความจริงเราเคยทราบเรื่องนี้มาแล้ว แต่พอกลับมาอ่านและฟังดูอีกที ความรู้สึกแรกคือ ยี้ๆๆๆ รู้สึกเหมือนตัวเองติดยาแต่ว่าไม่รู้ตัว เมื่อก่อนตอนที่เราค้นพบว่า พวก Fast food อย่าง Hamburger อาหารทอดๆ หรือพิซซ่ามัน junk และแย่ต่อสุขภาพแค่ไหน ทำให้หยะแหยงเข็ดขยาดหมดอารมณ์กินและไม่เคยไปแตะต้องมันอีกเลย จนเดี๋ยวนี้กลายเป็นไม่ชอบมันไปจริงๆ คือถ้าเจออาหารมันๆ จะเกิดอาการเลี่ยนอยาก:-)ทิ้งโดยไม่ต้องกระแดะเสแสร้ง ตอนนี้เรารู้สึกแบบนั้นกะขนมหวานต่างๆ ที่ทานอยู่บ่อยๆ บางทีเคยคิดว่า ทานขนมอันนี้ไม่ค่อยมีไขมันไม่เป็นไร หรือคิดว่าไม่ควรจำกัดตัวเองมากเกินไป จะต้องทานขนมบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อไม่ให้ตบะแตก จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเลยอ่ะค่ะ ไม่ใช่สิ่งที่ต้อง ”ทำใจ”เพื่อจะงด แต่เหมือนกับยาเสพติดต่างๆ ที่เราพร้อมจะ ”ไม่แตะต้อง” อย่างเต็มใจเพราะรู้ว่ามันคือสิ่งที่ทำร้ายสุขภาพ เรียกว่าสัญญาณเหล่านี้มันมากระตุ้นเตือนให้เปลี่ยนมุมมองใหม่ที่มีต่อขนมหวานไปเลย

ตอนนี้เราว่าจะส่งตัวเองเข้าถ้ำกระบอก งดน้ำตาลและแป้งขัดขาวเข้า phase I ของ south beach เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และรับรองว่าไม่ใช่การฝืนใจงดชั่วคราวเพื่อให้ผอมหรืออะไรทั้งนั้น แต่เป็นการทำสิ่งดีๆ เพื่อเป็นของขวัญให้ตัวเองจะได้เลิกจากเจ้าสารเสพติดพวกนี้ เปลี่ยน lifestyle ซะ ลาทีของหวาน เฮ้อ

ปล.รู้ไหมคะว่าหนังสือ Good calories,Bad calories เค้าล้มล้างความเชื่อเรื่องอะไรอีกอย่าง หึหึ เค้าบอกว่าการออกกำลังมีผลน้อยมากถึงน้อยที่สุดต่อการลดน้ำหนัก –“ เฮีย Gary Taubes นี่เค้าช่างกล้าแหวกม่านประเพณีจริงๆ แต่งานวิจัยใหม่ๆ เหมือนจะชี้ไปในทางเดียวกันว่าอย่างนั้น ถ้าเราทราบความคืบหน้าหรือรายละเอียดเรื่องนั้นแล้วจะเอามาเล่าให้ฟังค่า

ที่มา : ขอบคุณ ข้อมูลดีๆ จาก http://shining-coral.บล็อกสปอต.com/ (ผู้เขียน)
.
.
.
.
.
ถ้าซ้ำขออภัยด้วยนะคะ จากหมอก (จขกท.)

แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 54 10:16:19

จากคุณ : Love in the mist
เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 10:06:07




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com