กระทู้ดักสาลิกาชัดๆ
การขริบจริง ๆ ก็คือการเอาหนังที่คลุมออกครับ มีแบบเดียวนั่นแหละ แต่ในเมืองนอกที่เค้านิยมทำกันเยอะ ๆ เช่นพวกอเมริกาที่ผู้ชายส่วนใหญ่ทำกัน เลยเริ่มเกิด option ขึ้น คือเอาหมวกออกมากหรือน้อย ซึ่งจริง ๆ ไม่ต่างกันครับ เป็นเรื่องของความชอบมากกว่า ขอให้มันเปิดได้ตลอดก็พอ ยิ่งในเมืองไทยไปบอกหมอนี่ หมอจะงงด้วยซ้ำครับว่ามีหลายวิธีหรือ การขริบก็คือหัตถการการแพทย์อย่างนึง ซึ่งประโยชน์ของมัน ก็คือเพื่อการดูแลทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น ทำให้ดูแลสุขอนามัยได้ดีขึ้น อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กัน คือผู้ชายทุกคนจะมีหนังหุ้มบริเวณปลายของอวัยวะเพศ ซึ่งบางคนที่โชคดีหน่อย หนังไม่ยาวมาก ดังนั้นเวลาโตขึ้นหนังก็จะร่นไปด้านล่างได้ แต่ก็มีผู้ชายอีกจำนวนมากเช่นกัน ที่หนังหุ้มปลายยังยาวอยู่ ทำให้มันคลุมบริเวณหัวของตัวอวัยวะ ตรงนี้แหละครับที่ทำให้เกิดปัญหาได้ เพราะเวลาเราเข้าห้องน้ำแต่ละครั้ง หลังทำธุระเสร็จก็จะมีคราบหรือหยดของฉี่มาค้างไว้ และยิ่งประกอบกับเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ทั้งเหงื่อ ทั้งขี้ไคลมาหมัก ๆ คลุกเคล้า ๆรวมกันจนเข้าที่ ตรงนี้แหละครับที่ทำให้เกิดคราบและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ครับ ซึ่งคนที่ขริบจะช่วยเรื่องนี้ได้เยอะครับ แม้หลายคนจะบอกว่ารูดได้อยู่แล้วแต่ก็อย่าลืมว่าวันๆนึงเราอาบน้ำสองครั้ง ช่วงเวลาที่คุณไม่ได้รูดไว้นั่นแหละที่เมื่อมันอับมันชื้นก็เกิดเรื่องได้
เมืองไทยเมืองร้อน ใส่เสื้อแขนยาวทำอะไรก็ลำบาก จะล้างมือ จะหยิบของก็ไม่สะดวก จะถกแขนเสื้อไปข้อศอก ซักพักแขนเสื้อก็ตกลงมาอีก และพอแขนเสื้อเปียกน้ำ มันก็ชื้น เหนอะหนะครับ ดังนั้นหาเสื้อแขนสั้นมาใส่ดีกว่า จะทำอะไรก็ง่ายขึ้นครับ
ลองเข้าไปดูนะครับ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thaicirc20&group=4
ปล.อาจมีภาพไม่เหมาะสมกับเยาวชนบ้าง แต่เจตนาเพื่อการศึกษานะครับ เรื่องเพศศึกษาหรือสุขอนามัยของอวัยวะส่วนสำคัญเมืองไทยเราไม่ค ่อยมีคนพูดหรือสอน ปล่อยให้ไปหาความรู้กันเองแบบผิด ๆ แอบถามกันแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ คนตอบก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง ตอนสอนครูก็สอนไปอายไป พยายามข้าม ๆ ให้จบ ๆ ผมเลยอยากจะทำเวบเกี่ยวกับเรื่องการดูแลอวัยวะส่วนสำคัญของผู้ชายครับ ไปดูแล้วช่วยกันเผยแพร่หน่อยนะครับ เพราะทุกวันนี้ผมอยู่รพ. มีคนไข้มากมายที่มาปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในพันทิพเองก็มีคำถามแบบนี้มาทุกวัน ทั้งที่จริง ๆ เป็นเรื่องที่ควรจะมีการสอนและปลูกฝังให้กับเยาวชนของพวกเราครับ
ปล.2 หนังหุ้มปลายมันก็มีประโยชน์ครับ คือในระหว่างครรภ์มารดา อุณหภูมิในท้องแม่จะสูงมาก หนังหุ้มจึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันให้ส่วนหัวขององคชาติไม่โดนความร้อนมากครับ และเมื่อคลอดออกมาคนเมื่อหมื่นปีก่อนไม่ได้สวมเสื้อผ้า ดังนั้นหนังส่วนนี้จึงทำหน้าที่เหมือนห่อหุ้มบริเวณหัวไว้เหมือนกันน๊อคอะครับ
แต่ในปัจจุบันมนุษย์ก็มีวิทยาการต่าง ๆ มีการใส่เสื้อผ้า ใส่กางเกง ใส่กางเกงในอยู่แล้ว ดังนั้นประโยชน์เรื่องหนังกันน๊อคจึงค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ แถมคนเรายิ่งใส่เสื้อผ้าหลายชั้น ยิ่งทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้เกิดเหงื่อไคลมากขึ้น ฉะนั้นการมีหนังหุ้มอีกเลยทำให้เกิดการหมักหมมได้ง่ายครับ ซึ่งตรงนี้แหละมนุษย์ก็เลยเริ่มมีการหาวิธีที่จะทำยังไงให้เกิดการระบายถ่ายเทความร้อนออกไป ทำยังไงให้ดูแลความสะอาดง่ายขึ้น จึงเกิดการขริบครับ
เอาง่าย ๆ คนสมัยก่อนไม่ใส่เสื้อผ้า มีหนังคลุม 1 ชั้น ลมโกรกไปมา ฉี่เสร็จวิ่งโต้ลมสามก้าวก็จบ
คนสมัยนี้ มีหนังหุ้ม มีกางเกงใน มีกางเกงนอก รวมสามชั้น เข้าห้องน้ำแล้วเก็บ ทำงานงกๆ คิดว่าการระบายถ่ายเท จะดีเหมือนโบราณไหมครับ
แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 54 16:45:19
จากคุณ |
:
สาลิกาโบยบิน
|
เขียนเมื่อ |
:
18 พ.ย. 54 16:44:46
|
|
|
|