ความคิดเห็นที่ 1 เสียงสะท้อนจากผู้ใช้บริการ พนักงานประกันชีวิตรายหนึ่ง ได้สะท้อนเรื่องราวดังกล่าวนี้ผ่านการโพสต์ผ่านSocial Network ว่า จากการเข้าไปเยี่ยมเยียนลูกค้าที่ประกันกลุ่ม พบว่าสิ่งที่ได้ยินจากลูกค้าคล้ายกันก็คือ ค่ารักษาพยาบาลโรงพยาบาลเอกชนแพงเกินความเป็นจริง โดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นองค์กรที่มีชาวต่างชาติทำงานด้วย จะเห็นชัดเจนมากว่า ค่ารักษาพยาบาลปัจจุบันไม่ใช่มีแค่ค่ายากับค่าตรวจ แต่จะมี ค่าล่าม ค่าแพทย์รักษา ค่าบริการพยาบาล ค่าบริการแพทย์ ค่าบริการพยาบาล ค่ายา ค่าเครื่องมือตรวจ ฯลฯ “ถ้านอนพักรักษาที่โรงพยาบาลอาจจะมีมากกว่านั้น เช่น ค่ากิ๊ฟท์เซ็ท ค่าใช้ที่รองปัสสาวะ ค่าทิชชู ค่าจอดรถของญาติซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่ใช่มีแค่โรงพยาบาลไฮคลาสอย่าง บำรุงราษฎร์ ,บีเอ็นเอช ,กรุงเทพ นะครับ ทว่าได้เริ่มแพร่กระจายมาโรงพยาบาลเอกชนระดับถัดลงมาแล้ว” ผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้หญิงรายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า สามีและเธอเองมีเรื่องต้องไปหาหมอแทบทุก 3 เดือน แล้วหมอก็จะให้ยามาซึ่งทุก 3 เดือน ซึ่งค่ายาของแต่ละคน แต่ละครั้งประมาณ 5 หมื่นบาทบ้าง 6 หมื่นบาทบ้าง ซึ่งเธอและสามีก็ก้มหน้าก้มตาจ่ายไป แต่ทว่าครั้งล่าสุดเธอพบว่า หมอจ่ายยาให้สามีของเธอสำหรับ 3 เดือนเป็นเงินถึง 98,000 บาท เรียกว่าเกือบหนึ่งแสน ซึ่งเธอตกใจมาก ดังนั้น จึงไปสอบถามร้านขายยาว่า ยาที่ใช้ อาทิ ยาEzetrol ลดไขมันขายเม็ดละเท่าไร ซึ่งร้านขายยาบอกว่า 50 บาทขณะที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้นขาย เม็ดละ 117 บาท หรือ ยา Nexium 40mg . ซึ่งเป็นยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะที่ร้านขายยาขายเม็ดละ 55.75 บาท แต่โรงพยาบาลเอกชนขายเม็ดละ 156 บาท ดังนั้น เธอจึงนำรายละเอียดของยาพร้อมราคายาของโรงพยาบาลแล้วศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับราคายาที่ทางกระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้เป็นราคากลาง ซึ่งเธอก็พบว่า ราคายาที่ต้องจ่ายถึง 9 หมื่นกว่าบาทในขณะที่ราคากลางของกระทรวงฯเพียง3 หมื่นกว่าบาทรวมแล้ว เบ็ดเสร็จ เธอต้องจ่ายแพงขึ้นถึง 6 หมื่นกว่าบาท นี่เป็นตัวอย่างเบื้องต้นเท่านั้น ถึงค่ายาจากโรงพยาบาลเอกชนที่ลูกค้าหลายคนเข้าไปใช้บริการแล้วประสบปัญหาค่ารักษาที่แพงเกินความเป็นจริง ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนหน้านี้ทางกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์เองก็ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนถึงความเดือดร้อนในการเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลเอกชนที่มีการคิดราคาสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐบาลมาก โดยเฉพาะราคายาที่โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งมีกำไรจากราคายามากถึง 30-200% ขณะที่โรงพยาบาลของรัฐ หรือร้านขายยาทั่วไปมีกำไรแค่ 15-30% ส่วนค่าตรวจรักษาพยาบาลพบว่าโรงพยาบาลเอกชนมีการปรับเพิ่มราคาจากปี 2545 จนถึงบัดนี้สูงถึง 66% ขณะที่โรงพยาบาลของรัฐเพิ่มขึ้นแค่ 11% และเมื่อเทียบอัตราค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนกับรัฐแตกต่างกันถึง 194% จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 13:38:56

ความคิดเห็นที่ 2 ชำแหละค่าต๋งบริษัทยา - รพ. แหล่งข่าว ด้านเภสัชกรโรงพยาบาลเอกชน ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม ยอมรับกับ “ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์ ว่า เป็นความจริง ที่เกิดขึ้นกับรพ.เอกชน โดยเฉพาะการบวกราคายาซึ่งเป็นรายได้หลักโดยตรง ซึ่งแต่ละโรงพยาบาลจะคิดไม่เท่ากัน โดยหลักคิด คือ ถ้าเป็นยาราคาไม่แพงนัก ก็อาจจะชาร์จมากอาจจะเป็น 5-10 เท่า แต่ ถ้าเป็นยาราคาแพงก็จะชาร์จไม่มาก แต่โดยเฉลี่ยส่วนใหญ่จะชาร์จเพิ่มเริ่มต้นที่ 30% ขึ้นไป จนไปถึง 200-300% “คุณรู้ไหม ทำไมค่ารักษาพยาบาลระหว่างโรงพยาบาลรัฐกับเอกชนจึงต่างกันหลายเท่า เพราะโรงพยาบาลรัฐไม่มีค่าก่อสร้างอาคาร ค่าจ้างบุคลากร หรืออื่นๆ ทั้งหมดนี้อยู่ในงบประมาณที่รัฐบาลจัดให้ แต่โรงพยาบาลเอกชนมีค่าก่อสร้างอาคาร ดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำค่าไฟฟ้า และอื่นๆ ทั้งหมดเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องนำมาคำนวณในการคิดค่ารักษาพยาบาลและค่ายาก็เป็นส่วนสำคัญที่จะหารายได้มากที่สุด” กระนั้นเภสัชกรรายนี้ บอกว่า เหตุผลข้างต้าน ก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดของราคายาที่แพงมากในโรงพยาบาลเอกชน แต่ส่วนหนึ่งมาจาก การแข่งขันของบริษัทยาที่ทำการตลาดกันรุนแรง โดยตั้งราคายาสูงเกินจำเป็นแล้วตัดเงินมาทุ่มกับผู้เกี่ยวข้อง “ทุกวันนี้ถ้าคุณๆไปนั่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วบังเอิญคุณเป็นคนที่กว้างขวางรู้จักบรรดาแพทย์ เภสัชกรที่ทำงานโรงพยาบาล คุณจะพบว่าแทบทุกวันมีการสปอนเซอร์จากบริษัทยา นำบุคลากรเหล่านี้เดินทางไปต่างประเทศ โดยใช้การประชุมวิชาการบังหน้า บางครั้งก็ทำรายการเที่ยวล้วนๆด้วยซ้ำไป ยิ่งเป็นแพทย์ที่อยู่ในคณะกรรมการจัดซื้อยา ที่มีอำนาจในการดันรายชื่อยา หรือหมอคนนี้มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ จะเป็นแกนนำในการใช้ยา จะได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษ ” เขาเล่าต่อว่า อย่างไรก็ตามการเข้าไปจับคนที่มีPowerในการจัดซื้อยาอย่างเดียวไม่พอ ต้องไปหา “มือปืนมายิง”ซึ่งเป็นศัพท์แสลงใช้เรียกหมอออกตรวจคนไข้ทั่วไปในรพ. เนื่องจากแพทย์เหล่านี้จะมีอำนาจในการสั่งยาจ่ายยาโดยตรง และถ้าหมอคนเดิมทำบ่อยๆ ทางรพ.อาจจะเรียกหมอมาคุยและซื้อมาเป็นล็อต นั่นหมายถึงหมอคนนั้นก็ได้เงินทันที หรือ กรณีใช้หมอเป็นตัวกลางในการสั่งยา กรณีที่คนไข้หาซื้อยาไม่ได้ โดยเฉพาะยามะเร็ง ส่วนใหญ่จะหาซื้อยาก เพราะราคาสูง ร้านขายยาไม่ค่อยนิยมสต็อกไว้ และเวลาขายแต่ละครั้งต้องขายตามใบสั่งแพทย์ แถมยังต้องมีบันทึกรายงานส่งอย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ซึ่งยุ่งยาก หรือหากคนไข้จะไปซื้อตรงกับโรงงานก็ไม่ได้ เพราะกฏหมายระบุไว้ว่า จะซื้อขายโดยตรงกับผู้ป่วยไม่ได้ ดังนั้นคนไข้ส่วนใหญ่ก็ต้องซื้อผ่านแพทย์หรือไม่ก็โรงพยาบาลที่ได้รับการอนุญาต “ตอนนี้เป็นเรื่องปกติของการทำการตลาดไปแล้ว เพราะบริษัทยาเหล่านี้จะมีเซลสวยๆ มีของขวัญมาให้ มีการตั้งเป้าหมายแต่ละคนจะได้ทำตัวเลขเท่าไร บริษัทจะมีสนับสนุนเช่นวิชาการ เทคนิคการขายที่จะต้องมี นอกเหนือจากนั้นเซลเหล่านี้ ยังมีงบพิเศษสนับสนุนการขายอีกด้วย เช่น การเบิกงบเอ็นเตอร์เทนต์ งบซื้อของขวัญ ขึ้นอยู่กับวอลุ่มในการทำยอดขายของเซลแต่ละคน เช่น ถ้าเซลคนนั้นมียอดขายเดือนละล้าน ถ้าจะของบสนับสนุนการขายครั้งละ 1-2 หมื่นก็จะได้รับการอนุมัติได้ไม่ยาก” อย่างไรก็ดี “เวทิต อรรถเวชกุล” ผู้อำนวยการองค์การเภสัช ได้กล่าวกับ “ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์”ว่า การที่ยาของภาคเอกชนแพงกว่ายาของภาครัฐนั้น เชื่อว่ามาจากหลายปัจจัย คือ 1.จำนวนการผลิตเขาต่ำกว่าหรือเปล่า 2.เขาต้องการกำไรมากไปหรือเปล่า 3.มาตรฐานที่องค์การอาหารและยา (อ.ย.) ต้องการสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และ 4.การแข่งขันของบริษัทจำหน่ายยาจากต่างประเทศ ทั้งประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งหากมีการเปิดการค้าเสรีในปี 2558 เชื่อว่าจะควบคุมตรงนี้ได้ยากขึ้น เพราะปัจจุบันมูลค่ายาจากที่ซื้อจากบริษัทต่างประเทศมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 70,000-80,000 บาท ขณะที่มูลค่าของการซื้อยาภายในประเทศมีเพียง 30,000 ล้านบาทเท่านั้น “ รพ.เอกชนใช้ยาที่มาจากต่างประเทศทำให้ราคาจำหน่ายยาต้องสูงขึ้น โดยกำไรจากการจำหน่ายยาจะอยู่ที่นโยบายของรพ. ยาบางตัวกำไรเป็น 100% ขณะที่บางตัวก็กำไรแค่ 10% เท่านั้น ทั้งนี้ ยาที่แพงในปัจจุบันมีอยู่หลายตัว อย่าง ยารักษาโรคมะเร็ง ยารักษาโรคเลือด ยาพวกนี้ที่ยังมีสิทธิบัตรอยู่ทำให้ยาเหล่านี้มีราคาจำหน่ายแพง ซึ่งสิทธิบัตรยาจะมีอายุถึง 20 ปี “ ส่วนการมองว่ายาแพงเพราะส่วนหนึ่งต้องจ่ายค่าเปอร์เซ็นต์ให้กับแพทย์นั้น ในมุมมองของ “เวทิต” แล้วเห็นว่า การจ่ายเงินค่าเปอร์เซ็นต์ให้กับแพทย์นั้น ในความเป็นจริงแล้วแพทย์ไม่มีสิทธิได้เงินตรงนั้น แต่เงินส่วนนี้บริษัทยาจะจ่ายให้เป็นเงินสวัสดิการของรพ.รัฐ ซึ่งจะมีคณะกรรมการดูแล โดยเงินดังกล่าวรพ.รัฐจะใช้ในการบริหารจัดการรพ. แต่รพ.รัฐบางแห่งก็ไม่มีนโยบายดังกล่าว ขณะที่รพ.เอกชนก็มีหลายแห่งที่ไม่มีนโยบายตรงนี้ อย่างรพ.เอกชนที่บริหารงานโดยครอบครัว ส่วนการควบคุมราคายานั้นหากเป็นรพ.รัฐก็มีหน่วยงานอย่างประกันสังคม บัตรทอง กรมบัญชีกลาง ฯลฯ ควบคุมอยู่แล้วเพื่อให้ราคายาเป็นที่พอใจของแพทย์และคนไข้ ขณะที่รพ.เอกชนหลายแห่งที่เข้าโครงการประกันสังคม บัตรทอง ฯลฯ ก็จะมีหน่วยงานพวกนี้ควบคุมเพื่อให้ค่าใช้จ่ายยามีความสมเหตุสมผล จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 13:39:16

ความคิดเห็นที่ 3 รพ.เอกชน แจงเหตุ ยาแพงเพราะต้นทุนสูง จากกรณีดังกล่าว “ผู้จัดการ 360 องศรายสัปดาห์”จึงได้สอบถามเรื่องนี้ไปยัง “นพ.อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท 2 ที่ได้ชี้แจงว่า การที่ค่ารักษาของโรงพยาบาลเอกชนมีราคาที่สูงกว่าของโรงพยาบาลรัฐนั้น เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนมีการรวมเรื่องค่าบริการ ค่าแพทย์ และค่าอื่นๆ ในขณะที่โรงพยาบาลรัฐไม่มีการคิดค่าดังกล่าวทำให้ค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชนแพงกว่าโรงพยาบาลรัฐ สำหรับกลุ่มยาที่มีราคาแพงจะเป็นกลุ่มยารักษาโรคมะเร็ง หัวใจ เบาหวาน เนื่องจากเป็นยาที่ไม่สามารถผลิตในไทยได้ทำให้ราคาแพง โดยราคายาที่ผลิตจากต่างประเทศจะสูงกว่ายาที่ผลิตในประเทศไทยมากถึง 50% อย่างไรก็ดี ราคายาของโรงพยาบาลแต่ละแห่งจะแตกต่างกันไปแล้วแต่โรงพยาบาล อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนด้วยกันราคาจะไม่แตกต่างกันมากนัก ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าแพทย์รับเงินใต้โต๊ะจากบริษัทยาเพื่อช่วยบริษัทยาจำหน่ายยานั้น เชื่อว่าไม่มีเนื่องจากผิดจรรยาบรรณของแพทย์ นอกจากนี้ แพทย์ที่มีจรรยาบรรณจะต้องจ่ายยาให้ตรงกับโรคและตัวบุคคล ดังนั้น การรับเงินใต้โต๊ะจึงไม่มีทางที่แพทย์จะทำอยู่แล้ว สำหรับการที่บริษัทยาเข้ามาเป็นสปอนเซอร์ให้กับโรงพยาบาลเพื่อแลกกับการซื้อยานั้น บริษัทยามีหน้าที่ในการสนับสนุนเรื่องวิชาการให้กับแพทย์อยู่แล้ว แต่หากบริษัทยาที่เข้ามาสนับสนุนวิชาการเพื่อแลกกับการซื้อยานั้น โรงพยาบาลจะไม่สนับสนุนบริษัทดังกล่าว ส่วน การควบรวมโรงพยาบาลระหว่างเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโลกับโรงพยาบาลกรุงเทพอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา เชื่อว่าจะช่วยเรื่องของการจัดซื้อยาและอุปกรณ์การแพทย์ได้ไม่น้อย แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะลดค่าใช้จ่ายได้เท่าใด ผู้บริหารรพ.เอกชนอีกรายหนึ่งกล่าวเสริมว่า ค่ายา เป็นเอกสิทธิ์ของโรงพยาบาลว่าจะตั้งราคาเท่าไหร่ โดยทั่วไป จะรวมค่าบริหารจัดการของโรงพยาบาลเข้าไปด้วย ไม่ใช่คิดเฉพาะต้นทุนยาเหมือนในโรงพยาบาลรัฐ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน ที่มีการรวมค่าบริหารจัดการเข้าไปด้วยส่วน Doctor Fee กับค่าพยาบาล จะเป็นส่วนของแพทย์ หรือพยาบาล ซึ่งปกติโรงพยาบาลไม่ได้มีกำไรจากส่วนนี้อยู่แล้ว “กำไรโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่จะอยู่ตรงค่ายา กับค่าอุปกรณ์ครับ หักไปหักมาแล้ว กำไรจริงๆ จากการขายยาอยู่สัก 10 เปอร์เซ็นต์ ที่แพงๆ นั่น Overhead Cost ทั้งนั้น ถ้าทำใจจ่ายไม่ได้ ก็ต้องใช้บริการคลินิก หรือโรงพยาบาลรัฐ ที่มีการสนับสนุน Overhead Cost ส่วนนี้จากภาษีจะดีกว่า” สอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ของ “ศ.นพ.สิน อนุราษฎร์” ผู้อำนวยการด้านการแพทย์กลุ่มภูมิภาค โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งเคยชี้แจงเรื่องนี้ผ่านนิตยสารผู้จัดการว่า รายได้ จากโรงพยาบาลจะมีรายรับมาจากการหักเปอร์เซ็นต์ค่าพบแพทย์ โดยหักจากผู้ป่วยนอก (OPD) 15% เป็นค่าใช้จ่ายด้านสิ่งอำนวยความสะดวกแก่แพทย์ แต่สำหรับผู้ป่วยใน (IPD) ทางโรงพยาบาลจะไม่หักเปอร์เซ็นต์ค่าแพทย์ไว้ แต่จะมีรายได้ในส่วนของ ค่าพยาบาล ค่าเครื่องมือแพทย์ ค่าพื้นที่ ที่ได้จากการเรียกเก็บจากคนไข้ นอกจากนี้ รายได้แหล่งใหญ่ของโรงพยาบาลยังมาจากการขายยา ซึ่งราคาค่ายาจะถูกบวกค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการตรวจรักษาเข้าไปด้วย และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมยาในโรงพยาบาลจึงแพงกว่าร้านขายยาทั่วไป "คนไข้มักจะลืมไปว่าในห้องตรวจมีค่าใช้จ่าย ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้แพทย์ไม่ได้เป็นคนออก จึงต้องมีส่วนอื่นเข้ามาช่วย ซึ่งบางแห่งก็คิดค่าใช้จ่ายตรงนี้ประมาณ 50-80 บาท" น.พ. สิน ไขข้อข้องใจ สำหรับอัตราค่ารักษาพยาบาล ในส่วนของค่าพบแพทย์ (doctor fee) ทางบำรุงราษฎร์จะกำหนดพิสัย (range) เป็น guideline ไว้ให้แพทย์ในการเรียกเก็บโดยจะพิจารณาเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลที่เป็น Treasury Care เหมือนกัน แต่จะไม่มีการกำหนดไว้ตายตัวเพราะอัตราค่าพบแพทย์ที่เป็นระดับอาจารย์แพทย์จะสูงกว่าระดับปกติ ซึ่งนี่ก็เป็นคำตอบว่าทำไมบางครั้งบิลล์ที่คนไข้ได้รับถึงกับต้องผงะ อย่างไรก็ตาม น.พ. สินได้เปรียบเทียบว่าค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยในไทยกับอเมริกาด้วยเครื่องมือเหมือนกันจะถูกกว่าในอเมริกาประมาณ 30% แต่หากเปรียบเทียบอัตราค่ารักษาของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย และสิงคโปร์โดยเฉลี่ยจะพบว่าไทยจะอยู่ตรงกลางระหว่างสิงคโปร์กับมาเลเซีย เช่น การเปลี่ยนไต ค่ารักษาจะตกประมาณ 397,000 บาท ขณะที่สิงคโปร์ประมาณ 975,000 บาท และมาเลเซีย 392,000 บาท, การผ่าตัดทำคลอด ไทยประมาณ 49,000 บาท สิงคโปร์ 60,000 บาท มาเลเซีย 42,000 บาท, ผ่าตัดไส้ติ่ง ไทย 49,000 บาท สิงคโปร์ 50,000 บาท มาเลเซีย 39,000 บาท ยกเว้นการตัดต่อเส้นเลือดหัวใจ (By-Pass) การตรวจคลื่นหัวใจ การสแกนสมอง และการตรวจร่างกายผู้บริหาร อัตราค่ารักษาของไทยจะถูกที่สุด ตกประมาณ 397,000 บาท 300 บาท 3,900 บาท และ 1,000 บาท ตามลำดับ กระนั้นก็มีข้อเท็จจริงรายได้ของหมอ ซึ่งแหล่งข่าวซึ่งเป็นแพทย์หญิงได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า -รพ.เอกชน หมอจะได้ค่ารักษาที่เรียกว่าDFหรือdoctor free หรือค่าทำหัตถการ ค่าตรวจเยี่ยมคนไข้ในเท่านั้น ส่วนค่าDFบางรพ.ให้หมอลงเองแต่บางรพ.ก็จะมีค่าDFตายตัวอยู่แล้ว สำหรับค่าหัตถการคือ หากเย็บแผล ใส่เผือก อันนี้ถ้าหมอเย็บให้ ถือว่าเป็นค่าหัตถการ แต่บางรพ.ก็ไม่ได้ทั้งหมดจากที่รพ.เก็บจากคนไข้แต่จะได้บางส่วนเท่านั้น “สำหรับ ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ รพ.เป็นคนคิดราคา หมอไม่ได้มีส่วนได้ในตรงนี้ ซึ่งแต่ละ รพ.ก็คิดราคายาไม่เท่ากัน ดังนั้นหากคนไข้ต้องการให้เขียนชื่อยาเพื่อไปซื้อข้างนอกสามารถทำได้เนื่องจากเป็นสิทธิผู้ป่วยค่ะ หากแต่หมอคงไมได้ถามคนไข้ทุกคนว่าต้องการชื่อไปซื้อเองหรือไม่ ถ้าผู้ป่วยประสงค์ย่อมทำได้” จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 13:39:38

ความคิดเห็นที่ 4 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคย้ำ คนไข้มีสิทธิซื้อยาข้างนอกรพ. กระนั้นมีการถกเถียงประเด็นเรื่องราคายา หรือราคาค่าบริการเป็นธรรมกับผู้บริโภคหรือไม่ เนื่องจากใน พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ไม่ได้มีประเด็นเรื่องการควบคุมราคายา หรือแสดงโครงสร้างราคายา คงมีแต่ในพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ซึ่งมีประเด็นที่ว่า ยาเป็นสินค้าควบคุม ตามมาตรา 24 แต่ก็ไม่เคยมีประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ที่ออกมาว่ายานั้นควรมีราคาเท่านั้น เท่านี้ หรือขายในราคาที่ไม่เกินที่กำหนด ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดไว้ตามมาตรา 25 หรือในมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง (ยังไม่ได้ใช้อำนาจอย่างเต็มที่) คงปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด (จะมีเพียงแต่สินค้าบางรายการเท่านั้นที่กำหนดราคาสูงสุดมาให้เลย) อย่างไรก็ดี ยารักษาโรค เป็นสินค้าควบคุมของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะควบคุม ไม่ให้ขายในราคาที่สูงกว่า ราคาที่กำหนด ดังนั้น ผู้เสียหาย รวมทั้งคนอื่นๆ ที่ประสบเหตุยาแพง อาจแจ้ง กรมการค้าภายในได้ รายงานข่าวดังกล่าว เป็นเครื่องสะท้อน ให้เห็นว่า จากอดีตถึงปัจจุบัน ผู้ป่วยมักมีความเข้าใจผิดๆว่า การรักษาพยาบาล เป็นเรื่องตายตัว ยืดหยุ่นไม่ได้ แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยโรค และสั่งยาเท่านั้น “สารี อ๋องสมหวัง” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และในตำแหน่งล่าสุดโฆษกชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน ให้ความเห็นกับ “ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์”ว่า ในความเป็นจริง ผู้ป่วยและญาติ มีสิทธิ์สอบถามแพทย์ ถึงอาการ แนวทางการรักษา ที่ได้ผลที่สุด และที่สำคัญ ก็คือ ยาที่ใช้รักษาโรคนั้น รวมทั้งราคายาโดยประมาณ เช่น ถ้าไปโรงพยาบาลรัฐบาล สามารถ แจ้งความจำนงว่า ต้องการยาที่ดีที่สุด แม้ไม่มียาในห้องยาของโรงพยาบาล ก็ขอให้แพทย์ เขียนใบสั่งยา ให้ออกไปซื้อ ที่ร้านขายยา นอกโรงพยาบาลได้ แม้ไปโรงพยาบาลเอกชน ก็มีสิทธิ์ขอใบสั่งยา ออกไปซื้อ ยา นอกโรงพยาบาลได้เช่นกัน จะได้ไม่ต้องจ่ายค่ายาแพง เมื่อผู้ป่วยแจ้งเจตจำนง ให้แพทย์เขียนใบสั่งยาแล้ว อาจถามแพทย์เพิ่มเติมว่า มียาชนิดอื่น นอกจากที่ เขียนในใบสั่ง ที่มีประสิทธิผล ทางการรักษาสูงสุดหรือไม่ ถ้ามี และเราต้องการ ก็ขอให้เขียน ใบสั่งยา ให้ใหม่ เพราะบางครั้ง การถามครั้งนั้น อาจทำให้คุณและญาติๆ หายป่วยเร็วกว่าปกติด้วย “การที่ผู้บริโภคจะร้องขอให้แพทย์เขียนใบสั่งซื้อยาเพื่อนำไปซื้อยาข้างนอกนั้นเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ เพราะผ่านมาตนเองก็เคยทำแบบนี้ ซึ่งการไม่ซื้อยากับโรงพยาบาลจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อครั้งได้เป็น 10 เท่าตัว จากที่เคยจ่ายค่ารักษารวมกับค่ายาและบริการครั้งละ 6,000 บาทต่อการรักษาหนึ่งครั้งก็เหลือเพียง 600 บาทต่อครั้ง” แต่ในทางกลับกัน การผนึกกำลังและเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะส่งผลกระทบกับโรงพยาบาลขนาดเล็กและกลาง ที่มีสายป่านไม่ยาวพอ จนอาจต้องถูกกลืนในที่สุด เพราะอำนาจการต่อรองที่น้อยกว่าโรงพยาบาลเครือข่ายจำนวนมาก และนี่จึงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า อนาคตธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในไทยจะเหลือเพียงไม่กี่กรุ๊ปเท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจคือ วิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลเอกชนไทยที่ต้องการจะก้าวเป็นผู้นำในตลาดโลก และพุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อมากกว่าตลาดในประเทศ ปัญหาคือ ระบบการรักษาในของคนภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรพ.รัฐ ,ประกันสังคม และบัตรทอง จะพัฒนามารองรับความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่ ? *************** จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 13:39:53

ความคิดเห็นที่ 5 ชำแหละปมคนไทยซื้อยาราคาแพง!!! ในแต่ละปีคนไทยใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อยาเพื่อมารักษาโรคเป็นเม็ดเงินนับหมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันยาบางประเภท หากซื้อจากร้านขายยา คลีนิกเอกชน โรงพยาบาลรัฐ หรือโรงพยาบาลเอกชน มักราคาแตกต่างกันมาก หรือ ซ้ำร้ายแพงกว่ากันเป็นหลักร้อยบาทต่อชนิด โดยที่ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสามารถทำกำไรจากการจำหน่ายยาบางชนิดสูงเฉลี่ยประมาณ 30-200 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ก่อให้เกิดคำถามว่า เหตุใดคนไทยต้องจ่ายเงินซื้อยารักษาแพง เปิดปม 6 ต้นเหตุยาแพง ประธานการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) นพ.วิชัย โชควิวัฒน ระบุถึง ปัญหายาแพงมี 6 ประการ คือ หนึ่ง - สิทธิบัตร สอง - สิทธิผูกขาดที่ทำนอกเหนือสิทธิบัตรยา ยกตัวอย่าง เมื่อยาใหม่ที่ไม่มีสิทธิบัตรเข้ามา พวกบริษัทยาจะนำยากลุ่มนี้เข้าโครงการควบคุมกำกับยา โดยจะห้ามบริษัทยาอื่นผลิตยากลุ่มนี้ทันที ที่สำคัญจะสามารถตั้งราคายาได้ตามใจชอบ สาม - การโฆษณาเกินจริง อย่างวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ที่ระบุว่า สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ ทั้ง ๆ ที่ประสิทธิภาพไม่ได้มากเท่าที่โฆษณา ซึ่งตรงนี้ทำให้ธุรกิจยามีรายได้มหาศาล เห็นได้จากพวกซีอีโอของธุรกิจยาต่าง ๆ มีเงินเดือนตลอดทั้งปีสูงถึง 3,500 ล้านบาท และยังมีสิทธิซื้อหุ้นในราคาถูกอีก 3,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้มหาศาลทีเดียว สี่ - งบประมาณส่งเสริมการขาย อาทิ การสนับสนุนแพทย์บางกลุ่มในการจัดกิจกรรม โดยแพทย์กลุ่มนี้ก็ทำตัวเหมือนทาสบริษัทยา และแพทย์เหล่านี้ก็จะสั่งจ่ายยาของบริษัทตัวเองเป็นการตอบแทน ห้า - อุตสาหกรรมยาของประเทศไทยอ่อนแอ กลายเป็นจุดอ่อน ขณะที่ประเทศอินเดียกลับผลิตยาขายประเทศต่าง ๆ ได้ เพราะมีความกล้าในการผลิต แต่อุตสาหกรรมยาในไทยขาดความกล้า ทำให้ยังเป็นอุตสาหกรรมทารกอยู่ ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เพียงพอ และ หก-การยัดเยียดการจ่ายยา โดยให้แพทย์บางรายสั่งจ่ายยาแพง ๆ กรณีที่ผู้ป่วยบางรายเบิกจ่ายได้ เป็นต้น “ ที่สำคัญปรัชญาของการขายยาของบริษัทยาในยุคนี้เปลี่ยนไปจากเดิมที่มุ่งขายยาเพื่อรักษาความเจ็บป่วย ก็เปลี่ยนมาเป็นการขายยาเพื่อยอดขาย โดยเน้นให้ความจำเป็นของยา ผ่านการกำหนดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาทิ เบาหวานเมื่อก่อนเกิน 150 มิลลิกรัมจึงจะต้องใช้ยา แต่ปัจจุบันแค่ 120 มิลลิกรัม ก็ถูกแพทย์ระบุว่าต้องใช้ยาแล้ว ขณะเดียวกัน ระบบของรพ.เมืองไทยจะขึ้นอยู่ระบบผู้เชี่ยวชาญ ที่มี สมาคมวิชาชีพเป็นผู้กำหนดให้คุณและโทษ แต่ไม่เคยคำนึงถึงผู้รับบริการ ” จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 13:40:12

ความคิดเห็นที่ 6 แฉ บ.ยาตั้งราคาเกินจริง ขณะที่ การวิจัยศึกษาเรื่อง ราคายาในประเทศไทย ของคณะอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากวงการยา จากภาควิชาเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล รศ.ดร.ชะอรสิน สุขศรีวงศ์ จากหน่วยวิจัยเภสัชศาสตร์สังคมและการบริหาร ได้ร่วมกับ ภญ.วรสุดา ยูงทองแห่งกองควบคุมยา อ.ย. ระบุว่า จากการ สำรวจยา 43 ชนิดที่จำหน่ายอยู่ในประเทศไทย และที่ขึ้นทะเบียนในปี 2550พบว่า ร้อยละ 51 ของยาที่สำรวจ มีราคาตั้งแต่เม็ดละ 11-50 บาท ขณะที่ร้อยละ 15 มีราคาตั้งแต่เม็ดละ 51-33 บาท ร้อยละ 25 มีราคาตั้งแต่เม็ดละ101-500 บาท และ ร้อยละ 3 มีราคาสูงกว่าเม็ดละ 1,000 บาท จะเห็นว่าโดยภาพรวมถือว่ายามีราคาแพงมาก ที่สำคัญเมื่อตรวจสอบราคาต้นทุนที่บริษัทยาแจ้งไว้กับกรมการค้าภายในกับราคาที่ขายให้โรงพยาบาลรัฐ พบว่ามีส่วนต่างถึง 60-800 เท่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคายาแพงคือ “สิทธิบัตร” หากไม่มีสิทธิบัตรหรือสิทธิบัตรหมดอายุทำให้ราคาถูกลงได้ถึง ร้อยละ 90 อาทิกรณียาต้านไวรัสบางตัวที่ มีสิทธิบัตรแพงกว่ายาไม่มีสิทธิบัตร 6เท่า ยารักษาโรคเบาหวานที่มีสิทธิบัตรแพงกว่ายาไม่มีสิทธิบัตร 14.5 เท่า อีกปัจจัยหนึ่งที่ สำคัญคือ บริษัทขายยาให้โรงพยาบาลในราคาแพงกว่าที่ แจ้งไว้กับกรมการค้าภายในหลายร้อยเท่าตัว โดยให้เหตุผลว่า เป็นมูลค่าที่รวมค่าบริหารจัดการภายในทว่าเมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดได้พบประเด็นที่น่าพิจารณา คือ 1.ค่าใช้จ่ายดังกล่ าวเน้นหนักไปที่ “การตลาดหรือการส่งเสริมการขาย” หรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ กระตุ้นผู้บริโภคโดยตรง มีการสำรวจพบว่า ค่าใช้จ่ายในการโฆษณายาของไทยมีมูลค่าสูงมาก เฉพาะการโฆษณาในสื่อหลัก เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร โทรทัศน์ วิทยุบิลบอร์ด ฯลฯ ในช่วง 3 ปี(พ.ศ.2549-2551) สูงกว่าปีละ1,500 ล้านบาท 2.การสนับสนุนการทำกิจกรรมของแพทย์บางกลุ่ม เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นในฐานะที่ แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายยา โดยเฉพาะการสนับสนุนแพทย์ให้ใช้ยาของบริษัทนั้นๆ รวมถึงบุคลากรสาธารณสุขอื่นๆ เช่น เภสัชกร พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ซึ่งล้วนแต่เป็น “ผู้มีอำนาจในการจ่ายยาและจัดซื้อยา” ทั้งสิ้น กลวิธีที่บริษัทยาใช้เพื่อให้เข้าถึงผู้มีอำนาจในการสั่งจ่ายยา อาทิการเชิญไปต่างประเทศ การให้ทุนทั้งระดับบุคคลและสถาบัน การติดต่อโดยใช้สาวสวย หรือ “พริตตี้” การให้ค่าตอบแทนแพทย์ตามยอดสั่งยา และให้ค่ารายหัวกรณีที่สั่งจ่ายยารักษาโรคเรื้อรังแก่ผู้ป่วยรายใหม่ เป็นต้น สภาพเช่นนี้ส่งผลต่อการจ่ายยาและการจัดหายา อาทิทำให้ยามีราคาแพงเกินจริง ส่งเสริมให้เกิดการจ่ายยาอย่างฟุ่มเฟือย การสั่งซื้อยาบางกลุ่มที่ไม่จำเป็น และการให้ยาที่ไม่เหมาะสมจนอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย นี่ คือปมปัญหาอันท้าทายของมนุษยชาติในวันนี้ ตราบเท่ าที่ “ยา” ยังเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต และผู้คนในทุกสังคมต่างอยู่ภายใต้สถานะแห่งความยากดีมีจนไม่แตกต่างกัน จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 13:40:30

ความคิดเห็นที่ 7 ระบุรพ.รัฐบวกราคายาสูงกว่าเอกชน ทั้งนี้ ยังพบอีกว่า สำหรับยาต้นแบบ (Original drug:ยาที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาอย่างมากและใช้เงินลงทุนสูง มีฤทธิ์รักษาจริงและผลข้างเคียงน้อย ผู้ผลิตยาต้นแบบจะได้รับสิทธิบัตรผูกขาดในการผลิตยาประมาณ 20 ปี เมื่อสิทธิบัตรสิ้นสุดลง ผู้ผลิตรายอื่นก็สามารถผลิตยานั้นออกจำหน่ายได้ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ) กับ ยาสามัญ (Generic drugs: ยาที่ผลิตขึ้นภายใต้เครื่องหมายการค้าอื่นใด ที่ไม่ใช่เครื่องหมายการค้าตามสิทธิของผู้ครองสิทธิบัตรยา แต่มีตัวยาสำคัญ เป็นชนิดเดียวกันกับยาต้นแบบ โดยผลิตหลังจากยาต้นแบบได้รับการรับรอง และอนุมัติให้ ใช้ในการรักษาโรคแล้ว ซึ่งอาจลอกเลียนสูตรยาต้นแบบเมื่อยาเหล่านั้นหมดสิทธิบัตรแล้ว มีราคาถูกกว่ายาต้นแบบหลายเท่าตัว มีทั้งนำเข้าจากต่างประเทศไทยและผลิตในประเทศ ) ระหว่างโรงพยาบาลของรัฐ กับ ร้านขายยาเอกชน พบว่า ราคายาต้นแบบของโรงพยาบาลรัฐที่ขายให้ผู้ป่วยแพงมีการตั้งราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นบวกจากต้นทุน (Mark up )เฉลี่ย 32 เปอร์เซ็นต์ และยาสามัญราคาเพิ่มขึ้น 75 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ราคายาสามัญของร้านขายยาเอกชน 36.6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนยาต้นแบบของร้านขายยาเอกชนบวกเพิ่มขึ้นจากราคาต้นทุน 43.3 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ยาสามัญบวกเพิ่มขึ้น 36.6 เปอร์เซ็นต์ “ประเทศไทยไม่มีมาตรฐานทั้งราคาซื้อและขาย ไม่มีการควบคุม(mark up) แม้แต่ราคาที่ภาครัฐซื้อแต่ละแห่งก็แตกต่างกัน เนื่องจากผู้ขายยอมขาดทุนในบางแห่ง แต่นำกำไรจากโรงพยาบาลอื่นๆหรือภาคเอกชนบางแห่งมาชดเชย ดังนั้นราคายาที่ภาครัฐขายให้ผู้ป่วยจึงแตกต่างกัน ทั้งที่เป็นgeneric เดียวกัน หรือยาบางตัวแม้จะมีชื่อสามัญและมีการแข่งขันแล้ว ยาแบรนด์ก็ยังแพงมากอยู่” นอกจากนี้ ยังมีการตั้งราคาไม่สามารถตรวสอบได้ ทั้งนี้หากวิเคราะห์ต้นทุนแท้จริงของยา ประกอบด้วย หนึ่ง-การวิจัย สอง-การบริหารจัดการ สาม-การตลาด สี่-ภาษี สำหรับยาในประเทศ ภาษีเป็น 0 % ส่วนยานำเข้าจากต่างประเทศ ภาษีนำเข้าประมาณ 0 เปอร์เซ็นต์ สำหรับยาประเภทวัคซีน และประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์สำหรับยานำเข้าทั่วไป โดยโครงสร้างต้นทุนแท้จริงของราคายาแต่ละตัวไม่ค่อยมีใครทราบ ซึ่งบริษัทผู้ผลิตยาสามารถแจ้งเท่าไหร่ก็ได้ ดังนั้นเมื่อต้องไปต่อรองราคายาจึงค่อนข้างลำบาก ส่งผลให้โครงสร้างราคายาจำหน่ายจึงไม่มีมาตรฐานขึ้นอยู่กับความสามารถในการต่อรอง และกลยุทธ์ในการทำตลาดบริษัทยา “ เราไม่มีโอกาสรู้เลยว่า ราคาที่บริษัทจำหน่ายหรือบริษัทนำเข้ายาแจ้งต่อคณะกรรมการอาหารและยา และกรมการค้าภายในเป็นราคาที่สมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะผู้ขายเป็นผู้กำหนดราคาเอง โดยรัฐไม่มีอำนาจต่อรอง ทั้งนี้เมื่อสำรวจงบการเงินบริษัทยา 5 ปีย้อนหลัง พบว่า ความสามารถในการทำกำไรสูงกว่าบริษัทยาในอังกฤษ เช่น เมื่อพิจารณาดูจากค่า ROCE กำไรสุทธิก่อนหักภาษีและดอกเบี้ยนต่อสินทรัพย์หักหนี้ระยะสั้นเท่ากับ 0.335 ขณะที่ในอังกฤษเท่ากับ 0.21” จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 13:40:45

ความคิดเห็นที่ 8 ผู้เชี่ยวชาญยา แนะทางออกแก้ปม อย่างไรก็ตาม แนวทางควบคุมราคายาไม่ให้แพงเกินเหตุนั้น อาจารย์ รศ.ดร.ชะอรสิน แนะนำว่า ภาครัฐควรมีหน่วยงานเฉพาะที่มีอำนาจและหน้าที่เข้ามากำกับดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ คือ ตั้งแต่ต้นทุนแท้จริง ราคานำเข้า หรือราคาจำหน่ายต่อผู้ป่วยแล้ว โดยกำหนดให้อยู่ภายในหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขและคณะทำงานที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญยา ซึ่งประกอบด้วย แพทย์ เภสัชกร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านยา ขณะเดียวกัน ด้านกฏหมาย จำเป็นต้องมีกฎหมายหรือกฎระเบียบในการควบคุมราคายาอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ให้อำนาจและหน้าที่หน่วยงานและบุคลากรที่ทำงานอย่างครอบคลุม “ ปัจจุบันเมืองไทย มีระบบควบคุมราคายาไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เนื่องจาก มีเฉพาะแต่การควบคุมราคาจำหน่ายไม่ให้เกินราคาที่กำหนดไว้ โดยหน่วยงานของรัฐเพียงแห่งเดียว ได้แก่ กรมการค้าภายในตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามมาตรา 24-มาตรา 25 แต่ไม่ได้ควบคุมการตั้งราคาตั้งแต่การนำเข้าหรือการผลิต ทั้งนี้ การไม่มีกฏหมายควบคุมราคายาตั้งแต่ต้นน้ำมากำหนดตอนปลายน้ำ ซึ่งเป็นช่วงราคาจำหน่ายที่ผู้บริโภคไม่ให้ขายเกินราคาที่กำหนดไม่ได้แก้ปัญหาปัญหาราคาแพงหรือสูงกว่าต้นทุนแท้จริง อีกทั้งยังเป็นช่องโหว่ให้ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้ายามักกำหนดราคายาให้สูงไว้ก่อนและเมื่อนำมาจำหน่ายก็ลดราคาหรือขายเท่ากับราคาที่กำหนดไว้ข้างกล่องหรือราคาที่แจ้งไว้”อาจารย์ รศ.ดร.ชะอรสิน บอก ************ จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 13:40:59

ความคิดเห็นที่ 10 กรณีศึกษา 3 ปท.คุมกำเนิดยาแพง ฝรั่งเศส-อเมริกา-เกาหลีใต้ กม.เข้ม!!! เมื่อ"ยา"ไม่ได้แพงด้วยตัวมันเองแต่ราคาที่แพงส่วนใหญ่มาจากการส่งเสริมการขาย หากผู้ที่เกี่ยวข้องในเมืองไทยยังไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ลองดูมาตรการในการจัดการปัญหาเหล่านี้ในต่างประเทศ จากรายงานของ Economic Review พบว่า CEO บริษัทยาขนาดใหญ่ได้รับค่าตอบแทนยังไม่รวมโบนัสร้อยล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ผู้อำนวยการหรือบุคลากรทางการแพทย์บางคนไปต่างประเทศทุกเดือน ตรงนี้เป็นภาพความเป็นจริงที่การเพิ่มราคายาเกิดจากการมีค่าใช้จ่ายแม้ว่าระบบการจัดการค่าใช้จ่ายสุขภาพของไทยจะมี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ที่เข้มแข็ง แต่กระบวนการหรือกลไกต่างๆ ที่มีอยู่ยังไม่สามารถทำให้การซื้อยาอยู่ในราคาที่เหมาะสม ไม่มีการขูดรีดจากผู้ขายและผู้ซื้อ ก่อนที่จะเป็นราคายาที่กำหนดในงบประมาณ คำถามที่ตามมาคือ จะทำอย่างไรให้เกิดธรรมาภิบาลเพื่อป้องกันการผันเงินไปสู่การจัดเลี้ยง ทัศนาจร หรือใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่เป็นประโยชน์กับคนไข้ ต่อเรื่องนี้ นพ.มงคล ณ สงขลา ปาฐกถาในหัวข้อดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ ในการประชุมสัมมนาวิชาการ เรื่อง "กฎหมายควบคุมการส่งเสริมการขายยาในต่างประเทศและแนวทางการจัดกฎหมายควบคุมส่งเสริมการขายยาของประเทศไทย" โดยแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ร่วมกับศูนย์กฎหมาย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ว่า การดูแลระบบการซื้อการจ่าย และการใช้ยาอาจมีกระบวนการที่ติดตามดูแลได้ ซึ่งในส่วนที่เฝ้าระวัง พบว่า ในประเทศเกาหลีใต้ได้มีคณะคอยติดตามพฤติกรรม เจาะลึกในกลุ่มคนบางกลุ่ม หากสร้างกลุ่มคนแบบนี้มีขึ้นมาได้ มีระบบข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์เพื่อนำสู่การเปิดเผย สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นการป้องปรามที่ดี ส่วนการใช้ตัวบทกฎหมาย เพื่อให้ผู้บริโภคที่ไม่ต้องจ่ายยาแพงเกินจริงเป็นสิ่งที่จำเป็น หากเราสามารถลดการส่งเสริมการขายยาที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ควรส่งเสริมแล้ว ราคายาก็ควรจะถูกลง เพื่อไม่ให้บริษัทยาได้รับกำไรมากเกินไป รวมถึงการมีองค์กรอิสระเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบแฃะเปิดเผยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล จะทำให้ข้อมูลเข้าไปตรวจสอบได้มากขึ้น สำหรับผลการศึกษากฎหมายควบคุมการส่งเสริมการขายยาใน 3 ประเทศ ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ ซึ่งมุ่งศึกษาไปที่กลุ่มแพทย์และเภสัชกรในสถานพยาบาล พบว่า ในประเทศฝรั่งเศส (ข้อมูลโดย รศ.ดร.ดาราพร ถิระวัฒน์ รองศาสตราจารย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ) การส่งเสริมการขายยาถูกจัดรวมอยู่ในการโฆษณาด้วย การบริโภคยาในประเทศฝรั่งเศส มีระบบสวัสดิการสังคมที่รัฐเข้ามาควบคุมกำกับการใช้ยาผ่านงบประมาณ ประชาชนฝรั่งเศสจะได้รับการเบิกจ่ายเงินคืนจากยาที่เขาบริโภค ต้องเป็นยาที่ถูกสั่งโดยแพทย์ ยาที่ถูกนำเสนอสู่ผู้บริโภคต้องถูกควบคุมโดยรายงานการใช้ยาก่อนที่ยาจะถูกเสนอจากบริษัทยาและสู่แพทย์ต่อไป ขณะที่สหรัฐอเมริกา วิธีการส่งเสริมการขายของบริษัทยา เริ่มตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์ การสนับสนุนทางการเมืองการให้หุ้นในบริษัท ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องซื้อยาในราคาแพงขึ้นซึ่งมาจากการผลักภาระเรื่องต้นทุนการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ มาสู่ราคายาของบริษัท จึงเป็นที่มาของการออกกฎหมาย Physician Sunshine act เพื่อเปิดเผยข้อมูลเรื่องนี้ให้สาธารณชนรับทราบ ในเบื้องต้นจะไม่ห้ามการสนับสนุนของบริษัทยา แต่ต้องมีหลักการ คือ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนและต้องไม่กระทบต่อ autonomy ของผู้สั่งจ่ายยา โดยได้บรรจุประเด็นนี้ไว้ในกฎหมายแรงงานและเกาหลี (ข้อมูลโดย “ไพศาล ลิ้มสถิต” ศูนย์กฎหมายจริยธรรมการแพทย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) พบว่า ในมุมมองของเกาหลีใต้ให้ความสนใจด้านธรรมาภิบาลอย่างมาก โดยได้ผ่านกฎหมายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ที่ห้ามรับผลประโยชน์กับบริษัทยา ของขวัญ ฯลฯ และจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานที่ดูแลควบคุมป้องกันการผูกขาดมาบังคัลใช้เรื่องการส่งเสริมการขายยาย ด้วยการออกกฎหมาย MRFTA ตั้งคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าของเกาหลีใต้ซึ่งปัจจุบันมีการรายงานผลการตัดสินโทษของคณะกรรมการชุดดังกล่าว เช่น การตัดสินถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมในการสนับสนุนการจัดประชุมโดยบริษัทยา การจ่ายค่าตอบแทนให้แพทย์สูงเกินความจริง การจัดเลี้ยงค่าอาหาร การตกแต่งบัญชีบริษัทยา การกีดกันบริษัทยาในประเทศให้ไม่สามารถเติบโตได้ ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะมีความอิสระ ไม่เป็นตัวแทนของหน่วยงานธุรกิจเอกชน ทำให้ตัดสินได้อย่างตรงไปตรงมา ส่วนประเทศไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย โดยเทียบเคียงกับกรณีศึกษาของประเทศต่างๆ เพื่อสรุปและเสนอเป็นร่างกฎหมาย ************ จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 13:41:45

ความคิดเห็นที่ 11 เรื่องแบบนี้ .. เทียบง่าย ๆ ก็เหมือนกับ โรงแรม ในสถานที่เดียวกัน มีราคาแตกต่างกันมาก ยกตัวอย่าง พัทยา มีราคาห้องละ ๕๐๐บาท จนถึง ๒ หมื่นกว่า ... ฐานะ แบบผม ก็เลือกพักห้องละ พัน ก็พอ ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีฟิตเนส ไม่้ต้องมีสวน ไม่ต้องมีห้องอาหารหรู ฯลฯ  แต่ขอเดินทางสะดวก มีที่จอดรถ ห้องพักสะอาด พนักงานใส่ใจบริการต้อนรับดูแล ... รพ.หรู หรา มีบันไดเลื่อน มีร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารหรู มีแผนกต้อนรับ ที่นั่งรออย่างดี ตกแต่งสวยงาม ฯลฯ ( ถ้าไม่เจอหมอ ไม่เจอพยาบาล ก็ไ่ม่รู้เลยว่าเป็น โรงพยาบาล ) ..  แน่นอนว่า ราคาก็ต้องสูงกว่า รพ.ที่หรูหราน้อยกว่า ส่วนตัวผม จะเลือก " แพทย์ผู้รักษา " มากกว่า " โรงพยาบาล " ... ถ้าคุณหมอที่ผมต้องการรักษาด้วย อยู่หลายที่ ผมก็จะเลือก รพ.ที่ " หรูหรา น้อยกว่า " .. แต่ ผมก็คิดเหมือนกันว่า " น่าจะมี หน่วยงาน ที่เข้ามาดูแล ควบคุม เรื่องเหล่านี้บ้าง " เพราะบางอย่างมันก็เกินไปจริง ๆ  แล้ว จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 13:56:10

ความคิดเห็นที่ 12 เดือนก่อนไปผ่าตัดไส้ติ่ง รพ.เอกชน  ด้วยความที่อิชั้นมีโรคประจำตัวต้องกินยาประจำอยู่แล้ว  เขาก็ถามว่ากินยาอะไรบ้าง  ก็เอาตัวอย่างยาที่กินอยู่ให้ไป   พอถึงเวลายาเขาก็เอายาของ รพ.มาให้  เราก็ อ้าววววว  เรามียาอยู่แล้ว  ทำไมไม่เอายาของเรามาล่ะ  นางพยาบาลบอกว่า "เป็นนโยบายของทาง รพ.ที่ต้องกินยาของที่นี่"  ฟังแล้วก็เห้ยยยยย  นี่กะจะเอากำไรกันทุกเม็ดเลยเหรอ   ไม่รู้ว่าทุก รพ.เอกชนจะมีนโยบายอย่างนี้หรือเปล่า  ......แค่เล่าให้ฟังค่ะ จากคุณ : aicm เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 15:18:05

ความคิดเห็นที่ 13 เป็นไข้หวัด ไป รพ. เอกชน โรคเดียวกันเปี๊ยบ ยาเดียวกันเปี๊ยบ รพ. เดียวกันเปี๊ยบ มีประกันชีวิต เบิก OPD ได้ครั้งละไม่เกิน 2,000.- บาท - ค่ารักษา + ค่ายา 1,985 บาท เซ็นชื่อแล้วกลับบ้าน ไม่มีประกันชีวิต - ค่ารักษา + ค่ายา 450 บาท เงินสดลด 10% แบงค์ 500 มีทอน สรุป คนที่ซวย = บริษัทประกัน ... ^^" จากคุณ : Are Yoi เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 17:35:02

ความคิดเห็นที่ 14 หลานสาวเข้าโรงพยาบาลวันแรก บอกเป็น ปอดบวม วันที่ 2 บอกสงสัยเป็น วัณโรคในเด็ก วันที่ 3 ขอตรวจเชื้อเพิ่ม วันที่ 4 ขอตรวจด้วยยาตัวใหม่ วันที่ 5 บอกน่าจะเป็นแค่ ปอดบวม   วันที่ 6 ยังต้องนอนต่อไป วันที่ 7 ยังต้องนอนต่อไป วันที่ 8 ยังต้องนอนต่อไป วันที่ 9 บ่ายได้ออกจากโรงพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 1 เป็นต้นมา ให้ยาฆ่าเชื้อแต่บอกว่า ยาตัวเนี่ยในโรงพยาบาลไม่มี ต้องไปซื้อที่อื่นมา เบิกประกันไม่ได้ รวมทั้งยาที่เอามาตรวจหาเชื้อวัณโรคในเด็ก สรุป นอนโรงพยาบาล 9 วัน  ค่าใช้จ่าย  76000 บาท ไม่สามารถเบิกประกันได้  17000 บาท เนื่องจากมียานอกเยอะ ถ้าไม่มีประกันชีวิต สงสัยต้องจ่ายกันอ้าน จากคุณ : ระพีร์ เด็กแสบ เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 17:51:51

ความคิดเห็นที่ 15 อูบาดมาก นี่หรือคุณภาพชีวิตคนไทย จากคุณ : 2ndHand_Fanclub เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 18:30:20

ความคิดเห็นที่ 16 ทั้งหมดมันเป็นเรื่องผลประโยชน์ จากคุณ : Waiyakon เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 19:01:54

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าเป็นหวัดธรรมดา ไปโรงพยาบางเอกชน สะดวกดี ถ้าซื้อยาในโรงพยาบาลก็เกือบ 1000  หรือ 1000 กว่า เราซื้อแค่ อย่างละ ไม่กี่เม็ด นอกนั้นเสียแต่ค่าหมอ พยาบาล และค่าอื่น ๆ เราไปซื้อเอาข้างนอกทุกครั้ง ถามโรงพยาบาลเอกชนนั้นเขาบอกไปซื้อข้างนอกได้ แล้วกลับบ้านไป แต่คนน้อยคนกล้าทำ เราว่าเขาอาย แต่เราไม่อาย จากคุณ : pooandpang เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 19:51:16

ความคิดเห็นที่ 18 ลูกเราเข้า รพ.เอกชนตลอด คุณหมอก็ดีนะ ถ้ามียาตัวไหนข้างนอกมีขาย ถูกกว่าก็แอบเอาตัวอย่างให้ดูแล้วไปซื้อ อันไหนที่ไม่มีก็ซื้อใน รพ. เจอหมอดีก็ดีไป จากคุณ : หมีพูตัวขาว เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 20:19:33

ความคิดเห็นที่ 19 ได้แต่เฮ้อออออ  คนมีตังค์ก็โชคดีไป แล้วคนไม่มีตังค์หละ.. จะทำยังไง นอน รพ. คืนเดียวย่านบางนา ไม่มีผ่า แค่ x-ray + หมอดูอาการ ไปเพราะปวดนิ่ว นอนแค่คืนเดียวห้องเตียงคู่จ่ายไป 15,xxx B. ตอนนั้นยังคิดเลยถ้าเกิดเป็นหนักต้องนอนหลายวันจะกี่บาท (วะ) เนี่ย ขอเฮ้ออออออีกรอบค่ะ จากคุณ : คิมยูริน เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 21:38:27

ความคิดเห็นที่ 20 ผลประโยชน์มหาศาล มันคอยอุดปากคนตรวจสอบอยู่ ผู้บริโภคอย่างเรา ก็หาทางดิ้นรนกันเองละกัน จากคุณ : King Kop เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 01:00:49

ความคิดเห็นที่ 21 โชคดีที่พ่อแม่มีบัตรทอง ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะมากเลยค่ะ ส่วนค่ายา โชคดีที่เจอหมอใจดี จดชื่อยาที่ต้องใช้ให้เราไปซื้อเองข้างนอกซึ่งจะถูกกว่าของโรงพยาบาลมาก บางครั้งไปซื้อไม่ทันพยาบาลก็จะยืมของโรงพยาบาลเอามาให้ก่อน แล้วเราค่อยซื้อมาใช้คืนทีหลัง ถ้าต้องจ่ายเองทั้งหมดคงต้องเอาบ้านไปจำนองมาจ่ายค่ารักษา จากคุณ : นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยง เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 08:50:54

ความคิดเห็นที่ 22 ปัญหามันอยู่ที่ทำอย่างไรให้โรงพยาบาลรัฐมีคุณภาพมากพอที่จะทำให้คนไข้พึงพอใจได้ ไม่ต้องหนีไปหาของแพงอย่างเอกชน จากคุณ : Umiki เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 10:06:11

ความคิดเห็นที่ 23 ให้ยาแต่ละครั้งเหมือนจะให้กินทั้งปี  จากคุณ : armearn เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 11:20:57

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณ กระทู้ดีๆ ที่นำมาฝากค่ะ คุณหมอ จากคุณ : ยายภูธร เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 12:38:13

ความคิดเห็นที่ 25 เวลาไป รพ.เอกชน แล้วเคยแจ้งกับหมอว่าจะขอซื้อยาข้างนอกได้มั๊ย เห็นคุณหมอไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่เลยค่ะ อยากทราบเหมือนกันว่า ถ้าคนที่ไปตรวจเฉยๆแล้วไม่ขอรับยาเลย คุณหมอคนนั้นๆ จะถูกรพ.เพ็งเล็งมั๊ยคะ อยากทราบตรงนี้ค่ะ จากคุณ : purplemix เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 12:54:53

ความคิดเห็นที่ 26 สองครั้งที่โชคดี ซื้อประกันอุบัติเหตุ ไว้กับธนาคารหนึ่ง สองคนสามีภรรยารวมแล้วประมาณสี่พันกว่าบ้าน ปรากฏเราถูกมีดเฉือนเนื้อนิ้วโป้งหลุดไปนิดหนึ่ง(นิดเดียว) แต่เลือดไหลมาก เลยต้องไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ไปรวมสี่วัน ค่ารักษาออกมาประมาณเจ็ดพันบาท ประกันจ่าย อีกสองเดือนถัดมาสามีตัดกิ่งไม้เลื่อยไฟฟ้าพลาดไปบาดนิ้วโป้ง(โป้งอีกแล้ว) รักษาไปรวมถึงฉีดยาแก้อักเสบและยากันบาดทะยักล้างแผลต่ออีกเจ็ดวัน โดนไปอีกหมื่นสอง ประกันจ่าย ต้องบอกว่าแผลเล็กๆแค่เย็บก็โอเคแล้วสมัยก่อน นี่ถึงจะประกันจ่าย โรงพยาบาลก็เอาซ่ะเต็มที่เลย จากคุณ : pano เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 14:11:03

ความคิดเห็นที่ 27 หมอใจดี ๆ ก้อมีนะ อย่างแม่เรามีตรวจสุขภาพประจำทุก ๆ 3 เดือน กับโรงพยาบาลเอกชนที่ขึ้นชื่อว่า แพงเป็นระดับต้น ๆ ของ กรุงเทพ แต่คุณหมอประจำตัวแม่เรา ก็ยอมเขียนใบสั่งซื้อยา ให้แม่เราออกไปซื้อยาข้างนอกนะ จากคุณ : แห้วป๋อง เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 16:30:22

ความคิดเห็นที่ 28 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 54 19:10:51 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 54 19:10:38 จากคุณ : Pink Ballerina เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 17:27:43

ความคิดเห็นที่ 29 ทุกวันนี้ยังเจ็บใจไม่หายค่ะ โรงบาลนี้ หลายทีละ ล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แม่สามีเราเส้นเลือดในสมองตีบ ก็รีบพาตัวส่งโรงพยาบาลซึ่งเราก็เลือกที่ที่เห็นว่าน่าจะดีและใกล้บ้าน แต่ด้วยความที่โรงพยาบาลมีเครื่องมือไม่พร้อม จึงมีการแนะนำว่าให้ยาและรักษาไปตามอาการ จนกว่าจะมีการส่งตัวคนไข้ เราไม่มีปัญหาหรอกค่ะ ถ้าโรงพยาบาลที่ว่าไม่มีหมอเฉพาะทางด้านนี้ ต้องคุณหมอจากอีกสาขานึงนั่งแท็กซี่มาก่อน โดยที่ให้ญาติไปเอายาที่คนไข้ทานประจำมาด้วย หมอจะได้ให้ยาถูก โดยหมอท่านก็อาศัยคุยโทรศัพท์สั่งงานกับพยาบาลไปก่อน อีทีนี้มันมียาตัวนึงที่ถ้าคนไข้มีอาการนี้ และให้ยาทันภายในสามชั่วโมง อาการจะดีขึ้น แต่ทีนี้สืบไปสืบมา แม่สามีไม่สามารถรับยาตัวนี้ได้ เพราะอาจจะไปทำให้เกิดอาการเลือดออกในสมอง ถึงแก่ชีวิตได้ ก็ปรากฏว่าคุณพยาบาลแกะยาตัวนี้อออกมาเรียบร้อยแล้วและไม่สามารถเก็บไว้ได้ วันเคลื่อนย้ายคนป่วย ทางโรงพยาบาลโยนภาระค่าใช้จ่ายยาที่ว่าที่มีราคาถึง 36,000 ให้ทางเราจ่ายเองหมดเลยค่ะ จะคุยอย่างไรก็โยกโย้มาก จนทางลูกๆที่ร้อนใจอยากส่งตัวคุณแม่ไปโรงพยาบาลอีกแห่งเต็มที ยอมจ่ายในที่สุด เรายังจำมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ จากคุณ : fingers-crossed เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 18:32:35

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณค่ะ คุณ Pink Ballerina ที่มาอธิบายให้ทราบค่ะ น่าจะเป็นที่ระบบของแต่ละรพ.ด้วยนะคะ   เพราะเคยแจ้งกับจนท.แคชเชียร์ว่าไม่ขอรับยา จนท. บอกว่าต้องให้กลับไปถามคุณหมออีกครั้ง และต้องมีลายเซ็นคุณหมอ กำกับมาด้วยว่าคนไข้ไม่รับยาเพราะสาเหตุใด จากคุณ : purplemix เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 18:35:33

ความคิดเห็นที่ 31 คุณหมอทั้งหลาย ทำไมยาราคาแพง (อันนี้ไม่พูดถึงระบบ รพ) คนที่อยู่ในวงการคงรู้ดี จะว่าแต่บริษัทยาก็ไม่ถูก - สมาคมแพทย์จัดประชุม จะเล็กจะใหญ่ บริษัทยาก็ต้องสนับสนุนค่าจัดประชุม ค่าบูธ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ถามว่าไม่ให้ได้ไม๊ ไม่มีทาง - ตั้งแต่ออกจากบ้าน ต้องจัดรถตู้ รับส่งรวมลูกเมีย โรงแรมไม่ดีอยู่ไม่ได้ ต้องสี่ห้าดาว อาหารต้องอย่างหรู ของที่ระลึกอีก โปรแกรมเที่ยวอีก - มีหมอคนไหนไม่รับผลประโยชน์ทางอ้อมจากบริษัท ผมก็อยากเห็น อาจมีหมอชนบทดีๆ ให้ชื่นใจบ้าง - ไป ตปท มีหมอคนไหนออกเงินไปเอง ไม่เคยเห็น ค่าตั๋ว ค่าลงทะเบียน ค่าทัวร์ ต้องอย่างดีด้วยนะ บางทียังต้องมีซื้อของให้อีก ประชุมจริงๆ แป๊ปเดียว ที่เหลือพาเที่ยว ไม่พาไปก็มาด่าอีก (แต่พวกที่ไปประชุมจริงๆ ก็มีนะ แต่น้อย) บางคนเค้าให้ออกค่าลูกเมียเองก็ไม่ยอม ต้องโทรไปขอสปอนเซอร์กับอีกบริษัท - บางที่ก็เอาเครื่องเสียงไปตั้งในห้องพักแพทย์ให้หมอมาซ้อมร้องเพลง เอาไว้ไปแข่งกันเวลาไปทัวร์กับบริษัทยา - หมอบางคนค่าข้าวแต่ละมื้อยังแทบไม่ต้องซื้อเองเลย มีแต่คนเลี้ยง วันยุ่งๆ ออกมากินข้างนอกไม่ได้ ก็มีตัวแทนซื้อเข้าไปให้ - อาชีพหมอ ใครว่าไม่มีเวลา คุณสามารถเที่ยวฟรีในรูปแบบของการมาประชุมกับบริษัทยาได้ทุกอาทิตย์ แต่ละบริษัทก็จะพยายามจัดให้ต่างที่ต่างวันกัน แต่รับรองมีแทบทุกอาทิตย์ มาได้แบบพาครอบครัวมาด้วยได้เลย อาชีพไหนจะเที่ยวได้บ่อยเท่านี้ทั้งในประเทศ และ ตปท - นี่แค่ตัวอย่าง ปัจจัยที่ทำให้ยาแพงยังมีอีกมาก นอกเหนือจากการบวกกำไรของ รพ เอกชนเอง แล้วค่าใช้จ่ายพวกนี้จะเอาไปไว้ไหน เค้าก็ต้องเอาไปบวกเป็นค่าการตลาด ผลักภาระมาให้ผู้บริโภค ถูกไม๊ หมอก็จะออกมาด่าว่าธุรกิจยาไม่เห็นแก่คนป่วย แต่หมอก็จะไม่เคยมองย้อนกลับไปว่าแล้วพวกคุณกอบโกยแค่ไหน เวลาผมเห็นกระทู้ที่ยกย่องว่าหมอเป็นผู้เสียสละแล้วจะรู้สึกแปลกๆ อาจจะเป็นเพราะผมรู้มากไป แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าหมอดีๆ ก็มีบ้าง บางคนก็ปฏิบัติกับคนไข้อย่างดี แต่ปฏิบัติกับบริษัทยาที่เป็นแหล่งรวมผลประโยชน์อีกแบบนึง จากคุณ : ผมเบื่อ เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 19:44:14 A:58.11.230.58 X: TicketID:281170

ความคิดเห็นที่ 32 คห 31 ประชุมแล้วเที่ยวน่ะมีจริงค่ะ แต่ไม่ใช่ทุกสัปดาห์ เต็มที่ก็เดือนละครั้ง  หรือสองขสามครั้งในอาจารย์หมอที่เก๋งๆดังๆ ซึ่งมักอายุมากแล้วทำให้งานไม่หนัก แต่หมอทั่วไปงานหนัก และหมอส่วนใหญ่ก็เสียสละนะคะ   เสียสละที่ต้องอยู่เวรชั่วโมงละ 50-60 บาท  ปีใหม่สงกรานต์ลืมไปเลย ยิ่งจบใหม่ๆ  เสาร์อาทิตย์ก็มักต้องไปรพ.  สวนอุจจาระ(มือใส่ถุงมือล้วงเข้าไป) ปัสสาวะวะคนไข้(คนปรกติทำไหมคะ ไม่ใช่พ่อแม่ตัวเอง)  โดนคนไข้ไอจาม อาเจียน หรือ ผายลมใส่อย่างนี้   เรื่องอาหารที่บริษัทยาเลี้ยง  เราไม่เคยเห็นวอร์ดไหนได้มากกว่าสองครั้งต่ออาทิตย์  ยกเว้นโอพีดี ที่มีทุกวันในบางวอร์ด  ซึ่งแพทย์แต่ละคนก็ไม่ได้ไปทุกวัน     และหมอส่วนใหญ่ก็ไม่ได้น่าเกลียดแบบที่คุณว่า ไปขออีกบริษัทจ่ายให้ฟรีให้ภรรยา ให้ลูก      คุณคงรู้มากๆจริงๆแหละ  แต่ไม่ได้รู้จริง แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 54 20:30:33 จากคุณ : แม่หญิงลลิลลา เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 20:28:59

ความคิดเห็นที่ 33 คุณ คห 32 ครับ ผมรู้จริงแน่เพราะอยู่ในวังวนนี่แหละ แต่ที่ผมเขียนอาจทำให้เข้าใจผิด ตรงนี้ขอโทษ ขออธิบายใหม่เป็น ประชุมแล้วเที่ยวถ้าจะเลือกไปกับแต่ละบริษัท รับรองมีให้เลือกได้เกือบทุกอาทิตย์แน่นอน แต่ในความเป็นจริง ไม่มีหมอคนไหนไปทุกอาทิตย์หรอก ตรงนี้ผมคงต้องขอโทษที่เขียนให้เข้าใจผิด แต่ก็ไปกันบ่อยแหละ ผมก็เพิ่งกลับมานะ ไม่ใช่หมอแก่ๆ เท่านั้นหรอก เดี๋ยวนี้เขาเข้าไปถึง นศพ ปีห้าปีหกกันแล้ว แล้วที่ไปขอให้อีกบริษัทจ่ายให้ครอบครัวก็มีแน่ ก็ถูกขอมาแล้วนี่ครับ งานประชุมใหญ่ๆช่วงเมษา หมอบางคนได้ห้องพักจากหลายบริษัท เอาเป็นว่าที่ผมเห็นปีที่แล้วได้ 5 ห้องจากสี่บริษัท มากันตั้งแต่อากงอาม่าเลย (แต่ไม่ใช่ทุกคนนะที่ทำแบบนี้) บางคนก็มาขอแกมบังคับให้พาลูกน้องคู่ใจไป ตปท ด้วย อยากให้เปิดหูเปิดตาแต่ไม่ขอจ่ายเอง เอ้า ทำไงล่ะ ก็ต้องยอมกันไป ตอนไปพักรวมกับกรุ๊ปก็ต้องคอยสับหลีกไม่ให้กรุ๊ปใหญ่เห็นเดี๋ยวเป็นเรื่องว่าไม่ควรเอามา (อันนี้ไม่ใช่เรื่องชู้สาวนะ เดี๋ยวเข้าใจผิด) และอีกมากมายที่ใครไม่เคยเข้ามาจะไม่เชื่อว่าคุณหมอผู้เสียสละจะเป็นแบบนี้ ก็อย่างที่ผมบอกแหละ หมอหลายคนแยกแยะการปฏิบัติตัวกับคนไข้กับปฏิบัติตัวกับบริษัทยาออกจากกัน และถ้าจะถามว่าทำไมผมเบื่อแล้วยังอยู่ ขอเก็บเงินอีกสองสามปีจะไปแน่นอน ภาพที่เห็นมันต่างกับภาพที่เข้าใจตอนเรียนแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยล่ะ จากคุณ : ผมเบื่อ เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 21:14:39 A:58.11.230.58 X: TicketID:281170

ความคิดเห็นที่ 34 เชื่อคห.31ค่ะ    แต่ไม่ใช่หมอเอกชนอย่างเดียวนะคะ หมอรพ.รัฐบาลก็มี หมอเล่นหุ้นก็แยะ หุหุ คห.28 ดิฉันคิดว่าได้เฉพาะรพ.นี้รึเปล่า จากคุณ : bitter sugar เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 21:52:13

ความคิดเห็นที่ 35 เป็นประโยชน์มากครับ จากคุณ : คนมีตังค์ เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 23:22:41

ความคิดเห็นที่ 36 ทำไมไม่เจอแบบ 31/33 มั่งนะ  ประชุมทีไรจ่ายเองตลอดเลย รพ. เราให้เบี้ยประชุมปีละไม่เกินสองครั้ง รวมกันไม่เกิน 10k นอกนั้นจ่ายเอง ค่าลงทะเบียนก็กินไปหมดแล้วเหอะ  เข้าเนื้อทุกทีแหละ แค่ในประเทศนะเนี่ย แต่ก็ชอบนะคะ ไปประชุมได้ความรู้ใหม่ๆ เยอะ ปีนึงๆ มีออกมาล่อตาล่อใจหลายหัวข้อ ไปทีกระเป๋าเบา ต้องคำนวณดีๆ ไม่งั้นมีช็อต  อิอิ ปล. อยู่รพ.ชุมชนค่ะ จากคุณ : Avanyere เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 00:50:25

ความคิดเห็นที่ 37 รพ.เอกชน ก็ที่ดี ๆ ก็มีเยอะครับ แต่มักจะไม่เป็นข่าว ไม่ค่อยมีใครพูดถึง .. ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ( ลองดูกระทู้ในห้องนี้ก็ได้ ) หมอที่ ไม่ดี  รพ.เอกชน ที่ไม่ดี .. ก็มี  แต่การเหมารวมทั้งระบบว่า ไม่ดี ก็จะทำให้ เราเสียโอกาส เหมือนกันนะครับ สิ่งที่น่าจะเป็น ก็คือ " ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ" ต้องทำหน้าที่ของตนให้เข้มงวด เพราะ เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่อง ชีวิต และ ความรู้สึก ต่อระบบสุขภาพในภาพรวม .. คห.๓๑ ก็มีส่วนจริงครับ โดยเฉพาะ รพ.ใหญ่ ๆ หรือ คณะแพทย์ บริษัทยา ก็จะมีงบสนับสนุนให้ส่วนหนึ่ง ซึ่งถ้าพูดกันตรง ๆ ก็เหมือนกับ งบการตลาด หรือ งบสวัสดิการของบริษัทที่จัดให้กับพนักงานหรือลูกค้าบริษัท นั่นแหละครับ สำหรับ รพ.รัฐต่างจังหวัด หรือ รพ.อำเภอ  .. ไม่มีเลย หรือ น้อยมากกกกกกกกกกกกกกกก ... ( ส่วนใหญ่ได้รับปากกา หรือ กระดาษโน๊ต ) ผมเป็นหมอเฉพาะทาง อยู่ รพ.จังหวัด ก็ได้รับการสนับสนุนที่พัก หรือ ลงทะเบียน ตอนประชุมราชวิทยาลัย ปีละ ๑ ครั้ง  (บางปี ก็ไม่มี )  ไม่เคยไปต่างประเทศด้วยงบสนับสนุนจากบริษัทยา ไม่เคยได้รับการดูแลบริการแบบที่คุณเล่าเลยสักครั้ง หมอ ที่ทำงานอยู่ รพ.จังหวัด หรือ รพ.อำเภอ ก็เป็นแบบผม ทั้งนั้นครับ .. ซึ่งเมือเทียบจำนวนแล้ว สิ่งที่คุณบอก เป็นเรื่องของ " หมอส่วนน้อย" ของประเทศนี้  .. ีที่ต้องขอชี้แจงไว้หน่อย เดี๋ยวคนอื่นอ่านจะเข้าใจว่า " หมอส่วนใหญ่ " ได้รับสิ่งที่คุณบอก นะครับ .. ปล. สิ่งที่ คห. ๓๑ และ ๓๓ เ่ล่ามานั้น มีจริง แล้ว ผมก็ไม่เห็นด้วย ที่ " หมอ " จะไปทำแบบนั้น เรื่องนี้ทางแพทยสภา ก็ประกาศไว้ใน ข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2526  หมวดที่๑๐ http://www.medlawstory.com/contentimage/B006.pdf http://www.tmc.or.th/service_law02_17.php จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 01:45:07

ความคิดเห็นที่ 38 น้องเราเป็นหวัด ไปโรงพยาบาลเอกชนแถวหัวหมาก ค่ายา 4000 OMG จากคุณ : Iris_me_cat เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 02:29:25

ความคิดเห็นที่ 39 หมอแหละตัวดีเลย เพื่อนสาวอิฉันได้รีเทลยาหนุ่มหล่อเอ๊าะ ๆ ควงอยู่บ่อย ๆ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่สาวสวยอย่างเดียวแล้วนะคะ หล่อ ๆ ก็เยอะค่ะ ไปดูได้เลยค่ะ เซลล์เนียะ หล่อ ๆ ไม่น้อยกว่าสวย ๆ แล้ว หมอเกย์เยอะจะตายค่ะ เพื่อนสาวสามคนของดิฉันไปเที่ยวต่างประเทศแทบจะทุกเดือน (ลูกผัวไม่มี ก็ดีอย่างนี้แหละค่ะ) ตังค์ไม่เคยต้องออกเองเลยค่ะ อยากได้อะไรจะแค่ไปจับ ๆ แล้วก็วาง สักพักคนของบริษัทยาจะเอาใส่กล่องผูกโบว์มาวางที่ห้อง กระเป๋าหลุยส์เนียะเยอะมาก she เคยให้ดิฉันอันนึงด้วยนะคะ ขนาดเพื่อนอิฉันไม่ค่อยโลภนะคะ หน้ามียางนิดนึงส์ มันบอกพวกหมอแก่หน่อยเอาหนักกว่านี้อีกค่ะ หมอค่อนข้าง protect ตัวเองนะคะ ไล่ตั้งแต่นศพ/นสพ ไปยังแพทยสมาคม (ไม่แปลกค่ะ ที่เมกา วงการแพทย์ก็มีอำนาจต่อรองสูงสุดเลยค่ะ สูงกว่าสมาคมผู้รับบำนาญที่มีประชากรมากกว่าเป็นร้อยเท่าอีกค่ะ) ถามมันก็อ้อมตอบคดเคี้ยวราวแม่น้ำท่าจีนก็ไม่ปาน แต่ลองไปถามบริษัทยาดูสิค่ะ อู๊ยยยยย...พรั่งพรูเชียวค่ะ ถามสิค่ะ เค้ารู้กันทั้งนั้น ทำเป็นหน้าม้าน ตลกแท้ จากคุณ : แมงเมี้ยน เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 07:45:18 A:101.108.19.225 X: TicketID:137537

ความคิดเห็นที่ 40 อีกอย่างที่ถามได้ บริษัททัวร์ค่ะ จากคุณ : แมงเมี้ยน เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 07:47:46 A:101.108.19.225 X: TicketID:137537

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณค่ะ คุณหมอ   จากคุณ : gang (skhonchom) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 08:56:19

ความคิดเห็นที่ 42 ที่เจอบ่อยมาก คือ หมอเล่นหุ้น.  (T ___ T)   เวลาไปหาหมอ เค้าต้อง xerox บัตรประกันกลุ่ม ระบุชื่อบริษัทที่ทำงานลงไป  ร้อยทั้งร้อย ถ้าหมอเห็นชื่อบริษัท  ต้องถามว่า "เอ่อ  ช่วงนี้ เล่นหุ้นตัวไหนดี???"   หนล่าสุด ไปหาหมอเรื่องปวดหลัง ปวดหลัง Office Syndrome  ใช้เวลาพบแพทย์ 30 นาที  โดยถามเรื่องหุ้นซะ 20 นาที  ถามอาการป่วยอีก 10 นาที.  หน้าจอคอมหมอเปิดกระทู้ pantip ห้องสินธร  และบนโต๊ะวางหนังสือเล่นหุ้นแบบ VI   ...  เห็นแล้วเครียดมาก.  บางทีมีกระเซ้าว่า "ผมรักษาคุณหายแล้ว คุณช่วยมาดูพอร์ตให้ผมหน่อยนะ" (* O *)    อร๊ากกกกกกกกกกซ์. จากคุณ : Logos of Faith เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 10:39:27

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ ปล ถ้าไม่มีประกัน คงจนไปหลายเหมือนกันค่ะ จากคุณ : ProblemIT เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 11:09:50

ความคิดเห็นที่ 44 แบบ 31 -33  เจอเยอะแยะครับ   ทำไมในแบบความเห็น 36 ต้องจ่ายเอง   คำตอบก็อยู่ในนั้นแล้ว  โรงพยาบาลคุณขนาดเล็ก   ยอดยาตรงนั้นไม่ดึงดูด หมอดีดีมีเยอะแยะครับ  แต่ไม่ได้หมายความว่าหมอดีดีจะไม่รับอะไรๆจากบริษัทยาทั้งทางตรงทางอ้อม  ในเมื่อเพื่อนๆหมอเค้าก็ทำกัน  ถ้าเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางก็อาจต้องผลัดเวียนกันไปทัวร์ ถ้าให้ดีเทลยามาบรรยาเอง  รับรองว่า  แซบ!!!!!!!!!!! จากคุณ : ม่อน เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 12:38:13

ความคิดเห็นที่ 45 ถ้าโรงพยาบาลรัฐเก็บค่ารักษาเท่าโรงพยาบาลเอกชน รับรองเราจะได้รับบริการที่ดีแน่นอนครับ แต่นี้โรงพยาบาลรัฐเก็บค่ารักษาถูก คนเลยไปกันเต็มโรงพยาบาล เวลารอก็นานหน่อย ต้องทำใจ แต่ก็หายเหมือนกัน นึกว่าพักงาน 1 วันละกัน  ไหน ๆ ก็ป่วยแล้ว   แต่ถ้าอยากเร็วก็ไปโรงพยาบาลเอกชน  จ่ายแพงหน่อย จากคุณ : apollo14 เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 16:38:35

ความคิดเห็นที่ 46 30 บาท รักษาทุกโรค แทนที่จะทำให้ รพ.เอกชนต้องลดราคาเพื่อมาแข่งกับ รพ.รัฐ แต่กลายเป็นว่า คนที่พอจะจ่ายได้ หนีไปตรวจที่ รพ.เอกชนเพิ่มขึ้น.. ปัญหา คือ จำนวนหมอ รพ.รัฐ มันไม่พอกับจำนวนคนไข้ที่มาในแต่ละวัน บางคนมาทำบัตรตอน 8 โมง ได้กลับ 4 ทุ่ม อย่างนี้ก็มี บางคนขี้เกียจรอ ก็ไปคลินิค ไป รพ.เอกชน ส่วนคนไม่มีเงินก็รอต่อไป... แล้วทำไม หมอไม่พอ ..?? เพราะหมอหนีไป รพ.เอกชน ไปเรียนต่อ ไปทำคลินิคหมด ทำไมเป็นอย่างนั้น ..??? เพราะทำงาน รพ.รัฐ ได้ค่าตอบแทนน้อยไม่คุ้มกับค่าความรู้ ไม่คุ้มค่าเหนื่อย.. งานหนัก ค่าตอบแทนไม่ได้ไปตามภาระงาน แต่จะเป็นเหมาจ่าย จะตรวจ 100 คน หรือตรวจ 1 คน ก็ได้ค่าตอบแทนเท่ากัน เงินเดือนเท่ากัน ใครมันจะอยากไปตรวจเยอะ .. เสี่ยงถูกฟ้อง ทั้งๆ ที่ทำเต็มที่ตามศักยภาพ รพ. แต่พอเกิดอะไรขึ้นมา จะเอามาตรฐานโรงเรียนแพทย์ ?? มันจะทำได้แค่ไหน ??? แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 54 19:39:08 จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 19:31:30

ความคิดเห็นที่ 47 เดี๋ยวนี้คนไข้ที่มา ร.พ.รัฐ แต่ต้องการคุณภาพระดับ ร.พ.เอกชนก็มีเยอะค่ะ       - ไม่อยากรอนาน (เป็นต้องเดินมาถามคิวกับพยาบาลทุก ๆ 5 นาที ทั้ง ๆ ที่คนที่มาก่อนเค้าก็ยังไม่ได้ตรวจ)       - ขอยาดี ๆ นะคะ (แต่ต้องฟรี)       - ขอยาเยอะ ๆ หน่อยค่ะ (เอาไปแจกข้างบ้านด้วย)       - ขอยาตัวนั้นตัวนี้เพิ่มหน่อยค่ะ เผื่อไม่สบาย (เผื่อไว้จนยาหมดอายุก็ไม่ได้ใช้)       - วันนี้ปวดท้อง วันก่อนปวดหัว ต้นสัปดาห์เป็นหวัด ฯลฯ สรุปว่ามา ร.พ. วันเว้นวัน (ก็มันฟรี อยู่บ้านไม่มีคนสนใจ -.-") ...มันเป็นความล้มเหลวของระบบ 30 บาทค่ะ คนไข้ทุกวันนี้ เห็นคุณค่าของมันน้อยมาก เพราะพวกเค้าได้มาฟรี ๆ ไม่ต้องจ่ายตังค์ บางคนได้ยาแล้วก็ทำหาย  ..ไม่เป็นไร เดี๋ยวมาเอาใหม่ ...ฟรี!!! บางคน ต้องได้ยาจิปาถะอื่น ๆ แถมไปด้วยทุกครั้งด้วย เพราะ...ฟรี!!!   ถ้าหมอไม่ให้ ก็จะบ่นว่าทำไมครั้งก่อนได้ (หมอเค้าคงตัดรำคาญ) , ให้ ๆ มาเหอะ ปกติก็ได้ทุกครั้ง, คุกคาม โวยวาย เฮ้อ... เราว่า แทนที่จะให้ฟรี เปลี่ยนเป็นให้คนไข้ร่วมจ่ายตังค์ค่ายาหรือค่าตรวจแลปด้วยซัก 10-20% คงช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นไปได้อีกเยอะ   ......คนไข้ก็น้อยลง ไม่ต้องรอนาน (เพราะมันไม่ฟรีแล้ว) ......คนไข้เห็นคุณค่าของยา ไม่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ หรือขอมาเก็บไว้จนหมดอายุ ......โรงพยาบาลมีเงินหมุนเวียนมาใช้บริหารจัดการได้มากขึ้น ......แพทย์ก็ไม่ต้องรีบตรวจจนไม่ได้มองหน้าคนไข้ วิธีนี้น่าจะดี จากคุณ : triyapa เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 22:22:10

ความคิดเห็นที่ 48 ผมว่าไม่ถูกจุดนะ ถ้าจะมา โทษ รพ.เอกชน หากำไรเกินควร ทั้งๆ ที่จุดประสงค์มีไว้เพื่อหากำไร ไม่ใช่เพื่อการกุศล โทษ รพ.รัฐบาล ที่ไม่บริการให้ดีเท่า รพ.เอกชน จนทำให้คนแห่ไปใช้เอกชน ก็เหมือนโทษ ขสมก. ที่มีบริการรถเมล์ฟรี แต่จะไปหวังให้รู้สึกเหมือนอยู่ในรถเบนซ์ (ทั้งๆ ที่ถึงที่หมายเหมือนกัน) โทษ บริษัทยา ทำกำไรจากยาที่เขาผลิต ทั้งๆ ที่บริษัทเขาสร้างมาเพื่อมุ่งเน้นกำไร วิจัยกันหลายสิบปี โทษ หมอ ที่บางส่วน ทำตัวสนิทสนมกับผู้แทนยา ว่าทำให้บริษัทยาต้องคิดค่ายาแพงๆ มาเลี้ยงหมอ ทั้งๆ ที่งบการตลาดของยา เป็นแค่ส่วนน้อยมาก และมีองค์กร และแพทยสภา ดูแลกำกับอยู่ ถ้าจะโทษ ต้องโทษพฤติกรรมทางสุขภาพของคนไทย ซึ่งถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กยันโตให้ใช้ยาต่างหาก ตั้งแต่เด็ก ก็ฝึกให้กินวิตามินซี ให้รู้สึกเคยชินว่ายาเม็ดอร่อย น่ากิน ไม่เป็นอันตราย พอโตขึ้น เจ็บไข้นิดหน่อย ก็ต้องพึ่งยา ปวดหัวก็ต้องยาพารา เจ็บคอก็ต้องซื้อยาแก้อักเสบมากิน ทานอาหารไม่ตรงเวลา จนปวดท้อง ก็ต้องซื้อยาโรคกระเพาะมากิน พอแก่ตัวเริ่มมีไขมันในเลือดสูง ก็ไม่ออกกำลังกาย คุมอาหาร กลับเรียกหายาลดไขมันมากิน สุดท้ายเวลาเป็นหวัดไปหาหมอ ถ้าหมอตรวจรักษา อธิบายนานๆ บอกว่าให้พักผ่อนเยอะๆ ดื่มน้ำอุ่นๆ ให้แต่ยาพารามากิน ก็บอกว่าหมอไม่ได้เรื่อง สู้หมอที่สั่งยาชุดใหญ่มาให้ไม่ได้ จนหมอดังๆทุกจังหวัด คือหมอที่ให้ยาถุงใหญ่ๆ มากิน ถ้าไปหาหมอตามคลินิก แล้วไม่ได้ยา หมอห้ามคิดเงิน สุดท้าย ไม่ว่าคลินิก หรือ รพ.เอกชน ก็เลยไปเอากำไรที่ค่ายาแทน และนี่คือเหตุผล ว่าทำไมคลินิกและเอกชน ถึงไม่ยอมให้ใบสั่งยาไปซื้อตามร้านขายยา และทำไมระบบร้านขายยาตามใบสั่งแพทย์ ถึง ไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยเหมือนนานาอารยะประเทศ กลายเป็นร้านขายยาชุดหน้าปากซอย ยืมเลข ว. ของเภสัชมาเปิด จัดยาตามใจคนซื้อแทน ระบบยาบ้านเรา มันถึงได้เละเทะแบบนี้ไงครับ บางท่านอาจจะไม่ถูกใจ แต่มันเป็นความจริงครับ จากคุณ : vandalism เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 22:39:35

ความคิดเห็นที่ 49 อ่าน คห.31 แล้ว ลูกๆ หลานๆ ไปเรียนเป็นหมอกันเถอะ...สุขี สโมสร จากคุณ : ว่าไปตามนั้น (phch) เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 54 10:48:10

ความคิดเห็นที่ 50 ใครบอกว่าบริษัทประกันอ่วม จริง ๆ ผู้ซื้อประกันที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันแพงขึ้นนั่นแหละอ่วมแท้ หมอชาร์จเต็มวงเงินอยู่แล้วค่ะ ป่วยเป็นหวัดก็สามารถรักษาให้จ่าย 2,500 บาทตามวงเงินสูงสุด OPD ได้ แล้วก็ยัดยาให้ค่ะ (ไม่เคยอยากได้ยาเยอะขนาดนั้น แพงขนาดนั้น เว่อร์ขนาดนั้น หมอยัดให้ค่ะ เขียน ๆ แล้วให้เภสัชกรเป็นคนบอก + ชี้แจง) ดิฉันว่าคนไทยรุ่นใหม่และกลุ่มใหญ่ เริ่มมีความเข้าใจเรื่องการใช้ยาที่ดีขึ้นแล้ว ดิฉันว่าน่าจะเริ่มจากหมอก่อนดีมั้ยค่ะ ในฐานะเป็นผู้รู้ ทำความเข้าใจกับคนไข้ คงไม่ต้องไปแคร์มั้งค่ะว่าคนไข้จะมองว่าไม่เก่งเพราะไม่ให้ยาเป็นพะเรอเกวียน เหมือนบอกว่าคนไทยชอบละครน้ำเน่า ก็เลยผลิตออกมาเยอะ ๆ -_-' ดิฉันเพิ่งเปลี่ยนงานใหม่ OPD ต่อครั้งอยู่ที่ 4,000 บาท ดิฉันมั่นใจว่าถ้าไปหาหมองวดหน้าเพราะเป็นไข้หวัดคงทำ new high แน่นอนค่ะ :-) หมอโรงพยาบาลเอกชนนั่งตบยุงตอนกลางวันค่ะ ในขณะที่เพื่อนร่วมวิชาชีพโรงพยาบาลรัฐตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อต เจอสภาพอย่างนั้น หมอใจปลาซิวก็หนีมาเรื่อย ๆ ค่ะ แย่เป็น vicious cycle ไม่ได้ผุดเกิด คนป่วยก็หนีไปโรงบาลรัฐเรื่อย ๆ หมอเอกชนก็ต้องเก็บแพงขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ เก็บค่ารักษา เก็บค่ายา ค่าหัตถการ ค่าบริการ ค่าจิปาถะ ฯลฯ จากคุณ : Angela เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 54 18:06:04 A:202.130.186.174 X: TicketID:218328

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณที่เอามาแชร์ค่ะ สงสารคนรวยเหมือนกันนะเนี่ย จากคุณ : ananpan เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 54 18:06:38

ความคิดเห็นที่ 52 คห. ๔๙ อ่าน คห.31 แล้ว ลูกๆ หลานๆ ไปเรียนเป็นหมอกันเถอะ...สุขี สโมสร .............. ถ้ามีโอกาส แล้วเขาอยากเรียน ก็ส่งเสริมให้เรียนครับ .. แต่อย่าไปตั้งความหวังว่าจะได้เป็นแบบนั้น เพราะ ผมเอง จบแพทย์เฉพาะทาง ยังไม่ได้แบบที่ คห.๓๑ บอกเลยครับ .. ..............  ชีวิตหมอ ส่วนใหญ่  ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกครับ ...   ( ลองค้น ๆ กระทู้ ที่หมอบ่น ๆ ให้ฟังในห้องนี้ก็ได้ ^_^ ) คห.๕๐ ผมว่า เปลี่ยนที่ " ตัวเอง " .. ( ในฐานะ ที่เป็น ผู้ป่วย หรือ ญาติ ) .. ดีที่สุดครับ ..    ถ้าคิดจะให้ คนอื่น ( หมอ ) เปลี่ยน โอกาสน้อยที่จะทำได้ ถ้าไม่อยากได้ยา หรือ อยากได้ยาน้อย ๆ ก็แจ้งแพทย์ให้ทราบ หรือ พอไปถึงเภสัชกร ก็ซักถาม อะไรที่คิดว่า ไม่จำเป็น ไม่อยากได้ ก็ไม่รับ ไม่จ่าย .. แต่การที่จะำทำอย่างนั้น ก็จะต้อง ขวนขวายหาความรู้ตามสมควร ไม่ใช้คิดเอาเอง นะครับ เราอยากได้สุขภาพที่ดี .. ต้องทำเอง   ...  อย่าไปรอให้ รัฐบาล มาดูแล อย่าไปรอให้ หมอมาดูแลสุขภาพแทนตัวเรา                           " สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง " จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 54 21:37:30

ความคิดเห็นที่ 53 สวัสดีค่ะ เมื่อหลายปีก่อน ดิฉันต้องไปเรียนที่ต่างจังหวัด (ไกลประมาณ 300 - 400 กิโลเมตรจากบ้านเกิด) ตอนนั้นไม่สบาย ซึ่งต้องรับยาจากคลินิกแห่งหนึ่งตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งเราทำยาหาย เลยโทรไปถามหมอว่ายาชื่ออะไร หมออ้ำๆ อึ้งๆ แล้วตอบว่า "ไม่ต้องกินก็ได้ เอาไว้มาแล้วค่อยมารับยา" จากคุณ : Ounslanbong เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 54 22:15:14

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณ คุณหมอหมู มากๆเลยค่ะ สาระดีๆ ประเด็นที่ถกเถียงกันมานานมากกก แนวคิดของแต่ละมุม ของแต่ละวิชาชีพ ^_^ มองต่างมุม..... จากคุณ : Moobaby เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 54 22:39:50

ความคิดเห็นที่ 55 ผมว่าประโยคนี้ไม่ถูกครับ “การที่ผู้บริโภคจะร้องขอให้แพทย์เขียนใบสั่งซื้อยาเพื่อนำไปซื้อยาข้างนอกนั้นเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ เพราะผ่านมาตนเองก็เคยทำแบบนี้ ซึ่งการไม่ซื้อยากับโรงพยาบาลจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อครั้งได้เป็น 10 เท่าตัว จากที่เคยจ่ายค่ารักษารวมกับค่ายาและบริการครั้งละ 6,000 บาทต่อการรักษาหนึ่งครั้งก็เหลือเพียง 600 บาทต่อครั้ง” เพราะ 6000 บาทนั่นเป็นค่ารักษา รวมกับค่ายา  การซื้อยาข้างนอกก็ต้องเอาราคายาข้างนอกไปบวกรวมกับค่ารักษาอีก 600 บาทด้วย สรุปว่าผมเห็นด้วยว่าโรงพยาบาลเอกชนเก็บแพงจริง.. แต่ข่าวก็เขียนโอเว่อร์ไปมากครับ..อาจจะต่างกัน 2-3 เท่า  ไม่ใช่เป็น 10 เท่าตัวแบบที่เขียนข่าวครับ จากคุณ : Level II เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 54 23:36:33

ความคิดเห็นที่ 56 ข่าวเวอร์ไปหน่อย มีส่วนจริง แต่ก็ขยายความมากไปอ่ะนะ ถึง คคห. 31 ผมไม่รู้ว่ามันเริ่มตรงไหนนะ หมอเรียกร้องให้บริษัทยาติดสินบนก่อน เพราะทำยอดให้ หรือบริษัทยาเริ่มติดสินบนให้หมอก่อน เพื่อเพิ่มยอด แต่ยังไงมันก็สินบนเหมือนกันอยู่ดี... จากคุณ : Bazophil เขียนเมื่อ : วันสาธารณสุขแห่งชาติ 54 00:10:38

ความคิดเห็นที่ 57 ยาโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่จะแพงกว่าร้านยา ถ้าให้ไม่ประสงค์จะรับยา หลังจากออกจากห้องตรวจสามารถแจ้งที่การเงิน และห้องยาได้ว่า ไม่ประสงค์รับยา แต่อาจขอรับยาเป็นแค่ตัวอย่าง เช่น อย่างละ 1 เม็ด เพื่อไปซื้อข้างนอก และให้ห้องยาจดรายการยา และจำนวนที่แพทย์ สั่งจ่าย เพื่อจะได้ซื้อถูกทั้งชนิดและจำนวน โดยรวมราคาจะถูกกว่า แต่ยกเว้น ยานอนหลับ ยาควบคุมพิเศษ และ ยาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท อาจจะไม่สามารถหาซื้อได้หรือหาซื้อได้ยาก หรือจะต้องมีใบสั่งแพทย์ จากคุณ : CM (ชาร์มมิ่ง) เขียนเมื่อ : วันสาธารณสุขแห่งชาติ 54 00:27:58

ความคิดเห็นที่ 58 เห็นด้วยกับ คห31 ครับ ในเมื่อบริษัทยา เสียเงินมหาศาล ไปกับการกระทำตาม คห31แล้ว... ผลสุดท้าย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็ตกมาถึงผู้บริโภคครับ คือค่ายาที่แพงนั้นเอง ยานอกแพงกว่ายาในประเทศเป็นราคาหลักร้อย ถ้าเป็นเพราะใช้วัตถุดิบดีกว่า คงไม่ราคาแพงกว่ายาในประเทศ เป็นหลักร้อยครับ ผมคิดว่าถึงวัตถุดิบแพงกว่า แต่ยานอกผลิต จำนวนมากกว่ายาในประเทศมาก ผมว่าต้นทุนอาจต่ำกว่าด้วยซ้ำ เพราะซื้อวัตถุดิบครั้งละมากๆ บางคนอาจเถียงว่ายานอกเสียเงินทำการวิจัยและทดลองล่ะ ขอบอกเลยครับว่า ขั้นตอนการวิจัยยามี 2ขั้นตอนหลักๆครับ 1.คือ วิจัยโรคเพื่อหาสาเหตุของโรค (ถ้าไม่รู้ว่าโรคเป็นยังไง ในระดับอนุภาคก็คงคิดค้นยาไม่ได้) และคิดค้นตัวยา ขั้นตอนที่1.นี้เป็นขั้นตอนที่ใช้เงินทุนและกำลังสมองมหาศาล แต่มักทำโดยองค์กรของรัฐ หรือสถาบันที่ไม่หวังผลกำไร ดังนั้นเมื่อคิดค้นยามาได้ ก็จะไม่ทำอะไรต่อไปมาก เพราะคิดค้น ยาโดยหน่วยงานที่ไม่หวังผลกำไรนั้นเอง สุดท้ายจะจบด้วยการมีบริษัทยาซื้อตัวยาไปสู่ขั้นตอนที่2 2.การทดลองในสัตว์และมนุษย์ ครับ พอผ่านขั้นตอนนี้ได้ก็ ขายยาได้ครับ โดยขั้นตอนนี้เสียเงินทุนน้อยมากเมื่อเทียบกับ ขั้นตอนที่1 สุดท้ายบริษัทยาก็มักอ้างว่าตนเองเสียเงินเพื่อทำการทดลอง และวิจัยยา จึงเป็นสาเหตุให้ราคาแพงครับ จริงๆ แล้วซื้อยาที่คนเขาคิดค้นกันแทบตาย มาทดลองอีกนิดหน่อยตามขั้นตอน (บริษัทยาไม่ได้โกหกครับแต่บอกเรา ไม่หมด คนก็เลยคิดว่าเงินทุนเพื่อการทดลองยาคือ คิดค้นยาเองซึ่งจริงๆ ทำโดยหน่วยงานที่ไม่หวังผลกำไรครับ) แต่ยานอกที่แพงกว่ายาในประเทศ ก็เพราะการตลาดและการโฆษณา กับหมอ(ที่บอกกับหมอเพราะว่ายาหลายชนิดห้ามโฆษณาจากบริษัทยา ไปสู่ผู้บริโภคโดยตรงครับ) นี้แหละครับ ผู้บริโภคก็ดีใจ ยอมจ่ายเงินมากซื้อยานอก คิดว่าจะได้ยาที่ประสิทธิภาพ ดีกว่า(กรณีตัวยาเดียวกัน) ที่แท้ไปช่วยเขาออกค่าโฆษณาและการตลาด ผมเคยอ่านหนังสือ"กระชากธุรกิจยาข้ามชาติ" เขาอ้างอิงว่า ต้นทุนของยานอก 60-70% เป็นค่าโฆษณาและการตลาด????!!!! (หนังสือนานแล้วนะครับข้อมูลไม่ update ) ปล. 1.ส่วนน้อยจริงๆ น้อยมากๆครับที่คนกินยาในประเทศแล้วไม่หายจากโรค แต่กินยานอกแล้วหายจากโรค 2.ที่กล่าวอ้างในนี้ไม่ได้กล่าวถึงทุกบริษัทนะครับ และไม่ได้หมายถึงทุกตัวยา จ้า แก้ไขเมื่อ 27 พ.ย. 54 14:18:20 จากคุณ : ครั้งหนึ่งเคยเล่นดอท เขียนเมื่อ : วันสาธารณสุขแห่งชาติ 54 14:03:05

ความคิดเห็นที่ 59 ล่าสุดเป็นไมเกรน แอดมิด โรงพญาบาลดังย่านสนามเป้า (รู้กันใช่ไหม) นอน1 คืนเจอไป 16,889 จำ ได้แม่นเลยคะ เคลมประกันได้ 14,889 จ่ายส่วนเกิน 2,000 แอบคิดว่าทำไมมันแพงเว่อร์ขนาดนี้คะ จ่ายค่าอาหารเองต่างหากมื้อละ 165 บาทด้วย โอ้ว แม่จ้าวถ้าไม่มีประกันคงร้องจ้ากเลยคะ จากคุณ : บ่าบี๋ เขียนเมื่อ : วันสาธารณสุขแห่งชาติ 54 16:47:28

ความคิดเห็นที่ 60 คุณหมอหมูครับ ถ้าคุณหมอไม่ได้เป็นอย่างที่ผมเล่าใน คห 31 ผมขอชื่นชมจากใจจริง และคุณหมอคือหมอส่วนน้อยที่ผมได้เจอในโลกของผม (ย้ำว่าของผมนะครับ) นอกนั้นตั้งแต่หมอใหญ่ที่มีหน้ามีตาไล่มาจนถึงหมอใหม่ๆ นี่อย่าให้พูด จริงอย่างที่ คห 39 บอก ห้ามไม่ให้บริษัทยาออกชื่อ ออกสื่อ ห้ามบอกว่าสปอนเซอร์หมอไหน เดี๋ยวเสียเกียรติว่ารับอะไรๆ จาก บ.ยา แต่ตัวเองก็เรียกร้องและรับกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นหมอใน กทม หรือ ตจว ปีนี้รุ่นพี่ผมลาออกสองสามคนด้วยเหตุผลว่าเบื่อหมอ แกบอกว่าหมอดีๆ ก็มีนะแต่ส่วนใหญ่จะแย่ คห 56 ผมก็ไม่ทราบว่ามันเริ่มจากไหน เพราะมันก่อนยุคผมมานานแล้ว แต่ผมว่าก็มีส่วนจริงที่ บ.ยาสปอยล์หมอจนเคยตัว จะเอาอะไร แหกกฏแค่ไหนได้หมด หมอเลยนึกว่าตัวเองเป็นเทวดา บางเรื่องก็ตลกร้าย ไว้มีเวลาออกจากวงการแล้วจะเล่าให้ฟังนะครับ ถามว่าแก้ได้ไม๊ ลำพังตัวผมคงยาก มันต้องทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหมอก็ขอคนมีสำนึกแบบคุณหมอหมู ว่าจริงๆ มันไม่ควรนะ ค่าใช้จ่ายพวกนี้ก็เป็นหนึ่งในราคายา แต่หมอหลายคนก็บอกผมว่ามันไม่เกี่ยวกัน ค่ายามาจากอาร์แอนด์ดี ค่าพวกนี้เป็นค่าการตลาดซึ่งต้องมีอยู่แล้ว ถ้าถามลึกลงไปอีกว่าส่วนตัวผมคิดว่าแก้ได้ไม๊ ผมว่าไม่ได้ เพราะคนคุมกฏก็เป็นซะเอง จะแก้ได้ไง จากคุณ : ผมเบื่อ เขียนเมื่อ : วันสาธารณสุขแห่งชาติ 54 18:27:12 A:58.11.233.135 X: TicketID:281170

ความคิดเห็นที่ 61 เป็นกระทู้ที่ดีมากเลยค่ะ ขอบคุณ คุณหมอหมูมากค่ะ เราว่าอีกปัญหานึงก็คือ คนไทยกลัวหมอ ค่ะ หมอสั่งอะไรก็เออออห่อหมกหมด ไม่ถาม ไม่สงสัย หมอสั่งยาอะไรก็ตามนั้น เราว่าถามหน่อยก็ดีนะคะ ตอนที่คุณหมอกำลังจะเขียนใบยาน่ะค่ะ ถามว่าจะจ่ายยาอะไรให้ บางทียาบางชนิด เช่น พวกยาแก้ปวดพาราเนี่ย ไม่ต้องให้ก็ได้ ถ้าที่บ้านมี และเราก็ต้องคอยหมั่นสังเกต เช็คยาที่บ้าน ว่ามีตัวอะไร อันไหนหมดอายุก็ทิ้ง เวลาไปหาหมอบางทีมันก็ช่วยให้เราจำได้ค่ะว่ามียาอะไรบ้าง ไม่ต้องให้จ่ายใหม่ บางทีแม้แต่ยาฆ่าเชื้อแพงๆ ใน รพ ขวดละ 500+ บาท ซื้อข้างนอกแบบไม่ใช่แบรนด์เนมขวดละร้อยกว่า อุแม่เจ้า เราก็ขอหมอว่าเราจะซื้อร้านขายยา ให้คุณหมอบอกขนาดยาและโดส ก็ได้นะคะ เราประหยัดเงินไปได้เยอะเลยค่ะด้วยวิธีนี้ จากคุณ : pretty1pink เขียนเมื่อ : วันสาธารณสุขแห่งชาติ 54 19:32:58

ความคิดเห็นที่ 62 ต่อไปคนจนไม่สิทธิ์ป่วย รอตายอย่างเดียวเลย จากคุณ : ไม่ขอให้เป็นเหมือนใคร เขียนเมื่อ : วันสาธารณสุขแห่งชาติ 54 23:13:54

ความคิดเห็นที่ 63 ปัญหา ในระบบ สุขภาพ .. ถ้าพูดกันก็คงไม่แตกต่างจาก " ทุกระบบ ในประเทศไทย " ???                     มีคนให้ .. มีคนรับ ..                     มีคนต้องการ .. มีคนตอบสนอง .. จะโทษ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็คงไม่ถูกต้องนัก ... บริษัทยา (ผู้แทนยา) ไม่เสนอ ไม่ให้ .. หมอ ก็ไม่มีทางได้  หรือ ในทางกลับกัน บริษัทยา (ผู้แทนยา) เสนอให้ แต่ หมอไม่รับ  ผลก็เช่นกัน ... ผมก็ยังเชื่อว่า หมอ บริษัทยา ผู้แทนยา ฯลฯ ที่ดี ๆ มีเยอะกว่าเยอะครับ ...   สิ่งที่อยากจะเน้นไว้สั้น ๆ ก็คือ  รพ.เอกชน เป็น ระบบ " ธุรกิจ " คิดถึง กำไร ขาดทุน เป็นหลักนะครับ .. ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องของ คุณธรรม จรรยาบรรณ ชีวิต ฯลฯ  ก็เป็นส่วนประกอบรอง ๆ ลงไป .. ซึ่งก็เหมือน " ธุรกิจ " อื่น ๆ ... ประเด็นสำคัญ ก็คือ " ผู้คุมกฏ "  ได้ทำหน้าที่ ดีหรือเปล่า ??? แล้ว ผู้บริโภค ( ลูกค้า )  ได้ปกป้อง สิทธิของตนเอง เพียงพอหรือยัง ??? ถ้าเข้าใจตรงกันตรงนี้ ปัญหา ก็จะน้อยลงไปมาก ... ถ้าพูดถึงระบบสุขภาพ ในประเทศไทย ก็ไม่ได้ถือว่า " แย่ เลวร้าย " จนเกินไป .. ยังพอมีระบบที่เอื้อให้กับทุกคน ถึงไม่มีเงินเลย ก็ยังได้รับการดูแลตามสมควร และ ก็มีทางเลือก สำหรับคนที่ต้องการสิ่งอื่นเพิ่มขึ้น .. ซึ่งก็ต้อง จ่ายเพิ่มขึ้น ถ้า ไม่มีเงิน ก็มีระบบ สุขภาพ ประกันสังคม ข้าราชการ ไว้รองรับ .. เพียงแต่ ก็ต้อง ยอมรับว่า มันคงไม่หรูหราเลิศเลอ แบบที่เสียเงินเอง .. ปล. คห.๖๒ คนจน ก็ป่วยได้ครับ .. ใช้สิทธิบัตรสุขภาพ (บัตรทอง) สิครับ ..  ( ผม และ ครอบครัว พ่อแม่ผม ก็ใช้ บัตรสุขภาพ ครับ ) จากคุณ : หมอหมู เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 01:16:52

ความคิดเห็นที่ 64 เพราะมีคนกล้าจ่าย เค้าถึงกล้าคิดค่ารักษาแพง ถ้าพวกเรารวมตัวกันไม่ไปใช้บริการ รวมตัวกันเข้ารักษาเฉพาะที่โรงบาลรัฐ โรงบาลชุมชน หรือสถานีอนามัย ไม่นานโรงบาลเอกชนก็ต้องมาง้อเราเอง ว่าแต่ทำได้หรือเปล่า จากคุณ : Galaxy Force เขียนเมื่อ : วันเอดส์โลก 54 11:23:27

ความคิดเห็นที่ 65 ผมว่ารักษาฟรีนี่ยกเลิกไปให้หมดดีกว่าครับ ถ้าคนไข้รักษาฟรี มีเลวๆแบบที่ความเห็น 47 ได้กล่าวไว้ ซัก 20% ก็ทำให้ระบบ chiphai แล้วครับ คนไทยรู้จักสิทธิ(แถมเรียกร้องสิทธิมากกว่าที่ตนเองได้) โดยไม่รู้จักหน้าที่ ถ้าเอาระบบรัฐสวัสดิการมาใช้ ไม่เกิน 5-10 ปี ประเทศก็ล้มสลาย ผมว่าทางออกที่ดีที่สุด คือ คนไข้ต้องร่วมจ่าย จะได้ไม่มีพวกมาขอยาฟรี ไม่ใช่แบบมาเดินตลาดนัดหน้า รพ. ก็เลยแวะมาขอยาแก้ปวดไปเผื่อไว้ ขอยานอนหลับไปเผื่อนอนไม่หลับ แบบนี้มันทุเรศครับ ผมว่านี่มันเรียกขอทานแล้วครับ ไม่ใช่คนไข้หรอก จากคุณ : เซ็ง ควรมี 100 บาทรักษาทุกโรค เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 08:37:35 A:115.87.202.158 X: TicketID:306064

ความคิดเห็นที่ 66 อย่างน้อยขอเข้ามาเป็นอีกหนึ่งเสียงละกัน ว่า ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ มาสักพัก ผมไม่ทำเอกชน absolutely ผมใช้ยาตาม indication การแพทย์ จริงๆ ถ้าจำเป็นให้ ผมให้หมด เม็ดละ 70-80 ก็เอา แต่ถ้ายาไร้สาระ เช่น เป็นไข้มาขอยานวด ผมก็ ว่ากลับไปเหมือนกัน ของดีเทล อาหารดีเทล ตั้งแต่ผมเรียนมาจนจบ ผมไม่รับ ไม่มองเลย มองเห็นคนกลุ่มนี้เป็นอากาศธาตุ ที่ลอยผ่านไปมา เพื่อนหลายคนมองว่าผมบ้า   เออ จริงๆ ผมบ้า แต่ผมมีจุดยืนในใจอยู่ ใครจะว่าบ้าก็ช่าง ผมถือว่า แค่เราคิดจะรับ ก็เหมือนติดสินบนไปแล้ว ติ๊ดนึง เพราะฉะนั้น ต้อง totally abstinence ให้เด็ดขาด ของกิ๊กก๊อกพวกนี้ เหอๆ ผมซื้อใช้เองคุณภาพดีกว่าอีก เช่น ปากกา ผมซื้อแบบ 50 แท่ง ราคา 150++ ตั้งแต่สมัยเรียน ปี 6 ตอนนี้ ยังเหลืออีกเกือบครึ่งเลย สรุปว่า หมอ ดี มี เลว มี โลภ มี ไม่โลภ มี     คนดีไม่จำเป็นต้องไม่โลภ คนเลวไม่จำเป็นต้องโลภ ท้ายสุดทำอย่างไร ก็ได้ผลอย่างนั้นเอง (เช่นผม ยอมอดข้าว detail ใน conference อ่ะ ไปตรวจ OPD บ่ายต่อ ท้องกิ่วเลย เหอๆ) จากคุณ : vkp_nirvana เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 54 22:24:13

ความคิดเห็นที่ 67 ค้ากำไรเกินควรก็คือค้ากำไรเกินควร อ้างนู่นอ้างนี่ยังไง ก็คือ ค้ากำไรเกินควร อนาถใจเจ้าของโรงพยาบาลคิดอยากได้กำไรเยอะ ๆ จากคุณ : N'Wan เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 54 10:39:43

ความคิดเห็นที่ 68 ไปตลาดนัด ผ่านหน้า รพ. แวะมาขอยา.....มีจริง ยาที่ขอไม่ได้สัมพันธ์กับอาการป่วย ..... มีจริง หมอ พยาบาล เภสัช ว่าเข้าให้ ...... โดน สวน โดนฟ้องร้อง โดนร้องเรียน.... รักษาฟรี รอนาน รับไม่ได้ ด่าหมอ ด่าพยาบาล ด่าเภสัช ( ก็คนไข้มันเยอะนี่หว่า ) ไปเอกชน ก็บ่น ค่ารักษา ค่ายาแพง นี่ไง นิสัยคนไทยบางส่วน ....จะเอาตามใจฉันให้ได้ รักษาฟรี ยาดี หมอไหว้.... ถึงจะถูกใจกัน ...เฮ้อ จากคุณ : Sifer2002 เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 54 13:43:28

ความคิดเห็นที่ 69 เราหมอ รพ.ชุมชน ไม่เคยเจอดีเทลสักครั้ง ยามีแต่ขององค์การเภสัชกรรม เราคิดว่าเอกชนเค้าก็ต้องหากำไร เพราะเค้าไม่มีคนมาให้เงินงบประมาณ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าหมอ ค่าพยาบาล เค้าก็ต้องจ่าย ไหนต้องกำไร อีกอย่างเค้าไม่ได้บังคับให้ไป รพ.เอกชน ดังนั้นก็เป็นสิทธิของเค้า ไม่งั้นเค้าจะมาเปิดโรงพยาบาลเอกชนทำไม มันก็ไม่ต่างกับคนทำมาค้าขายต่างๆที่ต้องการผลกำไรกันทั้งนั้น อีกอย่าง คห.31 คุณพูดแต่ฝ่ายหมอด้านเดียว เราคิดว่าคือแพทย์ส่วนน้อยๆมากๆ อีกอย่างมักเป็นแพทย์เฉพาะทางที่มีโอกาสเจอดีเทลยา เราก็รู้จักดีเทลยานะ รู้ด้วยว่ารายได้ดี บางคนดีกว่าแะทย์ด้วยซ้ำ บางบริษัทมีบัตรเครดิตให้ไว้ใช้จ่าย ค่าน้ำมันรถก็เป็นสวัสดิการ ค่ายาก่อนที่เค้าจะนำออกมาขายเค้าก็ต้องบวกค่าเหล่านี้ละค่ะ ก็เหมือนสินค้าทั่วๆไปที่ต้องบวกค่าโฆษณา ค่าพรีเซนเตอร์ ฯลฯ ดังนั้นนะค่ะ ถ้าคิดว่าเอกชนแพง ก็อย่าไปเอกชนสิค่ะ มา รพ,รัฐบาล ฟรี ไม่ต้องจ่ายค่ะ จากคุณ : Kung_med10 (kung_med10) เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 22:02:00

ความคิดเห็นที่ 70 รู้ว่าแพง ก็ยังจะไปรักษากันอะนะ จากคุณ : Guttgung เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 22:06:18