ความคิดเห็นที่ 1 โอ้วว พนักงานเก็บเองรึเปล่าเนียะ พี่ชายเราบริจาคร่างกาย ไม่เสียค่าใช้จ่ายเลยนะคะ แถมยังจัดงานศพให้ด้วยค่ะ จากคุณ : mayny the kop เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:12:06

ความคิดเห็นที่ 2 คือคิดตามตรรกะแล้วมันแปลกๆ คืองานศพเราก็ต้องจัดอยู่นะ แล้วผู้บริจาคยังต้องเป็นฝ่ายเสียเงินอีก อย่างน้อยผมว่าคนตายคงรู้สึกไม่ดีที่เพิ่มภาระให้ลูกหลาน จากคุณ : Natural29 เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:12:23

ความคิดเห็นที่ 3 ปกติ จะไม่เสียค่าใช้จ่ายนี่คะ จากคุณ : หมูกลิ้ง เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:39:40

ความคิดเห็นที่ 4 เราเข้าใจมาตลอดว่าไม่เสียค่าใช้จ่ายนะ เพิ่งได้ยินนี่แหละ ถ้าเป็นจริง ต่อไปคงไม่มีใครกล้าบริจาคร่างกายแน่ เสียเงินเยอะขนาดนี จากคุณ : ข้าวปั้น เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 18:58:50 A:220.237.172.174 X: TicketID:188044

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่มีใบเสร็จก็มั่วนิ่มสิ จากคุณ : mangwan เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 19:13:02

ความคิดเห็นที่ 6 สงสัยจะโดนหลอกซะแล้ววว เฮ้อ ....T.T จากคุณ : deerja เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 19:16:49

ความคิดเห็นที่ 7 ลองขอใบเสร็จสิครับผมว่าสงสัยจะโดนหลอกมั้งครับ จากคุณ : oncodog เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 19:33:05

ความคิดเห็นที่ 8 สอบถามไปที่ศิริราช จะมีบันทึกว่าช่วงวันเวลาดังกล่าว เจ้าหน้าที่คนใดบ้างที่ไปรับศพครับ ทีนี้ก็จะสามารถให้ทางโรงพยาบาลชี้แจงได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร  ถ้าถูกแอบอ้างแล้วเราไม่ทำอะไรเลยก็เหมือนกับทำให้ได้ใจก็จะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกครับ จากคุณ : นพ (Namtao08) เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 19:36:52

ความคิดเห็นที่ 9 ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โรงพยาบาลศิริราช บางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 ................................................. วัตถุประสงค์ของการบริจาคร่างกาย             เพื่อให้นักศึกษาแพทย์นำไปศึกษา หรือที่เรียกว่าเป็น “อาจารย์ใหญ่” การบริจาคร่างกายแยกออกเป็น 3 แบบ 1.      บริจาคเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษา ระยะที่ใช้ในการเรียน 3 ปี 2.      บริจาคเพื่อให้แพทย์เฉพาะทางฝึกผ่าตัด 3.      บริจาคเพื่อให้ภาควิชาฯ เก็บโครงกระดูกเพื่อการศึกษาตลอดไป ****ในการบริจาคร่างกายนั้นสามารถเลือกได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งค่ะ เอกสารที่ใช้             รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว หรือ 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ เขียนชื่อ-นามสกุลที่ด้านหลังรูปให้ชัดเจน           สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ใบ (รับรองสำเนาถูกต้อง) ขั้นตอนการบริจาคร่างกาย 1.      กรอกแบบฟอร์ม ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ตามทะเบียนบ้านด้วยตัวบรรจง 2.      ระบุ ชื่อ-นามสกุล ผู้แจ้งการถึงแก่กรรม (ผู้แจ้งการถึงแก่กรรมหมายความถึง ผู้ที่เต็มใจจะรับเป็นธุระในการแจ้งให้ภาควิชาฯ ไปรับศพของผู้บริจาคร่างกายเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับมรดกอื่นใดของผู้บริจาคร่างกาย) 3.      ส่งแบบฟอร์มที่กรอกแล้วพร้อมรูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว หรือ 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ ทางไปรษณีย์มาที่ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 เขียนที่มุมซองว่า “บริจาคร่างกาย” 4.      รับบัตรประจำตัวผู้บริจาคได้ภายใน 1 เดือน โดยให้ระบุว่าต้องการรับด้วยวิธีใด 4.1  รับทางไปรษณีย์เป็นจดหมายลงทะเบียน (ต้องมีคนอยู่บ้านเพื่อลงชื่อรับ) 4.2  มารับบัตรด้วยตัวเอง ติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-419-7036, 02-419-7588   5.      หากทำบัตรหายกรุณาโทรศัพท์แจ้งภาควิชาฯ ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-419-7036, 02-419-7588 6.      หากผู้บริจาคเปลี่ยนแปลงที่อยู่กรุณาแจ้งภาควิชาฯ ทราบด้วย 7.      ท่านที่ต้องการยกเลิกพินัยกรรมฉบับนี้ ไม่ต้องแจ้งให้ภาควิชาฯ ทราบ จะไม่ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมายแต่ประการใด ****หมายเหตุ***สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มพินัยกรรมบริจาคร่างกายได้ โดยปริ้นท์ออกมาเป็นหน้า-หลัง จำนวน 2 ชุด เนื่องจากทางภาควิชาจะได้เก็บไว้ 1 ชุด และส่งคืนผู้บริจาค 1 ชุด และเหตุที่ต้องปริ้นท์หน้า-หลัง จะได้ทราบว่าเป็นพินัยกรรม เมื่อเวลาผ่านไป  ***ผู้บริจาคควรปฏิบัติตามข้อกำหนดในการกรอกและส่งแบบฟอร์มอย่างเคร่งครัด และถูกต้อง มิฉะนั้น ถ้าไม่ได้ข้อมูลครบถ้วน จะถือว่าเป็นโมฆะ หรือเมื่อส่งใบบริจาคมาแล้วสามารถโทรมาติดตามได้ ตามเบอร์โทรที่ให้ไว้ 02-419-7036, 02-419-7588 แบบที่ 1 บริจาคเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษา ข้อจำกัด -         ขณะเสียชีวิตอายุต้องไม่เกิน 80 ปี น้ำหนักโดยประมาณไม่ต่ำกว่า 40 กิโลกรัม -         ไม่เป็นศพเกี่ยวกับคดี -         ไม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง, โรคไต, โรคเบาหวาน และอุบัติเหตุ -         ไม่เป็นศพที่มีสภาพไม่เหมาะสม เช่น ศพเน่าเปื่อย อวัยวะขาดหายไปไม่ครบสมบูรณ์ ยกเว้นกรณีบริจาคดวงตา -         ที่เก็บศพของภาควิชาฯ เต็ม แบบที่ 2 บริจาคเพื่อให้แพทย์เฉพาะทางฝึกผ่าตัด ข้อจำกัด -         ไม่เคยผ่าตัดบริเวณข้อต่อต่าง ๆ -         เมื่อเสียชีวิต ญาติต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ภาควิชาฯ ให้มารับศพทันที -         ให้ญาติตัดผม และเล็บของศพใส่โลงเพื่อสวดทำบุญ -         ไม่ฉีดยารักษาศพ แบบที่ 3 บริจาคเพื่อเก็บโครงกระดูกใช้ในการศึกษา ข้อจำกัด -         ขณะเสียชีวิตอายุต้องไม่เกิน 55 ปี -         ญาติสามารถนำอวัยวะบางส่วนของศพดอง ไปทำพิธีทางศาสนาได้ -         ไม่ฉีดยารักษาศพ เพราะจะทำให้ไม่สามารถเก็บเป็นโครงกระดูกได้ พื้นที่ที่รับบริจาคร่างกาย รับเฉพาะเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ปทุมธานี นครปฐม สุพรรณบุรี(ไม่รับ อ.ด่านช้าง, อ.หนองหญ้าไซ, อ.เดิมบางนางบวช,อ.สามชุก) พระนครศรีอยุธยา (ไม่รับ อ.ท่าเรือ) ราชบุรี (ไม่รับ อ.สวนผึ้ง, อ.จอมบึง) กาญจนบุรี (รับเฉพาะ อ.เมือง, อ.ท่าม่วง, อ.พนมทวน, อ.ท่ามะกา) ข้อปฏิบัติเมื่อผู้บริจาคร่างกายเสียชีวิต -         ห้ามฉีดยากันศพเน่า เจ้าหน้าที่ของภาควิชาฯ จะไปฉีดให้ -         โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ภาควิชาฯ ภายใน 24 ชั่วโมง ให้ไปตรวจสภาพศพ และฉีดยารักษาสภาพศพ ที่หมายเลข 02-419-7028, 02-419-7030, 02-411-2007 -         ญาติเป็นผู้ดำเนินการเรื่องใบมรณบัตร และจัดหาหีบศพเอง ข้อปฏิบัติเมื่อได้รับศพของผู้บริจาคร่างกาย -         บริการฉีดยา และรับศพหลังเสร็จพิธี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น -         ให้ญาติสวดตามประเพณีนิยมได้ไม่เกิน 5 วัน -         ศพของผู้บริจาคร่างกายจะจัดเก็บที่อาคารกายวิทยาทาน ต.ศาลายา จ.นครปฐม -         ออกหนังสือรับรองการรับศพของผู้บริจาคร่างกายภายใน 2 วัน -         จัดส่งใบอนุโมทนาบัตร หลังจากรับศพของผู้บริจาคร่างกายภายใน 1 เดือน ข้อแนะนำในการเข้าร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ -         จัดประมาณเดือนเมษายนของทุกปี -         ญาติเข้าร่วมพิธีได้ไม่เกิน 4 คน -         ภาควิชาฯ มีรถบริการให้ญาติที่เข้าร่วมพิธีจากโรงพยาบาลศิริราชไปที่อาคารกายวิทยาทาน ต.ศาลายา จ.นครปฐม -         ญาติสามารถนำศพของผู้บริจาคร่างกายที่ศึกษาเสร็จแล้วไปประกอบพิธีทางศาสนาเองได้ -         จัดเก็บอัฐิของผู้บริจาคร่างกายไม่เกิน 5 ปี เอกสารที่ใช้ประกอบการทำหนังสือที่ระลึกในพิธีพระราชทานเพลิงศพ -         รูปถ่ายของผู้บริจาคร่างกายขนาด 1 นิ้ว หรือ 2 นิ้ว จำนวน 1 ใบ -         ประวัติส่วนตัวของผู้บริจาคร่างกาย -         คำไว้อาลัยของญาติ http://www.si.mahidol.ac.th/th/department/anatomy/dept_news_detail.asp?n_id=29&dept_id=1 จากคุณ : Willkommen เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 19:55:33

ความคิดเห็นที่ 10 ยืนยันไม่มีค่าใช้จ่ายครับ หลายปีก่อนพ่อเสียก็บริจาคร่างกายครับ เจ้าหน้าที่บริการดีมาก จากคุณ : kobee เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 19:59:57

ความคิดเห็นที่ 11 โทรหาพ่อแล้วค่ะ กำลังปรึกษากันอยู่ว่า จะยังไง แต่ก่อนอื่น  คิดว่าติดต่อทางโรงพยาบาลให้ได้  กลัวว่าจะเป็นมิจฉาชีพแอบแฝง  และอาจนำศพไปทิ้ง ทำลายที่ไหนแล้ว และคงต้องแจ้งความต่อ  ... จากคุณ : deerja เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 20:44:52

ความคิดเห็นที่ 13 เอาใจช่วยครับ คนตายไปแล้วยังหากินกันได้ พวกนี้  จากคุณ : bakasama เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 23:00:08

ความคิดเห็นที่ 14 เครียดมากนอนไปหลับเลยค่ะ พรุ่งนี้จะติดตามเรื่อง แล้วมาเล่าให้ฟังนะคะ จากคุณ : deerja เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 01:06:53

ความคิดเห็นที่ 15 จาก ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ http://www.si.mahidol.ac.th/th/department/anatomy/dept_personal.asp?pageno=4 ไม่ทราบคนที่ไปรับเป็นคนเดียวกันกับในรูปรึเปล่า จขกท. จะได้สบายใจไปเปราะหนึ่งว่าเป็นคนของโรงพยาบาลจริงๆ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 54 13:49:39 จากคุณ : Le-Vayikra เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 08:54:43

ความคิดเห็นที่ 18 เรียนคุณ deerja ผมเป็นอาจารย์ ผู้รับผิดชอบดูแลเจ้าหน้าที่ห้องศพ ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทย์ศิริราช - เพิ่งได้รับทราบข้อมูลจาก หัวหน้าภาคฯ ว่ามีกระทู้นี้ จึงตามเข้ามาอ่านทันที และขอเรียนให้ทราบดังนี้ ๑. ขอยืนยันว่า "ไม่มีค่าใช้จ่าย" ๒. ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เป็นการตกลงกันระหว่างญาติอาจารย์ใหญ่และเจ้าหน้าที่ฯ ๓. จะมีเรื่่องร้องเรียน การทำงานของเจ้าหน้าที่ฯ เฉลี่ยปีละ ๑ ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเรียกรับเงิน - ทุกครั้ง "ผู้ที่ร้องเรียน" ไม่เคยเป็นคนเดียวกับ "ผู้ที่้ตกลง" ๔. ทุกครั้งที่มีการร้องเรียน หรือ ภาควิชาฯ รับทราบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นช่องทางใด จะมีการตั้งกรรมการสอบสวน บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร - หากพบว่าเจ้าหน้าที่ฯ มีส่วนผิด หรือ บกพร่อง จะมีการลงโทษ ตามระเบียบขั้นตอน ๕. ขณะนี้ยังไม่สามารถ เรียกเจ้าหน้าที่มาสอบสวนได้ เพราะกำลังออกไปปฏิบัติงานอยู่ ผมจะดำเนินการสอบสวนให้โดยเร็วที่สุด แล้วแจ้งให้ทราบ ๖. ขณะนี้ภาควิชาฯ กำลังพัฒนาระบบ เพื่อให้เรื่องร้องเรียนเป็น "ศูนย์" โดยจะแยกเจ้าหน้าที่รับแจ้งการเสียชีวิตของอาจารย์ใหญ่ ออกจากเจ้าหน้าที่ ที่ออกไปรับศพ - เพื่อป้องกันการเรียกรับเงินจากญาติอาจารย์ใหญ่ ๗. หากมีข้อมูลเพิ่มเติม หรือ ต้องการรายละเอียดอื่นใด กรุณาติดต่อมาที่ผมได้โดยตรงครับ บุญส่ง เจริญวัฒน์ 085-1531033 boonsongchareonwat@yahoo.com ภาควิชาฯ ขอขอบคุณ คุณ deerja ที่ทักท้วงติติงการทำงานของเจ้าหน้าที่ฯ เพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุงการทำงานต่อไป จากคุณ : มะม่วงกะล่อน เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 15:12:53

ความคิดเห็นที่ 19 อ่านแล้วอยากยกเลิการบริจาคร่างกายทั้งหมดของตัวเองจัง..........ถึงตกลงกันเองก็เถอะนะ.... จากคุณ : มวลมารลำพอง เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 16:46:11

ความคิดเห็นที่ 20 ผิดปกติมากครับ ห้ามให้เงินเด็ดขาด แนะนำว่าติดต่อตามข้างบน ถ้ามีหลักฐานการเก็บค่าใช้จ่าย ให้ทำเรื่องแจ้งความร้องเรียนด้วยเลยครับ จากคุณ : thongchai9309 เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 17:06:14

ความคิดเห็นที่ 21 การเรียกเก็บเองแบบนี้ไม่น่าจะโปร่งใสนะคะ ตามที่ คห 18 บอกมาไม่มีค่าใช้จ่าย เงินที่เรียกเก็บไปไม่น่าจะเข้าโรงพยาบาล แต่อาจจะเข้ากระเป๋าคนเก็บหรือเปล่าคะ สินน้ำใจถ้าเจ้าภาพให้ก็ถือว่าการให้จากน้ำใจของเจ้าภาพ ที่มีต่อเจ้าหน้าที่ที่มาบริการ มากน้อยคงจะตามฐานะที่เจ้าภาพจะให้ได้ จากคุณ : Willkommen เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 17:38:26

ความคิดเห็นที่ 22 ค่าใช้จ่ายแบบนี้เยอะนะ ต่อไปใครอยากจะบริจาคศพ  ผมคนนึงขอบาย จากคุณ : harvardวิทยาคม เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 18:05:22

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้ายังเป็นแบบนี้ ใครจะอยากไปบริจาคอ่ะ ให้เค้าเอาไปเรียน แล้วลูกหลานยังจะต้องมาเสียตังค์อีกหรอ จากคุณ : NaMeMo เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 18:12:59

ความคิดเห็นที่ 24 อาจารย์น่ารักมากค่ะ ให้ความกรุณา ตอบข้อสงสัย   และเป็นธุระตามเรื่องให้  อธิบายให้ฟังละเอียดๆ มากๆ ^^ เห็นท่านบอกว่า  การทำเป็นใบเสร็จออกมาในกรณีที่ว่า  มันยุ่งยาก ยากมาก อาจารย์ว่า อีกหน่อยจะทำเป็นระเบียบออกมาไปเลย  และญาติรับทราบก่อนและเซ็นยิมยอม อาจารย์ ว่า ถึงจะเป็นการเก็บเงิน  แต่ ค่าใช้จ่ายที่คุณเอกแกเรียกเก็บ มันก็เกินไป (เราก็ว่าจริงๆ) รถหลวงที่เอาออกไปรับ(รถ ร.พ.ศิริราช) ใครเซ็น  (อารจารย์ท่านว่าต้องเป็นระดับอาจารย์) รอสอบสวนคุณเอกอยู่ เห็นว่าแกไปปฎิบัติงาน แล้วคงจะมีบทลงโทษ ถ้าเกิดทางเราจะเอาเรื่อง   ตามเรื่องได้ถึงไหน   อาจารย์ท่านจะกรุณากลับมาแจ้งให้ทราบค่ะ จากคุณ : deerja เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 18:22:53

ความคิดเห็นที่ 26 ผมไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ท่านบอกว่าไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ แต่กรณีย์ของคุณจะออกใบเสร็จรับเงินแล้วยุ่งยากมาก ถ้าไม่มีใบเสร็จรับเงินก็ควรออกกฎไปเลยว่าห้ามเรียกร้องใดๆทั้งสิ้น ถ้าจะต้องเรียกร้องค่าใช้จ่ายเนื่องจากเป็นกรณีย์พิเศษ ก็ควรต้องออกใบเสร็จ ระบุลงไปเลยว่าเป็นค่าใช้จ่ายอะไร ไม่ใช่ว่ารับเงินพอสมควรได้ แต่มากเกินไปไม่ได้ ฟังดูแล้วมันดูทะ:-)ๆนะ การออกใบเสร็จก็ไม่น่าจะยุ่งยากอะไร ศึกษาอาจารย์ใหญ่น่าจะยากกว่า จากคุณ : Intaina (BenzSiam) เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 19:09:44

ความคิดเห็นที่ 27 เสียดาย...ที่ยังมีคนคิดหากินกับร่าง อาจารย์ใหญ่ผู้มีจิตใจที่เป็นกุศล... คุณย่าแก่ๆคนหนึ่งที่ยอมสละสรีระสุดท้าย เพื่อเป็นวิทยาสังขารให้กับนศ.พ.รุ่นหลาน.. ด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความอิ่มบุญ ในลมหายใจสุดท้ายของชีวิต... ...."คน"ที่ทำกับลูกหลานท่านอย่างนี้ ถึงไม่ผิด,ไม่บาป,ไม่สนใจ.... ก็น่าจะละอายคุณย่าแก่ๆคนหนึ่ง... จากคุณ : เขียนบน iPhone (apidol) เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 19:23:52

ความคิดเห็นที่ 28 เห็นด้วยกับคุณจขกท.ถึงจะเป็นการตกลงกันแต่เป็นการเรียกเก็บที่มากเกินไปจริงๆ และโดยเฉพาะค่าโลงศพ7500บาทแพงมากๆ แล้วโลงศพได้ใช้จริงหรือไม่ จากคุณ : nanachloe เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 19:29:10

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่เข้าใจว่าทำไมเขากล้าเรียกเก็บ  แล้วเรียกเยอะด้วย ไม่กล้วญาติผู้เสียชีวิตสอบถามข้อเท็จจริงกับทางโรงพยาบาลเหรอ   เงินตั้งเยอะญาติก็ต้องสงสัยที่ไปที่มา   แล้วสมัยนี้ตรวจสอบกันง่ายจะตาย   ทำไมกล้าเอาตำแหน่งการงานไปเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้ จากคุณ : aicm เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 19:31:04

ความคิดเห็นที่ 30 ยายเราก็เพิ่งเสียไปได้อาทิตย์ก่อน บริจาคร่างกายเหมือนกันค่ะ ทางคณะแพทย์ มช ขับรถผ่านดอยมารับถึงที่ ไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ จากคุณ : AimiKiiez เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 19:45:30

ความคิดเห็นที่ 31 รับเงินคนเดียว แต่คงไม่ได้ใช้คนเดียวแน่แน่ สุดท้ายก็อาจจะแค่รับผิดเพื่อตัดตอน น่าจะมีมาตการป้องกันเด็ดขาดจะดีกว่าแก้ไข จากคุณ : คนบ้าบิต เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 20:18:38

ความคิดเห็นที่ 32 .. รบกวนจขกท. ช่วยอัพเดทข่าวให้ทราบเป็นระยะด้วยค่ะ.. เพราะดิฉันก็ตั้งใจบริจาคร่างเช่นกัน.. หากมีเรื่องแบบนี้.. ขอคิดดูอีกที .. จากคุณ : อาไน่ใจดี เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 20:28:49

ความคิดเห็นที่ 33 ความเห็นที่ 25 คุณเขียว ตรง และ แรงดี ค่ะ จากคุณ : deerja เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 21:12:44

ความคิดเห็นที่ 34 อ่านแล้วเศร้าใจ หากินกันแบบนี้ได้นะ จากคุณ : ด.ช.ลินุกซ์ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 21:24:13

ความคิดเห็นที่ 35 คห 18 ข้อ 3 ตอบได้น่าอายและปัดสวะมาก อ่านผ่านๆเหมือนจะดี ขอบคุณ คห 25 ที่ทำให้ผมสว่างวาบ ขอความกระจ่างที่ชัดเจนอีกหนครับ แน่ใจนะว่าคุณคืออาจารย์ตัวจริง จากคุณ : ลึกลับซับ_tui เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 21:28:52

ความคิดเห็นที่ 36 ผมบริจาคอวัยวะทั้งหมด อ่านแบบนี้แล้ว เซ็งครับ ต่อให้บอกมีค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการไปรับ ทำไม "ไม่ไปบีบคอนักศึกษาแพทย์" ที่เขามาใช้ศพผู้บริจาคละครับ ให้เสียเงินพิเศษไปจริงๆแล้วแค่มีศพจริงให้ผ่าก็เป็นบุญคุณแก่พวกเขาเท่าไรแล้ว พวกนักศึกษาแพทย์คงไม่มีใครอยากงกกับเงินที่ต้องเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อยเพื่อแลกประสบการณ์ผ่าจริงมั้งครับ แถมศพนึงก็ใช้เรียนกันหลายคนเฉลี่ยแล้วคงแชร์กันไม่เท่าไร บอกตรงๆอ่านตรงนี้แล้วเสียความรู้สึกครับ จากคุณ : Waiyakon เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 21:29:18

ความคิดเห็นที่ 37 ^ ^ ด้วยความเคารพนะ     อย่าไปเขียนแบบนั้นเลยครับ    ผมเชื่อว่าทุกคนมีเหตุมีผล   เรา ค่อยๆคุยกันดีกว่า  อย่าแยกเป็นหลายฝ่ายเลยครับ   ค่อยๆคุยกันนะครับ จากคุณ : สริตา เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 21:30:16

ความคิดเห็นที่ 38 กระทู้นี้ทำให้คิดหนักเรื่องบริจาคร่างกายเลยนะ กลัวเป็นภาระให้ลูกหลาน จากคุณ : อิมาอิซัง เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 21:35:22

ความคิดเห็นที่ 39 ช็อคและเสียความรู้สึกกับ #36 ค่ะ กระทู้นี้พูดถึงผู้บริจาค ผู้ไปรับ และฝ่ายจัดการไม่ใช่หรือคะ ไปลากนักศึกษามาเกี่ยวทำไมคะ  คห.คุณแรงมากนะคะ -------------------------------------------------------------- เข้าใจนะคะถ้าทางจขกท. อยากจะให้เรื่องจบเพราะอยากให้คุณย่าไปแบบไม่มีห่วง แต่เราสนับสนุนให้มีการดำเนินการเรื่องนี้ค่ะ  ทางฝั่งศิริราชไม่ควรปล่อยให้เงียบ รายการที่ทางคุณจขกท.ถูกเรียกเก็บ  "ควรจะชี้แจงได้" และมัน "เข้ากระเป๋าใคร" ที่สำคัญ  ต้องมีมาตรการสำหรับเหตุการณ์ในอนาคตด้วย เช่น ให้มีหนังสือชี้แจงก่อน  ญาติต้องเซ็นยินยอม  โดยในนังสือเขียนให้ชัด ค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง  ทำไมต้องเก็บ  ในเมื่อปกติไม่เก็บแล้วเคสนี้จะเก็บเพราะอะไร แต่ ... เราว่าให้แจ้งญาติไปเลยดีมั้ยว่ากรณีนี้ไม่เข้าเกณฑ์การบริจาค ขอบคุณสำหรับความเสียสละแต่ไม่สามารถนำไปใช้ได้ตามจุดประสงค์ของเจ้าของร่าง แล้วให้ญาติตัดสินใจว่ายังจะให้หรือจะเก็บไปบำเพ็ญกุศลเอง -------------------------------------------------------------------- ขอรอฟังผลของกระทู้นี้ต่อค่ะ จากคุณ : Avanyere เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 22:23:00

ความคิดเห็นที่ 40 เราบริจาคแต่เลือด กลัวการบริจาคอวัยวะ >_< จากคุณ : >_< (Sisterter) เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 22:23:06

ความคิดเห็นที่ 41 เล่าให้ฟังเพิ่มเติมดีกว่า (จริงๆกะว่าจะรอฟังเรื่องคุณเอกจากอาจารย์  แต่พอได้อ่าน คห 25 เลยอยากมาเล่าให้ฟังเพิ่ม) จากกันที่ได้คุยกับอาจารย์ไปเมื่อตอนเย็น น้ำเสียงท่านใจดี  ฟังแล้วภูมิฐาน น่าจะ 50+ อธิบายเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาจารย์ท่านก็เห็นถึงความผิดที่เกิดขึ้น ท่านไม่ได้เข้าข้างคุณเอก เพียงตอนนี้รอคุณเอกแกกลับมาเพื่อทำการสอบสวน  ท่านก็เล่าๆ รายละเอียด ทุกอย่างให้ฟัง  ท่านอธิบายเก่งมากๆค่ะ  ส่วนใหญ่ เราจะเป็นฝ่าย อ้อ ค่ะ ค่ะ ท่านเล่าอย่างที่บอกเป็นเป็นข้อๆที่ท่านแจ้งไว้   อย่าง ข้อสาม เนี้ยก็จริง  อย่างที่ท่านบอก  คือ คนตกลง คือญาติ  แต่คนร้องเรียน(จริงๆไม่ได้อยากร้องเรียน  เพียงแต่ต้องการความกระจ่างๆ  ว่าพวกท่านทำอะไรกัน ) เป็นเราอย่างเนี้ย ก็ถูก   ท่านว่ายังไงถ้าสามารถเรียกเงินคืนในส่วนที่เกินไปมากๆคืนมาได้  ท่านก็จะทำให้ (ข้อนี้ญาติๆก็ทำใจไปแล้ว  ว่าเงินมันเข้าปากช้างไปแล้ว  อะไรๆก็คงยาก  ท่านก็ปลอบๆกัน) ท่านว่า  เคทที่ต้องไปรับจาก ตจว.  มีไม่เยอะ แล้วจริงๆ ตอนนี้การแจ้งความจำนงในการบริจาคก็มีมากๆ  จำตัวเลขไม่ได้แน่นอน แต่เข้าใจโดยรวมว่า  ที่ต้องการต่อปีมีแค่ประมาณหลักร้อย แต่คนบริจาคมีเยอะมาก มีเป็นหลักพันๆ หรือหมื่นเนี้ยแหละ  คนเสียชีวิตทุกวัน) ขั้นตอนการ  การมาดองศพ บลาๆ ก็ล้วนมีค่าใช้จ่าย คุณพ่อ คุณอา และญาติๆ (ญาติๆก็เป็นคนวัด  คุณย่าก็เป็นคนวัด ทำบุญ เข้าวัดตลอดทั้งชีวิต) ท่านเป็นคนใจดี ไม่อยากมีเรื่อง  คนที่บ้านเป็นคนแบบนี้กัน  แต่ที่ต้องมาหาข้อมูลก็เกิดจากความสงสัย แต่ในความถูกต้อง ก็ควรจะต้องมีการแก้ไข  เพื่อไม่ให้เกิดความผิดแบบนี้ ทั้งๆที่ท่านก็ทราบมาตลอดอยู่แล้ว  การกระทำครั้งนี้ ไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นมาครั้งแรก  ตามที่ข้อ สาม ได้กล่าวไว้ เห็นอาจารย์ท่านว่า แก้ปัญหา ก็ต้องมีจุดแข็งที่ว่า  ต้องไม่ไปรับ ตัดบทไม่ไปรับเลย ไรงี้ ปลายสายที่รับเรื่อง ก็น่าจะแจ้งญาติว่า ร่างผู้เสียชีวิต อยู่นอกหลักเกณฑ์แล้ว ควรจะไปบริจาคให้ โรงพยาบาล ที่ใกล้ๆ หรือที่ไหนก็ได้  ที่เค้ารับ  และไม่มีค่าใช้จ่ายมากมายแบบนี้ เราคิดว่าคุณย่าก็คงไม่รังเกียจเพราะยังไงก็ได้ไปทำประโยชน์เช่นเดียวกัน แต่มันมี ตัวเงินเกิดขึ้นมาล่อใจ (อาจารย์ท่านยังเล่าอีกว่า จนท.เหล่านั้น สามารถซื้อ โรงศพ ได้ถูกกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ  ท่านว่าค่าเบี้ยเลี้ยงก็แพงมากไป  แพงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ300บาทต่อวันรัฐที่รัฐอยากให้เป็นด้วย) และ ญาติ (ผู้ตกลง) เพียงอยากทำความต้องการของคุณย่า  และอยากทำให้เป็นครั้งสุดท้าย ทำเป็นระเบียบออกมาเถอะค่ะ  ให้ผู้บริจาคทราบไปเลยตั้งแต่ที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านจะได้สบายใจ  และเตรียมใจ เตรียมการกันไปเลย ส่วนเราก็บริจาคกับกาชาดไว้ ไว้คงต้องไปขอรายละเอียดมาบ้างแล้ว เกิดไปตายต่างจังหวัดไกลๆ แย่เลย  คงต้องบอกญาติๆไว้  บริจาคไปเลยกับโรงพยาบาลที่ตายนั้นแหละ อย่าให้ต้องลำบากกันเลย  ทำบุญตัวเองให้กับคนอื่น  แต่ต้องมาทำความลำบากให้กับครอบครัวตัวเองไม่เอาดีกว่า จากคุณ : deerja เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 54 22:54:35

ความคิดเห็นที่ 42 ช่วงหลังๆนโยบายโรงพยาบาลรัฐโดยเฉพาะโรงเรียนแพทย์จะเน้นหากำไรเพื่อให้โรงพยาบาลเองอยู่รอดได้ในสภาพที่พอมีกำไรบ้าง โดยไม่ต้องพึ่งเงินงบประมาณหลวง น่าจะเป็นที่มาของการเรียกเก็บพวกนี้แหละครับ ส่วนตัวยังไม่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่เรียกเก็บเข้าตัวเอง โรงพยาบาลที่ยังทำแบบ NGO อีกหน่อยจะมีเพียงโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น เช่น ราชวิถี เลิดสิน และโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่างๆ แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 00:43:57 จากคุณ : Medic1669 เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 00:42:52

ความคิดเห็นที่ 43 ยังดีที่มีผุ้เกี่ยวข้องมารับเรื่องทันที ฝากดูแลให้ๆม่เกิดขึ้นอีกจะดีที่สุด จากคุณ : nohaha เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 03:37:18

ความคิดเห็นที่ 44 ถ้าหมอใหญ่ บอกแล้ว ว่า ศพ พอแล้ว งั้นต่อไปผมทำเรื่องยกให้ โรงบาลอื่นดีกว่าครับ จะได้ไม่เป็น ภาระโรงบาลศิริราช จากคุณ : แก้วคุง เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 08:33:11

ความคิดเห็นที่ 45 อนูโมทนาบุญกับคุณย่าที่มีใจกุศลสละร่างกายให้นักศึกษาแพทย์ศึกษา จากที่ จขกท เล่า แสดงว่าจำนวนอาจารย์ใหญ่มีมากเกินความต้องการใช่หรือเปล่าคะ เพราะทางโรงพยาบาลต้องการแค่หลักร้อย แต่มีอาจารย์ใหญ่เป็นหลักพัน ตรงส่วนนี้ทางโรงพยาบาลก็ควรมีการแก้ไขให้มันเหมาะสม เพราะการจัดการศพก็มีค่าใช้จ่าย แต่เราเกรงว่า ต่อไปคนที่บริจาคจะกังวลมากขึ้นว่าจะกลายเป็นภาระให้ลูกหลานเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว กลัวคนจะบริจาคน้อยลง แล้วจะขาดแคลนอาจารย์ใหญ่ เราก็บริจาคเหมือนกัน ทั้งร่างกายให้คณะแพทยศาสตร์ มช. ดวงตาและอวัยวะให้กับสภากาชาด ก็คิดว่าเมื่อเราตายไป ร่างกายของเราจะได้เป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง จากคุณ : นภันต์-สุดขอบฟ้า เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 08:45:40

ความคิดเห็นที่ 46 ใส่อารมณ์กันใหญ่   ก็ระเบียน ก็บอกไว้อยู่แล้ว ว่ารับจังหวัดใหนบ้าง  เมือมีการแหกกฏ  ก็เป็นช่องให้เกิดการหากินแบบนี้ จากคุณ : user_error (user_error) เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 08:56:23

ความคิดเห็นที่ 47 ศพของคุณพ่อเราบริจาคให้กับสภากาชาดค่ะ เมื่อท่านเสียชีวิต (กรุงเทพฯ) ลูกๆ ก็โทรแจ้งทางโรงพยาบาลก็ส่งรถมารับพร้อมเจ้าหน้าที่ตรวจรับศพ ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ ทางเราได้ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยจัดสถานที่เพื่อทำพิธีรดน้ำศพที่อาคารแพทย์พัฒน์ฯ ซึ่งเป็นสถานที่เก็บศพให้ด้วย เนื่องจากไม่สะดวกที่เคลื่อนย้ายท่านไปที่วัด และการอยู่นอกห้องเย็นนานๆ ก็อาจจะทำให้สภาพศพไม่เหมาะแก่การเรียน ทางเจ้าหน้าที่ก็กรุณาจัดสถานที่และตั้งศพให้อย่างดี เตรียมของใช้ต่างๆ เช่น ขันน้ำ พาน ผ้าแพรคลุมร่าง ฯลฯ ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อประกอบพิธี ญาติๆ เพียงแต่เตรียมดอกไม้ไปเองเท่านั้น นอกนั้นเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ให้เกียรติร่างคุณพ่อเป็นอย่างดี ปฏิบัติต่อร่างท่านด้วยความเคารพ พูดถึงร่างคุณพ่อด้วยความเคารพ ทำให้เรารู้สึกว่าการบริจาคร่างของคุณพ่อเป็นเรื่องที่มีค่ามาก เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแล้วญาติๆ อยากมอบเงินจำนวนหนึ่งเพื่อตอบแทนน้ำใจให้กับเจ้าหน้าที่ที่ช่วยดูแลอำนวยความสะดวกตลอดขั้นตอนการรับร่างของคุณพ่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยอย่างดี แต่เจ้าหน้าที่ตอบกลับมาว่า "ผมไม่รับครับ ผมทำตามหน้าที่ครับ" แม้ว่าเวลานั้นจะเลยเวลาออกเวรท่านไปพอสมควรแล้ว จากคุณ : นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยง เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 09:12:38

ความคิดเห็นที่ 48 ตั้งใจว่าจะบริจาคร่างกายเหมือนหลายๆคห. แต่ตอนนี้คงต้องพักไว้ก่อน บางทีคงต้องดูหลายๆสถาบัน ที่น่าให้ความเคารพและน่าเชื่อถือพอที่จะบริจาคร่างกาย เรามีร่างกายที่แข็งแรงและไม่มีโรคประจำตัว จึงตั้งใจจะบริจาคร่างกายเพื่อเป็นประโยชน์ กับคนอื่นและเพื่อกรณีศึกษากับนศ.แพทย์ และหวังว่าถ้าบริจาคไปแล้วจะไม่กระเทือน ไปถึงลูกหลาน แต่กรณีนี้คงต้องศึกษาจริงจังอย่างละเอียดอีกทีละค่ะ :) ขอบคุณจขกท.ที่หยิบยกกรณีมาให้ศึกษานะคะ และตั้งใจจะติดตามข่าวต่อไปค่ะ จากคุณ : miracle_rainyteddy เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 09:31:03

ความคิดเห็นที่ 49 เข้าใจว่า อาจารย์ใหญ่ ไม่ได้มีเกินความต้องการ ที่บอกว่า เป็นพันเป็นหมื่น ก็คือ จำนวนคนที่แจ้งความประสงค์ไว้ แต่เวลาตายจริง อาจจะมีสักหนึ่งในร้อยที่ศิริราชดำเนินการได้ สาเหตุก็มีต่างๆ เช่น *ญาติไม่ทราบ ดำเนินการพิธีไปตามปรกติ *อยู่ไกล ส่งข่าวไม่ทัน หรือส่งข่าวไม่ได้ *ตายด้วยสาเหตุที่ทางศิริราชไม่รับ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น พ่อ กับ แม่ เรา แจ้งความประสงค์ไว้ทั้งสองคน แต่ก็ทำตามประสงค์นั้นไม่ได้ทั้งสองคน เพราะคนหนึ่งตายด้วยมะเร็ง nasopharynx อีกคนหนึ่งตายด้วยอุบัติเหตุที่ พังงา จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 09:45:06

ความคิดเห็นที่ 50 ข้อสาม นี่ถือว่า ผิดพลาดมากครับ ๓. จะมีเรื่่องร้องเรียน การทำงานของเจ้าหน้าที่ฯ เฉลี่ยปีละ ๑ ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเรียกรับเงิน - ทุกครั้ง "ผู้ที่ร้องเรียน" ไม่เคยเป็นคนเดียวกับ "ผู้ที่้ตกลง" มีผิดหลายครั้ง แล้ว ยังทำผิดอย่างต่อเนื่อง ถือว่า จงใจครับ ปัญหาแก้ง่าย แต่ไม่แก้ ทำงานกันได้อย่างไรครับ ไม่น่าเชื้อถือเลย ใครอยากจะบริจาคละครับ เอาบุญ แต่ต้องจ่ายตังค์ด้วยครับ จากคุณ : To die for เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 10:23:17

ความคิดเห็นที่ 51 ที่ผมบบอกให้บีบคอเอากับนักศึกษาแพทย์ก็เพราะว่า ในกระทู้นี้ประเด็นคือค่าใช้จ่ายซึ่งเกิดขึ้นแล้วอาจเป็นภาระให้กับโรงพยาบาล ตรงนี้ผมพยายามเข้าใจแต่ส่วนลึกในใจผมบอกว่า ร่างกายของเรามันมีค่าน้อยกว่าเงินหนึงหมื่นสี่พันบาทอย่างนั้นเหรอ ดังนั้นคนที่ได้รับประโยชน์จริงๆก็คือนักศึกษาแพทย์เพราะฉะนั้นเมื่อภาระตรงนี้โรงพยาบาลเห็นว่าเกินกว่าจะรับไว้ผมก็เข้าใจ เพราะจะให้บริหารงานโรงพยาบาลด้วยอุดมการณ์ก็คงไม่ไหว แต่เมื่อค่าใข้จ่ายเกิดมันก็ต้องมีคนเสียตรงนี้ แล้วใครควรจะรับผิดชอบ ญาติผู้ชายหรือโรงพยาบาลหรือนักศึกษาแพทย์ ผมเห็นว่าคนที่ควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตรงนี้นะคือนักศึกษาแพทย์ครับ เพราะเขาเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการใช้ร่างกายของศพเพื่อหาความรู้ จึงไมมีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตรงนี้ คุณรู้ไหมเพราะผมรู้ถึงปัญหาว่าส่วนใหญ่อวัยวะที่บริจาคมักจะใช้การไม่ได้เนื่องจากถึงมือหมอช้าไป โดยเฉพาะดวงตา ทุกวันนี้ในกระเป๋าเงินผมจะใส่บัตรผู้บริจาคติดเอาไว้ในส่วนที่มองเห็นง่ายและ "เสียบแบงค์พันบาท" เอาไว้ด้วย และบนแบงค์พันก็ติดกระดาษมีข้อความว่า "หากท่านเห็นข้อความนี้ในขณะที่ข้าพเจ้าไม่มีชีวิต กรุณาโทรหาเบอร์ตามบัตรผู้บริจาคอวัยวะอย่างเร็วที่สุด แบงค์พันนี้ถือเป็นค่าเสียเวลาของท่าน" ด้วยคิดว่าหากวันไหนเกิดเหตุไม่คาดฝัน อย่างน้อยพวกเปรต(หมายถึงพวกที่พอเห็นอุบัติเหตุแล้วมุ่งแต่จะเข้ามาหาของมีค่า ไม่รวมถึงเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยทั้งหลาย) ที่มันมาค้นหาทรัพย์มีค่าจากศพมันจะได้เห็นว่าตรงนี้มีแบงค์พันอยู่และมีข้อความดังกล่าวแบงค์พันนี้่น่าจะพอกระตุ้นให้มันช่วยโทรหาเบอร์โทรตามบัตรเพื่อที่อวัยวะผมจะได้ช่วยต่อชีวิตคนอื่นได้ ผมไม่ได้ต้องการโจมตีโรงพยาบาลเพราะเข้าใจว่าค่าใช้จ่ายรวมกันมันสูง แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยที่จะผลักภาระให้กับผู้บริจาค ผมคิดว่าภาระตรงนี้ควรจะโยนให้กับนักศึกษาแพทย์ต้องรับผิดชอบ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆด้วย ทั้งค่าดองศพ ค่าจัดงานศพอะไรทั้งหลายแหล่ โรงพยาบาลแค่มีหน้าที่เป็นคนกลางช่วยจัดการให้เรียบร้อยก็พอ แต่คนรับผิดชอบจริงๆควรเป็นนักศึกษาแพทย์หรือคนที่ได้รับบริจาคอวัยวะไปครับ ก็เท่านั้น จากคุณ : Waiyakon เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 10:46:28

ความคิดเห็นที่ 52 สรุปผมก็ไม่ต้องบริจาคร่างกายละ เพราะมีมากมาย จาก @41 บริจาคมากเกินไปก็ลำบากเขาในการจัดเก็บอีก เผาเป็นปุ๋ยต้นไม้เหมือนเดิม จากคุณ : ปุ่ม shift อยู่ไหน เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 10:58:51

ความคิดเห็นที่ 54 ผมว่าอาจารย์ตอบคำถามได้ไม่ชัดเจน และใช้ถ้อยความที่ไม่ค่อยเหมาะสม อาจสร้างความขุ่นเคืองใจให้ผู้ที่ได้อ่านมากขึ้นไปอีก อย่างน้อย ผมว่าไม่ต่ำกว่า 50% ที่ได้อ่านแล้วเลิกคิดที่จะบริจาคร่างกายให้ศิริราช ไม่ลองเอาตัวอย่างสภากาชาดไทยอย่างใน คห ที่ 47 ดูหน่อยหรือครับ? ป.ล. อยากให้เอาผิดกับ จนท. ที่เรียกเก็บเงินจากญาติอาจารย์ใหญ่เข้ากระเป๋าตัวเองฟรี ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก จากคุณ : macenjoy เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 12:26:28

ความคิดเห็นที่ 55 ตายละหว่าฉัน... บริจาคทุกสิ่งทุกอย่างของร่างกาย(ที่ทางสภากาชาดเห็นว่าพอจะมีประโยชน์) กฎเกณฑ์มันจะเหมือนของศิริราชหรือเปล่าเนี่ย ยิ่งบริจาคกันทั้งบ้านซะด้วย ต้องหาข้อมูลซะแล้ว คนเราจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ กังวล วางแผนให้กับคนที่อยู่ข้างหลังยังไม่พอ ยังต้องมากังวลว่าตายไปแล้วศพฉันจะเป็นภาระต่อคนข้างหลังไหม ศพของฉันที่จะบริจาค สรุปมันกลายเป็นภาระของโรงพยาบาลหรือ มันมีมากเกินไปหรือ เอ๊ะ...หรือยังไง ขอเดินออกจากกระทู้ไปแบบคอตก+มึนๆ จากคุณ : น้ำแข็งใสเปรี้ยวซ่า เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 13:16:14

ความคิดเห็นที่ 56 ลองเปลี่ยนจากบริจาคร่างกายมาเป็นบรจาคอวัยวะมั๊ยคะ ยังไงมีคนต้องการแน่ๆ จากคุณ : เขียนบน iPad (อย่าเอาความงงมาลงที่ฉัน) เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 13:22:47

ความคิดเห็นที่ 58 ๓. จะมีเรื่่องร้องเรียน การทำงานของเจ้าหน้าที่ฯ เฉลี่ยปีละ ๑ ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเรียกรับเงิน - ทุกครั้ง "ผู้ที่ร้องเรียน" ไม่เคยเป็นคนเดียวกับ "ผู้ที่้ตกลง" ๔. ทุกครั้งที่มีการร้องเรียน หรือ ภาควิชาฯ รับทราบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นช่องทางใด จะมีการตั้งกรรมการสอบสวน บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร - หากพบว่าเจ้าหน้าที่ฯ มีส่วนผิด หรือ บกพร่อง จะมีการลงโทษ ตามระเบียบขั้นตอน --------------------------------------------------------------------------- จากคคห.ที่ 18 ที่เขียนข้อความด้านบน แสดงว่าเคสนี้ไม่ได้เป็นการเกิดขึ้นครั้งแรก เคยมีการร้องเรียนทุกปี แสดงว่าทางศิริราชยอมรับให้เจ้าหน้าที่ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ หรือคะ คนบริจาค เค้าตั้งใจบริจาคเพื่อทำบุญเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต การเรียกเก็บเงิน แม้ว่าจะเป็นการตกลงกันเอง มันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ทางศิริราชจะยอมให้เกิดขึ้นซ้ำได้นะคะ จำนวนเงินก็ไม่ใช่น้อยด้วย ขนาดไม่ใช่ญาติคนบริจาค อ่านแล้วยังปรี๊ดเลยค่ะ จากคุณ : papa mama love u เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 13:32:10

ความคิดเห็นที่ 59 สรุปว่า ตอนนี้มีคนบริจาคร่างมากเกินความจำเป็นแล้วก็เลยกลายเป็นว่าทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหรือคะ ฟังดูแย่จัง เมื่อต้นปี คุณพ่อได้ดูจากรายการทางทีวี ทางศิริราชประกาศว่า ตอนนี้ อาจารย์ใหญ่ ไม่พอเพียงกับการเรียนการสอน คุณพ่อของเราจึงได้ไปทำเรื่องบริจาคไว้ทันทีที่ได้ทราบข่าว และทางบ้านเราก็อยู่นอกเขตที่รถของทางศิริราชมารับด้วย ยิ่งมาอ่านคคหที่41 ของจขกทที่ได้คุยกับอาจารย์ด้วยแล้ว ต้องไปขอให้คุณพ่อคิดใหม่อีกซักครั้งในความประสงค์ที่จะบริจาคร่างให้ทางศิริราชซะแล้ว จากคุณ : JingleJ เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 14:03:53

ความคิดเห็นที่ 61 เดือน ๆ นึง พนักงานเหล่านี้จะมีรายได้เสริมกันเท่าไร ร้องเรียนปีละ 1 ครั้ง ไม่ใช่มีกรณีนี้เกิดแค่ 1 ครั้ง/ปี แต่คนอื่น ๆ เค้าไม่รู้ นึกว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องจ่าย เป็นกฎของศิริราช เค้าเลยจ่ายไป ถ้าทางต้นสังกัดไม่จัดการหรือทำอะไร ก็เท่ากับเป็นการยอมรับพฤติกรรมเหล่านี้ของพนักงาน จากคุณ : my_whitechristmas เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 14:21:37

ความคิดเห็นที่ 62 ตายละวา แค่จันทบุรี ตั้งหมื่นสี่ คุณย่าเราบริจาคไว้เช่นกัน ตอนนี้อยู่ จ.นราธิวาส ไม่ปาเข้าไปเป็นแสนหรอเนี้ยะ -*- ส่วนตัวเราก็บริจาคไว้ แต่กับสภากาชาดไทยค่ะ ปล.คห.คุณเขียว เขียนได้ตรงใจค่ะ สมัครล็อกอินสิคะ จะให้กีฟหมดตัวเลย จากคุณ : Girl_of_Monsterteam เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 14:31:46

ความคิดเห็นที่ 63 ขอเพิ่มเติมรายละเอียด   คุณย่า เสียชีวิต วันที่ 16 พ.ย. 54  เวลา 16.04  น. รถ ร.พ. มารับศพ วันเดียวกันนั้น  เวลา 4 ทุ่มครึ่ง พนักงานมาด้วยกันท้งหมด 5 คน จากคุณ : deerja เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 15:31:43

ความคิดเห็นที่ 64 อ่านจนหมดแล้ว รู้สึกได้แค่ว่า ถ้าบริจาคร่างกาย  นอกจากจะเป็นภาระให้ญาติต้องเสียเงินแล้วยังจะเป็นภาระให้ทางโรงพยาบาลอีก เง้ออออ  จะได้บุญมั้ยอ่ะ.....ตายตาไม่หลับแน่ ปล ประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อญาติเสียชีวิต สติไม่มีจริงๆ ถึงจะเตรียมใจไว้แล้ว ตอนเราค่าโลงค่างานอะไรก้อไม่ได้สอบถามรายละเอียด สุดท้ายจบงานค่าใช้จ่ายบานเลย เป็นเพราะเชื่อใจว่าเค้าคงไม่ทำเราหรอก....เฮ้อออ  คนพวกนี้คงเจริญกันหรอกนะ(ตอนคุยกันตอนแรก ไม่เท่าไหร่ๆๆๆๆ เด๋วค่อยคิดกัน สุดท้าย ......=____=") จากคุณ : vanilla caramel เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 15:57:50

ความคิดเห็นที่ 65 จากคห.41 จากที่ จขกท.เล่ามา โดยสรุปแล้ว อาจารย์ประจำภาควิชาของเค้าบอกว่าจำนวนอาจารย์ใหญ่มากเกินความจำเป็นแล้ว เมื่อมีมากเกินไปส่งผลให้เป็นภาระต่อร.พ.ในเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆที่ตามมา ผมสรุปถูกไหมครับ แล้วถ้าเป็นเช่นนี้ หากมีคนที่เค้าตั้งใจจะบริจาคแต่ดันมาเห็นก็คงยกเลืvกความคิดในการบริจาคแล้ว เพราะคนที่เค้าอยากจะบริจาคก็ด้วยความมีจิตเมตตาและเสียสละ แต่ถ้าหากการเสียสละไปแล้วเกิดเป็นการรบกวน หรือสร้างภาระที่ไม่จำเป็นทั้งต่อญาติ และต่อตัวร.พ.เอง ใครเค้าจะอยากบริจาค ว่ามั๊ยครับ???? ท่านอาจารย์พูดโดยอิงปัจจุบันมากไปหรือป่าว ในอนาคตถ้าหากเกิดการขาดแคลนขึ้นมาจะทำอย่างไรครับ อย่างน้อยก็คงไม่ใช่ภายในปีสองปีนี้หรอก เพราะคนที่บริจาคไปก็เริ่มทยอยเดินทางมาเป็นอาจารย์ใหญ่กันบ้างแล้ว แต่หลังจากที่กระทู้ปัญหานี้เกิดขึ้นไป อย่างน้อยเปอร์เซนต์การบริจาคจากคนที่ทราบข่าวก็น่าจะลดลงไปบ้างไม่มากก็น้อย หากเกิดความขาดแคลนขึ้นมาจะทำอย่างไร การเข้าศึกษาแพทย์เดี๋ยวนี้ก็เท่าที่ทราบกันอยู่ว่าไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนสมัยก่อนๆ เนื่องจากเกรงต่อการถูกฟ้องร้อง รวมถึงการที่นศ.พ.จบมาใช้ทุนเสร็จเปลี่ยนอาชีพไม่ประกอบอาชีพแพทย์ นับว่าเราต้องขาดแคลนไปอีกเท่าไร หรือว่าอาจารย์คาดการณ์ไว้แล้วว่าจำนวนอาจารย์ใหญ่ในอนาคตจะเพียงพอต่อจำนวนนักศึกษาในอนาคตที่ได้รับความนิยมลดลงเช่นเดียวกัน???? จากคุณ : Coppich เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 15:59:27

ความคิดเห็นที่ 66 งั้นก็ไม่ต้องบริจาค เอาให้อาจารย์ใหญ่ขาดแคลน แล้วต่อไปต้องไปหาซื้อเอาเอง ต่อไปจะเปนการขายศพตัวเอง เพื่อประโยชน์ของลูกหลานดีไม๊ครับ? ศพละหมื่นสองหมื่นไรงี้ จากคุณ : infinitesadness เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 16:37:43

ความคิดเห็นที่ 67 เห็นด้วยกับคุณ Waiyakon คห. 51 และคุณเขียว ค.ห. 60 ค่ะ *เพิ่มเติมข้อความตกหล่น* แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 17:41:54 จากคุณ : ไม่หั่นหัวหอม ไม่หลั่งน้ำตา เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 16:49:38

ความคิดเห็นที่ 68 เขาอุตส่าห์บริจาคร่างกายแล้ว ยังจะไปเก็บเงินเขาอีก แทนที่จะให้ค่าตอบแทน รือไม่ก็จัดงานศพให้ยังจะดีซะกว่า เป็นการตอบแทนน้ำใจกัน แม้จะไม่มากก็เถอะ สำหรับญาติๆอะ มันไม่คุ้มเลยนะ ร่างกายบรรพบุรุษกับเงินหมื่นสองหมื่นอ๊ะ จากคุณ : Tontz เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 16:54:05 A:223.206.203.143 X: TicketID:340692

ความคิดเห็นที่ 69 อยากบริจาคอยู่พอดีเลยค่ะ  แต่อ่านแล้วก็รู้สึกแย่นะ เราว่าจริง ๆ มันไม่ควรจะมีค่าใช้จ่ายอะไรเลย เพราะถามว่านักศึกษาเวลาเรียนเขาก็จ่ายตังมาเรียน ค่าดองศพหรืออื่น ๆ ก็น่าจะพอแบ่งจากค่าเล่าเรียนตรงนั้นได้บ้าง ถ้าต้องให้ศพไปศึกษาแล้วเสียค่าใช้จ่ายก็คงไม่บริจาคแล้วแหละ เอ็นดูคนข้างหลัง ไม่มีศพให้เผา(ในตอนนั้น)ยังจะต้องเสียเงินเสียทองอีก เราว่าถ้าความต้องการบริจาคเยอะเกิน ก็น่าจะจำกัดจำนวนรับให้เหมาะสมกับความต้องการ ถ้าใครเกินก็แนะนำให้ไปบริจาคให้ที่อื่นที่ยังขาดแคลนค่ะ ถ้าค่าใช้จ่ายมันจะเป็นภาระมากเกินไป แก้ไข ต่อให้เป็นการตกลงกันเองก็ไม่ควรมีค่ะ แบบเรียกเก็บแบบนี้ ถ้าญาติให้เป็นสินน้ำใจก็ว่าไปอย่างค่ะ ถ้ามีแล้วรับได้  เราว่าต้องพิจารณาถึงความคิดกับแล้วแหละ ว่าคิดแบบนี้มันใช้ได้หรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 17:18:34 จากคุณ : ArpatAnthakan เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 16:55:03

ความคิดเห็นที่ 70 ผม คนนึงละ ที่เคยเจอกรณีประมาณนี้  ตอนคุณยายเสีย คุณยายเสียที่รพ. พระมงกุฎ แต่ตอน ชัญสูตรไปอีก รพ. นึง  คราวนี้ช่วงย้ายร่างคุณยาย ไป ที่รพ. รัฐชื่อดัง แล้วก็มีจนท. เข้ามาคุย เจรจาเรื่องค่าขนย้ายคุณยาย จาก รพ. พระมงกุฎ มา รพ. ชื่อดัง ที่อยู่ห่างกันไม่เกิน 3 กิโล และค่า ............ อีก รวม 30,000 บาท   ผมกำลังเสียใจมาก จึงรับฟังอย่างเดียว และก็ถึงประโยคเด็ด "ถ้าจ่ายเลย เดี๋ยคุยกับ อ.หมอให้ ไม่ต้องผ่าชัญสูตร ก็ได้ ถ้าจ่าย 30,000 บาท" ผมฟังแล้วหันเลย เพราะ ใจจริงไ ไม่อยากให้ผ่าอยู่แล้ว แต่คุยไปคุย มา มีพิรุธหลายอย่าง  และผมหมดอาลัยฯ อยู่   สุดท้ายก็เลยให้มาคุยกันใหม่ เช้ามา ผมไปถาม อ.หมอ ที่ ญาติผมรู้จัก เขาโวยเลยว่า "พวกเฮีย นี่อีกแล้ว" หมายความว่าไง ? รถ รพ. ชัดเจน จนท. รพ. ชัดเจน แล้ว ค่าอะไร 30,000 แล้วถ้าจ่ายไป เงินจะไปไหน ? ขอความกระจ่างครับ ในเมื่อรถกับ คน ก็ของโรงพยาบาล เหมือนเคสที่ผมเจอผม ปล. เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ปกติ ต้องรณรงค์ ขอบริจาคกันอยู่แล้ว  ยิ่งมีเรื่องอบบนี้ ใครจะบริจาคครับ ถ้ามันไม่โปร่งใส ผมคนนึงก้ไม่เอา จากคุณ : เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามัน เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:01:43

ความคิดเห็นที่ 71 น้ำเริ่มเดือดหล่ะ ชี้ไปที่ คห. 60 +Like จากคุณ : m_natee เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:02:57

ความคิดเห็นที่ 72 เคยทำงานให้สภากาชาดค่ะ มีโอกาสได้ให้ข้อมูลผู้ประสงค์บริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกแย่กับคณะแพทย์ศิริราชมากค่ะ ทีหลังในเอกสารควรจะระบุนะคะ ว่าประสงค์จะจ่ายเงินเพื่อบริจาคร่างกาย ไม่ใช่การบริจาคเงินด้วย เพราะไปเข้ากระเป๋าใครก็ไม่รู้ ต่อให้ญาติยินดีจ่ายเงิน ก็คิดว่าแย่นะคะ ร่างกายของคนที่เสียชีวิตบางคน ก็มีค่ามากต่อคนที่ยังอยู่ แต่เค้าก็สละให้คุณ คณะแพทย์ และนักศึกษาแพทย์ หากทางคณะคุณแจ้งว่ามีปัญหาค่าใช้จ่าย ก็ควรบริหารงบทางอื่น ไม่ใช่ว่า ญาติศพไหนรวยๆ ไม่โวยวาย ก็เก็บเงินเค้าละกัน หรือหากคุณบอกว่าศพบริจาคเยอะไป ไม่ต้องการ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อการเก็บรักษาเยอะ ก็แจ้งประกาศประชาชนสิคะ เราจะได้เอาคิดพิจารณณาว่าควรเอาไปบริจาคที่ไหนดีกว่า หรือเปล่า เคยรู้มาว่าทางผู้รับบริจาคเนี่ยดูแลศพและญาติอย่างดี เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้วหรือคะ   คงจะต้องเอาไปบอกญาตพี่น้องแล้วล่ะค่ะ ว่าบริจาคร่างกายแล้วที่ศิริราชแล้วต้องจ่ายตังค์เป็นหมื่น แบบไม่มีใบเสร็จ ไม่รู้ด้วยว่าเข้ากระเป๋าใคร... จะบอกให้ใครๆเค้ารู้ไว้  คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล... จากคุณ : รับไม่ได้ รอคำชี้แจง (นางฟ้าแห่งความโชคดี) เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:11:00

ความคิดเห็นที่ 73 แปลกจริงๆ   คล้ายๆกับให้ข้าวขอทานกินแล้วมันก็ดันขอเงินใส่ขันอีกรอบ จากคุณ : คิดชื่อนานมากๆ เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:12:42

ความคิดเห็นที่ 74 พนักงานของพวกหน่วยเก็บรักษาศพ เค้ามีรายได้เสริมจากช่องทางนี้"เยอะ"ค่ะ ค่าขนส่งศพ ค่าโลง ฯลฯ แพงมาก เราอยู่เชียงใหม่ มีคนเคยบอกเราว่า คนเมือง(คนภาคเหนือ) เค้าถือเรื่องการต่อราคาของการจัดการเกี่ยวกับศพ พวกพนักงานหน่วยเก็บรักษาศพก็เลยได้เงินเยอะ สบายไปเลย.... อยากให้ทางศิริราช จัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดค่ะ จะได้เป็นตัวอย่างให้โรงเรียนแพทย์อื่นด้วย จากคุณ : Winki เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:14:24

ความคิดเห็นที่ 75 มีวิธีเรียกคืนกิ๊ฟจาก คห.18 มั้ยคะ จากคุณ : เมียตอเรส เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:15:48

ความคิดเห็นที่ 76 ได้ยินอย่างงี้แล้วปวดใจครับ จากคุณ : drkija เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:16:54

ความคิดเห็นที่ 77 ผมว่า ไงๆก็ใจเย็นๆ รอฟังคำชี้แจงจากอาจารย์อีกทีนึงละกัน เพราะเรายังไม่รู้คำให้การของนายเอกเลย จากคุณ : zeroxs เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:18:05

ความคิดเห็นที่ 78 อยากให้หลายความเห็นใจเย็น ๆ ก่อน เรื่องนี้เห็นชัด ๆ อยู่แล้วว่ามันไม่ถูกต้องและคำชี้แจงจากผู้ที่คาดว่าเป็นบุคลากรก็สร้างความสับสนและความไม่สบายใจแก่ผู้ที่ได้อ่านก็จริง แต่เรื่องก็ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด น่าจะรอการแสดงความรับผิดชอบและนโยบายหลังจากนี้จากทางโรงพยาบาลก่อน แล้วจากนั้นค่อยตัดสินอะไรก็ยังไม่สาย โดยเฉพาะการตัดสินใจบริจาคร่างกาย แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 18:16:13 จากคุณ : Don Cioccolato เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:22:00

ความคิดเห็นที่ 79 ก่อนหน้าพ่อผมเสียหลายปีอยู่พ่อผมบอกว่าจะไปบริจาคร่างกายให้กับศิริราช เพราะไม่อยากเป็นภาระให้กับผมเรื่องจัดงานหรืออะไรต่างๆ พออ่านกระทู้นี้และได้เห็นบางข้อความที่เข้ามาตอบ(หรือแถไม่แน่ใจ) ผมอยากขอบคุณพ่อผมจริงๆที่ไม่ได้ไปบริจาคร่างกาย เพราะถ้าท่านรู้ท่านคงเสียใจ และถ้าท่านบริจาคไปแล้วผมได้อ่านกระทู้นี้คงเซ็งจนไม่รู้จะอธิบายยังไง จากคุณ : บ้านผมมองออกไปเห็นภูเขา เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:34:11

ความคิดเห็นที่ 80 เรื่องแบบนี้ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งได้เลยครับ จากคุณ : deo เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:39:28

ความคิดเห็นที่ 81 ผมมองที่อาจารย์ในความเห็น 18 ขี้แจงต่างจากทั่วไปนะครับ ผมมองว่าข้อ 1 2 3 อาจารย์อธิบายว่าปัจจุบันศิริราชทราบปัญหาดี ข้อ 4 อาจารย์แสดงให้เห็นว่าถ้าหากเกิดปัญหานี้จริงสามารถแจ้งได้ทันที และจะมีการตามเอาเรื่องผู้รับผิดชอบทันที ข้อ 6 ข้อ 7 อาจารย์แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันในปัญหาที่ศิริราชทราบดีอยู่แล้ว กำลังพยายามผลักดันมันให้เป็นระบบมากขึ้น ผมไม่แน่ใจเหมือนว่าคุณอ่านข้อ 6 ข้อ 7 หรือเปล่าที่ว่าศิริราชพยายามจะทำระบบเพื่อแก้ปัญหานี้อยู่ หรือมองแต่ข้อ 1 2 3 ว่าศิริราชทราบดี แล้วด่วนสรุปเอาเองเลยว่า "ศิริราชก็ทราบดีอยู่แล้ว แต่ไม่คิดจะแก้ไขอะไร รับได้ เป็นเรื่องปกติ" อย่างที่คุณเขียว #25 กับ #60 แจ้งมา กรณีนี้ผมขอมองต่าง มันเหมือนกับคุณเป็นเจ้าขององค์กรใหญ่ คุณก็ต้องทราบดีอยู่แล้วว่าพนักงานหน้าร้านระดับปฏิบัติงานบางคนอาจมีกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสม อาจจะถึงขั้นโกงเงินลูกค้า และก็ต้องมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาอย่างน้อยปีละครั้ง (ตามข้อ 3 ใน #18) แต่นั่นไม่ได้แปลว่าองค์กรของคุณนิ่งเฉย ถ้าองค์กรนั้นมีมาตรการที่เข้มงวดที่จะไล่พนักงานออกทันที แล้วชดเชยให้แก่ลูกค้าตามเหมาะสม มันก็ถือว่ารับได้นี่ครับ การที่หลายคนด่วนสรุปว่าศิริราชนิ่งเฉยยอมรับสิ่งนี้เพียงเพราะแค่ "ศิริราชทราบปัญหา แล้วยังแก้ไขไม่ได้" มันเป็นการด่วนสรุปที่รุนแรงเกินไปหรือเปล่าครับ ใจเย็นๆ ก่อนครับ บางเรื่องขององค์กรใหญ่การจะทำให้พนักงานระดับปฏิบัติงานทุกคน "เป็นคนดี" มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เราน่าจะดูก่อนไม่ใช่เหรอว่าทางองค์กรเค้ามีมาตรการแก้ไขและจัดการชดเชยความรู้สึกเสียหายอย่างไรบ้าง แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 17:41:14 จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:39:40

ความคิดเห็นที่ 82 ผมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของตัวบุคคล ไม่ควรเหมารวม แต่หากทางศิริราชบริหารจัดการบุคลากรในสังกัดของตนเองไม่ได้ ก็สมควรแล้วครับ ที่ทางศิริราชจะถูกต่อว่าแบบนี้ จากคุณ : JeZeus เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:40:53

ความคิดเห็นที่ 83 อ่านคคห.18 ตอนแรกก็ดูดีอยู่ แต่พอได้คิดตามแล้วถึงได้รู้สึกว่าพูดเอาแต่ได้ เหมือนจะแขวะแบบ อ้อม ๆ แอ้ม ๆ ว่า "คนที่จ่ายก็ไม่ได้ร้องเรียนอะไรนี่ คนที่ไม่จ่ายซะอีกที่มาร้องเรียน" พูดตรง ๆ ว่ามันไม่เกี่ยวครับว่าใครจะเป็นคนร้องเรียน มันสำคัญที่ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นไหม มีคนไปเอาเปรียบคนที่กำลังมีความทุกข์เพราะสูญเสียคนที่รักไป เราไปซ้ำเติมเค้ารึเปล่า ถ้าเรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจก็น่าเสียดายครับ ผมว่าคนทำอาชีพที่เกี่ยวกับแพทย์-พยาบาลก็น่าจะมีจิตใจที่หวังดีอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่แค่ทำเพราะคิดว่ามันเป็นอาชีพที่หารายได้สะดวกดีมีค่าโน่นค่านี่ให้ต่างหากนะครับ จากคุณ : รบชนะ เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:43:40

ความคิดเห็นที่ 84 #82 ใช่ครับ สมควรถูกต่อว่า ในเรื่องการบริหารจัดการบุคลากร ไม่ต่างอะไรกับองค์กรที่มีหน้าร้านห่วย ก็จะต้องถูกต่อว่าในเรื่องจัดการบริหารบุคคลไม่ดี แต่ถ้าใส่ร้ายว่าศิริราชรู้เห็นเป็นใจปล่อยปะละเลยปัญหาไม่คิดจะแก้ เป็นเรื่องปกติ อย่างที่ #25, #60 ยังงี้ ผมว่ามันแรงเกินไป และด่าไม่ถูกประเด็นครับ จากคุณ : Mariel เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:45:50

ความคิดเห็นที่ 85 ลบดีกว่าครับ ช่วยอธิบาย แต่ก้ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 18:02:54 จากคุณ : คุโรดะรุ่นที่4 เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:46:55

ความคิดเห็นที่ 86 ไม่มีใครสนหรอก ไอ้คนที่เรียกเก็บมันเป็นใคร เขาสนที่คนที่เรียกเก็บมาจากโรงพยาบาลใหญ่ ซึ่งคุณต้องตรวจสอบกันเอง และทางเราก็จะด่าต่อไป เสียใจกับเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะ สูญเสียญาติพี่น้อง แล้วต้องโดนพวก[^_^] เหลือบไรสังคมขูดรีดอีก ไอ้พวกนี้ตายไปคงไม่ได้ไปเกิดในภพชาติที่ดีแน่ๆ ขอแช่งไว้ ณ ตรงนี้ แล้วทางท่าน คห.18 รู้ทั้งรู้ว่ามีคนร้องเรียนตลอด ทำไมไม่ลงโทษสถานหนัก หรืปรังปรุงหน่วยงาน หรือเป็นผู้น้อย ทางระเบียบไม่สามารถทำได้ ถ้าเช่นนั้น ก็ขอด่าผู้ใหญ่ที่สามารถทำได้แล้วกันว่า [^_^] ไม่ต่างจากลูกน้องมัน [^_^]  = จัน ไร แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 17:53:48 จากคุณ : ธารวรี เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:52:56

ความคิดเห็นที่ 87 เขาด่าสังคมไทยอยู่ว่า "อีโม ควอเที่ยน" ต่ำ เพราะภาวะเก็บด้านอารมณ์แล้วคิดก่อนพูดก่อนใช้อารมณ์มันต่ำเหลือกำลัง ก็ยังเป็นกันผ่านจากกระบอกเสียงที่เรียกเน็ตได้อีก ใจเย็นๆ ก่อนไหม แล้วเรียกสติก่อนจะตื่นตูมโวยวายกันว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร เช่นไร หยุดแล้วเงียบๆ จะพูดจะจาอะไรก็ใช้สติใช้สมองกลั่นก่อน ไม่ใช่พอมีเรื่องยังไม่ลำดับยังไม่ได้รับการติดตามก็เอาแล้ว โหวกเหวกเป็นเจ๊กตื่นไฟ เรื่องมันเกิด เจ้าของเรื่องก็ต้องติดตาม อาจารย์จะบอกว่าเป็นเรื่องพูดคุยกันเองไม่ได้ ถ้าได้กันแค่นี้ อาจารย์ก็ต้องลาออกไป เพราะปัญหามีไม่ใช้มีแค่รับฟังแล้วก็พูดปัดไป เพราะสมัยนี้ หางมันไม่ส่ายถ้าหัวมันไม่เล่น เหมือนกรณีดอยของที่กำลังตามเรื่องหลังจากลากเรื่องกันจนมันแหกปากกันระหว่างที่กัดกันว่า "อาจารย์มันก็ดอยเหมือนกันแหละว่ะ" ตรงนี้แหละที่อีคิวกดรอฟังรอพูด พอเห็นว่าจะฟ้องก็ยังให้เครดิตแต่พอที่สุดไม่ฟ้อง ก็เยเป็นคำถามในใจไป กรณีก็เช่นกัน.. อยู่ดีๆ เป็นอาจารย์รับผิดชอบจะต้องรอ ปัญหาเกิดคำถามมี ชื่อและที่ติดต่อก็มี จะมาเฟ็คกิ้ง ดรามาไทซ์ให้ดูดีทำไม สมัยนี้สถาบันก็เหมือนวัด วัดให้อย่างไรก็ไม่มีเสีย สถาบันให้อย่างไรก็ไม่มีเสีย มันเสียที่ตัวพระสันดานกา ในกรณีนี้เราก็ต้องเทียบเหมือนบุคลากรสันดานกา ถ้าอาจารย์ที่เกี่ยวข้องได้แค่พูดว่า "เป็นเรื่องคุยกันเองตกลงกันเอง" อย่างนี้ก็สันดานกาไม่แพ้กัน สอบสวน สืบสวนหรือยัง ไม่มีใบเสร็จแต่รถเป็นหน่วยงาน เป็นงบประมาณไหม สถาบันรัฐด้วย เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของความเลวทรามในสังคมที่มันชอนลงมาระดับ "รากหญ้า" ใช้คำนี้ก็ไม่รู้ถูกหรือเปล่าน่ะ ทีเวลาเรียกร้องอะไรก็มาสร้างวาทะ แต่เวลาเลวทรามต่ำช้าไม่ค่อยจะยืดรับกลัวหน้าเสียกลัวหน้าแหก... ก็รีบจัดการ แต่ตอนนี้ส่วนตัว ถ้ามีการเรียกเก็บเงิน และมีการขนศพ คุณต้องแจ้งความ เพื่อให้เจ้าพนักงานเขาเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง จะมาเป็นวาทะกรรมถามตอบ ไม่ว่าจะเพื่อข้อมูล เพื่อความมั่นใจ เพื่อความเห็นใจ อะไรก็แล้วแต่ เป็น dramatize ไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องเลวทรามต่ำช้า ถ้าไม่เลวทรามต่ำช้า ก็ต้องออกมาบอกว่า "เก็บเงินได้อย่างไร เก็บแล้วไม่มีใบเสร็จได้อย่างไร แล้วเรื่องแบบนี้ ต้นทางที่เป็นสถาบัน ว่าอย่างไร" อาจารย์ทีโผล่มาเป็นตัวละครนี่ก็ด้วย ส่วนเรื่องอื่นเช่นไอ้พวกนักศึกษามาพูดมาพล่ามพล่อยๆ มาพูดจาไม่มีหลักคิด พวกคุณก็ไม่ใช่ไปหวั่นไหวแล้วไปบอกว่า "กรูไม่บริจาคแล้ว" เพราะข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามันพูดเองแหกปากเองและใส่ตามความรู้สิ้นคิดของมัน พอกันกับไอ้ตัวที่บอกว่า ให้ไปเก็บจากนักศึกษาผ่าหมอ เพราะสองประเภทนี้เราเรียกว่า "คนโง่ๆ ที่ปราชญ์เขาบอกไว้ว่า ถ้าเราไม่หยุดพวกโง่ๆ เหล่านี้ไม่ให้พูด ไม่ให้แหกปากได้ เราก็จะหยุดความขัดแย้งไม่ได้" คุณใจเย็นๆ รอรายละเอียดแล้วจี้ไปที่ ล๊อคอิน หรือความเห็นของคนที่อ้างว่าเป็นอาจารย์ที่รับผิดชอบก็พอ หัดเล่นหมากรุกกันหน่อยก็ดี เวลาจะเดินตาจะอ่านตาจะได้นิ่งๆ ไม่ใช่เห็นเขาแหย่มากรูก็จะตบกินเอาสนุกเสร็จแล้วก็กลายเป็นว่าเดินโง่ให้เขาแกล้งเอาเบี้ยยั่วแล้วโดนตบโง่กับถึงขั้นรุกฆาต อยากเจริญเป็นฝรั่ง กดอีคิวให้มากๆ อีโมต่ำลากไอคิวต่ำ แล้วมันจะยาวไป เอ็มคิวต่ำอีก แย่กันทั้งสังคมเลยน่ะ จากคุณ : อีคิวต่ำกันทั้งประเทศ เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:54:44 A:115.87.241.61 X: TicketID:323622

ความคิดเห็นที่ 88 กระทู้รวมคน "อวดหลวก" จากคุณ : จำง่าย ลืมยาก คิดมาก คิดไปเอง เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 17:55:02

ความคิดเห็นที่ 89 ผมว่าถ้าอยู่ดีๆจะเอาศพพ่อแม่เค้าไปเนี่ย ลูกหลานไม่มีใครเค้าอยากให้หรอก แต่ที่เค้าให้กันเพราะว่าเห็นว่าเป็นการบริจาค แล้วก็เป็นความประสงค์ของผู้ตาย ญาติเค้าถึงยอมกัน ผมมีญาติเรียนหมอหลายคน วันที่ทำพิธีเผาศพอาจารย์ใหญ่เนี่ย ญาติผมไปช่วยเสิร์ฟน้ำด้วยซ้ำไป เหมือนเป็นลูกหลานเค้าคนนึง เพราะงั้นทางศิริราช คงต้องทำให้่เป็นมาตรฐานมากกว่านี้แล้วล่ะครับ ถ้าสมมุติว่าอาจารย์ใหญ่เกิน ก็น่าจะแจ้งให้ทางญาติเค้าทราบก่อน ว่าทางโรงพยาบาลมีอาจารย์ใหญ่เพียงพอแล้ว ให้ทางญาติประกอบพิธีตามศาสนาได้เลย แล้วทางโรงพยาบาลก็อาจจะมีพวงหรีดขอบคุณ หรือมีอะไรแสดงน้ำใจเล็กน้อย หรือว่าจะมีการประสานกันในโรงเรียนแพทย์ เผื่อว่าจะมีที่ไหนขาดแคลน ผมว่ามันน่าจะดีกว่าปล่อยให้เกิดการหากินกันแบบนี้นะครับ ยังไงก็รอดูตอนจบละกัน ผมยังคาดหวังว่าศิริราชจะรีบปรับปรุงครับ จากคุณ : 99องศา เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 18:03:32

ความคิดเห็นที่ 90 เราว่า คงต้องแยกระหว่างคณะฯ กับ จนท นะคะ คณะฯ นโยบายดี แต่เลี้ยงคนไม่ดี คนไม่ดี เห็นแก่เงิน ดันมาอยู่ในที่ๆสามารถเรียกเงินจากความสงสารจากญาติผู้ป่วยได้ เราว่า ทางคณะฯควรถึงเวลาจะดำเนินการกับ จนท ให้ถึงที่สุดสักที นี้คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ คณะฯรับรู้เรื่องนี้นะคะ เพราะการที่ จนท จะออกไปรับศพ ใครไป รถหมายเลขอะไร ออกเมื่อไร ถึงเมื่อไร ทางคณะฯคงมีบันทึกอยู่แล้ว และเห็นด้วยค่ะ กับการที่ตั้งกฏระเบียบให้ชัดเจนกว่านี้ค่ะ  อาจแนบไปกับช่วงตอนที่สมัครและย่ำแก่ผู้บริจาคให้ทราบถึงกฏระเบียบชัดเจน หรือส่งจดหมายถึงผู้บริจาคทุกปีก็ได้ค่ะ จากคุณ : Miracles in my life เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 18:07:07

ความคิดเห็นที่ 91 รอผลสรุปก่อนดีกว่าไหมครับ เดี๋ยวจะเลยเถิดกันไปใหญ่ จากคุณ : Irongeek เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 18:08:52

ความคิดเห็นที่ 92 คคห.81 ถ้าไม่มีข้อ 2 และข้อ 3 ตามความใน คคห.18 จากข้อ 4,5 และ 6 ผมคงเชื่ออย่างคุณว่าครับ ว่าศิริราชรับรู้ปัญหา และพยายามจะแก้ไข จากคุณ : เขียว เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 18:11:12 A:59.164.109.191 X: TicketID:287847

ความคิดเห็นที่ 93 ไม่รู้จะพูดยังไงแต่ขอให้กำลังใจเจ้าของกระทู้แล้วกันคะ สู้ๆนะคะ เข้าใจความรู้สึกดีคะ จากคุณ : สู้ๆคะ (My dog named Jack) เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 18:12:14

ความคิดเห็นที่ 94 ศพคนนะครับไม่ใช่ศพหนูถีบจักร ถ้าคุณไม่อยากรับบริจาคหรือเป็นภาระค่าใช้จ่ายคุณจะรับบริจาคทำไม แล้วยิ่งถ้าพูดว่าทุกวันนี้มีศพเกินความต้องการ (ความต้องการหลักร้อยแต่ได้เกินถึงหลักพันหลักหมื่น) เอ่อ....พูดไม่ออก??? แน่นหน้าอกแทนศพเหล่านั้นที่เขาบริจาคตนเองเพื่อประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองให้นักศึกษาได้พัฒนาฝีมือตนเอง ไม่ต้องห่วงเลยอีกหน่อยคนคงบริจาคน้อยลงแน่นอน จุดจบเรื่องนี้คือออกมาตรการหรือกฏอะไรก็ได้สำหรับผู้บริจาคอย่าให้เขาและครอบครัวต้องมีภาระทั้งๆที่เขาเองก็บริจาคร่างกายของตนให้แก่คุณ เขาไม่ได้ขายกระดูกหมูให้คุณนะครับเขาให้คุณฟรีๆ ไม่คิดเงิน ยังจะไปหารายได้เล็กๆน้อยๆจากเขาอีก(ที่พูดนี่ไม่ได้ว่าใครแค่อยากให้ออกกฏหรือมาตรการควบคุมกันหน่อยอย่าให้พนักงานหรือบุคคลใดไปฉวยโอกาสหารายได้มันจะเป็นบาปต่อตัวผู้กระทำเอง) - -" จากคุณ : CEEZAKi เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 18:22:17

ความคิดเห็นที่ 95 คิดว่าจะบริจาคร่างกายเหมือนกัน แต่ตายแล้วดันสร้างค่าใชจ่ายให้พ่อแม่ อย่างนี้คงขอบาย สิ้นเวรเมือไหร่ ก็เผาๆ ไปตามประเพณีดีกว่า เฮ้อ อะไรนักหนา จากคุณ : jomyutstudio เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 18:26:30

ความคิดเห็นที่ 96 กระทู้นี้ ลึกซึ้งแฮะ (- -'') ทำให้รู้ และได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง ... จากคุณ : lonea เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 18:28:44

ความคิดเห็นที่ 97 เข้ามาอ่านเพราะบริจาคอวัยวะ ให้สภากาชาด แต่เห็นแบบนี้แล้วไม่สบายใจเหมือนกันครับ จากคุณ : เสี่ยวรำพึง เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 18:43:34

ความคิดเห็นที่ 98 ขออภัย ฮะ ที่บ้าน บริจาคร่างกายก่ะโรงบาล รามา(มั้ง)ถ้าจำไม่ผิด ศพจะไปอยู่ก่ะโีรงบาลไหนฮะ กลัวโดนเหมือนกัน ถ้าคาดว่าจะโดน ได้เปลี่ยนที่ เพราะ3ร่างนี่ก็จุก หลายที เหมือนกันครับ จากคุณ : กุ๊กกิ๊ก เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 18:52:48 A:110.168.168.56 X: TicketID:291527

ความคิดเห็นที่ 99 ญาติด้องดำเนินการ นำส่งร่างอาจารย์ใหญ่ ด้วยตนเอง - เพื้อเป็นการตัดปัญหาการร้องเรียนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เขาบริจาคร่างกายให้ ยังต้องนำส่งด้วยตัวเองอีกหรือ จากคุณ : สำราญ บานบุรี เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 19:22:48

ความคิดเห็นที่ 100 มาบริจาคให้ทางจุฬาฯ ก็ได้ครับ เผื่อรุ่นน้องผมจะได้เรียนกับอาจารย์ใหญ่1ท่าน/4คนบ้าง (ศิริราช1/4 จุฬา1/6) เพราะเห็นเค้าว่าทางจุฬาฯมีผู้บริจาคให้ไม่พอครับ ^^ จากคุณ : rebornz132 เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 19:32:27

ความคิดเห็นที่ 101 เอ่อ บริจาคอวัยวะ ดวงตา บริจาคเลือด กะว่า ถ้าโตไปกว่านี้ จะบริจาคร่างกายค่ะ อยากให้คนมีความรู้ เเต่เจอเเบบนี้ จอดดีกว่า กลัวนอนตายตาไม่หลับ TT จากคุณ : เเม่ฉันเคยตายก็เพราะที่นี่ (khwankomkom) เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 19:32:45

ความคิดเห็นที่ 102 บริจาคอวัยวะให้สภากาชาดแล้ว จะบริจาคร่างกายอีกได้ป่าวคะ หรือว่าไม่ได้ อันใหนจะให้ประโยชน์มากกว่ากัน สามีบริจาคร่างให้ คณะแพทย์ มช. เค้าก็จัดการมารับเอง หลังจากสวด 3 วัน จากคุณ : swallowian เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 19:42:19

ความคิดเห็นที่ 103 น้ำตาจะไหล(จริงๆ) อีกแล้วค่ะ http://www.pantip.com/cafe/social/topic/U11391340/U11391340.html#76 ค่ะ จากคุณ : deerja เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 19:47:55

ความคิดเห็นที่ 104 จขกท ทำหนังสือชี้แจงกับผูใหญ่ของ รพ แล้วใช่ไหมคะ ไม่อยากให้จบแค่ในกระทู้ ถ้าเป็นลายลักษณ์อักษร ปัญหาน่าจะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่า เอาใจช่วยค่ะ จากคุณ : nightkung (nightkung) เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 19:48:12

ความคิดเห็นที่ 105 ปัญหาเกิดจาก ผู้บริจาคร่างกายอยู่นอกเหนือหลักเกณฑ์แต่ไม่มีข้อปฏิบัติที่ชัดเจนจากเจ้าหน้าที่ของรพ.ในการแจ้งผู้บริจาคร่างกายและญาติให้ทราบถึงข้อตกลง พิเศษ กรณีนี้เจ้าหน้าที่ผิดแน่ ในข้อที่ว่า นำเอารถรพ.ไปรับศพ แต่เรียกค่าน้ำมันจากญาติ ต้องถามว่าแล้วเจ้าหน้าที่เอารถออกมา โดยมีการเบิกค่าน้ำมันจากรพ.อีกหรือเปล่า   กรณีที่เจ้าหน้าที่อ้างว่าไม่ได้เบิกค่าน้ำมัน แล้วเอารถของรพ.ออกมาใช้ได้ยังไง ใครเป็นคนเซ้นต์อนุมัติ จากคุณ : jk (016) เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 19:53:13

ความคิดเห็นที่ 106 ดูจากคำตอบอึกๆอักๆ เรื่องกินเงินศพแบบนี้ คงไม่ได้เข้าหลวงซินะ ทุเรศจริงๆ พวกเหลือบศิริราช  ถ้าอยากให้โปร่งใสก็ควรออกกฏระเบียบให้ชัดเจน ว่าค่าใช้จ่ายอะไรยังไง และนี่ไม่ใช่เคสแรกด้วย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอมอะไรอยู่หรือคะ หรือได้ค่าส่วนแบ่งด้วย เลยหลับหูหลับตา เดนคนจริงๆ จากคุณ : ฮิเมโกะ เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 20:03:32

ความคิดเห็นที่ 107 ถ้า บริจาค ดวงตา ให้โรงบาลนึง บริจาคหัวใจ ให้โรงบาลนึง บริจาคไต ให้โรงบาลนึง บลา บลา บลา บริจาคร่าง ให้โรงบาลนึง ตอนสิ้นชีวี นอกจากจะมาลุมทึ่งแล้วยังต้องจ่ายตังอีก!!ไม่เป็นแสนๆเลยหรอนั้น ปล.อย่าคิดว่าไม่มีคนแบบนี้จริงๆ อย่างน้อยๆก็เพื่อนฉันหนึ่งคนหละกาน จากคุณ : ถุงกระดาษเปื้อนน้ำตา เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 20:09:54

ความคิดเห็นที่ 108 ขอแสดงความเสียใจกับเจ้าของกระทู้เรื่องคุณย่าด้วยนะครับ จากคุณ : เป็ดสวรรค์ เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 20:15:37

ความคิดเห็นที่ 109 ซ้ำ แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 54 01:02:15 แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 20:17:41 จากคุณ : ถุงกระดาษเปื้อนน้ำตา เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 20:16:34

ความคิดเห็นที่ 110 มีใครเข้าใจบ้างว่าคห. 87 ตั้งใจจะสื่ออะไร มีรากยงรากหญ้าอะไรด้วย =____=;; จากคุณ : GeekChick เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 20:21:57

ความคิดเห็นที่ 111 ผมว่ากระทู้นี้ ได้ประโยชน์มากๆเลย ได้เข้าใจระบบบางอย่าง ที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนตัวผมเคยคิดจะบริจาคร่างกายให้กับคณะแพทย์ฯ ม.ขอนแก่น เนื่องจากอาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคอิสาน ที่เปลี่ยนใจเพราะก็หลังจากได้คุยกับเจ้าหน้าที่ทางโทรศัพท์เกี่ยวกับเงื่อนไขหลักเกณฑ์ต่างๆในการบริจาค  เหตุผลของผมคือ ผมได้บริจาคดวงตา และอวัยวะให้กับสภากาชาดไทยแล้ว  เจ้าหน้าที่บอกว่าร่างที่บริจาคดวงตาหรืออวัยวะไปแล้ว จะบริจาคได้แค่กระดูก   พอผมถามถึงความต้องการร่างผู้บริจาคในปัจจุบัน  ม.ขอนแก่นก็ประสบปัญหาเดียวกับ ศิริราช คือรายชื่อผู้บริจาคมากเกินกว่าที่ทางคณะฯต้องการ  อีกทั้งพิธีทางศาสนาของผม(คริสต์ คาทอลิก) จะต้องมีการฝังร่าง ก็เลยคิดว่าถ้าบริจาคร่างหรือ โครงกระดูก อาจจะทำให้ญาติ หรือลูกหลานต้องยุ่งยากในการทำพิธี ก็เลยเปลี่ยนใจไม่บริจาค แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังขอที่อยู่ของผมเพื่อจัดส่งเอกสารแสดงความจำนงของบริจาคร่างกาย เพื่อให้บุคคลอื่นๆที่ผมรู้จักอาจจะสนใจในการบริจาค  เพราะเจ้าหน้าที่ บอกว่าถึงรายชื่อจะมากเกินความต้องการ แต่ก็ยังต้องขอรับบริจาค เพื่อให้มีร่างผู้บริจาคเพียงพออย่างต่อเนื่องในการศึกษาต่อไปในอนาคต จากคุณ : ด.ช.ลินุกซ์ เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 20:27:00

ความคิดเห็นที่ 112 ผมว่ามันเป็นความพยายามของคนที่พยายามหาช่องโหว่ของกฏเกณฑ์แล้วหากินแต่เรื่องนี้ไม่ใช้ครั้งแรก ถ้าไม่เป็นประเด็นในโลกออนไลท์คงไม่มีความคืบหน้า ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะครับเพราะถ้าไม่แล้วคนที่รับแรงกระแทกของสังคมจะไม่เป็นบุคคลที่กระทำแต่จะเป็น องค์กรที่ไม่สามารถควบคุมบุคลากรได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์นะครับ จากคุณ : freeingtone เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 20:37:12

ความคิดเห็นที่ 113 ขอแสดงความเสียใจกับเจ้าของกระทู้ก่อนนะคะ ไม่ได้อ่าน คห ไหนเลยนะคะอ่านแต่หัวกระทู้ แต่จากประสบการณ์ตรงนะคะ เราทำเรื่องบริจาคร่างกายแม่กับ รพ ศิริราชไว้ วันที่แม่เสีย พี่สาวเราก็โทรไปบอกตามเบอร์ที่เค้าให้มา ตอนเช้าทาง รพก็มารับร่างแม่แต่บอกว่าแม่ตัวเล็กเกินไปไม่สามารถไปเป็นอาจารย์ใหญ่ได้ แล้วทาง รพ ก็จัดการพาแม่ไปฉีดยาที่มหิดลศาลายา แล้วพาแม่ไปส่งที่วัดในจังหวัดสุพรรณ (แม่เสียที่พระนั่งเกล้า นนทบุรีค่ะ) ทั้งหมดไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เลยสักบาทเดียวนะคะ แต่แม่เราเสียเมื่อต้นปี 51 นะคะ ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงระเบียบไปอย่างไรเราไม่ทราบอะค่ะ (เพิ่มเติมหลังอ่าน คห อื่นๆ ไปได้ได้นิดนุง โลงศพของแม่ทาง รพ จัดการให้ด้วยอะค่ะ ไม่มีค่าใช้จ่าย) แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 20:49:36 จากคุณ : fat_louie เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 20:39:42

ความคิดเห็นที่ 114 ตามกระทู้ไปแล้ว ได้ทราบอะไรหลายเรื่องเลยครับ ขอบคุณที่มาแชร์ให้ทราบครับ จากคุณ : Irongeek เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 20:42:14

ความคิดเห็นที่ 115 กราบเรียนอาจารย์หมอและท่านกรรมการจริยธรรมขององค์กรครับ ขอความกรุณาทุกท่านช่วยกลับไปอ่านเจตนารมย์ขอพระบิดาผู้ก่อตั้งให้กระจ่างด้วยครับและขอความกรุณาได้ชำระเรื่องนี้พร้อมวางระบบป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นเรื่องระคายเคืองเบื้องยุคลบาทต่อไปนะครับไหนๆก็จะถึงช่วงเวลามหามงคลของมหาบุคคลอันเป็นที่รักและเทิดทูลของเราชาวไทยทุกคนครับ ขอเถอะครับท่านอาจารย์ทุกท่าน อย่าได้ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเฉยๆทั้งที่ศิริราชขณะนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานศึกษาหรือสถานพยาบาลนะครับ อย่าลืมว่าศิริราชขณะนี้เป็นที่ประทับนะครับ ใครท่านใดจะพูด,จะบ่นหรือจะประชดเพื่อให้เกิดสาแก่อารมย์หรือสะใจใดๆ ก็ควรสำรวมบ้างนะครับ อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างความระคายเคืองใดๆนะครับ ขอเถอะครับ จบให้สวย จบให้เร็ว จบให้ถูกต้องกับเจตนารมย์เถอะครับ กราบทุกท่านครับ จากคุณ : lovelyglass เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 21:40:58

ความคิดเห็นที่ 116 คห. 87 เลิกเล่นหมากรุกแล้วไปกินนมนอนได้แล้ว ^ ^ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปโรงเรียนสายนะ จากคุณ : Waiyakon เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 22:44:01

ความคิดเห็นที่ 117 รู้ว่ามีเดนคนอยู่ในองค์กร รู้ว่ามีการกระทำอันเป็นเหลือบไรอยู่ในองค์กร คงเคยชินกับพวกค่าคอมมิชชันยา ของพวกบริษัทยา ที่จ่ายให้แพงๆ มากกว่าหรือเปล่า เลยไม่ทำให้มันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรือเพราะเป็นพวกเดียวกันกับ พวกมัน จากคุณ : กุ้ยเหลียง เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 23:04:33

ความคิดเห็นที่ 118 ขอถาม อ. บุญส่ง เจริญวัฒน์ ครับ ในฐานะที่ผมเป็นคนหนึ่งที่ยื่นความจำนงบริจาคศพไว้กับศิริราช  ผมไปลงชื่อบริจาคศพไว้ตั้งแต่ผมอายุ 15 โน่น แม่ผมก็แจ้งเจตจำนงบริจาคไว้ ผมอ่านคำชี้แจงอาจารย์ และวิธีการบริหารจัดการแล้วเสียความรู้สึกมาก และมีข้อข้องใจต้องสอบถาม และอยากบ่นปนด่าหน่อยดังนี้ 1.  ทำไมถึงต้องมีค่าโลงศพ  ในเมื่อการขนศพ ขนใส่รถทางศิริราช เมื่อไปถึงก็มีกระบวนการเก็บศพอีก  เมื่อ จนท ของ อ. เรียกค่าโลงศพด้วย อ. ไม่ฉุกใจหรือ ผมสงสัยว่าโลงศพใช้ในขั้นตอนไหน พอเอาศพไปไว้ในบ่อแช่แล้ว ทำยังไงกับโลงศพอีก งง จนท เอาไปขายคืนร้านหรืออย่างไร ถ้าจะบอกว่าญาติสามารถนำศพมาทำพิธีได้ ก็น่าจะเป็นทางญาติดำเนินการส่วนนี้เอง หรืออย่างไร ถ้าต้องมีโลงเย็น โลงแช่ หรืออะไรก็ตาม เพื่อใช้ใส่ศพให้ทางญาตินำไปบำเพ็ญกุศลชั่วคราว   ในกรณีนี้ ศิริราชไม่มีเตรียมไว้หรือ  ถ้าไม่มีขอให้ชี้แจงผ่านกระทู้นี้ด้วย ผมจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงรับบริจาค หรือจัดหาจัดซื้อเตรียมไว้ให้ครับ อยากได้กี่ใบขอให้บอก 2. ระเบียบการของศิริราชหละหลวมมาก ปล่อยให้ จนท สามารถเจรจาค่าใช้จ่ายเองกับญาติผู้บริจาคได้ ไม่มีเกณฑ์มาตรฐานใดๆ ขึ้นกับการตกลงเอาเอง  ส่อให้เห็นระดับความรับผิดชอบของผู้บริหารครับ ไม่ใส่ใจ ปล่อยปละละเลย ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ใช้ช่องทางเรียกรับผลประโยชน์จากคนที่มีเจตนาดี ญาติผู้บริจาค จะไปรู้กฏระเบียบดีเท่า จนท ของ อาจารย์ได้ไง  จนท ว่ายังไง ก็ต้องว่าตาม เพราะอยากรักษาเจตจำนงผู้บริจาคไว้ 3. ถ้าทางศิริราชเองก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ค่าดอง ค่าเก็บศพ ฯลฯ ไม่เป็นปัญหาเลย ผมยินดีจ่ายครับ  ตายไปแล้ว ให้ศพไปศึกษา แถมเงินค่าจัดการทุกอย่างด้วยก็ได้ ผมเต็มใจ  จะกี่หมื่นหรือเป็นแสนบาท ไม่มีปัญหา บอกมาได้ หรือบริจาคเผื่อศพอื่นๆ ด้วยก็ยังได้   แต่ขอให้ทุกอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ปล่อยให้ใครมาหาประโยชน์กับเจตจำนงผม ทางศิริราชก็ต้องเลี้ยงเจ้าหน้าที่ให้ดี  ให้เป็นคน  ไม่ใช่เป็นแร้งหรือหมาแบบนี้ สุดท้าย ผมอยากให้ทางศิริราชออกมาชี้แจงให้หมดข้อข้องใจ ไม่ใช่ทำเงียบ หรือสืบสวนกันเป็นการภายใน แล้วก็ปกปิดซุกปัญหาไว้ใต้พรมแบบที่ผ่านๆ มาด้วย นี่เป็นกระทู้ที่อ่านแล้วอารมณ์เสีย ของขึ้นมากที่สุดในรอบเดือนนี้เลย จากคุณ : ประกอบ เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 23:04:50

ความคิดเห็นที่ 119 ทำไมเราอ่านแล้วก็เข้าใจที่อาจารย์สื่อนะ ยอดคนบริจาคน่ะมีเยอะ แต่คนที่จะเอามาใช้ได้น่ะมีน้อย บางคนไม่เข้าหลักเกณฑ์ ณ วันที่เสียชีวิตก็ต้องทำใจค่ะ ว่าไม่สามารถบริจาคได้  ทีนี้กรณีดังกล่าว ถ้าอยากเคลื่อนย้ายศพหรืออยากให้เจ้าหน้าที่ที่ไป(นอกเหนือหน้าที่ทางราชการ) จัดการเกี่ยวกับศพให้ (เพราะไม่ได้มาเป็นอาจารย์ใหญ่) จะต้องมีค่าใช้จ่ายซึ่งในที่นี้ไม่เกี่ยวกับทางรพ.แล้ว เป็นการตกลงกันของญาติและเจ้าหน้าที่(เหมือนเป็นธุรกิจส่วนตัว) แต่บังเอิญว่าบางครั้งญาติที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่จัดการศพและตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ใช่ญาติใกล้ชิดมากที่จะเป็นคนจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น พอมาเก็บกับญาติจริงๆ ก็เลยเกิดความไม่ชอบมาพากลอะไรกันขึ้นและร้องเรียน ส่วนเรื่องเงินเข้ากระเป๋าใครอันนี้ไม่ทราบค่ะ แต่เชื่อว่าไม่ใช่เข้ากระเป๋าอาจารย์ที่รพ.ศิริราชแน่ๆ คนที่คิดจะบริจาคก็ควรดุให้ละเอียดอ่านให้ครบแล้วคิดเอาเองว่าตอนเสียชีวิตคุณจะเข้าเกณฑ์หรือเปล่า หรือลองเสี่ยงดู  แสดงความจำนงค์ ไม่ได้หมายความว่าเค้าเอาทุกคน แล้วถ้าบางปีคนบริจาคแล้วผ่านเกณฑ์เกินจำนวนที่ต้องการก็ไม่รับ ในกฏมันก็มีบอกไว้หลายอย่างอ่ะ จากคุณ : Sterling เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 23:18:48

ความคิดเห็นที่ 120 อ่านแล้วสรุปความคิดในสมองตัวเองได้ว่า - การบริจาคร่างกาย จริงๆ แล้วไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ก็มีเกณฑ์การรับ - ถ้านอกเกณฑ์ไปแล้ว ทางโรงพยาบาลหรือสถานศึกษา "ต้อง" ปฏิเสธ เท่านั้น จ๊อบรับศพนอกเกณฑ์<< บาป หรือ บุญ ? จากคุณ : พาระวี เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 54 23:31:10

ความคิดเห็นที่ 121 อ่านเกือบหมดและได้ไปดูความคืบหน้าล่าสุดจากกระทู้อีกห้อง แล้วอยากแสดงความคิดเห็นส่วนตัีวบ้าง เป็นมุมมองอีกด้านหนึ่ง ที่อาจจะต่างไป เราคิดว่ากรณีนี้เป็นกรณีความผิดส่วนบุคคลครึ่งหนึ่ง และความผิดขององค์กรครึ่งหนึ่ง ทางองค์กรเองมีมาตรการจัดการกับเรื่องนี้อยู่แล้วแต่เป็นเพียงมาตรการแบบ "หลวมๆ" หรือพูดง่ายๆว่าไม่้เคร่งครัด และจึงทำให้มีช่องโหว่ให้บุคคลในองค์กรหาประโยชน์เข้าตัวได้ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับองค์กรใหญ่ทุกที่ จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าระบบการตรวจสอบภายในขององค์กรนั้นๆเข้มแข็งแค่ไหน และมีวัฒนธรรมขององค์กรในแง่ของความเคร่งครัดต่อระเบียบมากแค่ไหนด้วย ทางความเห็นที่ 18 ก็ได้พยายามชี้แจงแล้วว่าจริงๆก็มีวิธีการจัดการต่อเรื่องแบบนี้เหมือนกัน แต่ก็น่าจะเป็นบทเรียนกับทางคณะว่าต้องจริงจังกับเรื่องนี้ให้มาก จะรับคนมาทำงานส่วนนี้ต้องคัดกรองอย่างพิถีพิถันในเรื่องความซื่อสัตย์ คือเรามองออกมาจากมุมของทางองค์กรนะ เราเข้าใจเลยการทำงานกับองค์กรที่มีคนทำงานหลากหลาย มันคุมยากมากๆ เรื่องนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เกิดแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เราเอามาเป็นประโยชน์ได้ คือเอามาใช้ปรับปรุงระบบของคณะฯให้เข้มแข็งมากขึ้น ขอเอาใจช่วย จขกท และญาติๆ คิดเสียว่าเป็นการฟาดเคราะห์ไป และขออนุโมทนาบุญที่คุณย่าได้ทำในการบริจาคศพของท่านด้วย นอกจากนี้ยังขอขอบคุณที่จขกทนำเรื่องราวเช่นนี้มาแบ่งปัน แล้วทำให้เกิดข้อถกเถียง อย่างน้อยก็ในสังคมออนไลน์ ทำให้เกิดประโยชน์กับทั้งคนทั่วไปและคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล จากคุณ : For You I Will เขียนเมื่อ : วันเอดส์โลก 54 00:03:29

ความคิดเห็นที่ 122 ใจเย็นๆค่ะ เจ้าของกระทู้ คุณต้องเครียดเรื่องนี้อีกหลายวันแน่ๆ บอกให้ทำใจไว้ก่อนค่ะ เข้มแข็งไว้ คุณหัวอ่อน อ่านเจอความเห็นคนอื่น แล้วอาจจะมีคิดมาก หากโดนต้านมา เราอยากให้คุณนึกถึงความถูกต้องค่ะ คุณอาจจะมีเรื่องไม่สบายใจ เสียใจจากการที่มาร้องเรียนเพราะเรื่องยาวและใหญ่ขึ้น แต่จงภูมิใจคุณได้แก้ไขเพื่อความถูกต้องในสังคมไทยค่ะ ที่สำคัญนี่คือเรื่องบุญ หากปล่อยให้ปัญหาค้างคา จนมนุษย์เบื่อหน่ายทนไม่ไหว ที่จะมีจิตใจเสียสละบริจาคสิ่งสำคัญ(คือร่างกายเรา)คงไม่ดีเนอะ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ค่ะ จากคุณ : นางฟ้าแห่งความโชคดี เขียนเมื่อ : วันเอดส์โลก 54 00:04:51

ความคิดเห็นที่ 123 ซวยแล้วหมอ   คดีพลิก !#$#!###@!@ http://www.pantip.com/cafe/social/topic/U11391340/U11391340.html#84 จากคุณ : ole (trufa) เขียนเมื่อ : วันเอดส์โลก 54 00:52:30