ความคิดเห็นที่ 1 เตือนไว้ คุกทั้งนั้น เป็นพระดีๆไม่ชอบ จะรักษาโรค ต้องมีใบประกอบโรคศิลป์ พระไม่ใช่หมอ เป็นพระเพื่ออะไร จะรักษาคน แนะนำให้ไปสอบให้ได้ใบรักษาโรคศิลป์ หรือไปสอบแพทย์แผนไทยให้ได้ก่อน จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร เขียนเมื่อ : วันเอดส์โลก 54 20:14:44

ความคิดเห็นที่ 2 ง่ายเนอะ ไม่ต้องเรียนแพทย์ ไม่ต้องสอบแพทย์ อยากตั้งตนเป็นแพทย์ก็ไปบวชเป็นพระ แล้วรักษาคนได้เลย จากคุณ : JeZeus เขียนเมื่อ : วันเอดส์โลก 54 20:50:10

ความคิดเห็นที่ 3 เป็นทางเลือกของท่านที่สิ้นหวังในการแพทย์ปัจจุบันครับเรามองว่าเป็นสิ่งที่ดีถ้าไม่เรียกเก็บเงินแพงจนเวอ่ร์ จากคุณ : julong เขียนเมื่อ : วันเอดส์โลก 54 21:02:32

ความคิดเห็นที่ 4 ในเมืองไทยเนี่ย การหากินกับคนป่วยที่สิ้นหวังมันง่ายจัง..... ซ้ำยังมีหน้าม้าคอยกระพือข่าวให้อีก เศร้าแล้วเศร้าอีก... คงต้องรออีกซัก 2 generation  คนไทยจึงไม่ถูกหลอกทำนองนี้อีก จากคุณ : MrS เขียนเมื่อ : วันเอดส์โลก 54 22:30:42

ความคิดเห็นที่ 5 ระวังเสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้องนะ จากคุณ : Mdiic~* เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 02:26:09

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าแบบแฟร์ๆไม่อคตินะ ผมว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายไปหมดทุกพระที่แนะนำมาครับ สำคัญที่ว่าจะทำอย่างไรให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมทุกทางมากกว่าครับ คือรักษาทางพระและแผนปัจจุบันไปด้วย เรื่องทางจิตใจ ทางกรรม ทำได้เลยไม่มีข้อห้ามแพทย์แผนปัจจุบันสนับสนุนให้ทำร่วมไปกับการรักษาในแผนปัจจุบันครับ ผมยกตัวอย่างง่ายๆหากคนไข้ทำได้แล้วลดปริมาณมอร์ฟีนลงได้ก็จะเกิดประโยฃน์กับคนไข้ที่จะได้ลดผลข้างเคียงของยาเช่นท้องผูกลงได้ครับ แต่ เรื่องยาสมุนไพรนี่ ไม่รู้เมื่อไรประเทศเราจะทำศึกษาวิจัยกันอย่างจริงจังเสียที บางอย่างอาจมีประโยชน์ บางอย่างอาจไม่มีประโยชน์ แต่บางอย่างก็อาจมีโทษนะครับ เมืองนอกที่เจริญแล้วเขาก็มีความเชื่อเรื่องสมุนไพรแต่เขาศึกษาไปด้วยว่ามันมีผลกับยาแผนปัจจุบันหรือไม่ครับ ยกตัวอย่างตัวที่มีปัญหาก็เช่น Grapefruit, St John Wart Solution ตีกับยาปัจจุบันมากมายครับ จากคุณ : oncodog เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 07:50:18

ความคิดเห็นที่ 7 ส่วนใหญ่ เป็นการรักษาทางพลังแห่งจิตนะครับที่สังเกตุวิธีการ ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้า ก็ใช้วิธีลักษณะนี้ กับพระบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะ ลองพิจารณาดี ๆ ครับ จากคุณ : roannapoap เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 09:07:28

ความคิดเห็นที่ 8 เอ เราว่าพระที่ท่านดีๆ ก็มีนะคะ อย่างหลวงพ่อปพนพัชร์ (ถ้าเขียนผิด ขอภัยด้วยค่ะ) วัดคำประมง ท่านเป็นมะเร็ง แล้วฉันยาสมุนไพรจนหาย ท่านไม่ใช่แพทย์ค่ะ แต่ท่านก็รักษาตัวเองจนหายได้ แล้วยังเปิดวัดรักษาผู้ป่วยมะเร็งฟรีนะคะ ไม่ได้เก็บเงินแต่อย่างใด ถือว่าเมตตาต่อเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตาย เรายังอนุโมทนาบุญกับท่านเลย เคยอ่านข้อความจากคนที่ไปรักษาตัวที่วัดท่าน ส่วนใหญ่ก็ชมกันทั้งนั้น บางคนญาติคนเจ็บเล่าให้ฟังว่า คนเจ็บรักษาแผนปัจจุบัน ทรมานมากมายกับคีโม คิดจะผูกคอตายหลายครั้ง จนพามาที่วัดคำประมง รักษากับหลวงพ่อ ค่อยดีขึ้นหน่อย ไม่ทรมานเหมือนรักษาแผนปัจจุบัน จากคุณ : ข้าวปั้น เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 11:00:32 A:122.111.7.90 X: TicketID:188044

ความคิดเห็นที่ 9 ก็ดี ถ้าพระท่านไม่ทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสที่จะได้รับการรักษาที่มีประโยชน์ ถ้าเป็นระยะสุดท้าย ก็ไม่ว่ากัน ถ้าท่านสามารถทำให้ผู้ป่วยมะเร็งระะสุดท้ายและญาติยอมรับสภาพ เตรียมตัวเมื่อถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต อย่างไม่ทรมาน จากไปอย่างสมศักดิ์ศรีแห่งการเป็นมนุษย์ อย่างนั้นละเลิศเลย มีหมอรุ่นพี่ที่เป็นมะเร็ง ระยะลุกลามแหละ รักษาแผนปัจจุบันครบถ้วนแล้ว ท่านได้บวชหลังจบการรักษา จากนั้นท่านไม่สึกเพราะซาบซึ้งในรสพระธรรม ท่านรับนิมนต์มาบรรยายให้พวกเราฟังในการประชุมวิชาการเสมอ ครั้งหนึ่งท่านบอกว่า คนเราก่อนวิญญานออกจากร่าง ถ้าสมองคิดแต่เรื่องดีๆ ก็จะได้ไปในที่ดีๆ การที่ไปให้ยาแก้ปวดที่กดประสาท จะทำให้สมองไม่มีโอกาสคิด ทำให้จากไปโดยไม่รู้สึกตัว อาจจะไปที่ไหนก็ไม่รู้ ซึ่งอาจจะเป็นที่ไม่ดี ไม่เหมาะสมก็ได้ การที่ผู้ป่วยระยะสุดท้าย ได้ยอมรับสภาพ ฝึกกำหนดจิต จะไม่ทรมานในวาระที่จากไป เราคิดว่า ถ้าเราถึงระยะสุดท้าย เราจะไม่ขอรับยาอะไรเลย จะจากไปอย่างนิ่งๆ เราคิดว่าเราทำได้ ตรงนี้ละ เป็นบทบาทที่พระสงฆ์จะเข้ามาช่วยผู้ป่วยได้ ไม่ใช่การรักษา เพราะท่านไม่ได้มีองค์ความรู้ จากคุณ : OG เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 22:55:22 A:124.122.225.199 X: TicketID:324242

ความคิดเห็นที่ 10 เท่าที่อ่านมา ในพระไตรปิฏก พระรับรักษาโรค (แม้จะฟรีก็ตาม)  ต้องอาบัติ ผิดธรรมวินัย นะครับ จากคุณ : kikirara เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:39:34