Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สิ่งที่คนไข้มักเข้าใจผิด ... (ภาคสอง) ติดต่อทีมงาน

มาต่อกับภาค 2 ของ สิ่งที่คนไข้หลายๆท่านยังเข้าใจผิดอยู่นะครับ
ต่อจากกระทู้เดิมนะครับ ....
สิ่งที่คนไข้มักเข้าใจผิด ... (ภาคแรก)
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L11533099/L11533099.html

ต่อไปก็เป็นข้อ 3 เนาะ


3.  ยาแก้อักเสบ VS ยาฆ่าเชื้อ
               "หมอ ฉันคออักเสบมา 3 วันแล้ว ไปหาหมอมาแล้ว เค้าให้แต่ยาฆ่าเชื้อมา ไม่เห็นให้ยาแก้อักเสบฉันเลย วันนี้ฉันจะมาเอายาแก้อักเสบ"
               " หมอแผลมันมีหนองด้วย ฉันอยากได้ยาแก้อักเสบ"
               " หมอ ปวดขามา 2 วันแล้ว ขอยาแก้อักเสบหน่อย"    


                เอาละสิ !! ท่าน ผู้อ่านคิดว่า มันเหมือนกันไหมครับ ยาแก้อักเสบ กับ ยาฆ่าเชื้อ เนี่ย ผมเชื่อว่าหลายๆท่านคิดว่า มันเป็นคนละยา และมีอีกจำนวนหนึ่งที่เข้าใจว่าเป็นยาตัวเดียวกัน และมีอีกจำนวนหนึ่งเข้าใจว่าเป็นยาคนละตัวกันแต่เวลาพูดเข้าใจผิดว่าเป็นยา ตัวเดียวกัน ว้อยยยยยยยงงงง???!!!!!!!!!!!!        
             
                สรุปเลยแล้วกัน จริงๆแล้ว คือ เป็นยา คนละตัวกัน ครับ แต่ด้วยกระบวนการรักษาอาจมีการเข้าใจผิดในระหว่างการสื่อสารได้  
     
              ยาแก้อักเสบ โดยความหมายหรือการใช้งานของแพทย์ ก็คือยาลดอาการอักเสบครับ (อ่าวทุบดินซะเจ็บมือ) มักหมายถึงยากลุ่ม NSAID หรือ Non-steroidal anti-inflammatory drugs (ยา ลดอาการอักเสบกลุ่มที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์) หรือในบางคนอาจจะหมายรวมถึง ยากลุ่ม สเตียรอยด์ เข้าไปด้วย ก็คือยาที่จุดประสงค์หลักของการใช้ก็คือ การลดอาการอักเสบครับ

              ยาฆ่าเชื้อ ก็คือ Antibiotic drug หรือ ยาแอนตี้ไบโอติก หรือยาฆ่าเชื้อนั่นแหละครับ จุดประสงค์ในการใช้ก็แน่นอน ไว้ฆ่าเชื้อโรค(กรณีเป็นเชื้อแบคทีเรีย)ไง
       
               ดังนั้นยาทั้ง 2 กลุ่ม เป็นคนละกลุ่มตัวยากันเลยครับ คราวนี้ความเข้าใจผิดมันมายังไงละ ขอยกตัวอย่าง ดังนี้ละกัน  

               นายตุ้มเปรี๊ยะ มาพบแพทย์ สาเหตุคือมีอาการเจ็บคอเป็นมา 2-3 วันแล้วมีไข้ด้วยละ มาหาหมอปุ๊บ คุณหมอสุดหล่อก็ทำการวินิจฉัย หลังจากนั้น ก็บอก ตุ้มเปรี๊ยะคุงว่า คุณเป็นภาวะ คออักเสบติดเชื้อ(แบคทีเรีย) ครับ แต่ในแพทย์บางคนอาจจะพูดเหลือแค่ว่า คุณเป็นคออักเสบครับ หรือคนไข้บางคนก็จะเข้าใจว่า อ่อเราเป็นคออักเสบนั่นเอง  ถามว่ามีใครผิดไหม ไม่มีเลยครับ กะอีแค่ "คออักเสบ" กับ "คออักเสบติดเชื้อ" เนี่ย เพียงแต่การย่อหรือเข้าใจนี้อาจจะทำให้ คนไข้บางคนเข้าใจผิดต่อๆไปได้  

                    คำว่า “คออักเสบติดเชื้อ” ก็คือ คอเราเนี่ยมันอักเสบครับ ถูกต้อง แต่ที่มันอักเสบนั่นมันเกิดมาจากการติดเชื้ออีกที และกระบวนการอักเสบในร่างกายคนเรานั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น ติดเชื้อ(ในภาวะติดเชื้อต่างๆ)  การกระแทกต่างๆ(เช่นอุบัติเหตุกระแทกมีกล้ามเนื้ออักเสบ)  มีสารแปลกปลอมอื่นไปอยู่ในร่างกาย(ซึ่งไม่ใช่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย)  ดังนั้น การที่ร่างกายคุณอักเสบนั้น ไม่ได้หมายความว่าคุณติดเชื้อเสมอไปครับ การติดเชื้อนั้นเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบได้     เพราะฉะนั้นการรักษาไม่เพียงแต่ต้องลดการอักเสบลง แต่ต้องรักษาไปถึงที่ต้นเหตุด้วยครับ ถ้าเราสามารถหาสาเหตุที่ชัดเจนได้  
                   
                     ดังเช่นกรณีนายตุ้มเปรี๊ยะครับ ซึ่งเป็นคออักเสบติดเชื้อ สรุปก็คือ การอักเสบที่คอนั้นเกิดจากมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย หรือการติดเชื้อนั่นเอง ดังนั้นการรักษาต้องให้ ยาฆ่าเชื้อ   ซึ่ง แน่นอนเมื่อผู้ป่วยได้รับยาไป ก็จะเข้าใจว่า ตัวเองเป็นคออักเสบ ยาที่ได้ไปก็ต้องเป็น ยาแก้อักเสบ นะสิ ดังนั้น จึงมีการเข้าใจผิดไปว่า ยาแก้อักเสบ คือ ยาฆ่าเชื้อ เป็นตัวเดียวกันนั่นเองครับ  และเมื่อแพทย์จ่ายยาฆ่าเชื้อ ให้ผู้ป่วยบางคนจึงมีการถามเกิดขึ้นว่า  “เป็นคออักเสบ หมอไม่ให้ยาแก้อักเสบเหรอครับ (ทำไมให้ยาฆ่าเชื้อละ)”    จริงๆการรักษาคออักเสบ(ติดเชื้อ) การรักษาหลอดลมอักเสบ(ติดเชื้อ) การให้ยาฆ่าเชื้อ จึงเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ ครับ เชื้อโรคตาย การอักเสบก็จะลดลงไปเองโดยที่ไม่ต้องไปกินยาแก้อักเสบ(จริงๆ) เลย

              คราวนี้หลายคนคง งง งวย งวย งง ว่าแล้ว ยาแก้อักเสบ(จริงๆ ที่ไม่ใช่ยาฆ่าเชื้อ)ละ มีไว้ทำอะไร  ยาแก้อักเสบ(จริงๆ ที่ไม่ใช่ยาฆ่าเชื้อ) คือยาลดอาการอักเสบอื่นๆที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคครับ เช่น เวลาเราปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออักเสบก็เกิดจากการที่เราใช้งานมาก ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรคแต่อย่างใด ดังนั้น ก็ให้ยาแก้อักเสบกลุ่มนี้ได้เลย ไม่ได้ให้ยาฆ่าเชื้อนะจ๊ะ

ตัวอย่าง ยาฆ่าเชื้อ(แบคทีเรีย) ที่เข้าใจว่าเป็นยาแก้อักเสบก็เช่นยา Amoxicillin  Roxithromycin ประมาณนี้ครับ

            ส่วนยาแก้อักเสบที่เป็นยาแก้อักเสบจริงๆ  ก็เช่นยา Ibuprofen fenac ประมาณๆนี้ ลองไปหาข้อมูลต่อได้ครับ

          คงพอเข้าใจบ้างแล้วนะครับ ว่าจริงๆแล้วยาแก้อักเสบ กับยาฆ่าเชื้อนั้นเป็นคนละตัวกันเลย เพียงแต่การให้การรักษาในบางครั้ง การลดการอักเสบซึ่งเกิดจากการติดเชื้อมักทำให้เกิดการเข้าใจผิดไปว่า ฉันเป็นโรคคออักเสบ ทำไมยาที่ได้จากแพทย์ไป เป็นยาฆ่าเชื้อ ทำไมแพทย์ไม่ให้ยาแก้อักเสบล่ะ เข้าใจกันมากขึ้นนะครับ        

4. กินยามากไตเสื่อม

               “คุณหมอคะ กินยามากๆนี่ไตไม่เสื่อมเหรอคะ”  เป็นอีก 1 คำถามที่พบบ่อยครับ จริงๆแล้วเนี่ย คำถามนี้ คำตอบก็คงต้องตอบว่า ใช่ครับ กินยามาก ไตเสื่อม แต่ปัญหาคือ กินยามาก  ต้องตอบให้ได้ก่อนครับว่า ยา อะไร? และมากเท่าไร? (เอาละสิ)
           
                 ในชีวิตของเราคงไม่มีใครอยากกินยาหรอกครับ (ยาคูลท์หรือ ยาหยีว่าไปอย่าง) แต่คำถามนี้มักมาจากท่านผู้ป่วยทั้งหลายที่เป็นโรคเรื้อรังครับ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง กระดูกสันหลังทับเส้นประสาทซึ่งรักษาด้วยการกินยา หรือโรคข้อเข่าเสื่อมอักเสบเป็นต้น

                 ท่านทั้งหลายเหล่านี้มักมีคำถามคาใจ(พี่เจ ทันมะ?) เวลาไปรักษา หรือเวลาไปติดตามอาการ แล้วแพทย์มีการเพิ่มยา หรือรู้สึกว่ายาที่กินทำไมมันเยอะจัง (แค่ยาก่อนอาหารกินจะอิ่มแล้วเนี่ย) และเวลาไปรักษากับแพทย์ ในบางครั้งแพทย์มักจะบอกว่า “ไตเสื่อมแล้วนะครับ เป็นผลจากการกินยามานานด้วย ต้องเปลี่ยนยาแล้ว” หรือ “ยาแก้อักเสบกินมากมีผลต่อไตนะครับ” ทำให้บางครั้ง ผู้ป่วยรู้สึกกลัวและกังวลมากว่าฉันกินยามากไปไหมเนี่ย!!

                แต่ ปัญหาที่ว่ามานี้จะยังไม่เกิดปัญหาใดๆครับเพราะเป็นเพียงการสงสัย แต่ที่ผมต้องนำมาไขข้อข้องใจคือ ผู้ป่วยบางราย เช่นเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง บางท่าน จะ หยุดยาเองเลยครับ(คุณพระ!!!)  หรือไม่กินยาตามที่แพทย์แนะนำ โดยให้เหตุผลว่า กลัวไตเสื่อม กลัวตับเสื่อม จึงเลือกที่จะหยุดยาเอง หรือไม่กินครบ เลือกกินเองบางตัว คราวนี้ ปัญหาก็บังเกิดละครับ เบาหวานก็ขึ้น ความดันก็ไม่ลง สุขภาพแทนที่จะดีขึ้น ก็เสื่อมจริงๆละคราวนี้
                 
                       ยา ที่เรากินเข้าไปเนี่ย มันจะเข้าสู่กระแสเลือดครับ แล้วก็จะไปที่ ตับ และไตด้วยซึ่งตับและไตนี่เองที่ มีส่วนช่วยในการแปรสภาพยาให้ทำงานและมีส่วนช่วยในการกำจัดยาหรือส่วนประกอบ ที่ไม่เกิดประโยชน์ออกจากร่างกายด้วย

                       หากบางครั้งเรากินยาที่มีผลต่อไตหรือตับมากเข้า การทำงานของไตและตับเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ตับและไตเสื่อมเร็วขึ้น  แต่ ช้าก่อนท่านพี่ทั้งหลาย!!!!!!!!!!!!!

โปรดอ่านต่อสักเล็กน้อย(จริงๆอ่านเยอะก็ดีครับ)
                     
                    จริงๆแล้ว ก็เป็นความคิดที่ถูกส่วนหนึ่งครับ กับการระวังการกินยา แต่จริงๆแล้วจะเรียนให้ทราบว่า ในผู้ป่วยเบาหวานกับความดันโลหิตสูง หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องกินยาเหล่านี้ แพทย์จะมีการเจาะเลือดเป็นระยะๆอยู่แล้วครับ บาง ครั้ง เจาะทุก 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี เพื่อดูค่าการทำงานของไต และระมัดระวังให้ผู้ป่วยอยู่แล้ว แต่ขึ้นกับผู้ป่วยด้วยนะครับ ว่าจะไปเจาะเลือดตามที่แพทย์แนะนำ และตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอหรือเปล่า    

                ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงครับ หากท่านไปตรวจอย่างสม่ำเสมอ ตามที่คุณหมอแนะนำไม่ต้องห่วงว่ากินยาไปจะเป็นอันตรายต่อไตแต่อย่างใด เพราะมีการติดตามอย่างสม่ำเสมอแน่นอนครับ  เพียงแต่มีบางอย่างที่อยากจะฝากไว้ครับ
•      ตรวจตามที่แพทย์แนะนำ ไปตรวจติดตามสม่ำเสมอ และกินยาให้ครบตามที่แพทย์แนะนำ
•      อย่าหาซื้อยามารับประทานเอง โดยเฉพาะยาชุดหรือยาที่ไม่ได้มาตรฐาน
•      สมุนไพรหรือยาวิเศษหรืออาหารเสริมทั้งหลายแหล่ที่มีการอวดอ้างสรรพคุณต่างๆ แก้เบาหวาน แก้ความดัน แก้โรคอ่อนแรง แก้สมองเสื่อม แก้ปวดเมื่อย แก้โรคหัวใจ แก้อัมพาต แก้ไตวาย มีส่วนผสมของ เกล็ดหยกขาวบัวหิมะ ผสม วิตามิน อีก 6351 ชนิด(โอ้วนี่่มันยาเทพชัดๆ!) รบกวนตรวจสอบให้แน่ใจจริงๆก่อนนะครับ เพราะยาเหล่านี้บางตัว ทำลายไตได้โดยตรงเลย (เคยเห็นมาแล้วครับ กิน 2 วัน วันที่ 3 ไตวาย บวมทั้งตัวมาเลย)
•      มีปัญหาปรึกษาแพทย์นะคะคุณ! และอย่าฟังมากครับคำว่า "เค้าว่า...." เพราะพอถามไปถามมา "เค้าว่า...."เนี่ย ไม่รู้เค้าไหน อย่าเดาเองจ้าเพื่อสุขภาพของตัวท่านเองเนาะ
สรุปก็คือ หากไปตรวจสม่ำเสมอ กินยาตามที่แพทย์แนะนำ ไม่จัดหายามากินเอง จะกินยาอะไรปรึกษาแพทย์ก่อน และรักษาสุขภาพ เท่านี้ก็จะถือว่าเป็นการดูแลและระวังเรื่องของ "กินยาแล้วไตเสื่อม" ได้อยู่แล้วครับ

และนี่เป็นอีก 2 เรื่องที่มักมีการเข้าใจผิด และส่งผลต่อการรักษา
ครับ ต่อไปภาคหน้า ติดตามต่อ อังคารหน้า กับ 2 เรื่องยอดฮิต ขอน้ำเกลือหน่อย และ ขอเจาะเลือดหน่อย

แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 55 22:46:19

แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 55 22:43:37

แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 55 21:36:47

แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 55 21:33:17

แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 55 21:25:32

จากคุณ : small-doctor
เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 21:21:30




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com