ได้อ่านความข้อที่คุณ kaungmoe ได้บรรยายออกมาแล้ว..
ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย แต่อย่าเพิ่งเสียใจมากเกินไปนะครับ
ถ้าเสียใจมากเกิน ต้องระวังสุขภาพกายอย่าให้เสียตาม
และถ้าคุณพร้อมที่จะตัดใจ ผมพอจะมีวิธีครับ
อย่างแรก ต้องยอมรับความเป็นจริงให้ได้ก่อนครับว่า..
เขาจากไปแล้ว และจะไม่มีวันกลับมา
การจากไปในที่นี้ ไม่ใช่ว่าการติดต่อที่ห่างหายไป
แต่คือใจของเขาที่ไปแล้วจะไม่มีวันกลับมาต่างหาก
แม้ให้วันหนึ่งได้เขามาอยู่เคียงข้าง แต่ใจเขาจะอยู่ไหนก็คงไม่มีวันรู้
ถ้าคุณสามารถรับความจริงข้อนี้ได การตัดใจก็จะทำได้ง่ายขึ้น
แต่ถ้าคุณไม่สามารถยอมรับความจริงนี้
การที่เขาโทรมาคุยกับคุณนั้น เขาไม่ได้หลอกคุณ เพราะถ้านั่นคือนิสัยเขา
แต่คุณกำลังถูกหลอก ด้วยตัวของคุณเองว่าคุณมีเขาอยู่
แม้คนทั้งโลกจะหลอกลวงคุณ ก็ไม่ร้ายเท่ากับการที่คุณหลอกใจตัวเอง
ถ้าคุณสามารถรับความจริงได้ว่าเขาจากไปแล้ว
จากความสัมพันธ์ที่มีระยะเวลายาวนาน อาจทำให้คุณมีความรู้สึกดีๆ หลงเหลืออยู่
สิ่งใดที่ว่าดี ก็เก็บไว้ในความรู้สึกลึกๆ แบบนั้นเถอะครับ
สิ่งใดที่คุณเคยทำเพื่อเขา แม้บางสิ่งเขาไม่เห็นคุณค่า
แต่ความเป็นคุณค่าไม่ได้อยู่ที่ว่าจะมีผู้ใดพบเห็น แต่คุณค่าจะอยู่ในตัวคุณเอง
นั่นคือคุณค่าของการเป็นคนรักที่ดี คุณค่าของความเสียสละ
แม้คุณและเขาจะยังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ แต่เขาอาจไม่ได้ทุกข์จมกองน้ำตาเช่นคุณ
ดังนั้น สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือการรักษาแผลใจ
ให้คุณมีสภาพจิตใจดีขึ้นก่อนเถอะนะครับ แล้วเขาติดต่อมาค่อยว่ากันอีกครั้ง
แต่ตอนนี้โปรดงดการติดต่อจากเขาทุกอย่าง ถ้าคุณต้องการรักษาแผลใจจริง
เปรียบความรักเสมือนไฟ...
อยู่ใกล้ก็อบอุ่น ไกลไปก็ไม่สามารถคลายหนาว
แต่เมื่อเข้าใกล้เกิน ความรักที่ว่าอบอุ่นนั้นก็สามารถเผาจิตใจให้มอดไหม้ได้
ตอนนี้คุณกำลังถูกไฟรักรุมทำร้ายจิตใจ
ถ้าคุณยังพยายามเอาใจไปใส่ไว้ที่เขา ก็เหมือนคุณไม่อยากถอยออกมาจากกองไฟ
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการโทร การรับส่งข้อความ การติดตามเฟสบุค
หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเขา ควรระงับให้หมดครับ !
------------------------------------------------------------------------------------------
จากนั้น ขอให้คุณลองพิจารณาดูดีๆ นะครับว่า..
ความจริงเมื่อคนเราเกิดมานั้น มีอะไรติดตัวมาบ้าง
แม้แต่เสื้อผ้า เงินทอง ที่อยู่ ความรู้หรือทักษะความสามารถก็ไม่มี
เมื่อเกิดไม่มีอะไรมาเลย อาศัยบารมีพ่อแม่เลี้ยงดูเรา
จากนั้นเราก็ค่อยๆ สะสม ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่กินเข้ามาสะสมหล่อเลี้ยงกาย
สะสมความรู้วิชา ความสามารถ เมื่อโตขึ้นก็เริ่มสะสมทรัพย์ บริวาร
จนกระทั่งไปคว้าใครสักคนมาเป็นของเราแล้วบอกว่านี่คือ "แฟน"
และคนที่เรียกว่าแฟนนั้น ก็ไม่ได้เป็นของเรามาแต่เกิด
ถ้าครั้นถึงเวลาที่เขาจะจากไป ก็คงเป็นเรื่องธรรมดา เพราะนั่นไม่ใช่ของเราแต่แรก
แต่เราเอาจิตไปยึดไว้ ไปเหนี่ยวรั้งไว้ว่านี่คือสิ่งที่เราขาดไม่ได้
ทั้งที่ความเป็นจริง แม้จะเป็นสมัยที่คบกันอยู่
ในช่วงระหว่างวัน คุณมีเวลาอยู่กับเขาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง
และในตอนที่คุณหลับ คุณก็กลับมาอยู่ตัวคนเดียว แต่คนส่วนมากจะลืมความจริงข้อนี้ไป
ตอนคุณหลับ คุณเหลืออะไรบ้าง คุณอาจไม่มีเหลือเลยแม้กระทั่งสติ !?
------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าการสูญเสียใครสักคนไปไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วทำไมยังต้องทนทุกข์ ?
นั่นเพราะเรามีความยึดมั่นไว้ ว่านี่ตัวเรา นี่ของเรา ว่านั่นคนรักเรา
ถ้ากายนี้ไม่ใช่ของฉัน กายนั้นไม่ใช่ของเธอ แล้วฉันนี้เป็นใครกัน ?
ก็คงต้องลองพิจารณาดูถึงสิ่งที่เรียกว่า "ของเรา"
ถ้ากายนี้เป็นของเราจริง คงจะสามารถบงการมันได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งสั่งว่าห้ามอ้วน !
ถ้าใจนี้เป็นของเราจริง คงจะสั่งได้ว่าจงอย่าฟุ้งซ่าน จงอย่าเหม่อ จงอย่าเศร้า จงอย่าเหงา !
แม้จะบอกว่าสามารถควบคุมแขนขาให้ขยับได้
แต่ใครบ้างสามารถควบคุมไม่ให้ขาแตกลาย เมื่อกินเยอะจนอ้วนขึ้น
หรือมีใครบ้างที่สามารถบอกแขนขาได้ว่า จงอย่าอ้วนเมื่อคุณกินข้าววันละสี่มื้อ
จะพบว่าไม่มีใครสามารถสั่งมันได้ แต่ต้องใช้วิธีสร้างเหตุและปัจจัยไม่ให้มันอ้วนเกิน
เช่น ด้วยการออกกำลังกาย เป็นต้น
แต่ด้วยการออกกำลังกาย แม้คุณเองก็ไม่สามารถบอกมันได้ว่า ฉันออกกำลังกายแล้วนะ จงผอมเดี๋ยวนี้ !?
ตอนเด็กเมื่อกินข้าว คุณก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะโตเท่าไหร่
คุณเพียงแต่ให้ปัจจัยคือการกินอาหาร เพื่อให้ร่างกายโต
เมื่อคุณกินเข้าไป กายมันก็เอาอาหารไปหล่อเลี้ยง ไปพัฒนาเอง
คุณไม่ได้ทำให้กายนี้โตเลย คุณเพียงแต่ให้ปัจจัยมันเท่านั้น
กายหรือใจที่ว่าเป็นของเรานั้น เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ใช่ของเรา เพราะเราไม่สามารถควบคุมมันได้เลย
แต่เรากลับไปยึดมันไว้ว่าเป็นของเรา พอสิ่งใดที่มาปรุงแต่งไม่ได้ดังใจก็ทุกข์ร้อนไปตามกัน
แล้วจะนับประสาอะไรกับกายใจผู้ือื่น ที่เรายึดเอามาว่านี่เป็นของเรา พอยึดเอาไว้มันก็เลยทุกข์ไปตามนั้น
เคยถามตัวเองมั้ยครับว่า..
ทำไมเมื่อเห็นข่าวคนถูกฆ่าตาย เราถึงไม่เสียใจกับครอบครัวของผู้ที่ถูกฆาตกรรม ?
นั่นเพราะเรา "ไม่ได้ไปยึด" ว่าผู้ตายเป็นอะไรกับเรา
ทำไมคนอื่นขับรถประสบอุบัติเหตุ แล้วเราถึงไม่ทุกข์ร้อนกับเขา ?
เพราะเรา "ไม่ได้ยึด" ถือว่ารถนั่นเป็นของเรา และเราก็ไม่รู้จักกับเขา
ทำไมคนอื่นแต่งงานกัน เราถึงไม่มีความสุขเหมือนกับคู่บ่าวสาว ?
นั่นก็เพราะเราไม่ใช่เขา เรา "ไม่ได้ไปยึด" ว่านี่คือเราเองที่แต่งงาน
แล้วทำไมเห็นคนใกล้ชิดแต่งงาน แล้วรู้สึกหว้าเหว่ โดดเดี่ยว ?
เพราะ "เราไปยึด" นำความรู้สึกที่อยากมี อยากเป็นมาใส่จิตใจเรา !
แล้วทำไมสูญเสียคนรักไปและต้องเสียใจ ?
เพราะว่า "เราไปยึด" ว่านี่คือคนรักเรา คือคนที่เราอยากอยู่เคียงคู่ ฯ
------------------------------------------------------------------------------------------
การจะดับทุกข์นี้ คือต้องเอาใจออกห่างจากความยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น
การจะคลายความยึดมั่นต้องใช้การละ การสละมันให้ออกไป
เหมือนแบกภูเขาไว้บนบ่า ก็ต้องรู้จักการวางมันลง
แต่การจะที่คุณ kaungmoe จะละจะสละความทุกข์ ความยึดมั่นว่านี่คือคนรักได้นั้น
ไม่ใช่เพียงแต่การคิดว่าฉันจะละ ฉันจะสละ ฉันจะเลิก ฉันจะไม่ติดต่อ
ซึ่งทั้งหมดนี้จะไม่มีประโยชน์ ถ้าใจยังพยายามแสวงหามัน
ความยึดมั่น ก่อให้เกิดความทุกข์ ความเศร้า ความเสียใจ
ความรักมันเกิดขึ้นมาจากจิต ความรักคุณไม่ได้เกิดจากการท่องจำ
มันเกิดที่ไหนก็ต้องดับมันที่นั่น เหมือนกับไฟถ้าไหม้ตรงนี้ก็ต้องดับตรงนี้
คุณไม่สามารถพยายามดับไฟที่เกิดตรงนู้น แต่มาดับตรงนี้ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
ถ้าความรักเกิดจากการยึดมันเอาไว้ที่จิต การจะดับมันก็ต้องละความรักที่จิต
แต่อย่างที่บอกว่าไม่สามารถด้วยการนึกคิดหรือท่องจำ
ถ้าคุณลองทำใจว่าจะละมันให้ออกจากจิตไม่ได้ คุณก็จำเป็นต้องสอนจิตให้รู้จักการละ
แล้วจิตมันมองเห็นที่ไหน แล้วจะสอนมันอย่างไรล่ะ ?
ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า
"การให้ทาน คือการอบรมจิตให้รู้จักการละ"
ไม่ว่าคุณจะศาสนาใดก็ตาม คุณสามารถให้ทานได้ ตั้งแต่ขอทานตามถนน
การบริจาคช่วยเหลือผู้ยากไร้ การสละแรงกายช่วยเหลือสังคม การบริจาคเลือด ฯ
ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพย์มาก แต่ให้ทำบ่อยๆ
การสอนจิตก็คล้ายๆ สอนเด็กอนุบาลเรียนหนังสือ
การจะให้เขียน ก-ฮ ทีเดียวเลยก็คงยาก แต่ต้องหัดคัด ก.ไก่ ก่อน
หัดคัดบ่อยๆ ก็จะเริ่มชินและชำนาญ
การอบรมจิตก็เช่นเดียวกัน ให้ทานบ่อยๆ จิตมันก็จะเรียนรู้ของมันเอง
แต่ต้องไม่ใช่ว่าเมื่อให้ทานแล้ว กลับมาอธิษฐานขอพรว่าขอให้สวย รวย ฯ
อย่างนี้ไม่ใช่การให้เพื่อการละ แต่เป็นการให้เพื่อสนองกิเลส เพื่อความมีความเป็นความยึดมั่น !
การทำบุญให้ทานจะมีอานิสงฆ์ใหญ่แตกต่างกัน คือ
ถ้าให้กับผู้ที่มีค่ามาก มีคุณมาก ผลที่ได้ก็มากตาม
ตรงกันข้ามถ้าให้กับผู้ที่มีค่าน้อย มีประโยชน์น้อย มีคุณน้อย ผลก็น้อยตาม
บุคคลผู้แรกที่มีคุณมาก คือพ่อแม่ของเรานั่นเองครับ
การทำบุญกับพระภิกษุในพุทธศาสนา อานิสงฆ์ก็มาก เพราะท่านคือผู้ทรงศีล
ดังนั้น ถ้าให้แนะนำ ช่วงนี้ควรหมั่นเข้าวัด ฟังธรรม และให้ทานบ่อยๆ ครับ
แม้การให้ทานเฉยๆ อาจจะดูช้าเกินกว่าที่จะเห็นผล แต่ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ขั้นสูงยิ่งกว่านั้นคือ การรักษาศีล... ถ้าช่วงเวลาที่ผ่านมาระหว่างคุณกับเขา
มีศีลที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว ก็จงใช้โอกาสนี้ปรับปรุงพฤติกรรมตนใหม่ โดยการตั้งอยู่ในศีลเถอะครับ
เพราะศีลทำให้มีโภคทรัพย์ ศีลทำให้สู่ความสุข และศีลเป็นเหตุทำให้ถึงพระนิพพาน
ศีล..แปลเป็นไทยว่าปกติ คือการมีความปกติของมนุษย์ เบื้องต้นมี 5 ประการ คงจะทราบดีนะครับ
------------------------------------------------------------------------------------------
เคยสังเกตมั้ยครับว่า.. ระหว่างที่มีความเศร้า เสียใจนั้น เป็นเพราะครุ่นคิดถึงเขา
เป็นเพราะอยู่กับภาพทรงจำในอดีต เป็นเพราะยึดเขาเอามาอยู่ในห้วงแห่งความคิด
เป็นเพราะจิตนาการไปถึงอนาคต เป็นเพราะวาดฝันในสิ่งที่อยากให้เป็น
เป็นเพราะจมอยู่กับคำถามว่า ทำไม เพราะอะไร ฯ
จะเห็นได้ว่า ที่ความทุกข์ยังวนเวียน เพราะหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตและอนาคตทั้งสิ้น
ถ้าสามารถทำให้สติอยู่กับปัจจุบันได้แล้ว คุณก็จะไม่นึกถึงเรื่องที่ทำให้ทุกข์
ปัจจุบันในที่นี้ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่ชั่วโมงนี้ ไม่ใช่นาทีนี้
แต่ให้หมายถึง ณ ขณะลมหายใจนี้ ให้ลมหายใจที่กำลังเข้านี้เป็นปัจุบัน
ถ้ามีลมหายใจออก.. ลมหายใจที่ผ่านเข้ามาแล้วคืออดีต เพราะปัจจุบันคือลมหายใจออก !
ลองพยายามเอาสติมาอยู่กับลมหายใจแทนนะครับ
อย่าปล่อยให้สติเตลิดไปอยู่กับอดีตหรืออนาคต ให้ฝึกดูลมหายใจไปเรื่อยๆ
แล้ววันหนึ่งคุณจะสามารถควบคุมไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน หรือซึมเศร้าได้
เพราะขณะที่ดูลมหายใจนั้น คุณจะเกิดกำลังสมาธิ
เมื่อสมาธิดีคุณจะมีสติ และเมื่อมีสติ จิตใจคุณจะไม่ไปไหน
อุปมาจิตใจเหมือนสุนัข ถ้าปล่อยไว้ก็จะวิ่งเล่น เที่ยวไปสร้างอนาเขตไว้ทั่ว
คุณจำเป็นต้องมีรั้ว หรือล่ามเชือก หรือล่ามโซ่ไว้ เพื่อไม่ให้สุนัขวิ่งไปไกล
จิตก็เช่นเดียวกัน ต้องใช้สติเป็นเชือกคอยควบคุมไว้
ไม่เช่นนั้นจิตก็พร้อมที่จะฟุ้งเตลิดไปไกล เพราะหน้าที่ของจิตคือการรับรู้กับการคิด
ถ้าคุณขาดสติ ก็เหมือนคุณไร้เชือกที่จะผูดมัดจิตไว้ไม่ให้เพ่นพ่าน
ถ้าคุณมีสติแต่ยังอ่อนกำลัง ก็เหมือนคุณมีเชือกล่ามสุนัข แต่สุนัขก็สามารถกัดเชือกขาดได้อยู่
ถ้าคุณมีกำลังสติที่เข้มแข็ง ก็เหมือนคุณมีโซ่ที่ทำจากโลหะชั้นดี สุนัขก็จำต้องอยู่ในการควบคุม
ส่วนการฝึกดูลมหายใจนั้น ผมขอแนะนำให้ศึกษาจากหนังสือ วิปัสสนานุบาล ของคุณดังตฤณนะครับ ถ้าคุณตั้งใจ เพียรพยายามฝึกอยู่ประจำ ผมเชื่อว่าคุณก็จะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยตัวคุณเอง
เพราะครั้งหนึ่งผมก็เคยเป็นเช่นคุณครับ และปฏิบัติจนได้ผลมาแล้ว
เลยเชื่อว่า เทคนิคนี้คุณเองก็น่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน
------------------------------------------------------------------------------------------
และผมมีการดูแลรักษาตน ที่อยากจะแนะนำเพิ่มดังนี้ครับ
พยายามอย่าฟังเพลง เพราะเพลงทำให้นึกถึงวันเก่าๆ แล้วชวนเศร้า
ผมไม่เคยเห้ฯใครผิดหวังจากความรัก พอได้ฟังเพลงแล้วสดชื่นซักคน
มีแต่ซึมเศร้า จมอยู่กับกองทุกข์ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
อย่าดื่มเหล้าเพื่อย้อมใจ เพราะเหล้าหรือเครื่อมดื่มมึนเมาไม่ได้ช่วยให้หลุดพ้นจากความจริงนี้
มีแต่บั่นทอนกำลังสติ ..จากที่ผมอธิบายมา จะเห็นได้ว่าต้องอาศัยกำลังสติในการรักษษแผลใจ
พยายามอย่าอยู่คนเดียว เพราะความเหงามันชวนให้เกิดความเศร้า
ควรอยู่คนเดียวเฉพาะตอนนอนเท่านั้น ช่วงเวลาปกติพยายามอยู่กับเพื่อน
หรือจะไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะก็ได้ แต่เพื่อความปลอดภัยของสุภาพสตรี ควรมีเพื่อนไปด้วยนะครับ ^^
อย่ามองใครใหม่เพื่อมาทดแทนแก้เหงา ถ้าคุณยังไม่สามารถตัดใจได้อย่างบริบูรณ์
เพราะช่วงนี้คุณอาจจะขาดยั้งคิดว่า คนที่เข้ามานั้น ดีจริงหรือไม่
หรือถ้าเขาดีจริง คุณอาจเผลอทำให้เขามีใจ และเมื่อคุณหายดีคุณอาจพบว่าไม่ใช่
เมื่อนั้น คุณก็อาจได้สร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น เหมื่อนที่คุณเคยเป็น
ที่สำคัญ ดูแลรักษาสุขภาพให้ดีนะครับ แม้จะป่วยใจก็อย่าปล่อยให้กายต้องป่วยตาม
ถ้าคุณรู้สึกเบื่ออาหาร ไม่อยากินอะไร ดื่มนมรองท้องก็ได้ครับ หรือจะเป็นอาหารที่ไม่ต้องออกแรงเคี้ยว
แม้ขากรรไกรอาจจะดูขี้เกียจไปบ้าง แต่อย่าปล่อยให้น้ำย่อยมาย่อยกระเพาะนะครับ
และขอฝากให้คุณ kaungmoe สวดมนต์ก่อนนอนเป็นประจำนะครับ
เพราะการสวดมนต์ ทำให้มีสมาธิอย่างอ่อน ทำให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ทำให้จิตใจสงบ
ไม่ไปยึดภาพความทรงจำในอดีตมาปรุงแต่งให้เหงา ให้เศร้า
ขอให้ตั้งใจสวดนะครับ และเพื่อเป็นการบริหารสุขภาพ ก็ควรสวดออกเสียงด้วยนะครับ
การที่คุณรู้สึกไร้ค่า เพราะคนที่คุณคิดว่า เขาคนนั้นจะเห็นว่าคุณเป็นคนที่มีคุณค่า
แต่พอเมื่อไม่เป็นไปอย่างที่ใจหวัง เมื่อเขาจากไป จึงเป็นเหตุทำให้คุณรู้สึกไร้ค่า
คุณค่าของคน ไม่ได้อยู่ที่ใครจะมองว่าเป็นอย่างไร
แต่คุณค่าของคนเรานั้น จะยังคงมีอยู่ในตัวเราเอง
ดั่งเพชรที่ตกอยู่ในโคลน แม้ใครจะมองว่าเป็นก้อนดิน เศษหิน
แต่แท้จริงแล้ว ความเป็นเพชรก็จะยังคงมีอยู่ในตัวมันเอง
คุณต้องเลือกเองครับว่า จะเป็นก้อนหินในโคลนจริงๆ หรือจะเป็นเพชรน้ำหนึ่ง !
ที่อธิบายมาทั้งหมด เพื่อให้เข้าใจ เพื่อให้เห็นภาพ เพื่อให้เกิดปัญญา และเพื่อคลายทุกข์ให้กับคุณ kaungmoe
ก็หวังว่าน่าจะพอเป็นวิธีตัดใจเล็กๆ น้อยๆ ที่จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้จนได้ผลนะครับ
ขอให้มีกำลังสติที่เข้มแข็ง เพื่อเป็นเครื่องมือควบคุมจิตใจ ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ สู้ๆ นะครับ
------------------------------------------------------------------------------------------
ปิยโต ชายเต โสโก ที่ใดมีของรัก ที่นั่นมีโศก
ปิยโต ชายเต ภยํ ที่ใดมีของรัก ที่นั่นมีภัย
ปิยโต วิปฺปมุตฺตสฺส เมื่อไม่มีของรักเสียแล้ว
นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ฯ โศกภัย ก็ไม่มี.