Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
จากใจ....สู่ไต.... ติดต่อทีมงาน

จากใจ....สู่ไต....
ก่อนอื่นก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้และถามมาทางหลังไมค์นะคะ ขอบคุณมากค่ะ  
ขอเล่าประสบการณ์ของคนที่เป็นผู้บริจาคนะคะ  
เราบริจาคไตให้สามีค่ะ คือสามีป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายและได้ล้างไตทางช่องท้องอยู่ 1 ปี (กระทู้เก่า  ฤานี่เป็นปาฏิหาริย์แห่งรัก)http://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2011/03/L10391049/L10391049.html
การยินยอมให้ตัดอวัยวะของเราออกไปทั้งๆที่มันยังทำงานได้ดีเพื่อแบ่งปันให้ใครสักคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย.....แต่เราก็พร้อมที่จะทำเพื่อคนที่เรารักค่ะ
การปลูกถ่ายไตชนิดที่ผู้บริจาคไตยังมีชีวิตอยู่ออกเป็น 2 ประเภทย่อยคือ ประเภทแรกจากผู้บริจาคไตที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
ได้แก่ พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา หลาน
ทั้งนี้จะต้องมีความเหมือนกันของเนื้อเยื่อระหว่างผู้บริจาค และผู้รับไตอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
เราเป็นประเภทที่สองเป็นการบริจาคไต ระหว่างสามี-ภรรยา
ทั้งนี้จะต้องมีหลักฐานการจดทะเบียนสมรสเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี
นับจากวันที่เริ่มทำการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม หรือการล้างไตทางหน้าท้อง
ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายต้องมี หลักฐานว่ามีลูกที่เกิดจากคู่สามี-ภรรยาจริง
อายุของลูกต้องไม่น้อยกว่า 2 ปี และต้องพิสูจน์ความเป็นสายเลือดลูกนอกสมรส
อนึ่ง ผู้บริจาคไตชนิดยังมีชีวิตอยู่ทั้งสองประเภทดังกล่าว จะได้รับการตรวจร่างกายและจิตใจอย่างละเอียดว่าปกติโดยสมบูรณ์
เหมาะสมกับการปลูกถ่ายไต ค่าใช้จ่ายในช่วงอยู่โรงพยาบาลในการผ่าตัดปลูกถ่ายไตชนิดผู้บริจาคไตยังมีชีวิตอยู่ ประมาณ 100,000-150,000 บาทในโรงพยาบาลรัฐบาล (ข้อมูล http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet4/feb18/kidney.htm)
เริ่มเข้าสู่กระบวนการของการตรวจผู้บริจาคไตนะคะ
ตรวจครั้งที่ 1 วันที่ 20 -10 – 53
เข้าพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและซักประวัติเบื้องต้นค่ะ ก่อนอื่นต้องดูกรุ๊ปเลือด เรา โอ สามี เอ ก็สามารถเข้ากันได้
คุณหมอก็ตรวจเบื้องต้น และอธิบายถึงขั้นตอนการปลูกถ่ายไตละความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นแล้ววัดความดัน ดูน้ำหนัก ส่วนสูง และนัดตรวจเลือด

ตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 3 -11-53
ตรวจคลื่นหัวใจ     เอ็กซ์เรย์ปอด     เจาะเลือด 5 หลอด

ตรวจครั้งที่ 3 วันที่ 18 -11-53
ตรวจการทำงานของเส้นเลือดโดยการฉีดสีด้วยสารทึบแสง เพื่อตรวจดูการทำงานของเส้นเลือด
สารทึบรังสีนั้นเป็นสารประกอบอยู่ในกลุ่มของเกลือไอโอดีน ซึ่งพบได้ในอาหารทะเล ดังนั้น จึงเป็นการประเมินเบื้องต้นได้เลยว่า คนไข้จะแพ้ “สี”
หรือไม่ก็ดูกันที่ตรงนี้เป็นข้อแรกๆ  (รู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนจะหายใจไม่ออกแต่โชคดีที่ไม่แพ้
แต่ถ้าเป็นคนแพ้พวกอาหารทะเลก็แจ้งได้พยาบาลจะให้ฉีดยาแก้แพ้ค่ะ)

ตรวจครั้งที่ 4 วันที่ 24 -11-53
พบจิตแพทย์  คุณหมอก็จะคุยและถามแบบสบายๆ
เราคิดว่าอาจจะเป็นการประเมินผู้บริจาคว่ากำลังใจเป็นยังไง เข้มแข็งพอไหม โดนหลอกมาหรือเปล่า (อันนี้คิดเองค่ะ)
หมอโรคหัวใจ ก็ดูผลการตรวจคลื่นหัวใจ
ก็สรุปว่าทุกอย่างปกติและร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ สามารถบริจาคได้ แต่ต้องรอผลการตรวจเนื้อเยื่อและความเข้ากันได้ว่าเป็นยังไง

ตรวจครั้งที่ 5 วันที่  4 -3-54
เจาะเลือดเพื่อตรวจหาความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อ (สรุปว่าเข้ากันได้ในระดับที่ญาติให้ญาติ)

ตรวจครั้งที่ 6 วันที่  11 -3-54
เจาะเลือดอีกครั้ง

ตรวจครั้งที่ 7 วันที่  30 -3-54
ตรวจคลื่นหัวใจและตรวจภายใน

ตรวจครั้งที่ 8 วันที่  11 -4-54
เจาะเลือดอีกครั้งและพบหมอที่จะทำการผ่าตัด
คุณหมอก็จะเอาผลการตรวจและอธิบายให้ฟังถึงขั้นตอนที่จะทำ
และบอกว่าจะต้องเลือกเอาไตข้างไหน ของเราเลือกข้างซ้าย
คุณหมอแจ้งว่าเรามีเส้นเลือดดำและแดง อย่างละเส้นทำให้อาจจะง่ายในการผ่าตัด
แล้วคุณหมอก็นัดวันผ่าตัดเลย เป็นวันที่ 19 เมษายน 2554  
ต้องมานอนโรงพยาบาล วันที่ 18 เมษายน 2554

เช้าวันที่ 18 เรากับสามีก็ไปส่งลูกที่โรงเรียนตามปกติ (เรียนซัมเมอร์)
ก็เครียดกันมากเพราะเป็นห่วงลูก แต่ก็ยังดีที่มีพี่สาวและพี่เลี้ยงมาอยู่เป็นเพื่อน
บอกลูกว่ากลับมาตอนเย็นจะไม่เจอพ่อกับแม่เพราะต้องไปนอนโรงพยาบาล
แต่เราก็คุยกับเขาตลอดว่าพ่อแม่กำลังทำอะไรบอกเขาตลอด
และโชคดีที่ลูกสาวอายุแปดขวบของเราเป็นเด็กที่เข้าใจและเป็นกำลังใจให้เสมอ
เขาบอกว่าจะอดทนตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่ จะดูแลตัวเองให้ดี ก็อ้อนนิดหน่อยว่าอยากไปหาที่โรงพยาบาลทุกวัน
แต่เมื่อพ่อกับแม่บอกว่าถ้าลูกต้องไปหาพ่อกับแม่ทุกวันต้องนั่งแท็กซี่ไป รถก็ติด ป้าก็ไม่รู้จักโรงพยาบาล
จะลำบากมาก พ่อแม่ก็จะเป็นห่วงมาก
เขาก็บอกงั้นหนูจะรอที่บ้าน
ให้พ่อแม่รีบกลับบ้านและโทรหาทุ๊กกกกวัน
ก็เป็นอันเข้าใจกันค่ะ  (สงสารลูกมาก)
ก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาลตอน 8.30 น. แล้วพบคุณหมอ
ก็ให้มาที่เตียงเป็นห้องที่มี 3 เตียง อยู่ชั้น 6
ส่วนสามีก็ได้ห้องพิเศษเดี่ยว(เป็นห้องปลอดเชื้อ) ชั้น 12 ก็มีพยาบาลมาแนะนำขั้นตอนก่อนที่จะรับการผ่าตัด
และเจาะเลือดไปตรวจ และตรวจคลื่นหัวใจ
ใส่สายสวนปัสสาวะ


เช้าวันที่ 19 -4-2554
เราก็เตรียมตัวพร้อมแล้วตื่นตั้งแต่ ตีห้า มีบุรุษพยาบาลมารับ
ครั้งแรกในชีวิตที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดก็ตื่นเต้น
ก็มีวิสัญญีแพทย์มาแนะนำตัวว่าเป็นคนที่จะดมยาสลบ
แต่คุณหมอบอกว่าจะใส่เข้าไปในน้ำเกลือเป็นการทำให้หลับ
และจะเพิ่มทีละน้อยและอธิบายวิธิการว่าจะทำยังไงบ้างก็นอนรอประมาณ 30 นาที
ก็เข้าห้องผ่าตัดในห้องก็มี อาจารย์แพทย์ผ่าตัดทีมละ 2 คนและผู้ช่วยแพทย์อีก 3 คน  วิสัญญีแพทย์ 1 คน
คุณหมอถามเราว่ากลัวไหม ก็ตอบไปว่า ไม่กลัวค่ะ
แล้วก็วิสัญญีแพทย์ก็บอกว่าเขาจะเริ่มทำให้หลับ
โดยฉีดยาเข้าไปในน้ำเกลือ
แล้วเราก็ได้ยินหมอคุยกันว่า หลับแล้วๆ
เราจะทำมือว่ายังๆๆๆๆ แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็คือมีคนเรียก คุณคะๆๆๆตื่นๆๆๆๆค่ะ
เราไม่มีแรงพูดเลยทำมือว่าโอเค
แล้วก็ออกมาจากห้องผ่าตัดแต่สลืมสลือ
อยู่จนบุรุษพยาบาลพาขึ้นมาที่ห้องพัก
รู้สึกปวดแผลมากก็ขอยาแก้ปวดทุก 6 ชั่วโมง
รู้สึกอยากหลับตลอดเวลา

วันที่ 20 -4-2554
พยาบาลมาวัดไข้ วัดความดัน ให้ยาแก้อักเสบ
อาการปวดเริ่มทุเลา พยายามขยับบ่อยๆ
พยาบาลเอาสายสวนปัสสาวะออก  ตอนบ่ายเอาน้ำเกลือออก
อาการปวดดีขึ้นมาก พยายามลงจากเตียงเดินไปเดินมาบ่อยๆเพื่อไม่ให้ท้องอืด

วันที่ 21 -4-2554
วันนี้คุณหมอที่ผ่าตัดมาดูแผลแล้วบอกว่าพรุ่งนี้กลับบ้านได้แล้วก็ไปเยี่ยมสามีที่ชั้น 12 สามีก็บอกว่าเขาไม่เจ็บเท่าไหร่แต่ต้องห้ามขยับเยอะให้นอนนิ่งๆ

วันที่ 22-4-2554
วันนี้ก็กลับบ้านได้ค่ะ ส่วนสามีต้องอยู่ต่อจนกว่าจะปลอดภัย ก็ได้กลับบ้านวันที่ 3-5-2554  ผลการผ่าตัดดีมากและการทำงานของไตดีมากจนถึงทุกวันนี้ ชีวิตดีขึ้นมากแทบจะเป็นปกติทุกอย่างแค่ต้องระมัดระวังเรื่องยากดภูมิคุ้มกันค่ะ

บทความเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการปลูกถ่ายไต
ที่ น.ต. พงศธร คชเสนี  โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช
ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่
โดยเมื่อได้ไตมาแล้ว จะนำมาต่อเข้ากับเส้นเลือดของร่างกายบริเวณหน้าท้องน้อย
ซึ่งโดยปกติแล้วถือว่าไม่ยากนัก และขนาดก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆ
หลังการผ่าตัดแล้วผู้ป่วยต้องอยู่ในห้องแยกเชื้อประมาณ 1-2 สัปดาห์ไม่จำเป็นต้องเป็นไอซียู
อาจเป็นหอผู้ป่วยที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ หรือห้องเดี่ยวก็ได้แต่ต้องใช้มาตรการป้องกันการติดเชื้อเป็นกรณีพิเศษ
เพราะผู้ป่วยในระยะแรกจะได้รับยากดภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันปฏิกริยาต่อต้านอวัยวะของร่างกายเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะไปทำให้ภูมิคุ้มกันการติดเชื้อลงลง
ผู้ป่วยอาจได้รับเชื้อจากญาติ หรือผู้มาเยี่ยมได้ง่ายกว่าคนปกติ
จึงต้องมรกฏป้องกันเอาไว้เพื่อผู้ป่วยเองจะค่อยๆลดยากดภูมิต้านทานลง
จนไม่มีโรคแทรกซ้อนอย่างใด อาจใช้ระยะเวลาในโรงพยาบาลระหว่าง 2-6 สัปดาห์


การพักฟื้นหลังออกจากโรงพยาบาล
หลังออกจากโรงพยาบาล
แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยทำงานเบาๆที่ไม่มีความเสี่ยงไม่ว่าจากอุบัติเหตุ
หรืองานที่จะเสี่ยงจากโรคที่จะได้รับจากบุคคลอื่น หลีกเลี่ยงการติดเชื้อเช่น ไข้หวัด โรคปอด
หรือแผลเป็นหนองสามารถนอนกับสามีภรรยาได้ตามปกติ
แพทย์จะแนะนำให้กลับไปทำงานได้หลังจาก 1 เดือน
ถ้าไม่มีอะไรแทรกซ้อน ค่อยๆออกกำลังกายและเล่นกีฬาเพื่อฝึกฝนและเพิ่มสมรรถภาพของร่างกายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลายท่านที่ฝึกฝนจนสามารถแข่งขันกีฬาแทบทุกชนิดได้
การใช้ยาหลังการปลูกถ่ายไต
ยาที่ใช้หลังการผ่าตัดมีอยู่หลายกลุ่ม เพื่อจุดประสงค์ต่างๆกัน เช่น
- ยากดภูมิต้านทานของร่างกายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะสลัดไต (Acute rejection)
- ยาที่ป้องกันการติดเชื้อไวรัส เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากได้ยากดภูมิคุ้มกันในขนาดสูง จะมีโอกาสติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น โดยปกติยาป้องกันการติดเชื้อเหล่านี้ จะให้ไปอย่างน้อย 3 เดือน และอาจจะต้องให้ซ้ำถ้ามีภาวะที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกกดอย่างมาก โดยเฉพาะหลังได้รับยารักษาภาวะสลัดไต
- ยารักษาภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่นยารักษาเบาหวาน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ยารักษาความดันโลหิตสูง ยาลดไขมัน ยาลดบวม
ยาที่เพิ่มความแข็งแรงของกระดูก  
ยาที่เพิ่มความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในภาวะโลหิตจาง
- ยาวิตามินเพื่อเสริมสร้างบำรุงร่างกาย
(http://www.nephrothai.org/news/news.asp?type=KNOWLEDGE&news_id=69)

แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 11:42:13

แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 55 00:42:44

จากคุณ : มนแจน
เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 55 00:41:09




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com